หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สอนเรื่องการกินเจ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 11 ตุลาคม 2014.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]

    เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน

    “คนเรามันไม่ได้วิเศษเพราะการกินผักกินเนื้อนะ แต่มันวิเศษด้วยการกินเพราะการพินิจพิจารณาโดยแยบคาย อันผักหญ้าเนื้อนั้นมันไม่ได้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนคนเรา จิตเราดอก

    พระธรรมคำสอนแง่หนักเบาต่างหาก ที่เรานำมาพินิจพิจารณา แล้วนำมาสอนตนจะทำให้เราดีขึ้นได้ เรื่องกิน อยู่หลับนอน อะไรๆ พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงบัญญัติไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกับกินเจ ไม่กินเจ กินเนื้อ ไม่กินผัก กินแต่ผักไม่กินเนื้อ อันไหนกินได้ ฉันได้ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว

    ถ้าท่านคิดว่าการกินแต่ผักทำให้ท่านเลิศเลอ เป็นผู้วิเศษขึ้นมาได้ อันนี้ผมก็สุดปัญญาที่จะสอนท่าน ถ้าการกินแต่ผักอย่างท่านว่า เป็นผู้บริสุทธิ์สิ้นกิเลส จบพรหมจรรย์ได้ มนุษย์ไม่ได้สิ้นกิเลสหรอก วัวควายเป็นต้นนั่นแหละมันจะสิ้นก่อน เพราะมันไม่ได้กินเนื้อ มันกินแต่ผักแต่หญ้าเต็มปากเต็มพุง มันกินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมลูกมันถึงเต็มท้องไร่ทุ่งนา

    ถ้าการกินแบบท่านว่าเป็นของเลิศ วัวควายมันเลิศก่อนแล้ว เพราะมันเกิดมามันก็กินแล้ว โดยไม่ต้องมีใครคอยสอน ถึงท่านกินยังไง มันก็ไม่เท่าวัวเท่าควายกินหรอก เพราะวัวควายมันปฏิเสธเนื้อโดยประการทั้งปวง กินแต่ผักแต่หญ้า

    ถ้าจะกินเจ ฉันเจ กินผักไม่กินเนื้อ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่การไปหาตำหนิคนโน้นคนนี้ ว่ากินเนื้อเป็นเปรตเป็นผี มันไม่สมควร แล้วก็มาหลงตน ยกยอตนว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าคนอื่นเขา ท่านดูใจของท่านเองก็ได้นี่ ว่ามันประเสริฐตรงไหนหรือยัง ถ้ายังไม่ประเสริฐให้รีบแก้ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เผาหัวอยู่นั่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องแก้เสียโดยเร็วพลัน ไม่ใช่วันๆ เที่ยวแต่ชวนหาคนมากินผัก ไอ้ผักนั้นผมก็กิน

    คนเรามันประเสริฐเลิศได้ด้วยความประพฤติ มิใช่เพราะการกิน ส่วนเรื่องการกินเป็นเรื่องรองๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องเอก ท่านจะกินก็กินเถอะเจ ผักของท่านนั้น ผมไม่เอาด้วยหรอก”

    หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เทศน์สอนแก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร (วัดทิพยรัฐนิมิตร จ.อุดรธานี) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน

    https://www.facebook.com/groups/226951157350091/
     
  2. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    สาธุๆๆ กราบๆๆ ... กินเพื่อความเชื่อความสบายใจของตนก็กินเถิด แต่อย่ากินเพื่อยกตน
    ข่มผู้อื่น ลพ.สนอง วัดสังฆทานเทศนาว่ากินธาตุสี่ ไม่ได้กินเนื้อกินผัก เขาให้อะไรก็กิน
    อันนั้น
     
  3. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    น้อมกราบสาธุธรรมในคำสอนของหลวงปู่มั่นค่ะ
     
  4. masshi

    masshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +553
    สาธุ สาธุ สาธุ กราบหลวงปู่ คำสอนองค์ท่าน ถึงอกถึงใจ ถึงพริกถึงขิง เด็ดขาด แบบองค์หลวงตามหาบัวท่านว่าไว้จริง ๆ
    กราบองค์ท่านทั้งสองด้วยเศียรเกล้า
     
  5. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ..เหตุที่สายป่าธรรมยุติ เรียกอาจารย์ว่า"พ่อแม่ครูจารย์"
    เพราะท่านเป็นทั้งพ่อ,แม่,ครู,และอาจารย์ คือดูแลศิษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูแลทั้งกาย
    และจิตวิญญาณของศิษย์ แม้หากศิษย์เยอะ ดูแลไม่ทั่วถึงก็ใว้วาน อมนุษย์(ผู้ไม่ใช่มนุษย์)ช่วยดู จิงนะเออ
     
  6. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    กราบหลวงปู่..สาธุภันเต
     
  7. bundhit09

    bundhit09 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +19
    สาธุ ท่านสอนให้เราดูที่จิตของเราเองเป็นหลักอย่างนำไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น
    เราทำอย่างไร ดี & ชั่ว ก็อย่าได้คาดหวังว่าผู้อื่นจะทำตาม
     
  8. เบเบ้

    เบเบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +14,165
    หลวงปู่มั่นท่านสอนได้ลึกซึ้งครับ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
    การพิจารณาต่างๆ
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    ใครทำ ใครก็ได้
    อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมครับ
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    " เป็นเรื่องเข้าใจเฉพาะบุคคล "

    "ท่านสอนแก่ผู้ติดขัดในภาวะนั้น จึงให้ความกระจ่างในภาวะนั้น ยังผลให้ผุ้นั้นพ้นได้ แต่ไม่สามารถนำไปพิจารณาใช้กับ ผู้อื่นได้ทั้งหมดฯ เพราะสภาวะธรรม และฐานะธรรมแตกต่างกัน"


    ( หากไม่คิดพิจารณาให้กว้างขวาง และศึกษามามากจริงๆ ทั้ง ชาดก พระสูตรต่างๆ จะไม่มีทางรู้ตามเราได้ ให้เวลาตนเองหน่อย อย่าพึ่งรีบร้อน ค่อยๆพิจารณา )


    " ข้อคิดบางที ผู้ใหญ่ท่านอยากให้หายคลายสิ้นสงสัย ท่านก็วางหมากไว้ให้ลูกหลานที่เดินตามมา มาเดินเล่นต่อให้จบกระดาน "

    อุปมาเสมือนผู้มีปัญญารู้ทางเดินแล้ว ทำทางดีแล้ว เกรงผู้อื่นจะเดินตามทางไม่ทัน ก็หว่านโปรยเมล็ดกล้าพืชพันธุ์เอาไว้ เพียงพอให้รู้ แต่ถ้าตามมาช้ามาก ต้นไม้มันโตขวางทาง หญ้ารก ก็ถากถางฟันไปให้เป็นทาง จะได้เดินสะดวก

    เราพึงอธิบายแก้ไขตามหลักธรรมไว้ดังนี้ พอสมควรแก่เหตุ (ยังมีอีกมากในพระสูตรอื่นๆ)


    " ขณะกำลังจะลงมือฆ่า และลงมือฆ่าสัตว์แต่ละครั้ง รู้สึกอย่างไร? สัตว์ที่กำลังจะตายรู้สึกอย่างไร? และผลจากการกินเป็นอย่างไร? สัตว์อธิษฐาน สาปแช่ง หรือคิดอะไรก่อนตาย

    "โปรดพิจารณา หากสงสัยก็ไปศึกษาเพิ่มเติม จนกว่าจะเกิดปัญญารอบรู้จริงๆ"

    การตอบปัญหาของเรา " เรื่อง การกินเจ มังสวิรัติ หรือไม่กิน อย่างไหนจะดีกว่า ที่ชัดเจน กว้างขวาง และหายคลายสงสัยที่สุดในกาลนี้ ( ไม่ขออวดว่ารู้ดีที่สุด เพราะยิ่งกว่านี้ก็มีแต่ยังไม่เอามาเปิดเผย หรือผู้มีปัญญาทำให้ปรากฎ )"

    "ตามสภาวะธรรม ของเรา" ผู้ไม่รู้จริง ไม่พึงแก้

    ๐ ความแตกต่างให้นำไปคิดพิจารณา เมื่อสัมผัส เมื่อล่วงรู้ เมื่อปัญญาธิคุณมาก ย่อมสอดส่องไปถึงเหล่าเวไนยสัตว์อย่างกว้างขวาง ล่วงรู้การเกิดและดับของสรรพสัตว์ การ เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสรรพสัตว์ทั้งมวล เมื่อมีผู้นำสัตว์มาฆ่าและปรุงถวาย พระผู้นั้นย่อมรู้ทุกๆลำดับขั้นตอนและอาการ จะฉันได้ไหม? สัตว์นั้น ถ้าท่านจะประสงค์ฉัน ภาวะจิตท่านย่อมโปรดแก่สัตว์นั้นโดยฐานะ เมื่อสัตว์นั้นล่วงรู้ว่าเนื้อตน เป็นประโยชน์แก่การเลี้ยงชีพของพระผู้นี้ สัตว์นั้นจะได้บุญหรือได้บาป สัตว์นั้นจะดีใจหรือเสียใจ นี่ฐานะคือพระผู้ทรงอภิญญาสมบูรณ์

    แต่หากเป็นพระผู้ไม่รู้ ไม่ทรงอภิญญา ก็จะสามารถฉันได้ตามปกติ เพราะตนก็ไม่รู้ ว่าใครทำ ใครตี ใครฆ่า เพื่อตน หรือเพื่อใครก็ไม่อาจทราบได้ ๐

    นี่คือ ความชัดเจน ชัดแจ้ง ที่เราอธิบาย

    เปรียบเทียบ แก้ไข ตักเตือน ชี้แจง ตามหลัก "อภิชาติบุตร" บุตรที่เกิดในธรรม


    "สัตว์ติรัจฉาน สำเร็จมรรคผลไม่ได้" อย่าไปเอา สัตว์ในน้ำ ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพราหมณ์ อาบน้ำในแม่น้ำคงคา มารวมกันจะไขว้เขว มันคนละกรณี นั่นสอน ว่าพิธีกรรมนั้นแบบนั้นมันไม่ถูก ไม่งั้นกุ้งหอยปูปลาคงเอวังฯ หมด(คิดตาม)

    พึงแก้ เรื่อง ฐานะอันมิใช่ฐานะ ของสัตว์อย่างละเอียดอ่อน สัตว์ติรัจฉานย่อมไม่มีทางบรรลุมรรคผลได้

    สัตว์สูงก็ตามต่ำก็ตาม ย่อมเกิดโดยกรรม มาเพื่อเสวยผลกรรมของตนเองที่ทำไว้ และเพื่อบำเพ็ญภาวะของตนเอง สามารถบำเพ็ญตนให้มีโพธิจิตเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ได้ แต่ไม่สามารถบรรคุณธรรมอันสูงได้ หากไปพิจารณาตามกัน ว่าช้างม้าวัวควาย มันกินแต่ผักแต่หญ้า มันคงสำเร็จธรรมก่อน นั่นไม่ถูก เพราะไม่ ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมดให้ถ่องแท้ มีผลเสียแก่ผู้รับฟังและปฎิบัติตามในภายหลัง ทำให้หลุดออกจากกระแสธรรม

    ให้ความรู้เรื่อง การกินเนื้อสัตว์

    ชาติหนึ่ง พระเตมีย์ สละตนออกจากราชสมบัติ กินแต่ใบไม้ มันยิ่งกว่ากินเจ เรื่องนี้ ตราบใดก็ตาม ที่ยังไม่เข้าใจคำว่า * มหาวัฎรปฏิบัติ * ก็ย่อมยากที่จะเข้าใจ ถึงการบำเพ็ญบารมี ที่เราไม่ได้เฝ้าด้วยสายตา หรือกล้องวงจรปิด ก่อนที่พระมหาบุรุษจะสำเร็จธรรม ท่านทำกิจใดบ้าง และทำยังไง ทำขนาดไหน มันยิ่งกว่านักวิจัย

    เห็นพูดเรื่องไม่ทานเนื้อสัตว์ เรื่องการถือศีล จากการทานเนื้อ ผู้เยาว์ จึงอยากอธิบายพอสังเขป อย่างเป็นกลางๆ โดยไม่ประสงค์ให้ขัดทรรศนะคติของผู้ใด มันเป็นเรื่องของผลของการอธิษฐานจิต ด้วยสัจจะอันตั้งมั่นว่าจะไม่เบียดเบียน สังหารฆ่าชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงด้วยตนเอง หรือวานให้คนอื่นกระทำเพื่อตน หรือส่งเสริมให้มีการฆ่าเพื่อมาตน พึงได้มาซึ่งอาหารเลี้ยงชีพ อย่างตามมีตามได้ แต่ไม่ใช่ว่าได้รับอะไรมา ก็กินหมดทุกๆอย่างๆ เหมือนกับการที่ไม่ต้องกังวลว่า อาหารใดๆที่ได้ใส่บาตรไปแล้ว ซึ่งประเคนแล้ว เพื่อกุศล ผลบุญก็พึงได้ตั้งแต่คิดจะให้แล้ว(ก่อน ,ขณะ หลัง) จะประสาอะไรกับตอนท่านฉันแล้ว หรือไม่ฉันบิณฑบาตรนั้น

    ตอนที่ท่านฉันหรือจะฉันหรือหลังฉันท่านก็มีการพิจารณา ซึ่งธาตุอยู่ อะไรๆก็สักแต่ว่าเป็นธาตุ และถ้าต้องอิ่มอย่างฝืนทนต้องฉันไป หรืออิ่มอย่างไม่ตั้งใจจะฉัน ท่านผู้เจริญแล้ว ท่านก็จะพิจารณาอันบิณฑบาตรนั่นเอง ว่าจะฉันหรือไม่ฉันดี หรือ ฉันไปเพื่ออะไรหรือไม่เพื่ออะไร มันเป็น มรรคผลของท่านเอง เมื่ออาหารนั้นได้ประกอบมาซึ่ง อาชีวะบริสุทธิ์ อันผู้มีปกติขอดังนี้แล้วซึ่งด้วยฐานะ ก็ไม่ใช่หน้าที่เราไปพิจารณาแทนท่าน

    ผลของการฉันหรือทาน หรือการถือศีลอดมีอยู่ ไม่ว่าบรรพชิต นักบวชใดๆ ตลอดจนฆราวาส มีอยู่ แต่ผลของมัน อาจแตกต่างกันไป ตามแนวทางของบารมีธรรม บุคคลผู้หนึ่ง ในชาติหนึ่งๆ อาจสามารถ บำเพ็ญบารมีตนได้หลายอย่าง ในคราเดียวกัน หรือ อย่างสองอย่าง หรือไม่ก็อย่างเดียว ในปัจจุบันกาลสมัยนี้ ยิ่งมีสิ่งล่อใจมาก หากหลุดออกจากวงอโคจรนั้นได้ สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว ย่อมมีผลดีมาก ไม่ว่าจะทำกิจใด ไม่ใช่แค่ เรื่องอาหารการกินเพียงเท่านั้น การกิน การอยู่ การหลับ การนอน การเดิน ทุกๆอย่างที่ เคลื่อนไหวก็ดี อยู่กับที่นิ่งๆก็ดี ไม่ว่าในอริยาบทใดๆ จะเป็นกรรมที่ให้ดำ ให้ขาว หรือไม่ให้ดำ ไม่ให้ขาวก็ดี ล้วนมีผลอยู่ ด้วยกันทั้งนั้น อากัปกิริยาใดๆ อันจะไม่ให้บังเกิดอะไร มาทดแทน หรือ ว่างเลย เพราะก่อนจะมีอะไรสักอย่าง หรือไม่มีอะไรสักอย่าง มันต้องมีอะไรอยู่ จึงเรียกความว่าง หรือไม่ว่าง ( ที่เหลือจากนี้ ก็ไปหาความเข้าใจกันเอง ถึงสัจธรรมที่มีอยู่ )

    ผลของการไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็ง่ายสำหรับวิญญานต่างๆ สัตว์บางชนิด บ้างก็อธิษฐานยอมที่จะเกิด เป็นสัตว์ที่ต้องมีอายุสั้น ตายเร็วๆ เพื่อการพ้นชาติได้อย่างรวดเร็วในผลกรรม จะได้ไปเกิด คือสิ้นผลกรรม นั้นแล้ว เพื่อไปเกิดในภพภูมิอื่น เราท่านเองไม่ว่าใครๆ ล้วนย่อมต้องเวียนว่ายในสังสารวัฎร ต้องพานพบประสบพบเจอกันมากมาย บ้างก็คิดดี บางก็คิดไม่ดี ก่อกรรมเวียนกรรม ต่อกันและกันซึ่งแล้วซึ่งเล่า หลายภพหลายชาติ ไม่รู้จบจนกว่าจะได้อมตะธรรม เหมือนความตั้งใจก่อน ขณะปฏิบัติและหลังปฏิบัติ ซึ่งด้วยเจตนา ๓ ต้องเป็นไปในทางเดียวกันจึงจะเกิดผล นั้นคือ ความรู้สึกตัว ความมีสติ จะทำการใดๆ ก็ตามหากนำ เจตนา๓ มาจับ ในกิจทุกอย่างที่จะพึงทำ ไม่ว่าอะไร ที่จะทำ มันผูกพัน ต่อเนื่องกันไปหมด

    ซึ่งในธรรมทั้งหลายฯ เป็นขั้นเป็นตอน เหมือนเดินขึ้นลงบันใด หรือเปิดประตูที่ซ้อนกันหลายบาน ด้วยการไขลูกบิด แม่กุญแจ ฯลฯ แล้วแต่บุญใคร สั่งสมมาดี มันก็ไปเร็ว มาช้าก็ไปช้า จะไปลัดหน้าลัดหลังกันไม่ได้ คือใครทำบุญมาอย่างไร แต่กาลก่อน ประสงค์อย่างใดจะต้องได้อย่างนั้น แสวงหาอะไร ย่อมได้อย่างนั้น ในสักวัน ไม่ชาติภพใดก็ตาม แม้ไม่อยากจะได้ ไม่มีปัญญาจะได้ก็ต้องได้

    การไม่ทานหรือทานซึ่งเนื้อสัตว์ ก็ควรเป็นไปตามกำลังศรัทธา ตามบารมีธรรม ตามอุปนิสัยรสนิยม ของตน พระเทวทัตเองท่านก็ไม่ใช่ต้นบัญญัติแรกในโลกธาตุนี้ หรือโลกธาตุไหนๆ ที่ห้ามโดยปราถนา ห้ามไม่ให้ทานเนื้อสัตว์ การที่ท่านทำไป เจตนาท่านก็เพื่อหวังจะข่มบารมีธรรมของพระพุทธองค์(อนันตริยกรรม)

    เพื่อแสดงตนหวังจะเอาชนะ ด้วยการที่ว่าเคร่งครัดกว่า หลายต่อหลายวิธีการ เพื่อ ลาภ สักการะ สรรเสริญ เพื่อความเป็นใหญ่ ฯลฯ(หาข้อมูลหรือภูมิรู้เอาเอง) ด้วยเป็นบุพกรรมที่ตามกันมาหลายภพหลายชาติ ไม่ใช่ว่า พระเทวทัต จะเกิดมาเพื่อ เสนอข้อบัญญัติ ๕ ประการ เพียงเท่านั้น สรุป ก็ถูกปกิเสธไป ไม่ทรงอนุญาติ อ้างข้ออ้าง จนทำให้เกิด สังฆเภท ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่า เรายังไม่มีญานที่หยั่งรู้ได้ถึง ใน ภัทรกัปป์ ก่อน ๆ

    สรุป เดี๋ยวค่อยว่าต่อ ใครอยากกินอะไร แบบไหน เลือกได้ก็เลือก เลือกไม่ได้ ก็ไม่ต้องเลือก หรือเลือกจะอด ครึ่งๆ กลางๆ ข้างๆ คูๆ อย่างไรก็แล้วแต่ อาหารที่ปราณีตกว่านี้ ก็ยังมีอยู่ หรืออาหารทิพย์ ทั้งหลาย ฯ พวกเทพ พรหม เทวา ไงล่ะ ! ไม่เคยกิน ไม่เคยเห็น หรือยังระลึกชาติ เห็นตามไม่ได้ ก็ไม่ใช่ ปัญหาอะไร ที่จะมาถกเถียงกัน เพียงแต่ว่า เราอยากรู้จากผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กัน จนได้มาพบมาเจอ มาพูดคุย มาเจอะเจอกัน

    ซึ่งสามารถเจอได้ทั้งในทุกๆที่ ทุกๆเวลา ทุกๆสถานที่ ทั้งในพยัญชนะ อรรถ ฯลฯ ในสภาวะทั้งหลาย ซึ่งคงอยู่ในอย่างว่าแต่ ในองค์กัลยาณมิตรเลย แม้แต่เจ้ากรรม นายเวรที่มีความอาฆาตแค้นต่อกันและกัน มันยังมารวมสุมหัวกัน คอยแทะคอยแกะเกา รบกวนซึ่งบาทากันและกันแม้แต่ในสารพัดเว็บสารพัดบอร์ด กระทู้ คอมเม้น สื่อสารสนเทศ ฯลฯ

    สำหรับผู้มีภูมิรู้ เรื่องธาตุ (เหล็กไหล) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นของทิพย์วิเศษ เคยเห็นเหล็กไหลกิน อาหารคาวไหม? หรือ เรื่องกลิ่นตัวมนุษย์ที่เหม็นสาปดั่งหมาเน่าก็มิปาน นั่นแหละที่ทำให้ห่างไกลชาวทิพย์ คนบางคนหลายคนทั้งชาติ วาสนาที่จะได้พานพบ แทบไม่มีเลย ที่จะสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ ได้เจอเจอ พวกสัมภเวสี ผีน้อยต่างๆนานา คือเจอแต่ของธรรมดา ไม่เจอของวิเศษ คนที่สัมผัสกลิ่นอยู่เป็นนิจ มีชิวหาคานะวิญญานฯ บริบูรณ์ เขาจะได้กลิ่นสาป แม้ตนเอง

    อย่าว่าแต่ ผู้อื่น หรือบุคคลอื่นเลย ด้วย ทิพยโสตต่างๆ ที่ได้มาจาก สามัญผลของการปฏิบัติ ที่สั่งสมมาหลายภพหลายชาติ คนบางคนเดินยังไม่ทันเข้าถึงตลาดสด เจอกลิ่นเนื้อ กลิ่นเลือด ของสัตว์เข้า ก็เหมือนเจอกำแพงกั้น ให้เดินต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะกายเขา รับไม่ได้ บางท่านกินเนื้อสัตว์แล้วป่วยก็มี เพราะกรรม และบารมีสร้างมาแตกต่างกัน ผิวพรรณ กลิ่นตัว ฯลฯ ที่ยืนยัน สำหรับผู้ได้ครอบครอง ธาตุกายสิทธิ์ อันแท้จริง จะไม่สามารถ อดทนหรือกินเนื้อสัตว์ได้ หากฝืนกิน จะเป็นฝีหัวฝีต่างๆหัวฝีระลอกเป็นต้น ฯ

    ฉนั้นผู้ที่ คิดว่าได้ฝังธาตุ มีธาตุกายสิทธิ์ในครอบครอง แล้วยังฝืนกินของคาวอยู่ ก็ต้องเผชิญเหตุนี้ โดยไม่มีทางหนีพ้น ยกเว้น จะมีกลิ่นของการบำเพ็ญศีลอันบริสุทธิ์ ครอบคลุมอยู่ คนบางคนเกิดมาไม่รู้ว่าตนเอง ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ ก็เลยตามเลยปล่อยจนหน้าตา ผิวพรรณเละเทะ ดำเมี่ยง ฝ้าขึ้นเต็มหน้า ถ้าอยากเลิก อยากหยุด ไม่ใช่ว่าเราจักกินให้สวยให้งาม แต่กินให้โรคาพยาธิรังควาญน้อย นี่สำหรับผู้ยังสติ ส่วนผู้ไม่มีสติ กินทะลุโลกต่อไป

    ถ้าเจตนาก่อนกิน ได้นึกถึงเลือดถึงเนื้อเขาบ้าง ว่าเราได้อุทิศ ผลบุญฯต่างๆให้ด้วยใจบริสุทธิ์ โดยหวังให้พ้นทุกข์ ก็อนุโมทนาบุญฯให้เขาไป อธิษฐานก็ได้ว่า ขอให้เลือดและเนื้อเหล่านั้น ของเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จงส่งผลเฉพาะแก่การเจริญในธรรม ไม่ใช่กินเพื่อมีเรี่ยวแรงเพื่อไปทำบาป สร้างกรรมต่อ นี่ผลบุญฯก็มากแล้ว ว่าด้วยพิจารณา เขาคงไม่ยินดีนักหรอกที่ตอนขณะ ถูกเชือด ถูกทุบด้วยของแข็ง ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด ด้วยน้ำมือ ผู้ค้าชีวิตผู้อื่น (ค้าไม่เป็นธรรม)

    ยิ่งรวมกันมาก เหมือน กับภาพสัตว์นรก ถูกต้อนให้เดินเรียงคิว ไปทรมานตามกรรมตามเวรที่ได้สร้างไว้ เสียงร้องโหยหวน ความเจ็บปวดทุกข์ทนทรมาน ตายทีละตัวหรือหลายตัว เรียงร้องขอชีวิต สาปแช่ง ความแค้น การสาปแช่ง หลั่งสารโน้นนี้ที่เป็นพิษออกมา ของสรรพสัตว์ ที่ถูกกระทำ ทั้ง สับ ต้ม ย่าง ปิ๊ง อร่อยนักแลฯ ไม่ต้องทำหรอก แค่คิด หรือมีจิตยินดี สนุกสนานตามที่ผู้อื่นลงมือกระทำการเบียดเบียด ก็เป็นผลเสีย ซึ่งให้แก่ผลกรรมแล้ว คือ ความเบาบางของจิต จะมากน้อย ก็เป็นไปตามขันธ์ของสรรพสิ่งนั้นๆ ตามสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ไม่ใช่ว่า ปรสิต ไส้เดือน เจ็บปวดแบบไหน ช้างหรือ ได้โนเสาร์ตัวใหญ่ๆมันจะเจ็บแบบนั้นด้วย บางตัวคลั่งสนุก ชื่นชอบความเจ็บปวดเสียด้วยซ้ำไป

    มนุษย์ บ้างก็เรียก ว่าโรคจิต ประเภทซาดิส อะไรนั่น บางโลกก็มี บางโลกธาตุก็ไม่มี อะไรที่เรายังไม่เคยเห็นก็อย่าไปคิดว่าไม่มี หรือมี สรุปแต่เหตุ อวิชชาและตัณหาทั้งหลาย มันจึงทำให้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เรา ท่าน ฉัน เธอ ฯลฯ หลงอยู่เนี่ย จึงได้ผุดได้เกิดอยู่เสมอๆ

    ถึงคราวจำเป็น ต้องกิน หรือถึงคราวสละ ไม่ต้องกิน ก็กินให้มีแนวทาง ไม่ใช่กินอิ่มแต่ท้อง กินเพราะแค่อยากกิน ลิ้นกับลำไส้ น้ำย่อย มันเหม็นคาว ต่อให้กินของหอมหวานมากขนาดไหนไป จะอ๊วกออกมาทางปาก หรือจะผ่าออกกลางท้อง หรือจะโผล่ออกมาทางทวารใด ก็กลายเป็นของเน่าเสีย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ( ยกเว้นอาหารอันเป็นทิพย์)

    ผู้เยาว์มีอยู่สี่ทางเพื่อให้ปฏิบัติ 1. กินหรือไม่กินเพื่อดำรงชีพเพื่อการโปรดเวไนยสัตว์ 2.กินหรือไม่กินเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อตนเอง 3.กินหรือไม่กินเพื่อตนเองและผู้อื่น 4.กินหรือไม่กินเพื่อยังประโยชน์เพื่อตนเองและผู้อื่น อย่างที่ 4 นี้ประเสริฐที่สุด โปรดจง ไตร่ตรองตาม ให้เห็นจริง อ้างจาก ( *ฉ* ...สูตร )

    ผู้มีปัญญาเมื่อไตร่ตรองตามแล้ว จะเห็นและเข้าใจอรรถอย่างชัดแจ้งและแท้จริง

    ขออนุโมทนาบุญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...