หลวงพ่อกบ เขาสาริกา พระอภิญญาผู้อยู่เหนือ 3 โลก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บ้านสันติธรรม, 10 เมษายน 2013.

  1. บ้านสันติธรรม

    บ้านสันติธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +58
    ประวัติ สมเด็จพระบรมครู หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา



    หลวงพ่อกบ เป็นใคร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ไม่มีใครรู้แน่ชัด เพราะท่านไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว ใครถามมักตอบเพียงว่า “กูไม่มีอดีต กูมีแต่ปัจจุบันและอนาคต" และหากใครถามถึงอายุ ท่านจะว่า “กูจำไม่ได้" แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย

    คนใกล้ชิดและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเขาสาริกาเล่าว่า หลวงพ่อกบ น่าจะเป็นพระธุดงค์ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว คาดว่าน่าจะมีเชื้อสายจีน ท่านเดินด้วยเท้าเปล่ามาจากไหนไม่มีใครเห็น คาดว่ามาจากทางแม่น้ำน้อยหรือทางทิศตะวันตกของ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีท่าทีประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป ชาวบ้านพบครั้งแรกในสภาพนุ่งห่มจีวรเก่าคร่ำคร่า แบกไม้คานหาบกระบุงเปล่าไว้บนบ่า 2 ใบ เดินผ่านมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชาวบ้านร้องทักว่า “หลวงพ่อหาบกระบุงเปล่าไปทำไม” ท่านก็พูดว่า “กูหาบมาใส่เงินใส่ทองโว้ย”ว่าแล้วก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปพำนักในวัดเขาสาริกา หมู่ 6 ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ซึ่งสมัยนั้นเป็นวัดเก่า ๆ เกือบจะเป็นวัดร้าง ราวปี พ.ศ. 2430

    หลวงพ่อกบมาถึงวัดเขาสาริกาไม่พูดจากับใคร นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเดียว ไม่ทำความรู้จักกับใครทั้งนั้น แม้พระภิกษุด้วยกันในวัดก็ไม่เคยพูดด้วย ท่านฉันภัตตาหารแต่น้อยไม่กี่คำก็เลิก ข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายก็โกยมากองรวมกันโยนให้สุนัขและแมวกินเป็นประจำ ใครนำเงินทองมาถวายก็โยนเข้ากองไฟหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

    แรก ๆ หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดเขาสาริกา ตากแดดตากฝนอยู่เพียงลำพัง ชาวบ้านสงสารปลูกเพิงพักหลังคามุงแฝกหลังเล็ก ๆ ให้พอหลบแดดฝน ท่านก็ไม่ว่าหรือทักท้วงอะไร ยอมขึ้นไปพำนักในเพิงพักโดยดี

    นานหลายปีที่หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรเพียงรูปเดียวอยู่เช่นนั้น ก็เริ่มมีคนต่างถิ่นและคนแปลกหน้าเดินทางมากราบไหว้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์เล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดเขาสาริกามากขึ้นทุกที สร้างความแปลกใจให้ชาวบ้านและพระในวัด เพราะท่านไม่เคยออกจากวัดไปไหน สอบถามทุกคนจะตอบว่า “เคยใส่บาตรกับท่าน รู้สึกศรัทธาก็เลยมาหา" บางคนมาจากเชียงใหม่บ้าง กรุงเทพฯบ้าง สุราษฎร์ธานีหรือภูเก็ตก็มี ไม่เว้นแม้สงขลา ยะลา ปัตตานี ยิ่งทำให้ชาวบ้านกังขามากขึ้น ซึ่งนับวันผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่านก็ไม่ค่อยพูดกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นลูกศิษย์ใกล้ชิดไม่กี่คน

    ต่อมาเพิงหลังคามุงแฝกของหลวงพ่อผุพังลง ลูกศิษย์และชาวบ้านที่ศรัทธารวบรวมเงินบริจาคสร้างกุฎิไม้ถวาย 1 หลัง มีขนาดกว้างขวางกว่าเดิม ใช้เป็นที่พำนักของหลวงพ่อและลูกศิษย์ที่บ้านอยู่ไกล เผื่อเดินทางมาหาหลวงพ่อจะได้ไม่ลำบากเรื่องที่นอน

    นับวันวัดเขาสาริกาจะกลายเป็นศูนย์รวมผู้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ทำให้ถูกทางการสมัยนั้นจับตามองกล่าวหาว่าเป็นแหล่งมั่วสุมผู้คน พ.ศ. 2450 ทางการส่งเจ้าหน้าที่มาสอบถามและตรวจสอบ แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย พบเพียงผู้คนมาปฏิบัติธรรมและไม่ได้เป็นที่ซ่องสุมผู้คนจึงกลับไป

    ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหา หลวงพ่อกบ อีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่านค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใครและใครเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบตอบถูกทั้งหมดและท่านถามกลับไปว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร”ปรากฎว่าไม่มีใครหรือพระเถรผู้ใหญ่ตอบได้แม้แต่รูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา”เพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์
    เท่านั้นเองกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ สั่งให้ หลวงพ่อกบ ลาสิกขาบท กล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อนไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจหรือเถียงอะไรยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทโดยดี หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า “พวกมึงจะร้องทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็เป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็เป็นทองนั่นแหละ”ทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึงการนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไรก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้พระดีจึงมิไช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้
    หลวงพ่อกบมรณภาพและสังขารในวันที่ 17 ธ.ค. 2497 ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั่วหน้า และน่าแปลกใจที่ว่าเช้าวัดถัดไปคือวันที่ 18 ธ.ค. หลวงพ่อโอภาสีเดินทางมาถึงวัดเขาสาริกาเพื่อมาเป็นธุระในการทำพิธีฌาปนกิจศพของหลวงพ่อกบ ผู้เป็นอาจารย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความงุนงงให้ผู้คนและลูกศิษย์ เนื่องจากสมัยก่อนการสื่อสารไม่รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน การส่งข่าวไปหากันแต่ละครั้งใช้เวลาหลายวัน บ่งบอกได้ว่า หลวงพ่อโอภาสี ก็เป็นพระอภิญญาเหมือนอาจารย์ทุกประการ เพราะสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลกและรับรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก


    ที่มาของชื่อ “หลวงพ่อกบ"



    ชั่วชีวิตของ หลวงพ่อกบ ท่านไม่เคยบอกว่าชื่ออะไร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? เกิดเมื่อไหร่ ? บวชเมื่อไหร่ ? ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ? ลูกศิษย์ลูกหาจึงต้องหาชื่อมาเรียกกันไปต่าง ๆ นานา เช่น หลวงพ่อใหญ่บ้าง หลวงพ่อ เฉย ๆ บ้าง

    วันหนึ่งฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเสียงดังและลมพายุพัดแรงมากจนกุฎิสั่นคลอน ชาวบ้านและลูกศิษย์กลัวกุฏิพังชวนท่านหนี ท่านบอกว่า “มึงกลัวอะไรกัน เดี๋ยวก็หยุดตกแล้ว" พักเดียวฝนหยุดจริง ๆ และมีเสียงกบร้องดังลั่นทุ่งนา ชาวบ้านและลูกศิษย์ดีใจพากันไปจบกบมาแกงกิน แต่ไม่เจอสักตัวเดียว หลวงพ่อเลยอาสาไปจับมาให้เอง ปรากฎว่าจับมาเต็มข้องส่งให้ไปทำกินกันและท่านกำชับว่า “กินไม่หมดให้เอาไปปล่อยอย่าให้เหลือ" แต่มีชาวบ้านและลูกศิษย์บางคนแอบใส่ไหซ่อนไว้ รุ่งเช้ามาดูกลายเป็นใบสะแกและใบไม้อื่น ๆ อีกมากมาย สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ต่างขนานนามของท่านว่า “หลวงพ่อกบ" ด้วยเหตุนี้

    แต่ในบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับการสอนธรรมะมักจะเรียกท่านว่า “สมเด็จพระบรมครู" หมายถึง ครูคนแรกในการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน แต่ภายหลังกลายมาเป็น สมเด็จพระบรมครู หลวงพ่อเขาสาริกา หรือ หลวงพ่อเขาสาริกา แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จนทุกวันนี้



    ปริศนาธรรม “ทองหนึ่ง"



    บนกุฎิหลังใหม่ลูกศิษย์นำระฆังทองเหลืองมาถวายหลวงพ่อกบหลายใบ วันดีคืนดีท่านก็จะลุกขึ้นมาตีระฆังเสียงดังกังวาน “หง่าง หง่าง" และตะโกนว่า “ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง" และท่านชอบเขียนเลข ๑ หรือเครื่องหมาย + ตามข้าวของเครื่องใช้จนเปื้อนไปหมด

    เคยมีลูกศิษย์ถามว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทองหนึ่ง คืออะไรเจ้าค่ะ" ท่านหันมาตอบว่า “หนึ่งคือหนึ่งไม่มีสอง เปรียบเสมือนทองยังไงก็เป็นทองวันยังค่ำ" หมายถึง “ธรรมะ" หรือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่งในโลก ไม่ว่ากาลเวลาผ่านพ้นไปเท่าใดก็ยังคงเป็นที่หนึ่งเสมอนั่นเอง

    (คำว่า “ทองหนึ่ง" มีหลายคนแปลความหมายผิดเพี้ยนคิดว่าเป็นคาถาประจำตัวของท่าน จริง ๆ แล้วเป็นปริศนาธรรมของหลวงพ่อกบ ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจาก หลวงพ่อชื้น อริยธัมโม วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (เขาพลอง) จ.ชัยนาท ศิษย์สายตรงของหลวงพ่อกบและศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับหลวงพ่อโอภาสี ผู้บูชาไฟเผากิเลสอาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีการเล่าขานสืบต่อกันมาในหมู่ลูกศิษย์สายเดียวกัน)


    ปาฏิหาริย์แห่ง "อภิญญา"

    หลวงพ่อกบท่านเป็นพระอภิญญา อุดมไปด้วยอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์และอภินิหารมากมาย วันหนึ่งท่านเห็นลูกศิษย์ของท่าน (เป็นผู้ชายไม่ทราบชื่อแน่ชัด) กำลังนั่งทุกข์ใจ เพราะมีปัญหาทางครอบครัว ทำกิจการขาดทุนสิ้นเนื้อประดาตัว หนี้สินท่วมหัว ท่านก็พูดว่า "เฮ้ย มึงจะเป็นอะไรนักหนาว่ะ อีแค่หมดตัวแค่นี้ไม่ถึงตายดอก เงินทองมันของนอกกาย ไม่ตายหาใหม่ได้ ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมก็แล้วกัน กูแนะนำให้มึงขึ้นไปทำมาหากินแถวภาคเหนือแล้วจะรวย" สิ้นคำหลวงพ่อ ท่านก็หันหลังไปนั่งท่องคำว่า "ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง" ต่อไม่พูดอะไรอีกเลย ลูกศิษย์คนดังกล่าวพอได้ฟังก็ก้มกราบแทบเท้าท่านขอตัวกลับบ้าน ไปปรึกษาครอบครัวแล้วตัดสินใจขายบ้านและที่ดินย้ายไปปักหลักค้าขายที่ จ.เชียงใหม่ เวลาผ่านไป 1 ปี เหลือเชื่อชดใช้หนี้สินได้หมดและกิจการเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยกลายเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเหนือ
    หลังกิจการเข้าที่เข้าทางแล้ว ลูกศิษย์ก็พาครอบครัวมากราบท่านที่วัดเขาสาริกา โดยถือชะลอมใส่ลำไย ลิ้นจี่ มาถวายท่านพะรุงพะรังไปหมด ท่านเหลือบเห็นเข้าก็หัวร่อบอกว่า "อ้าว ไอ้พ่อเลี้ยงเมืองเหนือมันมาหากูว่ะ เอ้าใครอยากกินลำไย ลิ้นจี่ เอาไปแบ่งกัน เหลือให้กู 2-3 ลูกก็พอ" ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออกรางวัลเลขท้าย 23 อย่างน่าอัศจรรย์จนเป็นที่ฮือฮาในยุคนั้น

    สอนธรรมะ "ชั่งเขา ชั่งมัน"

    หลวงพ่อกบท่านชอบสอนปริศนาธรรมให้ลูกศิษย์และคนใกล้ชิดไปขบคิดกันเอาเอง อย่างเช่นวันหนึ่งท่านหยิบเขาควายและหัวมันมานั่งชั่งกิโลแล้วนั่งมองซ้ายมองขวา หยิบแล้วหยิบอีกอยู่อย่างนั้น จนลูกศิษย์เห็นเข้าถามว่า "หลวงพ่อทำอะไร" ท่านก็ตอบว่า "กูกำลังชั่งเขา ชั่งมันอยู่โว้ย อย่ามากวนใจ" ลูกศิษย์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่ท่านกำลังสอนธรรมะพวกเราอยู่แน่ ๆ โดยการกระทำของท่านน่าจะหมายถึง การให้รู้จักปล่อยวางเดินตามทางสายกลาง ไม่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเป็นตัวถ่วงในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานและการพิจารณาลดละกิเลสนั่นเอง

    อัศจรรย์ละสังขารไปแล้วยังปรากฎกายได้

    เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดจากแม่ชีคนหนึ่ง (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) บนวัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (เขาพลอง) อ.เมือง จ.ชัยนาท ราวก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2521 สมัยนั้น หลวงพ่อชื้น เจ้าอาวาสยังไม่มรณภาพ ทางวัดได้จัดงานขึ้น โดยมีคณะศิษย์เก่าและใหม่หลายพันคนมาร่วมงานแน่นขนัดศาลาหลังใหญ่บนเขาพลอง ระหว่างมีพิธีสวดเพื่อถวายจตุปัจจุยไทยทานแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม่ชีเกิดปวดท้องไปเข้าห้องน้ำที่ศาลาเล็กด้านหลังศาลาใหญ่ พอเสร็จธุระออกมาเห็นพระภิกษุชรา นุ่งห่มจีวรสีกรักเก่าคร่ำคร่านั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนข้างศาลา 1 รูป แม่ชีถามว่า "หลวงพ่อเจ้าค่ะ นิมนต์ไปศาลาใหญ่ดีกว่าเจ้าค่ะ" แต่พระภิกษุชราไม่ไป บอกเพียงว่า "ข้ามาดูเฉย ๆ ว่างานเรียบร้อยดีไหม เดี๋ยวก็ไปแล้ว" แม่ชีก็ไม่คิดอะไร ทิ้งท่านนั่งอยู่รูปเดียว รีบเข้าไปร่วมพิธีในศาลาใหญ่จนเสร็จพิธีออกมามองหาพระภิกษุชราก็ไม่เห็นแล้ว ถามใครก็ไม่มีใครรู้ จนแม่ชีด้วยกันถามว่าหาใครอยู่หรือ จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังสร้างความสงสัยให้ทุกคนว่าพระภิกษุชรามาจากไหน กระทั่งเม่ชีหลือบไปเห็นรูปถ่ายหลวงพ่อกบประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชาถึงกับเข่าอ่อน ยืนยันว่าพระภิกษุชราที่ตามหากันอยู่คือพระในรูปนั่นเอง พอหลวงพ่อชื้นทราบเรื่องเข้าก็หัวร่อบอกว่า "หลวงพ่อเขาสาริกาท่านเป็นห่วงลูกศิษย์เลยแวะมาดู ไม่มีอะไรหรอก วันหลังเดี๋ยวท่านก็มาใหม่"
    เรื่องปาฏิหาริย์นี้ถูกเล่าขานในหมู่ลูกศิษย์สมัยนั้นมาก จนหลวงพ่อชื้นต้องเฉลยว่า "ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลวงพ่อกบท่านเป็นพระอภิญญา มีกายและจิตเป็นทิพย์ สามารถไปไหนมาไหนได้ทั้ง 3 โลก (มนุษย์ สวรรค์ นรก) แม้สังขารหรือกายเนื้อท่านจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่จิตยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ จึงปรากฎกายให้เห็นได้ เหมือนหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี"

    วัตถุมงคลของหลวงพ่อกบ

    หลวงพ่อกบเป็นพระที่แปลก ชั่วชีวิตของท่านไม่เคยสร้างวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังให้เช่าบูชาเหมือนเกจิอาจารย์รูปอื่น ๆ ยกเว้นท่านจะทำแจกลูกศิษย์ใกล้ชิดและผู้ศรัทธาไม่กี่คน ซึ่งมีจำนวนน้อยและเป็นวัสดุที่หาไม่ยากในท้องถิ่น หลายคนอาจไม่เคยมีโอกาสได้เห็นและนึกไม่ถึงตามคำกล่าวที่ว่า "มีเงินมีทองไช่ว่าจะครอบครองของดีกันได้ง่าย ๆ"
     
  2. wat48

    wat48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +448
    "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ"

    ผมคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ ขึ้นกรรมฐานขันครู สายของหลวงพ่อกบด้วย โดยไปฝึกกับ พระครูอุดมวรธรรม ที่พิษณุโลกสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน มีเกร็ดประวัติหลายเรื่องที่มิได้ถูกบันทึกไว้ ขออนุญาติครูบาอาจารย์นำเรื่องราวมาเปิดเผยครับ เช่น

    ดังที่ทราบว่าหลวงพ่อกบ ท่านเป็นคนพูดน้อย และไม่ค่อยสุงสิงกับผู้คนมากนัก มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งมีคนไปหาท่านมาก ท่านคงจะรำคาญจึงพูดลอยๆ ว่า "_ีโคกเลี่ยมเงิน _ _ย_อกเลี่ยมทอง" ซึ่งก็ได้ผล คนที่มาต่างโกรธและหายหน้ากันไปเยอะ หาว่าเป็นพระกลับพูดจาไม่สำรวม จนมีนายทหารคนหนึ่งทนไม่ได้ จึงเข้าไปถาม ท่านก็เมตตาตอบ ถ้าไม่มีสองสิ่งนี้ คนเราจะเป็นคนไหม จะมีโอกาศเห็นธรรมได้ไหม นับแต่นั้นนายทหารท่านนั้นก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อกบ นัยว่านายทหารท่านนั้นเคยเกี่ยวดองกับท่านในสมัยอดีตชาติ
     
  3. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    [​IMG]

    อืือมมมม กะลังคิดอยู่เหมือนกันว่ากลับมาจากทำบุญหลวงปู่จาม จะนำประวัติหลวงพ่อกบมาลงให้สมาชิกได้ศึกษากัน

    เพราะเคยอ่านนานมาแล้ว แต่ยังรู้สึกทึ่งกับประวัติและศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของท่าน

    (ตอนอ่านเรื่องพระป่าผู้ลึกลับ ยังรู้สึกว่าเรืองใบไม้กลายเป็นกบเป็นปลานี้คุ้นๆ จัง สงสัยอยู่ว่า จะใช่หลวงพ่อกบรึป่าว) ขอเพิ่มเติมประวัติของท่านค่ะ

    มูลเหตุแห่งความศรัทธา

    ด้วยปฏิปทาอันแปลกประหลาดของหลวงพ่อกบ รวมทั้งปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ หลวงพ่อกบ

    ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่าฉงน และไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เป็นมูลเหตุแห่งความศรัทธา ที่คนทั่วไปเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า

    หลวงพ่อกบ ท่านเป็นผู้ทรงศีลที่มีฌานสมาบัติขั้นสูง และมีพลังเร้นลับ สามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจได้

    ปฏิปทา

    ปกติหลวงพ่อกบ จะบำเพ็ญเพียรภาวนาในท่านั่งยองๆ เป็นเวลายาวนานติดต่อกัน คราวละ 7 ? 15 วัน

    โดยที่ท่านไม่ลุกไปไหนเลย ไม่ฉันอาหาร น้ำ หรือแม้แต่การถ่ายหนักเบา เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

    ซึ่งสร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเข้าใจกันว่า ปฏิปทาอันเหลือเชื่อของท่านเกิดขึ้นได้

    เพราะท่านสามารถถอดจิตออกจากกายได้ ทำให้กายไม่รับรู้ต่อสภาพความหิว และความเจ็บปวดใดๆ

    - นั่งท่ายองๆ ไม่ว่าจะสวดมนต์ หรือทำกิจวัตรใดๆ และนอนตะแคงขวาเป็นประจำ

    - นุ่งสบงเก่าๆ ผืนเดียว ไม่ห่อจีวร ที่คอแขวนลูกกระพรวน

    - อยู่แต่ในวัดไม่เคยเดินออกไปไหนเลย

    - ใช้น้ำชา และต้มเครื่องเทศเป็นยารักษาโรค ชื่อเสียงของท่านถูกกล่าวขานปากต่อปาก

    ผู้คนจำนวนมากมารับการรักษาจากท่าน เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงปฏิปทาที่เต็มไปด้วยความเมตตาอย่างสูงของท่าน

    ปรากฏการณ์แปลกประหลาด

    - มีผู้คนจากจังหวัดต่างๆ มานมัสการ และทำบุญกับหลวงพ่อกบอย่างล้นหลามมิได้ขาด

    พวกเขาเหล่านั้นรู้จักหลวงพ่อได้อย่างไร ? ทั้งๆ ที่หลวงพ่ออยู่แต่ในวัด และชาวบ้านเขาสาลิกา

    ก็ไม่เคยออกไปแจกซองกฐิน หรือซองผ้าป่าที่ไหนเลย ถนนหนทางเข้าวัดในขณะนั้นก็ยังไม่มี

    มันเป็นไปได้อย่างไร ! เมื่อสอบถามดูพวกเขาเหล่านั้นพูดทำนองเดียวกันว่า ได้พบเห็นหลวงพ่อกบ

    ไปบิณฑบาตที่บ้านตน ด้วยความศรัทธาจึงพากันติดตามถามหา จนมาพบท่าน และทุกอย่างเป็นจริงตามที่หลวงพ่อกบบอกไว้ทุกประการ

    - บ่อยครั้งมีผู้พบเห็นท่านในเวลาเดียวกันถึง 2 แห่ง เชื่อกันว่า ท่านสามารถถอดกายทิพย์ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้

    - ?น้ำชา และต้มเครื่องเทศ? สามารถทำให้โรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้านหายได้อย่างไร ?

    เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เป็นไปได้ หรือไม่ ว่า หลวงพ่อกบ ให้พลังจิตช่วยในการรักษา

    หลวงพ่อท่านมีพลังเมตตาบารมี ?

    หลวงพ่อกบ เป็นคนเฉยๆ หากมีคนมานมัสการท่าน ท่านเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาดู ไม่ค่อยโอภาปราศรัยด้วย

    แต่ก็เป็นเรื่องแปลกทุกคนที่มาหาท่านต่างยอมรับว่า รู้สึกศรัทธา และปลื้มปีติสุข เมื่อได้พบกับหลวงพ่อกบ

    ช่วงที่มรณภาพ

    หลวงพ่อกบท่านละสังขารเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2496 ในวันนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้ขึ้นมาที่วัด

    และรับเป็นประธานในงานเผาสรีระของท่าน หลวงพ่อโอภาสีทราบได้อย่างไร ?

    ชาวบ้านต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า " ไม่มีใครส่งข่าวไปบอกท่าน? เพราะหนทางไกล

    การคมนาคมสมัยนั้นลำบากมาก ในเรื่องนี้เข้าใจกันว่า หลวงพ่อโอภาสี ท่านคงทราบได้ด้วยฌานเช่นเดียวกัน

    การละสังขารของหลวงพ่อกบ ยังความโศกเศร้าเสียใจให้กับผู้คนจำนวนมาก
    ทุกสิ่ง ทุกอย่างแห่งความดี

    และความเมตตาอารีของท่านยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเหล่าพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มีวันลืม ตราบจนทุกวันนี้

    ประวัติ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา

    อันนี้อ่านจากสนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕

    ถาม : ได้ยินว่าหลวงพ่อกบยังไม่มรณภาพ ที่เผาไปเป็นศพปลอม อีกไม่กี่วันก็ไปที่โน่นที่นี่ ?

    ตอบ : " ถ้าตัวจริงท่านไม่ยอมสิ้นก็ช่างท่านเถอะ ท่านเองไม่อยากยุ่งกับใคร คราวนี้ทางการเขาสั่งยุบวัดนั้น

    ถ้าท่านยังเป็นพระอยู่เขาก็ขับไล่ท่านได้ ท่านก็เลยแต่งตัวเป็นตาผ้าขาว แล้วก็อยู่จำศีลภาวนาของท่านที่นั่นแหละ

    วันดีคืนดีก็ลากผ้าผืนหนึ่งไปนอนกลางนา ตีโปงนอนอยู่ ๗-๘ วันแล้วค่อยลุกขึ้นมากินข้าว

    พวกเด็กเลี้ยงวัวไปถึงก็เรียก “หลวงตาๆ” ท่านก็ “อือ” อยู่แค่คำเดียว เอาข้าวเอาน้ำมาวางก็กองไว้ตรงนั้นแหละ

    ไม่ครบ ๗ วันไม่ลุกหรอก นอนเพลิน บางคนเขาว่าท่านป่วยก็เลยต้องไปนอนตากแดด เขาก็ว่าไปเรื่อย ไม่รู้ว่าท่านเข้านิโรธสมาบัติ"

    http://palungjit.org/threads/หลวงพ่อกบ-วัดเขาสาลิกา.368145/

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 88641-1.jpg
      88641-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.9 KB
      เปิดดู:
      4,608
    • ลพกบ.jpg
      ลพกบ.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26 KB
      เปิดดู:
      6,234
    • lpkob.jpg
      lpkob.jpg
      ขนาดไฟล์:
      182.8 KB
      เปิดดู:
      11,322
  4. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    น่าจะนำหลักธรรมคำสอนมาลงวันด้วยนะครับ จะดีมาก ถ้ามี
     
  5. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    หลักธรรมคำสอนของท่าน ก้อดูได้จากที่ท่านเป็นอยู่ รวมทั้งข้อวัตรปฏิบัติหลายๆ อย่างของท่าน

    และส่วนใหญ่ ท่านจะกล่าวสอนเป็นปริศนาธรรม ดังเช่นจากตย.ของลูกศิษย์ของท่าน ท่านนึงที่

    เล่าถึงประสบการณ์ทางจิตกับหลวงปู่กบ วัดเขาสาริกา ไว้ว่า

    พระอาจารย์ทางจิตของข้าพเจ้าสอนข้าพเจ้าว่า " ถ้ามึงอยากรู้ที่กูรู้ ให้มึงอย่าละทานบารมีและมึงจงเผาเงินบูชากูปีละ 30,000 กูจะช่วยมึง "

    เป็นครั้งแรกในชีวิตตอนอายุ 19 ปี ที่ข้าพเจ้าพบท่านตรงๆๆ และท่านยังให้ข้าพเจ้า

    ไปกราบท่านที่วัดทั้งๆๆๆที่ไม่รู้จักกันเลยแต่ข้าพเจ้าก็แอบเผาถวายท่านทุกๆปี

    จำได้ว่าพบท่านครั้งแรกแบบไม่รู้จักแต่ท่านก็ทวงเงิน 30,000 ให้เผาถวาย แล้วตั้งเตาเผากลางแจ้งนึกถึงท่าน

    เราก็เผาถวาย แรกๆๆก็เสียดายเพราะเงิน 30,000 ไม่น้อยเลยในวัยรุ่นของข้าพเจ้า พอเผานานๆๆไป

    อ้อ แบงค์ร้อย ยี่สิบ พันนี้ จะค่าไหนๆๆ ต้องไฟก็หมดไหม้เช่นกัน เข้าเตาแล้วเหมือนกัน เราให้ค่าอะไร

    มีแล้วเก็บก็คือกระดาษ มีแล้วแผ่บุญคือทานบารมี เราใช้กระดาษเป็นทานบารมี เสียงแบงค์ 1,000 นี้เผาเพราะที่สุด

    สีสวยด้วย พอเผาครบใจมันโล่งๆๆๆจัง และข้าพเจ้าก็ได้ไปกราบท่านแต่นั้นด้วยความไม่รู้จักกันมาก่อน

    งมทางไป ทุกๆๆๆปีก็ยังเผาอยู่ เผาทุกวัน แอบเผาเอาและขอต่อรองท่านด้วยว่าขอปีละ 10,000 นะครับ ที่เหลือจะแบ่งไปสร้างกุศล ท่านก็ยิ้มๆๆ

    ผงสร้างพระของข้าพเจ้าก็มาจากกองไฟนี้ด้วย ข้าพเจ้าเคยถามท่านว่า พระอยู่ที่ไหน

    ท่านตอบ ใจมึงวางมึงก็เป็นพระ ฆราวาสฝึกใจได้ก็พระ มึงดูแลใจมึงได้มึงก็เป็นพระทุกๆๆวัน

    คำสอนของพระอาจารย์ แค่มองท่านยิ้ม มองหน้าท่านท่านจะสอนในใจเสมอๆๆๆๆ "

    ให้มีหน้าที่ทำดี ทำบารมีไป ใครจะเห็นไม่เห็นช่างหัวมัน บุญใครบุญมัน ใครทำใครได้ เราทำเราได้

    ทำให้คนโมทนาเขาและเราก็ได้ ให้หลีกหนีคำสรรเสริญ อย่ากลัวคำนินทา แผ่เมตตามากๆๆๆๆๆๆ "

    ใครๆๆเรียกท่านหลวงพ่อกบ แต่ท่านบอกพระนามทางวิญญาณให้ในสายเท่านั้น

    ท่านสอนอย่าอยู่เป็นที่ให้ทำแล้วทิ้ง ทำให้กว้าง วันไหนเต็มบุญมันบอกเอง ไม่ต้องเรียกคนมา แต่แผ่บุญกว้างๆๆไป

    ใครมีบุญมันจะโมทนาเอง ทรัพย์สินเงินทองให้ยกเป็นทาน ยิ่งทำยิ่งได้ยิ่งให้ยิ่งมี ท่านอยูใกล้ๆ เสมอ

    ตราบพระพุทธศาสนาจะ 5,000 ปี ของดีไม่ต้องประกาศ คนจะรับรู้เอง ผีสางเทวดาเขาอยากได้บุญเขาจะไปดึงมาเอง

    มีหน้าที่ทำบารมีทำไปอย่าขาด ตายเมื่อไหร่ค่อยเลิก

    และกระพรวนปลุกเสกอายุกว่า 100 ปี ที่ชาวบ้านเขาสาริกา นิยมนำมาบูชาขอให้หลวงพ่อปลุกเสก

    เป็นของขลังที่พึ่งที่ระลึกยุคแรกๆ ที่ท่านไม่นิยมสร้างมงคลวัตถุ จะแจกแต่ชา เครื่องเทศ ตะเกียงบูชาไฟ และกระพรวนเท่านั้น

    เพื่อเป็นที่ระลึกถึงท่านและคำสอนที่ซ่อนไว้ คือ ใจบริสุทธิ์ ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม คือ

    มีลาภ...เสื่อมลาภ มียศ...เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ เป็นธรรมดา ใจอิสระคือใจเข้าใจ

    เสียงกระพรวนสั่นไกวคือเตือนใจให้มีสติ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่าประมาท ให้รู้เท่าทัน

    ที่มาhttp://www.10000fah.com/content-หลว...ะอาจารย์ทางจิตของข้าพเจ้า-4-2963-95816-1.html
     
  6. ระยิบ

    ระยิบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +181
    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้และทุกท่านที่นำเอาประวัติและเรื่องราว
    ของหลวงพ่อกบมาเล่าให้อ่านกัน เป็นความรู้และข้อคิดมากเหลือหลาย
    ก่อนหน้านี้ฉันเองไม่เคยได้ยินหรือรู้จักหลวงพ่อกบมาก่อนเลย
    ฉันได้อ่านทุกตัวอักษรบนกระทู้นี้อย่างใจจดจ่อเพราะประวัติ
    หลวงพ่อกบน่าสนใจมากๆค่ะ อ่านไปก็คิดตามไป
    ทำให้น้ำตาไหลเพราะทราบซึ้งถึง.....
    คุณของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ที่ปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมจนอยู่เหนือ 3 โลกได้

    ดิฉันขอกราบนมัสการคุณของหลวงพ่อกบ และขออนุโมทนาสาธุ
    กับทุกท่านที่ได้นำเรื่องราวของหลวงพ่อกบมาเผยแพร่และ
    ประกาศสรรเสริญคุณธรรมและธรรมชั้นสูงยิ่งของหลวงพ่อกบให้
    ไว้เป็นข้อคิดและปฏิบัติกันค่ะ
     
  7. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  8. มเหศวร

    มเหศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    2,776
    ค่าพลัง:
    +792
    ทองหนึ่ง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    เป็นหงษ์ทอง ทั้งคู่ ตัวนึงอยู่ ตัวนึงไป ก้เป็น ทอง
    พุท-โธ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ งัยจร้า


    มียากกว่านี้มัยหลวงพ่อ หลวงพ่อแบ่งภาคมาจาก หลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน แบ่งได้หลายกาย จำพรรษาได้ทั้วจักรวาล ทุกวันนี้หลวงพ่อก็ยังอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  9. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    หลวงพ่อกบ ท่านเป็นพระอรหันต์ ที่ท่านนั่ง 7-15 วัน นี่ท่านเข้าสมาบัติ! ซึ่งมีได้เฉพาะพระอรหันต์ ปฎิสัพทญาน (ถ้าพิมพ์ผิดขออภัยครับ) อันนี่อ่านมาจากเวปวัดท่าขนุนอีกที

    แล้วที่แน่ชัด นั่งสมาธิ7-15 วันไม่กินอะไรเลย ต้องเป็นพระอรหันต์เข้าสมาบัติครับ สาธุอนุโมทนาครับ
     
  10. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ช่วยๆกันนำประวัติสมเด็จพระบรมครูมาลงกันมากๆหน่อยเถอะ เผาแหลก แจกดะ(สองคำนี้เติมเอง)เพราะจากประวัติลูกศิษย์นำผลไม้ไปให้เยอะมาก ท่านฉัน 2-3 ลูก จากนั้นแจกหมด ชอบประวัติหลวงพ่อกบมาก ท่านไม่ยึดติดดี เมื่อคิดสละแล้วก็ไม่ต้องเสียดาย ลูกศิษย์ท่านที่ยังสอนกรรมฐานอยู่ในปัจจุบันมีที่ไหนบ้าง ช่วยตอบหน่อยจ๊ะ จะขอบคุณมาก
     
  11. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    เข้ามาติดตามเคยได้พระหลวงพ่อกบมา ยังไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร เห็นรูปครั้งแรกนึกว่าหลวงพ่อคูณ (ท่านั่งยองๆ) อ่านดูเห็นเขียนว่าหลวงพ่อกบ อีกด้านหลวงปู่สรวง นานจนไม่คิดจะค้นหา เก็บไว้บูชา มวลสารหอมมาก จนกระทั่งต้องเข้ามาตามหาว่าท่านเป็นใคร บางคนบอกว่าท่านเป็นหนึ่งในคณะโลกอุดร เราก็เชื่อตามนั้น
     
  12. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    มาอีกแล้วพี่น้อง ตอนนี้หากอยากทำตามท่านที่เผาเงินคงทำได้ยาก เดี๋ยวเขานึกว่าเผาขยะจะมีคนมาจับ(อันนี้ฮาเล่น) ความจริงเคยรู้สึกเสียดายเงินไหม เวลาจะทำอะไร จนมาทราบประวัติปฏิปทาของท่าน บอกได้เลยว่า ลด หมายถึงอะไร ละ แล้วจะเป็นไงต่อ มันจะพัฒนาไปจนถึงคำว่า เลิก
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ขอบคุณครับ ที่นำประวัติท่านมา ลงให้รู้ให้กราบ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมธามิ หลวงพ่อ ฤาษี วัดท่าซุง เคยไปกราบ หลวงพ่อกบ ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ผมเองก็มีเหรียญ ท่าน รุ่นหนึ่ง เขียน ทองหนึ่ง ๓ ทอง และเหรียญ หลวงปู่สวง หลวงพ่อกบ ไม่รู้ ท่านมาก็เลยเก็บ รู้ว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ จริงๆ ไม่ได้ สรรหา แต่อยู่ๆ ท่านมาหาเอง ก๋เลยเก็บไว้ จะแท้หรือไม่แท้ ไม่ได้สนใจตรงนั้น สนใจท่านเป็นพระแท้นี่แหละ ครับ
     
  14. อำนวยกรณ์

    อำนวยกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    515
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ยันต์นี้ของพ่อค่ะ ได้มาตอนอยู่ค่ายนเรศวร หัวหิน จ.ประจวบฯ

    เป็นยันต์ที่ระลึกในงานมุงหลังคาโบสถ์วัดอิติสุขโต หัวหิน จ.ประจวบฯ

    เห็นมีรูปหลวงพ่อกบ
    หลวงพ่อโอภาสี
    หลวงพ่อชื่น วัดเพลง
    พระอาจารย์นคร
    พระอาจารย์สารภี
    รวมอยู่ด้วยในยันต์ เลยนำมาแบ่งปัน

    แล้วก็ยังมีคาถา " อิติสุขโต อะระหังพุทโธ นโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภูมะเทวา ขะมามิหัง "
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 20150720_182930.jpg
      20150720_182930.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      664
    • 201507.jpg
      201507.jpg
      ขนาดไฟล์:
      212.9 KB
      เปิดดู:
      438
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...