ชมรมคนเกิดขึ้น-แรม 15 ค่ำ

วิปัสสนาคือ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นของจริง เช่นเห็นความไม่เที่ยงของร่างกาย ตั้งแต่เกิดมาก็เปลี่ยนไปจนถึงความตาย ความตายก็เป็นของจริงจะสลายตัวไปจนไม่มีรูปร่างแต่เวลานี้เรายังไม่ตายและเราก็ยังไม่ยอมตาย จึงทวนกระแสจากของจริงหรือความไม่เที่ยงว่าร่างกายจะต้องแปรปรวนไปจึงไม่เที่ยง แต่เรายังไม่ยอมรับความจริง จึงต้องใช้วิปัสสนา

ถ้าจิตไม่เกิดกระแสเจริญวิปัสสนาไม่ได้ เช่น สัปเหร่อเผาศพอยู่ทุกวันอยู่กับศพคนอยู่ทุกวัน แล้วทำไมสัปเหร่อจึงไม่ได้วิปัสสนา เพราะว่าไม่มีกระแสจิต เหมือนกับผู้นึกถึงอุบายวิปัสสนาคือความตาย แต่กระแสจิตไม่มี การนึกนั่นก็กลายเป็นคำบริกรรมไป ไม่เป็นวิปัสสนา

กระแสจิตจึงมีความสำคัญมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว การส่งเสริมพลังจิตจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในทุกๆหน่วยญาณ
คำว่าญาณแปลว่าความรู้สู่ความสำเร็จ โดยจุดของหน่วยที่เกิดขึ้นจากจุดพลังอำนาจเพราะพลังจิตได้รับการสะสมจนเกิดหน่วยงานและหน่วยงานนี้คือ ญาณ เนื่องด้วยการมุ่งมั่นอันเป็นแกนนำ ทำให้งานนี้ต่อเนื่อง ตรงนี้แหละที่ควรจะต้องรู้ ความต่อเนื่องมี 5 ประการคือ

1. ศรัทธา ต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ไม่ใช่เป็นของเหลือวิสัย เป็นความเชื่อในมรรคผลนิพพานว่าเป็นของจริง ถ้าขาดพลังจิตจะเกิดความล้มเหลวขาดความต่อเนื่อง ถ้าพลังจิตนั้นถูกเติมอยูเสมอๆในขณะที่ดำเนินวิปัสสนาความต่อเนื่องจะเกิดขึ้นเองตามอัตโนมัติเปรียบดังรถยนต์ที่กำลังวิ่ง ถ้าน้ำมันไม่พอใช้หรือเกิดน้ำมันบกพร่องจนถึงน้ำมันหมด รถยนต์ก็จะวิ่งต่อไปไม่ได้

2. วิริยะ คือความเพียร การดำเนินงานใดๆก็ตาม ถ้าเกิดความล้า งานนั้นก็จะสำเร็จไม่ได้ ความไม่ล้าคือความเพียร ญาณวิปัสสนาคือผลงานเมื่อมองเห็นความสว่าง โปร่งใส ประสพกับวิถีของกระแสจิต เกิดขึ้นในขณะวิปัสสนาผลคือความระวาง เบา ตลอดถึงมองเห็นความกว้างไกล ความเพียรก็จะเกิดตามมา ต้องไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งนั้นความเพียรจึงต่อเนื่องได้

3. สติ คือระลึกได้ความจริงที่เกิดขึ้น ความสามารถแห่งการมีพลังจิตกำหนดอยู่ เพราะสติจึงกำหนดให้เป็นสว่าง โปร่งใสในใจเป็นการต่อเนื่อง

4. สมาธิ คือความสงบ เป็นขุมกำลังที่มีความสำคัญมากต้องมีสมาธิอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งสะสมได้มากพร้อมกับความแข็งแกร่งอันเป็นการเพิ่มพูนสมาธิให้เป็นการต่อเนื่อง

5. ปัญญา ความรู้ความฉลาดในที่นี้นี้หมายถึงญาณ เป็นความรู้ที่เกิดจากการอบรมขณะจิตที่เข้าสู่พลังอำนาจก็อบรมกระแสจิตด้วย กระแสจิตนี้จะกลายเป็น ธรรมจักษุ คือตาทิพย์-ตาใน ย่อมจะทราบถึงทางถูกทางผิด การเจริญวิปัสสนาก็มีทางผิดได้เช่นกัน จึงจำเป็นที่ญานต้องมีธรรมจักษุ ให้เป็นวิปัสสนาญาณ จึงจะไม่เกิดความผิดพลาด ปัญญาจึงต้องมีการอบรมอย่างต่อเนื่อง แนะนำจิตให้ดำเนินวิปัสสนาแบบถูกต้องตลอดไป

ทั้ง 5 ประการนี้ จำเป็นแก่บุคคลเจริญวิปัสสนาเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งใจไว้

 

การเป็นคนดี มีศีลธรรม
เปรียบดั่งมีเครื่องลาง ของขลัง ที่ดีที่สุด
ความดีของเรา จะปกป้องเราเอง
เมื่อเราไม่คิดร้ายต่อใคร ไม่เบียดเบียนใคร
ก็ไม่มีใครมาเบียดเบียนเรา

 

เลือดทุกหยดในกายข้า ขอพลีให้แผ่นดินไทยที่ข้ารักสุดหวงแหน
จิตวิญญาณขอถวายบูชาพระศาสนา
กายข้านี้ขออุทิศเชิดชูปกป้ององค์ราชา
ทุกอณูแห่งข้าสละแล้วเพื่อพระโพธิญาณ

 

วันนี้ผมไปช่วยงานวัดท่าซุง(ซอยสายลม กรุงเทพฯ) ช่วยงานแบบกระแตพระโพธิสัตว์ครับ อย่างเต็มกำลัง เต็มความสามารถ
ถวายสังฆทานชุดใหญ่ชุดละหนึ่งพันบาทหนึ่งชุด เลือกพระปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่ ๑ องค์
และทำบุญอื่นๆ อีกมากมาย ทาน ศีล ภาวนา ครบ FULL OPTION เต็มพิกัด ครับ
หลวงพี่ท่านเจ้าคุณอนันต์เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ท่านยิ้มให้นานมาก และให้ศีลให้พรเยอะครับ มีความสุขกับงานบุญครับ

 

โครงสร้างสมถะ เริ่มตั้งแต่บริกรรม-กรองอารมณ์-ฐานจิต
1. ความสงบ-พลังจิต
2. ความสุข-ทำให้มีชีวิตชีวา
3. มีพลัง-ไม่ย่อท้อ
4. มั่นใจ-สำเร็จกิจการ
5. เพิ่มพลัง-เมื่อเสียกำลังใจมีสมถะเพิ่มได้
6. เพิ่มความจำ-จดจ่อไม่วางเฉยในสิ่งนั้น
7. แก้ความรำคาญ-สมาธิช่วยเมื่อเบื่อในกิจการ
8. ใจเยือกเย็น-ไม่รุ่มร้อนข่มใจได้เมื่อมีเหตุ
9.เพิ่มสุขภาพกาย -ทำควา่มกระชุ่มกระชวยแกร่างกายและแก้โรคภัยต่างๆ
10.เพิ่มสุขภาพใจ - ความแกร่งกล้าไม่บังเกิดความเศร้า

โครงสร้างวิปัสสนา
1.ความสว่าง-ความปลอดโปร่งเห็นสิ่งต่างๆภายในใจ
2. ความรู้จริง -ความรู้ที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นภายในจุดพลังอำนาจ
3. ความสุขพิเศษ -ความละเอียดของจิตบังเกิดขึ้นขณะพิจารณา
4. ความรู้เท่าทัน-กิเลศบางตัวมาหลอกแต่รู้ทัน
5. ความแนะนำจิต-เข้าใจในตัวเองไม่ตามอารมณ์
6. ความทวนกระแส -เช่นโลกว่างามแต่วปัสสนาว่าไม่งาม
7. ความสู่โลกุตตระ-เจตนามุ่งเข้าสู่ความพ้นจากกิเลส
8. ความสู่วิชาญาณ-ความเฉียบคมและความรู้กระจ่างแจ้งเต็มที่แล้ว
9. ความเป็นไปได้-จิตเมื่อเข้าขั้นวิปัสสนาได้
10. ความเป็นไปไม่ได้-จิตไม่เข้าขั้นจะเจริญวปัสสนาได้

 

:'(เงินทอง ส่งถึงโรงพยาบาล
ลูกหลาน ส่งถึงเชิงตะกอน
บุญกุศล ส่งถึงภพหน้า
ภาวนา ส่งถึงนิพพาน
โกรธเขาเราทุกข์ อภัยเขาเราสุข

 

เกิดเที่ยงคืนครึ่ง แรม 15 ค่ำ เดือน10 เดือนตุลาคมอะครับ พ.ศ 2534 ปัจจุบัน อายุ 22-23 ใครมีเฟสก็แอดมาได้ Presia Lighter Severry PootongProng นิสัยวัยรุ่นๆ ทำตัวแบบเด็กๆทั่วไปทางโลก ธรรมมะก็ไม่เท่าไหร่ ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรมากมาย มีก็แค่สั่งสอนคนได้ อธิบายสิ่งต่างได้ในแบบธรรมชาติ เวลาสั่งสอนพูดคุยกับคน จะไม่มีธรรมมะแทรกเลย มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ ความจริง และสิ่งที่เป็นไปเท่านั้น ปรถนาโพธิสัตว์ โพธิญาณ นอกลู่นอกทางด้วย เพราะรู้อะไรมากในส่วนลึกของความเป็นจริงเลยทำให้ไม่ค่อยใส่ใจในธรรม เท่าไหร่ เรียกได้ว่า ปล่อยว่าง ให้มันเป็นไปตามกรรม เราเป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น นอกนั้นใครจะทำตามหรือไม่ทำตามก็อยู่ที่กรรมของเขาเอง ไม่มีอะไรพิเศษ เล่นเกมเป็นงานอดิเรก มีความคิดที่สร้างสรรค์พอตัว ชอบใช้ชีวิตแบบสงบสุขสนุกสนานปกติเหมือนคนอื่นๆทั่วไป แต่ไม่ทำในเรื่องที่รุนแรงโหดร้าย หรือทำให้ใครเดือดร้อน เอาง่ายๆคือ ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร ให้เกิดความเสียหาย ทุกอย่างเป็นมิตร ดีมาดีตอบร้ายมา วิ่งหนี 555 แค่นั้นละครับ และก็ไม่ กินเหล้าเมายาอะไรด้วยเพราะมันไม่อร่อยไม่ชอบ แม้แต่โค็กยังไม่อยากจะกินเลย หากไม่จำเป็น ชอบกินนม กับน้ำ หรือน้ำที่เสริมสุขภาพอะไรพวกนี้มากกว่า อยู่ด้วยสติและปัญญา นี่ละคือผม ฝากตัวด้วยครับ

 

เกิด 26/เมษายน/2526
ตรงกับวัน ขึ้น15ค่ำ เดือน6
เมื่อตอนเด็กๆ ผมเคยนอนหลับไม่ตื่นหลายวัน(ทางบ้านและพี่ชายบอก)
ทางบ้านใด้เชิญญาติ เข้าทรงที่บ้านเรียกวิญญาณกลับเข้าร่าง พอตื่นขึ้นมา
เห็นญาติมารอเต็มบ้าน คนที่เข้าทรงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ แล้วให้เรียกเจ้าที่เข้าร่างญาติผู้หญิงเป็นพ่อแทน ตอนนั้นยังเด็กมากจำไม่ค่อยใด้ ตอนนี้31 ยังผูกพัน อยู่กับพระ กับศาสนาพุทธ ครับ....เค้าบอกว่าไปเจอผมเดินเล่นอยู่เลยเรียกให้กลับมาเข้าร่างครับ

 

ขึ่้น15ค่ำเดือน6ค่ะ

 

เกิดวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตรงกับวันวิสาขบูชาพอดีเลยค่ะ

 

เกิด วันจันทร์ ที่ 15 เดือนพฤศจิกายน 2525 ตรงกับ แรม 15ค่ำเดือน12 ปีจอ เกิดช่วง
เวลา 22:30โดยประมานครับ อายุ 32

ชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับศาสนา แต่ยังไม่มีแนวทางที่ปฏิบัติ.
"เวลาที่คิดอะไรแล้วมักจะเกิด ขึ้นในเวลาไม่นาน เหมือนมีอะไรมาเตือนใจ"

 

วันอาทิตย์ แรม 15 ค่ำ เดือน 8 อายุ 21 ปี ขอรายงานตัวครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ทุกคนครับ

 

สวดมนต์ เป็นคำที่ใช้กันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพระหรือชาวบ้านสวดก็เรียกว่า "สวดมนต์"
สวด หมายถึงการว่าเป็็นทำนอง-การท่องคำสอนทางพระพุทธศาสนา โดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่างคือ
1. สวดธรรม เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา
2. สวดพระปริตร เพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน
มนต์ หมายถึงคำศักดิ์สิทธิ์-คำที่นำมงคลมาให้ซึ่งอาศัยการสวดหรือบริกรรมจึงจะทำให้เกิดอานุภาพ
รวมความแล้ว สวดมต์ หมายถึงการสวดเป็นจังหวะซึ่งคำอันศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์นำความเจริญมาสู่ตน
ฉะนั้นเรามาสวดมนต์กันเถอะ

 

บุญ แปลว่า สิ่งที่ชำระจิตสันดานให้บริสุทธิ์ มีความหมาย 3 อย่างคือ
1. ว่าโดยสภาพ ได้แก่ สิ่งที่สามารถชำระล้างกิเลสออกจากใจ
2. ว่าโดยเหตุ ได้แก่ การทำความดีทั้งหลาย
3. ว่าโดยผล ได้แก่ ความสุขทั้งทางกายและทางใจ

จากความหมายสื่อความได้ว่า อะไรก็ตามที่ทำแล้วเป็นเหตุให้สบายใจ มีความสุข ความเจริญ ความบริสุทธิ์ ความหมดจดผ่องใส ให้ถึงสุคติภูมิ หรือโดยที่สุดถึงความหมดสิ้นกิเลสเหตุที่ดับทุกข์ทั้งปวงลงได้ เรียกว่า บุญ ทั้งสิ้น

 

บุญกิริยาวัถตุ 10 (พระเดชพระคุณพระศรีรัตนโมลี)
1. ทานมัย บุญสำเร็จเพราะการให้
2. ศีลมัย บุญได้เพราะการรักษาศีลดี
3. ภาวนามัย บุญมีเพราะภาวนาเป็นอาจิน
4. อปจายนมัย บุญไม่สิ้นเพราะความอ่อนน้อมถ่อมตน
5. เวยยยาวัจจมัย บุญล้นเพราะขวนขวายในกิจดี
6. ปัตติทานมัย บุญเพราะอุทิศส่วนบุญกุศล
7. ปัตตานุโมทนามัย บุญมาเพราะชื่นชมความดีของคน
8. ธัมมัสสวนมัย บุญเป็นผลเพราะฟังธรรมฉ่ำชื่นใจ
9. ธัมมเทสนามัย บุญได้เพราะการแสดงเทศนา
10. ทิฎฐุชุกัมม์ บุญเจิดจ้าเพราะเห็นตรงตามความหมาย
สิบอย่างนี้ใครทำบำเพ็ญได้ บุญยิ่งใหญ่จักมีทวีเอย
ข้อ 1-6-7 เป็นทาน
ข้อ 2-4-5 เป็นศีล
ข้อ 3-8-9 เป็นภาวนา
ส่วน ข้อ 10 เป็นได้ทั้งทาน-ศีล-ภาวนา

 

การสวดมนต์ เป็นการทำดีอย่างหนึ่งซึ่งถือว่ามีอานิสงค์มาก เป็นการทำบุญในข้อภาวนามัย บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา หมายถึงการทำให้มีขึ้น เป็นขึ้นในตน โดยมุ่งผล 2 อย่างคือ การทำใจให้สงบ เรียกว่า สมถภาวนา การมีปัญญารู้แจ้ง เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา บทสวดมนต์ทุกบทมีผลทำให้เกิดความสงบทางใจในขณะสวด จึงเป็นบุญทางใจยิ่งถ้าทราบความหมายในบทสวดก็ทำให้เป็นบุญทางปัญญา
แต่สวดอย่างไรถึเจ้าปรุคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานคำแนะนำว่า การทำบุญด้วยการสวดมนต์ จะสัมฤทธิ์ผลดังตนมุ่งหวังจำต้องทำต้องความจริงใจและจริงจัง มิใช่สักแต่เป็นกิริยา หรือทำด้วยความจำใจ นอกจากนั้น การไหว้พระสวดมนต์ถือได้ว่าเป็นการปฎิบัติตามหลักของไตรสิกขา คือ
-ขณะสวดมนต์ ผู้สวดสำรวมความคึกคะนองทางกาย วาจา กล่าวแต่คำสวดที่เป็นวาจาสุภาษิต เรียกว่า ศีล
-ขณะกล่าวคำสวดมนต์ ใจของผู้สวดจดจ่อกับบทสวดมิเช่นนั้นจะทำให้สวดผิดสวดถูก จึงทำให้เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยูในอารมณ์เดียวคือการสวดมนต์
เรียกว่า สมาธิ
-ในการสวดมนต์ ผู้สวดมีความเพียรที่จะละสิ่งเป็นอกุศล(อาตาปี) นึกถึงแต่ส่ิงดีงาม (สติมา) รู้ตัวว่ากำลังทำความดี (สัมปชาโน) ทำให้เกิดความรู้ว่ากุศลความดีเป็นสิ่งที่ควรทำ อกุศลกรรมเป็นสิ่งที่ควรละ เรียกว่า ปัญญา

ดังนั้น การสวดมนต์ หากทำด้วยความจริงจังตั้งใจเรียนรู้ความหมายตามคำสวด นำความรู้ไปปฎิบัติแล้ว ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางใจให้เป็นผู้มีความสะอาด(ศีล)สงบ(สมาธิ)สว่าง(ปัญญา)ได้

 

ภาพงานทอดกฐินวัดสีมุมบูรพาราม ต.สีมุม อ.เมือง นครราชสีมา

ในวันที่ 12 ตุลาคม 2557 ยอดกฐิน 2,908,076 บาท

 

ขอเข้าร่วมชมรมด้วยคน เกิดแรม15คำ่ วันอังคาร. เดือน8. อายุเกิน. 45 ปี. มีสิ่งศักด์สิทธ์คุ้มครอง. มีลางสังหรณ์. บางครั้งเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า

 

ชมรมคนขึ้น-แรม15ค่ำย้ายไปไลด์082-4785650ค่ะ

 

ชมรมขึ้น-แรม15ค่ำย้ายไป082-4785650