แฉความลับ (ทหารปฏิรูปประเทศไทย)

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เกตุวดี, 15 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    เขาคือคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ และดีที่สุดแล้ว.


    [​IMG]


    บางครั้งก็เสพข้อมูลจากสื่อมากเกินไป ข่าวก็คือข่าว

    สามปีหลังถ้าฉันอยากรู้อะไร ฉันจะลงไปสำผัสมันเอง

    โดยที่ไม่ต้องมีใครปรุงแต่งข่าวสาร คุณว่ามันดีกว่าไหม?.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2014
  2. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 19 ต.ค. 57 เรียนรู้ปัจจุบันจากฮ่องกง

    เมื่อวันศุกร์ ตำรวจฮ่องกงเข้าเคลียร์พื้นที่รื้อถอนแผงกั้น ไม้ไผ่ เขตรัฐฮ่องกงใหม่ ของ ม็อบหนุนหลังโดยอเมริกา ในย่านม็อกก็อก พร้อมๆ กับจำนวนมวลชนที่ลดลง ในทุกพื้นที่ชุมนุมอีกหลายแห่ง

    แกนนำจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ความรุนแรง โดยยุแยงใช้มวลชนเป็นเหยื่อ จึงเกิดการปะทะกันอีกครั้งระหว่างตำรวจฮ่องกง และม็อบหนุนหลังโดยอเมริกา เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ที่ย่านม็อกก็อก ซึ่งเป็นทั้งย่านการค้าและที่พักอาศัยในเขตเกาลูน
    โดยผู้ชุมนุมพยายามรื้อทำลายแผงถนนสายสำคัญ เพื่อหวังขยายพื้นที่จัดการชุมนุม จนนำไปสู่เหตุตะลุมบอน ซัดกันอย่างหนัก กับตำรวจ และส่งผลให้ตำรวจและผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย พร้อมกันนั้นตำรวจได้จับกุมแกนนำการชุมนุม 26 คน
    กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปลุกระดมม็อบผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยนำภาพ และข้อความเท็จมาหลอกประชาชน ตัดต่อภาพ หลักการทำเหมือนแก๊งค์เผาไทย และแก็งค์ติดอาวุธแดง นปช.เป๊ะ ที่มีการต้มตุ๋นพวกเดียวกันเองให้หลงงมงาย

    แต่แกนม็อบสายอเมริกา อ้างว่าฝ่ายตนชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อยปราศจากอาวุธ และหลอกซื้อเวลากับมวลชนว่าแกนนำผู้ชุมนุมจะเข้าเจรจากับผู้แทนรัฐบาลในวันอังคารหน้า โดยตัวแทนฝ่ายละ 5 คน

    คุ้นๆ ไหม? มีการใช้ไม้ไผ่ทำอาณาเขตรัฐฮ่องกงใหม่ , ใช้มวลชนปะทะเจ้าหน้าที่ให้บาดเจ็บและถูกจับเข้าคุก , ให้ข่าวสารหลอกมวลชน , อ้างว่าม็อบชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อยปราศจากอาวุธ !!....ถอดแบบไทย กับ ยูเครนไปเลย

    กุนซือก็คือชาติตะวันตกทีมเดิม สูตรเดิม มุกเดิม และถ้ายังไม่ได้ตามที่แกนนำม็อบ และมะกันต้องการ ก็ต้องมี "ชายชุดดำติดอาวุธฮ่องกง" และมีม็อบฮ่องกง ต้องสังเวยชีวิตตามสูตร แล้วอ้างประโคมไปทั่วโลกว่า เจ้าหน้าที่ฮ่องกงฆ่าประชาชน

    สูตรนักการเมืองประชาธิปไตย มันมีแค่นี้แหละ เขากลัวตัวแทนจากจีนอนุรักษ์นิยมมาปกครอง เพราะจีนเข้มงวดเรื่องทุจริตคอรัปชั่นมาก โทษรุนแรงถึงประหารชีวิต

    ประชาธิปไตย โดยเนื้อแท้ก็คือการอำนวยประโยชน์ให้นายทุนเพื่อกดขี่ประชาชน พออนุรักษ์นิยมจะมาปลดแอกชาติตะวันตกที่ปกครองฮ่องกงมา 99 ปี นายทุนเลยทนไม่ได้


    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  3. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 21 ต.ค. 57 บิ๊กตู่ คลายปริศนา ข้อสงสัยของหลายคนกรณีปูไปญี่ปุ่น

    บิ๊กตู่ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้ความเห็นถึง มติที่ประชุม สปช.เลือก นายเทียนฉาย กีรนันท์ เป็นประธานสมาชิกสภาปฎิรูป (ส.ป.ช.) นั้น มองว่า เป็นคนที่มีคุณสมบัติ มีความรู้ และความสามารถด้านการปฏิรูป ซึ่งกระบวนการทำงานต่อไปของ ส.ป.ช. รัฐบาลจะไม่มีการก้าวล่วงในการทำงานอย่างแน่นอน

    ส่วนการอำนาจการถอดถอนนักการเมือง ของ สนช. นั้น ก็ขอให้เป็นไปตามกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำผิดของแต่ละบุคคล สำหรับการแต่งตั้งคณะกรรมมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องให้เป็นไปตามโรดแมป และยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด

    กรณีที่ ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้ขออนุญาตและชี้แจงรายละเอียดการเดินทางกับ คสช. แล้ว และหากยิ่งลักษณ์ และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย คนใดจะเดินทางไปพบ ทักษิณ ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้

    ซึ่งทางรัฐบาล และ คสช.ก็มีมาตการการป้องกันคลื่นใต้น้ำอยู่แล้ว โดยหากใครทำให้บ้านเมืองไม่สงบ เชื่อว่าประชาชนก็จะไม่ยอมรับ

    ---------------->

    " ให้เป็นไปตามกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำผิดของแต่ละบุคคล " นี่คือข้อสงสัยที่หลายคนกำลังหาคำตอบ เพราะคดีปูข้าวเน่า ยังไม่ถูกฟ้องคดีขึ้นสู่ศาล หลายคนอยากให้ทำแบบโน้น แบบนี้ ในขณะที่ยังใช้กฎหมายเดิม ที่นักการเมือง ที่ประชาชนไปเลือกเขามาเมื่อก่อนนั่นแหละตราเข้าไว้ ไม่ได้ให้อำนาจให้รัฐบาลนี้กระทำการใด ที่เกินจากฎหมายบัญญัติไว้

    ใครที่อยากรู้ว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าใดจะเข้าสู่ศาล หรือตัดสินก็ง่ายมาก แค่ไปเปิดดูคดีเก่าสมัยฟ้องคนแดนไกล จนถึงยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน , คดีรถ -เรือ ดับเพลิง ของสมัคร และเจ้าของช่องน้อยสี , คดีคลองด่าน ของวัฒนา ฯลฯ แต่ละคดีเหล่านั้นไม่ต่ำกว่า 5 ปี คดีเหล่านี้ก็พอจะเทียบเคียงเวลาของคดีปูข้าวเน่าได้ เพราะกฎหมายฉบับเดียวกัน

    ส่วนคนที่หนีคดีอาญา ไปอยู่ต่างประเทศนั้น เขาเข้าไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของชาติตะวันตก ที่ประเทศพวกนี้เขามีองค์กรปกป้องขบวนการล้มเจ้า เช่น UNHCR ซึ่งกฎหมายไทยมีอำนาจครอบคลุมขอบเขตของอาณาจักรไทยเท่านั้น

    ยกตัวอย่างง่ายๆ สมัยปรีดี หรือ นักโทษการเมือง มาแต่ไหนแต่ไรหลังเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ไทยก็ไม่เคยนำตัวคนพวกนั้นกลับมาลงโทษในประเทศได้เลย จนกว่าเขาจะตายจากไปเมื่ออยู่ต่างแดน บางคนก็นำศพกลับมา บางคนก็ไม่ได้กลับมา รองโรมานอฟ คือ กรณีล่าสุด

    การแก้กฎหมาย ให้มีทิศทางไปแบบใด ประชาชนต้องส่งเสียงผ่าน สภาปฎิรูป ที่วันนี้เพิ่งทำงานวันแรกเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มข้อเสนอแก้กฎหมายเก่าของนักการเมืองสักฉบับ เพื่อให้ สนช.ลงมติ และตราบังคับใช้

    เมื่อประชาชนเลือกนักการเมือง เข้ามาตรากฎหมายไว้แล้ว แม้เขาจะหมดอำนาจไป แต่กฎหมายพวกนั้นก็คงสภาพใช้งานอยู่ต่อไป จึงเป็นบทเรียนราคาแพงของประชาชน ว่าอย่าไปเลือกนักการเมืองฮ่วยๆ "ล้มเจ้า โกงข้าว เผาเมือง " เข้ามา

    เพราะเข้ามาแล้ว ก็ตรากฎหมายปกป้องตนเอง แล้วประชาชนจะโทษใคร ?? กว่าทหารจะรัฐประหาร ตามแก้ไขให้เป็นดังใจประชาชน ก็ใช้เวลาอีกเป็นปีตามโรดแมป กว่าจะสำเร็จตามขั้นตอน ประเทศเราเป็นระบบรัฐ ไม่ใช่บริษัทเอกชน จึงจะสามารถทำอะไรได้ตามที่ต้องการ เหมือนที่นักการเมืองเคยทำกับประเทศนี้

    ยุคนี้เป็นประชาธิปไตยอนุรักษ์นิยม ไม่สามารถละเมิดกฎหมายที่มีอยู่ปัจจุบันได้โดยเสรี เหมือนสมัยยุคเลือกตั้งเผด็จการ



    @ เสธ น้ำเงิน2
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  4. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เผยความลับ..กษัตริย์พม่าองค์สุดท้าย กับการข่มเหงรุกรานโค่นล่มโดยอังกฤษ

    พระเจ้าอลองพญา แห่งพม่า ผู้ทรงเป็นสมเด็จทวดของพระเจ้าสีป่อ และพระเจ้าพะคยีดอ เป็นสมเด็จปู่ กรีธาทัพรุกรานสยาม บดขยี้กองทัพอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ และปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของสยาม จนแตกพ่าย

    เมื่อครั้งที่พระเจ้าอลองพญาผู้เกรียงไกร ทรงยกทัพรุกรานสยาม พระองค์มีพระราชสาสน์ถึงพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาว่า

    "หาได้มีความเป็นคู่ขันแข่งในพระเกียรติยศและบุญญาธิการระหว่างเราทั้งสองไม่ การวางพระองค์เทียบข้างพวกหม่อมฉัน เป็นการเปรียบพญาครุฑของพระวิษณุ กับนกนางแอ่นพระอาทิตย์เปรียบกับหิ่งห้อย พฤกษเทวดาแห่งสรวงสวรรค์เปรียบกับไส้เดือนดิน พญายูงทอง ธตรัฏฐะ เปรียบกับแมลงเสพคูถ"

    ต่อมาสมัยพระเจ้ามินดง ตอนนั้นอังกฤษได้พม่าทางใต้ไปแล้วก็จริง แต่ก็ยังหาเรื่องชวนทะเลาะกับพม่าอยู่ พระองค์ทรงเห็นว่าถ้าเกิดสงครามขึ้นอีก ฝรั่งอาจเอาปืนใหญ่ใส่เรือกำปั่น ขึ้นไปยิงถึงพระราชวังได้ จึงเห็นควรย้ายให้ห่างพ้นระยะปืนศัตรู

    พระองค์โปรดให้สร้างเมืองหลวงใหม่ขึ้น ที่กรุงมัณฑะเลย์ แล้วอพยพผู้คนมาจากเมืองอมรบุระ ราชธานีเดิมที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิรวะดีไป พระเจ้ามินดง มินทร์ จะประทับบนสีหบัลลังก์ทรงพระภูษาลายทองกงจักร ทรงฉลองพระองค์ปักทองอย่างพม่า

    ทรงพระภูษาโปร่งปักทองพันพระเกษา ทรงนั่งขัดสมาธิ์อยู่บนพระแท่นสามชั้นปิดทองคำใต้พระมหาเสวตรฉัตรเก้าชั้น มีนางพนักงานเชิญพระแซ่หางนกยูงอยู่สี่ทิศพระที่นั่งเสวตรฉัตร มีขุนนางฝ่ายนายทหารรักษาพระองค์นับไม่ถ้วน ล้วนแต่แต่งกายมีสง่าทั้งสิ้น เฝ้าล้อมรักษาพระองค์เป็นอันดับตามตำแหน่ง

    เวลาพวกอังกฤษมาขอเข้าเฝ้า ก็โปรดให้นั่งกับพื้นระดับเดียวกับขุนนางทั้งหลาย ขุนนางพม่าไม่ได้หมอบเฝ้าแบบไทย แต่นั่งพับพะนางเชิง (พนมมือเหมือนท่าเทวดานั่ง) ในยุคนั้นฝรั่งก็ไม่ยอมนั่งแบบพม่า เมื่อให้นั่งกับพื้นก็นั่งตามสบายไม่ได้ถวายความเคารพ จึงแค้นเคืองกันยิ่งขึ้นไปอีกทั้งฝรั่งทั้งพม่า

    สมัยของพระเจ้ามินดง ถือว่าบ้านเมืองยังดีๆ อยู่ มีพระราชพิธีที่สำคัญๆ เช่นพระราชพิธีแรกนาขวัญที่โปรดให้มีทุกปี บางครั้ง จะมีพระราชพิธี เสด็จพระราชดำเนินโดยชลมารค โดยขบวนเรือพระที่นั่ง ที่ยิ่งใหญ่มาก ล่องอยู่ในคูเมืองของพระราชวังกรุงมัณฑะเลย์นั่นเอง แต่คูเมืองกว้างใหญ่ขนาดรองรับขบวนเรือพระที่นั่งได้นับร้อยลำ

    พระนางซินผิ่วมะฉิ่น มเหสีองค์หนึ่ง ของพระเจ้ามินโดงซึ่งไม่มีโอรส ยึดอำนาจในราชสำนัก โดยมีคณะเสนาบดีหนุนหลัง เลือกพระเจ้าธีบอขึ้นครองราชย์ ในลักษณะหุ่นเชิดบนบัลลังก์

    ระหว่าง พ.ศ.2421-2428 กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า และของราชวงศ์อลองพญา พระนามว่า "พระเจ้าธีบอ" หรือพระเจ้าสีป่อ พระองค์ทรงครองราชย์ ตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์เป็นโอรสของพระเจ้ามินโดง กับมเหสีแลซา จากเมืองฉาน

    พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสุภยาจี และเจ้าหญิงสุภยาลัต (พระธิดาของพระนางซินผิ่วมะฉิ่น) พระนางสุภยาลัต ช่วงนั้นอายุ 18 ปี ตอนเป็นพระราชินี ซึ่งเป็นที่โปรดปราน เริ่มยึดอำนาจในราชสำนักฝ่ายใน ก่อนจะขยายไปสู่ราชการงานแผ่นดิน

    จนนำไปสู่ความขัดแย้งกับพระมารดา และเสนาบดีที่ผลักดันพระเจ้าธีบอ ซึ่งพยายามโค่นพระเจ้าธีบอแต่ไม่สำเร็จ ตลอดเวลาพระเจ้าธีบอทรงบริหารราชการแผ่นดิน และทรงพระสำราญกับครอบครัวของพระองค์ในพระราชฐาน โดยไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินออกไปนอกพระราชวัง

    เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2422 พองานพระบรมศพพระเจ้ามินดงเสร็จสิ้นลง ซึ่งก็ใช้เวลาเพียง 7 วันก็บรรจุพระบรมศพเสร็จ พระนางศุภยาลัต ทรงโปรดให้จัดงานปอยหลวงขึ้น 3 วัน 3 คืนอย่างครึกครื้น นัยว่าจะให้ชาวเมืองลืมความทุกข์ โดยการมาเที่ยวงานให้สนุก

    ที่จริงนั้นก็เพื่อจะกลบเกลื่อนกรรมพิธีที่จะเริ่มต้นการสังหารหมู่บรรดาเจ้าพี่ และเจ้าน้องของตัวเองทั้ง 30 องค์ รวมถึงเจ้าจอมมารดา ขุนนาง และบริวารรวมทั้งสิ้น 125 คนด้วย เจ้านายองค์ใดถูกปลงพระชนม์ เจ้าจอมมารดา พระภคินีขนิษฐา และบรรดาโอรสธิดา ของเจ้านายองค์นั้นก็โดนประหารไปด้วย

    ที่ต้องใช้เวลาอยู่ถึง 3 วันในสังหารผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมด ก็เพราะต้องลงมือฆ่าเฉพาะในเวลากลางคืน เมื่อแดดร่มลมตก ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวงาน ละครเริ่มออกโรง ดนตรีปี่พาทย์บรรเลงดังที่เข้าที่แล้ว ก็จะช่วยกลบเสียงโหยหวนของมนุษย์ที่กำลังเผชิญกับความตาย

    พระเจ้าสีป่อเองก็ถูกมอมให้เสวยแต่น้ำจัณฑ์ จนเมามาย จะได้ไม่ต้องสนใจการสังหารหมู่ครั้งนั้น พิธีกรรมในการสำเร็จโทษเจ้านายพม่า คือจะจับเจ้านายพระองค์นั้นมัด และมีคนกดทับไว้ในท่านอนหงาย เพชฌฆาตจะใช้ท่อนไม้ไผ่ตีให้ตรงลูกกระเดือก ถ้าทีเดียวไม่ตายก็ซ้ำอีกจนกว่าจะตาย

    หลังจากแน่นิ่งแล้วก็เอาร่างใส่ถุงแดง โยนลงไปรวมกันทั้งหมดในหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดไว้ เสร็จสิ้นการสังหารหมู่แล้วจึงเอาดินกลบ ครั้นได้เวลาประมาณ 7 วัน ซากที่อยู่ข้างใต้ก็ขึ้นอืดเต็มที่ เกิดแก็สดันดินที่กลบหลุมอูดขึ้น ส่งกลิ่นผีเน่าตลบอบอวลไปทั่วทั้งเมือง

    พระนางศุภยาลัต ทรงโกรธกริ้วเป็นอย่างยิ่ง สั่งให้เอาช้างหลวงทั้งโขลงมาเดินเหยียบย่ำ ดินก็ยุบลงไปชั่วคราว พอแก็สสะสมตัวได้ใหม่ก็ดันดินอูดขึ้นใหม่ กลิ่นผีเน่าก็ฟุ้งออกมาอีก ต้องเอาช้างมาเหยียบอัดกันอย่างนี้อยู่หลายวัน จนในที่สุดพระนางศุภยาลัตก็ทนกลิ่นไม่ได้

    สั่งให้ขุดเอาซากที่เหลือทั้งหมดนั้น ใส่เกวียนไปฝังเสียยังนอกเมือง ความลับทั้งปวงก็แตก ชาวบ้านชาวเมืองรู้กันทั่วทันที ที่เกวียนออกจากประตูวังผ่านไป

    ช่วงเวลานั้น ที่ลัทธิการล่าอาณานิคมจากชาติตะวันตกเฟื่องฟู ประเทศมหาอำนาจอังกฤษ รุกรานข่มเหงประเทศในเอเซียอย่างต่อเนื่อง กระบวนการเข้ายึดครองพม่านั้น เป็นเช่นเดียวกับการเข้ายึดครองอินเดีย คือเริ่มต้นจากผลประโยชน์ทางการค้าของอังกฤษในประเทศ

    เมื่อไรก็ตามที่อังกฤษ รู้สึกว่าผลประโยชน์ทางการค้าของตนถูกคุกคาม ก็จะใช้ความแข็งแกร่งทางการทหาร และอิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรกแซง และอังกฤษทำเช่นนี้บ่อยครั้ง อังกฤษซึ่งยึดครองพม่าตอนล่างแล้ว และกำลังจับจ้องจะยึดครองกรุงมัณฑะเลย์

    พื้นที่ส่วนใหญ่ของพม่าตกเป็นของอังกฤษไปแล้ว รวมทั้งทางออกสู่ทะเลด้วย และอังกฤษมองพื้นที่ส่วนที่ยังไม่ถูกยึดครองว่าไม่เพียงแต่จะพัฒนาเป็นตลาดสินค้าได้ แต่ยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าต่างๆ ด้วย หนึ่งในนั้นคืออัญมณีมีค่าจำนวนมาก

    ข่าวรั่วการสังหารหมู่สมาชิกราชวงศ์ออกไปถึงหูอังกฤษที่วางสปายไว้ทั่ว หลังจากนั้นไม่นานสถานทูตอังกฤษในย่างกุ้ง ก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างความชอบธรรมที่จะช่วยชาวพม่าล้มล้างพระเจ้าสีป่อ และเริ่มบีบกรงเล็บทีละน้อย ๆ

    อังกฤษพยายามสร้างภาพด้านลบ ให้ร้ายโจมตีพระเจ้าธีบอ และพระนางสุภยาลัต ว่าทรงเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่สมาชิกราชวงศ์ประมาณ 80 พระองค์ ณ พระราชวังมัณฑะเลย์ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2422 เพื่อกำจัดศัตรูของราชบัลลังก์

    เมื่อข่าวลือการประหารพระราชวงศ์ รั่วไปทั้งกรุงมัณฑะเลย์ เกิดความเสื่อมศรัทธาทั่วไปในหมู่ประชาชน มีคำกล่าวว่า "เศวตรฉัตรแห่งกรุงรัตนปุระอังวะ อันกางกั้นถึงเก้าชั้น แต่มาบัดนี้กลับหาร่มเงาไม่ได้เสียแล้ว"

    อังกฤษยังประโคมข่าวใส่ร้ายต่อว่า เหตุการณ์สังหารหมู่นักโทษการเมืองประมาณ 300 คน ช่วงปลายเดือนกันยายน พ.ศ.2427 ว่าพระองค์จัดฉาก เพื่อหาเหตุในการสังหารหมู่นักโทษเหล่านั้น หนังสือพิมพ์ในพม่า ที่หนุนหลังโดยอังกฤษ ตีพิมพ์บทความตำหนิการสังหารหมู่นี้และประณาม การปกครองที่เลวร้าย ของพระเจ้าธีบอ

    พ.ศ.2428 อังกฤษบีบพม่าจนดิ้นไม่หลุด ส่งข้อเรียกร้องชนิดที่พม่าจะยอมก็ไม่ได้ เช่น ขอให้อังกฤษเป็นคนควบคุมการเดินเรือ เพื่อการพาณิชย์ของพม่าในแม่น้ำทุกสาย ฯลฯ พระนางศุภยาลัต ประกาศท้ารบกับอังกฤษด้วยความยะโส เพ้อพกกับอดีตของพม่าที่เคยยิ่งใหญ่ เคยรบชนะศึกมาแล้วแม้กระทั่งจีน

    พระเจ้าสีป่อ ก็ตามพระทัยมเหสีอยู่แล้ว ก็ตรัสสั่งให้เตรียมพลออกรบ อังกฤษรู้ดังนั้นก็ให้นายพลแฮร์รี เพนเดอร์กาส นำทหารฝรั่งและอินเดียเคลื่อนพลด้วยเรือกลไฟหลายลำ จากย่างกุ้งขึ้นทวนแม่น้ำน้ำอิรวะดี มุ่งหน้าสู่มัณฑะเลย์อย่างสบายๆ

    มหาพันธุละ เป็นแม่ทัพที่ยกไปตีด้านมณีปุระและอัสสัม ยึดดินแดนไทอาหม ซึ่งขณะนั้นกษัตริย์อยู่ในอิทธิพลของอังกฤษ อังกฤษจึงทำสงครามกับพม่าโดยทางบกก่อน คือเข้าตีมหาพันธุละที่รัฐอัสสัม แต่อังกฤษพ่ายแพ้

    จึงเปลี่ยนยุทธวิธีมาเป็นนำเรือรบเข้ามาทางแม่น้ำอิระวดี มหาพันธุละถูกเรียกตัวมาบัญชาการศึก
    แต่ได้ถูกกระสุนปืนใหญ่ของอังกฤษและเสียชีวิตในสมรภูมินั้นเอง อังกฤษ รบรุกไปเรื่อยๆใช้เวลาแค่ 14 วัน ก็ยึดเมืองหลวงกรุงมัณฑะเลย์ ได้

    แม้ว่าอาวุธของอังกฤษจะดีกว่ากองทัพพม่าอย่างเทียบไม่ติดก็ตาม แต่เหตุผลสำคัญที่สุดที่อังกฤษชนะง่ายดายเกินคาดก็คือ ราษฎรพม่าไม่คิดว่าอังกฤษเป็นศัตรู จับอาวุธเข้าต่อสู้ เพราะไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร เนื่องจากถูกอังกฤษสร้างภาพว่า รัฐบาลของพระเจ้าสีป่อโดยพระนางศุภยาลัต กดขี่ประชาชน การสู้ศึกในสมัยนั้นจึงไร้เอกภาพและความสามัคคี

    การเสียเมืองยังมีอีกปัจจัยหนึ่ง นั่นคือพระเจ้าธีบอ ไปทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส โดยหวังให้มาคานอำนาจจากอังกฤษ อังกฤษจึงต้องรีบลงมือ ฝ่ายพม่าก็หวังว่าฝรั่งเศสจะช่วย แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

    ตอนแรกอังกฤษยังต้องการคงสถาบันกษัตริย์พม่าไว้เป็นหุ่นเชิด เพื่อรักษาเสถียรภาพในการปกครอง แต่หาเจ้าพม่าที่เหมาะสมไม่ได้ อีกทั้งเกรงว่าสนธิสัญญาที่ราชวงศ์พม่าทำกับฝรั่งเศสจะมีผล จึงยกเลิกสถาบันกษัตริย์พม่าเสีย แล้วตั้งเป็นมณฑลหนึ่งขึ้นกับอินเดีย

    ส่วนรัฐฉาน (ไทใหญ่) นั้น เจ้าครองนครไทใหญ่ทั้งหลาย ยังได้ปกครองดินแดนของตนต่อไป แต่ตกเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ

    เมื่อจวนตัวพระเจ้าสีป่อ และพระนางศุภยาลัต ก็จำเป็นต้องรักษาชีวิตรอดโดยการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ทรงเสด็จออกรับแม่ทัพอังกฤษ หน้าพระที่นั่งกลางสวนในพระราชวังมัณฑะเลย์ ทรงต่อรองได้แค่ขอเวลาไม่กี่ชั่วโมง ที่จะเก็บของส่วนพระองค์ก่อนที่จะต้องไปกับผู้ชนะในฐานะเชลย

    วันที่อังกฤษเอากษัตริย์และราชินีพม่า ใส่เกวียนบรรทุกของ ให้วัวลากออกจากวังไปขึ้นเรือกลไฟอย่างหลู่พระเกียรติอย่างสุดๆ นั้น ชาวพม่าที่เห็นเหตุการณ์มองอย่างไร้ความรู้สึก อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ราษฏรทั้งหมดเหล่านั้นได้มีโอกาสเห็นพระเจ้าสีป่อ พระเจ้าอยู่หัวของตน

    พม่ามีทับทิมที่ชื่อ “หงามุก” อันเป็นพระราชมรดกของบูรพกษัตริย์พม่า ได้ถูกมอบให้นายพันเอกสลาเดน เอาไปเพื่อเก็บไว้ พร้อมเพชรกับทับทิมอีกหลายเม็ด เช่น ราชรัตนะหอข่าเที๊ยกทินเล ราชรัตนะหอข่าทินจี ราชรัตนะซินมาตอ ราชรัตนะซาน และอื่นๆ อีกมาก

    พันเอกสลาเดน ประจำการอยู่ในมัณฑเลย์ ในรัชสมัยพระเจ้ามินดง และเป็นแขกประจำของราชสำนัก ทับทิมหงามุก สาบสูญอย่างไร้ร่องรอยโดยรวดเร็ว หลังจากทหารอังกฤษบุกเข้ามัณฑเลย์ และเข้ายึดครองพระราชวัง



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน3
    https://www.facebook.com/topsecretthai?fref=photo
     
  5. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    เผย..กษัตริย์พม่าองค์สุดท้ายรำพัน ใยพวกเขาถูกฝังจมราบ อยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้

    ความตอนที่แล้ว อังกฤษเอาพระเจ้าสีป่อ และพระนางศุภยาลัต ของพม่าใส่เกวียนบรรทุกของ ให้วัวลากออกจากวัง ไปขึ้นเรือกลไฟอย่างหลู่พระเกียรติอย่างสุดๆ พร้อมยึดทับทิม “หงามุก” อันเป็นพระราชมรดกของบูรพกษัตริย์พม่า พร้อมเพชรกับทับทิมอีกหลายเม็ด เช่น ราชรัตนะหอข่าเที๊ยกทินเล ราชรัตนะหอข่าทินจี ราชรัตนะซินมาตอ ราชรัตนะซาน และอื่นๆ อีกมาก

    พ.ศ. 2429 พม่าเสียเมืองให้อังกฤษ ถูกยึดโดยกำลังทหารที่เหนือกว่า พม่าทั้งประเทศตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ พระเจ้าธีบอและครอบครัวถูกเนรเทศไปอยู่อินเดีย พระเจ้าธีบอ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารจำนวน 80 คน และกุลีนับร้อยคนแบกหีบห่อของใช้ต่างๆ ของพระองค์ตามเสด็จมาเมืองย่างกุ้ง

    แต่สุดท้ายเมื่อทราบว่าพระองค์จะต้องไปประทับอยู่ที่อินเดีย พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารจำนวนมากปฏิเสธที่จะตามเสด็จ คณะที่เสด็จจึงมีเพียงพระเจ้าธีบอ พระมเหสี 2 พระองค์ พระราชธิดา 2 พระองค์ ข้าราชบริพาร 2 คน ล่าม 1 คน และนางกำนัลรุ่นเยาว์ 17 คน

    พระเจ้าสีป่อ และพระนางศุภยาลัต ถูกอังกฤษเชิญให้ไปยังเมืองรัตนคีรี ของประเทศอินเดีย ที่อังกฤษปกครอง บั้นปลายชีวิตพระเจ้าสีป่อ และพระนางศุภยาลัตที่วังในรัตนคีรี แม้ไม่โหดร้าย แต่ก็ระทมขมขื่นด้วยความเครียดจัด

    ชีวิตในรัตนคีรีภายในตำหนัก พระเจ้าสีป่ออยู่ที่นั่นในแต่ละวันด้วยความโดดเดี่ยวหงอยเหงาและเบื่อหน่ายอย่างที่สุด พระองค์ก็ไม่ได้ลำบากตรากตรำ ไม่ต้องตักน้ำ ฝ่าฟืน หรือไถนาปลูกข้าวกินเอง ยังดำรงพระยศอย่างกษัตริย์ มีข้าราชบริพารรับใช้ คล้ายๆ กับเมื่ออยู่ในพม่า

    แต่พระเจ้าธีปอทรงเครียดจัดกับชีวิตแบบนี้ ทรงระดมส่งจดหมายจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงไวซรอยหรือผู้สำเร็จราชการแห่งอินเดีย ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และเป็นผู้มีอำนาจเต็มในการเนรเทศพระองค์มาที่นี่

    ในจดหมายเหล่านั้น ทรงเรียกร้องให้ผู้สำเร็จราชการเชิญเสด็จพระองค์กลับบ้านเกิดเมืองนอนตามเดิม เรียกร้องแล้วเรียกร้องอีกแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะอังกฤษเกรงว่าถ้าเอากษัตริย์พม่ากลับไป จะเป็นชนวนก่อความยุ่งยากทางการเมืองขึ้นในพม่า จึงไม่เสี่ยง

    ปัญหาที่สองของพระเจ้าสีป่อคือค่าใช้จ่าย พระองค์ไม่ใช่ชาวบ้าน ที่มีหลังคาคุ้มหัวกับข้าววันละสามมื้อก็พอ แต่ทรงอยู่อย่างกษัตริย์ มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย เบี้ยเลี้ยงที่รัฐบาลอังกฤษในพม่าจ่ายให้ ก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับพระเกียรติยศ

    ทรงได้รับเงินเดือนที่ฝรั่งทูลเกล้าฯ ถวาย ตอนที่ประทับอยู่ที่รัตนคีรี ตอนแรกก็ 10,000 รูปี แล้วก็ลดมาเป็น 6,000 รูปี และเหมาเพิ่มให้ตามเทศกาลต่างๆ อีกราวปีละ 9,500 รูปี

    จึงต้องทรงนำพระราชทรัพย์อันได้แก่เครื่องเพชรนิลจินดา ที่พระนางศุภยาลัตนำติดตัวมา ออกขายในราคาถูกกดมหาโหด จากพ่อค้าอินเดีย คำพังเพยที่ว่าเคราะห์ร้ายไม่ได้มาหนเดียว เป็นความจริงในชีวิตพระเจ้าสีป่อ และพระนางศุภยาลัต

    ประเทศอินเดียก็มิได้อินังขังขอบเจ้านายพลัดถิ่น พระนางสุภยาลัตมีพระประสูติกาลพระราชธิดาอีก 2 พระองค์ พระนางไม่อนุญาตให้เจ้าหญิงทั้งสี่ไปโรงเรียน หรือคบหากับเด็กชาวบ้าน พระราชธิดาทั้งสี่ จึงใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจากสังคมภายนอก

    โชคชะตาฟ้าลิขิตให้เจ้าหญิงพระธิดาก่อเรื่อง ให้พระบิดามารดาเกิดอาการเครียดเข้าไปอีก เหตุพระธิดาองค์ใหญ่ ความเป็นสตรีทำให้เจ้าหญิงประกอบอาชีพอะไรก็ไม่ได้ และหาพระสวามีไม่ได้ ไม่มีใครวิวาห์ด้วยเพราะถือว่าเป็นคนต่างชาติต่างภาษา

    เจ้าหญิงองค์ใหญ่หลังจากอยู่เป็นสาวใหญ่มาจนอายุได้ 24 ปี เธอก็ได้สามีเป็นสารถีขับรถและยามเฝ้าประตู ของตำหนักในรัตนคีรีนั่นเอง นายคนนี้เป็นชาวอินเดียชื่อ นายโคปาล สาวันต์ จนมีลูกสาวเชื้อชาติครึ่งอินเดีย-พม่ามาคนหนึ่งชื่อว่า "ตูตู"

    ตอนแรกพระเจ้าสีป่อ กับพระนางศุภยาลัตก็กริ้วโกรธ หากว่ายังทรงมีอำนาจเต็มเหมือนเมื่อครั้งนั่งบัลลังก์ เห็นทีลูกเขยจะต้องลงไปนอนอยู่ในหลุมใต้ดินเป็นแน่แท้

    แต่บัดนี้สิ้นยศสิ้นอำนาจวาสนา จะทำอะไรก็ไม่ได้ ขืนเฉดหัวพระธิดาไป เธอก็ตกระกำลำบาก พระเจ้าสีป่อ กับพระนางศุภยาลัตก็เลยกลืนเลือด ยอมคืนดีกับลูกสาว รับหลานสาวตัวน้อยๆ "ตูตู" มาเลี้ยงไว้ในตำหนักรัตนคีรี ความบาดหมางก็เบาบางลงไป แต่เจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ก็ไม่ได้เสกสมรสกับนายโคปาลอยู่ดี ตูตู จึงเป็นลูกนอกสมรส และไร้วรรณะในสังคมฮินดู

    เจ้าฟ้าหญิงองค์ที่สองชื่อ Myat Paya Lat ทรงหัวดื้อ ไม่ค่อยจะอยู่ในโอวาทพ่อแม่ เธอเกิดสร้างตำนานรักขึ้นมาอีก ไม่ใช่ชาวอินเดียอย่างพี่เขย แต่เป็นหนุ่มพม่าชื่อ ขิ่น เมือง คยี ที่เป็นชนชาติเดียวกัน แต่พระเจ้าสีป่อ ก็ต่อต้านเต็มที่ เพราะเขาไม่ใช่ใครอื่น เป็นข้ารับใช้ในตำหนักนั่นเอง

    ไม่ได้โก้หรูและมีเกียรติ ตามทางของเจ้าหญิง ก็มีทางเดียวคือทรงหอบผ้าหนีออกจากวังไปพร้อมกับคนรัก เพื่อไปใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่ต้องมีชนชั้นวรรณะกีดขวาง เมื่อพระเจ้าสีป่อทรงทราบว่าพระธิดาหนีไปไม่มีวันกลับ พระองค์ก็ทั้งกริ้วทั้งโทมนัสอย่างหนัก พระชนม์ก็มากแล้ว

    ในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีการตัดสินอนุญาตให้ส่งหนังสือพิมพ์จากบอมเบย์ ไปยังเคหาสน์เอาท์แรม พร้อมกับเที่ยวเรือขนส่งเนื้อหมูของพระเจ้าสีป่อ หนังสือพิมพ์ปึกแรก ทำให้จิตใจพระเจ้าสีป่อ จดจ่อหมกมุ่น คือข่าวบรรยายการเสด็จประพาสยุโรปของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์แห่งกรุงสยาม"

    ** ดูภาพคลิปวิดีโอที่หลายคนไม่เคยเห็นตัวจริงพระองค์มาก่อนที่ [ame=http://www.youtube.com/watch?v=19b6JkDcy-w]รัชกาลที่5 เสด็จประพาสยุโรป 2440 - YouTube[/ame]

    นับเป็นครั้งแรกที่พระราชวงศ์เอเชีย เสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ การเสด็จประพาสกินเวลานานหลายสัปดาห์ และตลอดช่วงเวลานั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดครอบงำความสนพระทัยของพระเจ้าสีป่อได้อีกเลย

    ที่กรุงลอนดอน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์ประทับ ณ พระราชวังบัคกิงแฮม , พระองค์ทรงรับการถวายการต้อนรับสู่ออสเตรีย โดยสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ , ทรงรับการถวายพระราชไมตรีโดยกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ณ กรุงโคเปนเฮเกน , ประธานาธิบดีฝรั่งเศสถวายพระราชทานเลี้ยง ณ กรุงปารีส

    ที่ประเทศเยอรมนี พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์ม ทรงยืนคอยรับเสด็จที่สถานีรถไฟ จนกระทั่งขบวนรถไฟพระที่นั่งของ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุฬาลงกรณ์" แล่นเข้าเทียบ พระเจ้าสีป่อทรงอ่านรายงานข่าวครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งทรงจดจำขึ้นพระทัย

    วันหนึ่งพระเจ้าสีป่อ ทรงรับสั่งกับเหล่าพระราชธิดาว่า “ บัดนี้ พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบัคกิงแฮม ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบ อยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้ “

    พ.ศ. 2459 (ตรงกับในรัชกาลที่ 6 ) หลังจากระทมทุกข์กับโชคชะตามาหลายปี พระเจ้าสีป่อ ก็เลยสิ้นพระชนม์ด้วยอาการพระหทัยวาย พระองค์สิ้นพระชนม์ไปอย่างไม่มีใครสนใจไยดี เมื่อพระชนม์ได้ 58 พรรษา เท่านั้นเอง ทั้งๆ น่าจะอยู่มาได้จนวัยชรา

    เคราะห์กรรมของพระเจ้าสีป่อในชาตินี้จบลง พระศพถูกฝังไว้ในบริเวณพระตำหนักรัตนคีรีนั่นเอง อังกฤษไม่ยอมให้มีพิธีศาสนาตามประเพณีพม่า ตอนแรกก็ตั้งพระบรมศพไว้ในห้องของพระตำหนัก หลังจากนั้นก็อัญเชิญมาไว้ในสุสานที่สร้างไว้บนสนาม

    ต่อมาหน่วยงานราชการอินเดียก็มาย้ายสุสานไปไว้ในป่าแห่งหนึ่ง สุสานนี้อยู่ไกลวังมาก ใช้เวลานานกว่าจะเดินทางไปถึง สุสานสร้างขึ้นบนภูเขา อยู่ใจกลางของป่า ทำให้พระนางศุภยาลัตทรงบ่นด้วยความแค้นเคืองอังกฤษอย่างยิ่ง

    ต่อมาพระนางศุภยาลัต ขออังกฤษกลับพม่า บอกกับเจ้าหน้าที่อังกฤษว่าจะเอาพระบรมศพกลับไปพม่าพร้อมกัน อังกฤษบอกว่าคนพม่าจะโกรธ ที่ส่งพระราชาของเขากลับในสภาพที่เป็นศพ เพราะตอนที่จับตัวไปยังไม่สิ้นพระชมน์

    พระนางศุภยาลัต จึงกลับพม่าพร้อมเจ้าหญิงทั้งสอง เจ้าหญิงองค์ใหญ่หอบหิ้วลูกสาวชื่อ " ตูตู " กลับมาด้วย ก็ประสบความรังเกียจเดียดฉันท์จากชาวพม่า ที่มีต่อลูกสาวเชื้อชาติครึ่งพม่าครึ่งอินเดีย จนเธอทนไม่ไหว

    ขณะอยู่ที่ร่างกุ้ง พระนางศุภยาลัต ได้เงินเดือนจากรัฐบาลราว 2,000 รูปี มักไม่ยอมคบหาสมาคมกับใคร ทรงเคียดแค้นขุนนางพม่าที่ไปเข้ากับอังกฤษ ตรัสบริภาษอยู่เป็นประจำ อาศัยอยู่ร่างกุ้ง 10 ปี

    พ.ศ. 2468 พระนางศุภยาลัตสิ้นพระชนม์ลง ขณะอายุ 68 ปี การจัดการพระศพก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้มีพิธีรีตรองมากมาย ปัจจุบันยังมีที่ฝังพระศพอยู่ในร่างกุ้ง เจ้าหญิงพม่าเขียนจดหมายนับไม่ถ้วนถึงทางการอังกฤษ

    เพื่อขอกลับไปสู่รัตนคีรี และกลับไปหานายโคปาลผู้สามี ซึ่งไม่ได้ติดตามมาพม่าด้วย นั่นหมายถึงว่าเธอต้องสละฐานันดรศักดิ์เจ้าหญิง ไม่มีสิทธิ์ได้รับเบี้ยเลี้ยงหรือเงินทองอะไรเลยจากทางการ ในที่สุดเจ้าหญิงองค์ใหญ่ ก็ได้รับอนุญาตให้กลับไปรัตนคีรีได้ ตามต้องการ พร้อมลูกสาว ตูตู

    นายโคปาลซึ่งยังอยู่ที่อินเดีย ได้ให้เธอไปอาศัยอยู่ในกระต๊อบแห่งหนึ่ง เธอได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สองกับนายโคปาล แต่ตายเสียก่อนคลอด เจ้าหญิงพม่าอยู่ที่นั่นอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง ลำบากยากไร้แสนสาหัส จนกระทั่งเสียสติ กลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย

    เธอถึงกับขว้างก้อนหินใส่ใครก็ตามที่ไปเยือน หรือแม้แต่เดินผ่านหน้ากระต๊อบ ท้ายสุดของชีวิตเจ้าหญิงสิ้นชีพไปอย่างสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีแม้แต่ค่าทำศพ ชาวบ้านต้องช่วยกันเรี่ยไรเงินทำศพให้เธอ จนบัดนี้ก็ไม่รู้ว่าเถ้ากระดูก และอัฐิของเธอเก็บไว้ที่ไหนในอินเดียหรือว่าพม่า

    แม้ "ตูตู " เป็นหลานแท้ๆ ของกษัตริย์พม่าเกิดจากเจ้าหญิงพระธิดาองค์ใหญ่ แต่เธอมิได้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าหญิง เพราะพ่อเธอเป็นสามัญชนชาวอินเดีย แถมตัวเธอก็เกิดมาโดยพ่อแม่มิได้สมรสกัน ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษในอินเดียจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รับรู้ตัว ตนของ "ตูตู"

    เมื่อโตเป็นสาว เธอพยายามร้องขอเบี้ยหวัดเงินปี ของพระราชวงศ์ จากทางการในฐานะเธอเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ข้าราชการอังกฤษในอินเดียให้ "ตูตู" ไปหาหลักฐานมาแสดง แล้วจะให้ "ตูตู" ไปหามาจากไหน พ่อแม่ไม่มีทะเบียนสมรส แม่ก็ตายไปแล้ว เธอก็เลยถูกมองเหมือนเป็นพวกแอบอ้างคนหนึ่งเท่านั้นเอง

    "ตูตู" ใช้ชีวิตในอินเดีย เธอได้สามีเป็นชาวอินเดีย ชื่อ ศังการ์ ปาวาร์ มีลูกกันหลายคน ครอบครัวอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดหรือเรียกง่ายๆว่า "สลัมในเมืองบอมเบย์ " ( ปัจจุบันคือเมืองมุมไบ ) มีลูกมีเต้าก็แยกย้ายกันไปเมื่อออกเรือน ทุกคนล้วนใช้ชีวิตอย่างลำบากยากจน และเป็นชาวอินเดีย ไม่มีวัฒนธรรมพม่า เว้นแต่หน้าตาที่ยังมีเค้าพม่าอยู่บ้าง

    ในปี พ.ศ.2521 ตูตู ทำเรื่องขอเบี้ยหวัดจากทางการอีกครั้ง คราวนี้ รัฐบาลพม่าอนุญาตจ่ายให้ แต่เป็นเงินจำนวนไม่ได้มากนัก เธอเคยทำหนังสือขอไปยังรัฐบาลอินเดีย เพื่อขอไปพำนักยังตำหนักรัตนคีรี บ้านเดิมที่เธอกำเนิดมา แม้ค้างได้แค่คืนเดียวเธอก็พอใจแล้ว มันคือความฝันของเธอ

    แต่รัฐบาลอินเดีย ก็ไม่ได้อนุญาตตามคำขอ จนแล้วจนรอดหลังจากทำเรื่องไปไม่กี่เดือน"ตูตู"ถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. 2542 ด้วยวัย 93 ปี ในโรงรถ ซึ่งดัดแปลงเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของเธอกับลูกชาย ที่สุดแล้วเธอก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปนอนที่บ้านเก่า เพื่อระลึกถึงวันดีๆ ที่อยู่พร้อมหน้าครอบครัวของเธอ

    บุญญาบารมี และพระบรมเดชานุภาพ ด้วยพระเกียรติก้องแห่งพระมหากษัตริย์ไทย เป็นฉันใด อยู่เหนือการลบหลู่ และผู้คิดล้มล้างจะมีผลรุนแรง เป็นภัยร้ายต่อตนเองและครอบครัว แม้ในประวัติศาสตร์พม่าเอง ที่เป็นผู้ที่รุกรานสยาม บดขยี้กองทัพอยุธยา ปล้นสะดมกรุงศรีอยุธยา ปลดกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์ ยังยอมรับในผลกรรมนี้

    ผลที่ต้องได้รับ ก็ดังคำของพระเจ้าสีป่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายพม่า นั่นแหละที่รำพันถึงพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ว่า “ บัดนี้ พวกเขากลับได้นอนพำนักในพระราชวังบัคกิงแฮม ขณะที่พวกเราถูกฝังจมราบ อยู่ในกองมูลสัตว์เยี่ยงนี้ “

    เพื่อความเข้าใจ และการเรียนรู้ บางทีการทำความเข้าใจเรื่องของคนอื่นๆ ก็ทำให้เรารู้จักรากเหง้าชนชาติเราเองมากขึ้น และเทียบเคียงได้ว่าชาติตะวันตกเขามีวิธีการทำร้ายชาติอื่นอย่างไร ในการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ของประเทศต่างๆ และผลกรรมของกษัตริย์พม่า ที่รุกรานอาณาจักรสยาม

    พม่าเสียเมืองให้อังกฤษ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ช่วงนั้นพระองค์ทรงอดทนกล้ำกลืน กับการต้องเสียดินแดนให้กับอังกฤษ และฝรั่งเศสไปหลายครั้ง ใครที่คิดว่า ไทยถ้าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ก็คงจะดีกว่านี้ ก็ขอให้ดูพม่าเป็นตัวอย่าง

    เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรามีโอกาสรู้ว่า กษัตริย์พม่าองค์สุดท้ายคิดอย่างไร ต่อพระมหากษัตริย์ไทย ขณะนั้น คือ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

    คนไทยโชคดีเหลือเกิน ที่ได้เกิดบนแผ่นดินไทย ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารแห่งพระมหากษัติย์ไทย ที่ผ่านมาทั้ง 52 พระองค์ ควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ที่ทรงปกปักผืนดินนี้ให้เราอยู่อย่างมีเอกราช มาจนถึงทุกวันนี้

    เราควรดูแลและปกป้องร่มเงาของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่หาใหม่ที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ไว้สืบต่อไปอีกตราบนานเท่านาน


    [​IMG]

    @ เสธ น้ำเงิน3
    http://www.facebook.com/topsecretthai
     
  6. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 22 ต.ค. 57 พลังแห่งความมุ่งมั่น และศรัทธา ขอจงสำเร็จดังหวัง

    ลุงสอิ้ง หาญประโคน อายุ 63 ปี เดินเท้าออกจากบ้านเกิดที่ จ.แพร่ มุ่งหน้าสู่ รพ.ศิริราช กรุงเทพมหานคร เพื่อลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นจะรักษาศีล 5 อย่างต่อเนื่อง

    ระหว่างทางทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง มูลนิธิต่างๆ ให้การดูแลความปลอดภัยอย่างดี ป้องกันเสื้อแดงล้มเจ้าทำร้าย และมีประชาชนระหว่างทางแบ่งปันข้าวปลาอาหารให้ลุงสอิ้งตอดเวลา

    เช้าวันนี้ลุง ถึงจังหวัดปทุมธานี ทางจังหวัดได้จัดให้คุณลุงได้ถวายสักการะแด่สมเด็จย่า ล่าสุดบ่ายนี้ ลุงถึงโรงพยาบาลศิริราชแล้ว พร้อมลงนามถวายพระพร และ สักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    สมความตั้งใจ และสร้างความปราบปลื้มใจแก่คุณลุงยิ่งนัก ในพลังแห่งความมุ่งมั่น และศรัทธา ลุงจะอายุยืนยาวไปอีกหลายสิบปี..ทั้งลุงยังได้พิสูจน์สัจธรรมของชีวิตของชายหลายคน ที่ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก

    - คนแรก คนแดนไกล จบ ป.เอก อายุ 66 ปี หมิ่นเจ้า จนบัดนี้แผ่นดินเกิดก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัส ต้องระหกระเหินหนีคดี ทุกข์ทรมาณ ไปจนกว่าชีวิตจะสิ้นลม

    - คนที่สอง รองโรมานอฟ จบ ป.เอก อายุ 65 ปี หมิ่นเจ้า ตายในต่างแดน กลับมาแต่ร่างไร้วิญญาณ คนสาบแช่งตามหลังทั้งประเทศ

    - คนที่สาม ชายจบปริญญาโท อายุ 67 หมิ่นเจ้า ด้วยการเขียนด่าห้องน้ำห้าง จำคุกไปแล้ว

    - ชาย และ กึ่งชายอีกหลายคน ความรู้สูง เช่น มือปืนสิบล้านกระบอก , เจ้เพ็ญ , ตั้ง , โกเต็ก ฯลฯ หมิ่นเจ้า จนบัดนี้แผ่นดินเกิดก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัส ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ยอมลดศักดิ์ศรี เข้าไปอยูในเป้ากางเกง ให้ฝรั่งคุ้มครอง

    - แก็งค์สารพัดสัตว์ หมิ่นเจ้า คดีความเป็นสิบ เป็นร้อย อีรุงตุงนังเต็มศาล ตัดสินแล้วบ้าง อุธรณ์บ้าง ฎีกาบ้าง สู้คดีอยู่บ้าง ทหารหมุนเวียนแวะไปตรวจบ้านแทบทุกวัน ขยับไม่ออก แถม คางคกเป็นโรคร้ายแรงอวัยวะภายใน , ใส้เดือนลูกติดยา ฯลฯ

    คนสุดท้าย ลุงสอิ้ง อายุ 63 ปี จบ ป.4 จงรักภักดี ถือศีล คนชื่นชม ให้การช่วยเหลือ ให้เกียรติสูงส่ง ลูกหลานวงศ์ตระกูล ภูมิใจมีบรรพบุรุษเป็นลุงสอิ้ง มีเกียรติจารึก ไปอีกหลายชั่วอายุคน

    ความดี และเกียรติ ไม่ได้หายากหรอก แค่ศรัทธา และจงรักภักดี อย่างจริงใจ เท่านี้ชีวิตจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน3
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  7. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 23 ต.ค.2557 หลักฐานผู้ต้องหาพม่า คดีเกาะเต่าไม่พลิก ยึด DNA เป็นหลัก

    อัยการจังหวัดเกาะสมุย (เรียกตามกฎหมายไทย) ระบุว่า หลังจากทนายของผู้ต้องหาทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้กับสองผู้ต้องหา โดย “อ้างว่า” ถูกบังคับให้รับสารภาพ และผู้ต้องหาพม่าฆ่าชาวอังกฤษกลับคำให้การนั้น

    เรื่องนี้ ความสำคัญของพยานหลักฐานในคดี ไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การปฏิเสธหรือรับสารภาพ แต่ความสำคัญของหลักฐานในคดี “ อยู่ที่ผลทางนิติวิทยาศาสตร์ คือผลการตรวจ DNA “ ซึ่งจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เป็นคนลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ ขณะนี้ทางอัยการ ต้องประชุมหารือกันในส่วนของอัยการก่อนจะสรุปสำนวนส่งฟ้องศาล

    ตอนนี้ ทางตำรวจได้มีการนัดหมายตัวแทนอังกฤษ เข้ามาเป็นสักขีพยานในรายละเอียดคดี และเครื่องมือในการตรวจพิสูจน์ ของสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

    โดยมีหัวหน้าตำรวจ ประจำสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และตัวแทนตำรวจอังกฤษเข้ามาสังเกตการณ์ขั้นตอนการสืบสวน และเครื่องมือตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน และ DNA แต่ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง สำนวนการสอบสวนที่อยู่ในชั้นอัยการ

    ส่วน พ่อ แม่ และลุง ผู้ต้องหาพม่า 2 คน ที่ฆ่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเดินทางมาถึงประเทศไทย และขอความเป็นธรรม นั้น ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่ญาติสามารถทำได้ แต่ขณะเกิดเหตุ ญาติอยู่ที่พม่า และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์การฆ่า จึงไม่สามารถเป็นพยานตามกฎหมายไทยได้

    และตอนนี้ทางการอังกฤษ ถึงขนาดเดินทางไปพบที่ศูนย์สื่อมวลชนไทย และแถลงว่าสื่อมวลไทยเสนอข่าวเว่อร์ แถมไม่ให้เกียรติผู้ตายและญาติ มีการนำภาพผู้ตาย มาทำซ้ำและเสนอข้อมูลที่ทำให้คนอังกฤษเข้าใจผิดต่างๆ มากมาย

    สรุป..สถานการณ์ทางคดีนี้ย่อๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ

    1. ทางการอังกฤษตำหนิสื่อมวลชนไทยที่เสนอข่าวและภาพเว่อร์ และไม่ให้เกียรติผู้ตายและญาติ

    2. ตำรวจและผู้เชี่ยวชาญของอังกฤษมาช่วยเป็นสักขีพยาน ขั้นตอนการตรวจ DNA ของทางการไทย ยิ่งจะทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีกในสากล

    3. ความสำคัญของพยานหลักฐานในคดี ไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การปฏิเสธหรือรับสารภาพ แต่อยู่ที่ผลทางนิติวิทยาศาสตร์ คือผลการตรวจ DNA เป็นหลัก

    4. ญาติผู้ต้องหาพม่าที่เดินทางมาถึง ไม่สามารถเป็นพยานในคดีได้ เพราะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่สามารถเข้าฟังการพิจารณาคดีได้ทุกนัด เหมือนประชาชนทั่วไป

    5. การที่ผู้ต้องหากลับคำให้การ ถือเป็นเหตุการณ์ที่พบได้ในทางคดี เพราะจะถูกชักจูงโดยทนาย เพราะค่าจ้างทนายสู้ความอีกหลายปี เป็นเงินอีกหลายล้านบาทที่จะต้องจ่าย

    6. นับแต่นี้ใครคิดว่าผู้ต้องหาพม่าไม่ผิด ก็นำหลักฐานไปให้ทนายความผู้ต้องหาได้ เพราะการโพสทางอินเตอร์เน็ต ไม่มีผลแก้ต่างความผิดในศาลได้

    ตามกฎหมายไทยนั้น กระบวนการยุติธรรมจะตัดสินกันในศาล ด้วยพยานและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ (กรณีนี้คือ DNA) เราไม่ตัดสินกันด้วยความสงสัยกันทางอินเตอร์เน็ต หรือเขาว่ามา เพราะแบบนั้นไม่ยุติธรรม และสากลไม่ยอมรับ

    คดีนี้ถึงจะมีการกดดันจากกลุ่มใต้ดินอย่างไร สุดท้ายก็ต้องขึ้นสู่ศาล และ DNA จะนำมาเป็นประเด็นสำคัญในการตัดสินคดี และผลตรวจ DNA ผู้ต้องหา กับน้ำอสุจิในช่องคลอดผู้ตายนี่แหละ จะให้ความยุติธรรมกับผู้ตายชาวอังกฤษ และให้ความยุติธรรมกับผู้ต้องหา และ ญาติ

    นั่นเพราะ DNA เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นหลักฐานสากล ที่เอาฆาตรกรทั่วโลก มาลงโทษจำคุกและประหารชีวิตมานับไม่ถ้วนแล้ว

    เมื่อผู้ต้องหากลับคำรับคำสารภาพ ท้ายที่สุดเมื่อตัดสินคดีถึงที่สุด ย่อมไม่สามารถลดโทษกึ่งหนึ่งได้ งานนี้กำลังมีคนยุผู้ต้องหาและญาติ “ ให้ถูกประหารชีวิต” แทนการจำคุกนั่นเอง


    @ เสธ น้ำเงิน2
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  8. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 22 ต.ค.2557 ไขปริศนา..เปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานปิโตรเลียม ไทยเสียประโยชน์จริงหรือ ?

    พ.ศ. 2464 (ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ) เริ่มมีการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย โดยเป็นการสำรวจหาน้ำมัน เพื่อเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถไฟ ในระยะแรกดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเท่านั้น

    พ.ศ. 2504- 2507 มีเอกชนจากต่างประเทศ มาขอดำเนินการสำรวจปิโตรเลียมบนบก จึงได้มีการให้สิทธิการสำรวจไปภายใต้กฏหมายว่าด้วยเหมืองแร่

    พ.ศ. 2510 มีการสำรวจปิโตรเลียมในประเทศไทยกันอย่างจริงจัง ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นมีนโยบายที่จะส่งเสริม ให้เอกชนมาลงทุนสำรวจหาปิโตรเลียมในประเทศ จึงได้เลือกระบบสัมปทานซึ่งจูงใจให้มีการมาลงทุน และได้ร่างกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมขึ้นมา เพื่อใช้กับการให้สัมปทานปิโตรเลียม โดยเฉพาะแทนการใช้กฏหมายเหมืองแร่

    ประเทศไทย ต้องนำเข้าพลังงานมากมายมหาศาล มูลค่าปีละกว่า 1.2 ล้านล้านบาท โดยนำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 85% และก๊าซธรรมชาติประมาณ 15% ของความต้องการใช้ภายในประเทศ ในขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้า ต้องพึ่งก๊าซธรรมชาติเกือบ 70% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตทั้งหมดของประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    ซึ่งสวนทางกับปริมาณสำรองที่ต่ำลงเรื่อยๆ หากไม่สามารถจัดหาปริมาณสำรองเพิ่มเติมเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวได้ ไทยอาจต้องเผชิญกับวิกฤติพลังงาน หรือต้องสูญเสียเงินตราในการนำเข้าพลังงานในรูปแบบอื่น ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง

    หากประเทศไทยอยู่เฉยๆ ก็จะเจอความเสี่ยงในสถานการณ์โลกร้อนระอุแบบนี้ ไม่รู้จะเกิดสงครามวันไหน บางกลุ่มเว่อร์มากจะขอส่วนแบ่ง 70-80% ของรายได้ ใครจะกล้ามาลงทุนในประเทศเราและเอารายได้เพียงเท่านั้น

    ถ้าประเทศเรามีทรัพยากรเป็นแหล่งใหญ่ติดอันดับโลก แบบเดียวกับ ซาอุฯ อิรัก หรือ เวเนซูเอล่า ก็อาจตั้งเงื่อนไขต่อรองได้สารพัด (ถ้าไม่โดนมะกันก่อการร้ายแยกประเทศเสียก่อน)

    ดังนั้นเราต้องเตรียมความพร้อมรับอนาคต ถ้าค้นพบแหล่งพลังงานใหม่ในประเทศ ก็จะลดการนำเข้าจากต่างชาติ ประหยัดเงินตรา และรัฐก็มีรายได้ปีละหลายแสนล้านบาท นำไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เสริมกับรายได้ทางอื่นๆ

    การจะตั้งเงื่อนไขในการขอแบ่งปันผลประโยชน์ ก็ต้องตั้งอย่างสมเหตุสมผลไม่ให้เสียเปรียบกลุ่มทุนต่างชาติเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ที่เป็นไปไม่ได้ด้วย ซึ่งหากทอดเวลาผ่านไป แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไปก็จะทำให้ไทยเสียโอกาส ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า

    หากเรามัวแต่ทะเลาะเบาะแว้ง ขัดแข้งขัดขากันเอง ไม่ค้นหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ในอนาคตที่เราอาจต้องนำเข้าพลังงาน 100% คนที่ออกมาโวยวายอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่ถึงตอนนั้น คนไทยทั้งชาติก็เดือดร้อนไปแล้ว เพราะต้องยืมจมูกต่างชาติหายใจ

    เพื่อเป็นทางออกของประเทศโดยการเพิ่มโอกาสในการค้นหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ บิ๊กตู่ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และกรรมการมีมติเห็นชอบเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในพื้นที่จำนวน 29 แปลง

    ประกอบด้วย แปลงบนบก 23 แปลง แบ่งเป็น ภาคเหนือและภาคกลาง 6 แปลง พื้นที่ 5,458.91 ตร.กม. และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 17 แปลง พื้นที่ 49,196.40 ตร.กม. ส่วนแปลงในทะเลอ่าวไทย 6 แปลง พื้นที่ 11,808.20 ตร.กม.

    จึงประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจ ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งนี้ ผู้สนใจต้องมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย คือ เป็นบริษัทที่มีทุน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และผู้เชี่ยวชาญเพียงพอที่จะสำรวจ ผลิต ขาย และจำหน่ายปิโตรเลียม สามารถยื่นเอกสารหลักฐานภายในวันที่ 18 ก.พ.58 (รวมระยะเวลา 120 วัน นับจากวันลงนามในประกาศ)

    บางคนสงสัยว่าทำไมรัฐบาลไม่ทำเอง?? ในโลกแห่งความเป็นจริงในสากลทั่วโลก รัฐบาลไม่สามารถทำทุกอย่างเองได้ 100% ทำได้เพียง ” ร่วมลงทุนในรัฐวิสาหกิจ” ที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อประชาชนเท่านั้น

    เช่น การผลิตยา (องค์การเภสัช) , ผลิตไฟฟ้า (กฟฝ.) , ผลิตประปา (กปภ.) , การบิน (การบินไทย) , รถไฟ (การรถไฟ) , รถประจำทาง ( บขส.) , รถเมล์ (ขสมก.) , พลังงาน (ปตท.) , โทรศัพท์ ( CAT, TOT) , ธนาคาร (กรุงไทย , ธอส.) และอื่นๆ รวมกันราว 58 รัฐวิสาหกิจ

    เพราะหากรัฐต้องลงทุนทำเองทุกอย่าง ระบบราชการจะโตมากๆ เช่น อาจมี กรมทำถนน, กรมชุดคลอง , กรมก่อสร้าง , กรม...ฯลฯ แล้วจะให้เอกชนเขาไปทำอะไร ?? และจะเกิดการจ้างงานภาคเอกชนได้อย่างไร ??

    1. ข้อแตกต่างของการเปิดให้ยื่น ขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมครั้งนี้ กับการเปิดสัมปทานที่ผ่านมา คือ

    1.1 การหลีกเลี่ยงพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1A เขตอนุรักษ์และรักษาพันธ์สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

    1.2 ใช้ระบบ “ไทยแลนด์ทรีพลัส “ ซึ่งเพิ่มผลประโยชน์จากระบบเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2532 ประกอบด้วย

    - การเก็บค่าภาคหลวงในอัตรา 5 -15% จากรายได้การขายปิโตรเลียม
    - การเก็บเงินภาษีเงินได้ 50% จากกำไรสุทธิ
    - การเรียกเก็บเงินผลตอบแทนพิเศษ หรือ Special Remuneratory Benefit (SRB)

    1.3 เมื่อมีกำไรหลังคืนทุนแล้ว หรือ เมื่อราคาน้ำมันดิบ อยู่ในระดับสูงตามหลักเกณฑ์ที่รับกำหนด จะต้อง

    - สนับสนุนเงินเพื่อการศึกษาและพัฒนาท้องถิ่น (ช่วงสำรวจไม่น้อยกว่าปีละ 1 ล้านบาท และช่วงผลิตไม่น้อยกว่าปีละ 2 ล้านบาท)
    - ให้บริษัทไทยเข้าร่วมประกอบกิจการในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 5
    - ต้องใช้สินค้าและบริการในประเทศไทย เป็นอันดับแรก

    1.4 จัดเก็บผลประโยชน์เพิ่มเติมถึง 2 ส่วนสำคัญ คือ

    - การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือ Signature Bonus เมื่อมีการลงนามกับเอกชนที่ได้รับสัมปทาน ( ราว 2 -10 ล้านบาท ตามขนาดพื้นที่และจุดพิกัด) แม้ว่าจะสำรวจพบ หรือ ไม่พบปิโตรเลียม
    - การเรียกเก็บผลประโยชน์เพิ่มเติม เมื่อเอกชนสามารถผลิตได้ตามเกณฑ์ที่รัฐ กำหนด หรือ Production Bonus เช่น เมื่อขายสะสมถึง 10, 20 และ 30 ล้านบาร์เรล จะต้องจ่ายครั้งละ 200 - 400 ล้านบาทให้รัฐ

    2. ผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ จากการให้สิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รอบใหม่ ได้แก่

    2.1 หากมีผู้มายื่นขอสิทธิทุกแปลงที่เปิดครั้งนี้ จะก่อให้เกิดการลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท (จากข้อผูกพันขั้นต่ำที่กำหนดเงื่อนไขในสัมปทาน)

    2.2 สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศในรูปแบบค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ผลประโยชน์โบนัสพิเศษในเงื่อนไขต่างๆ เพื่อนำไปพัฒนาท้องถิ่น (อบจ., อบต.) ในพื้นที่ผลิตโดยตรง

    2.3 การจ้างงานในธุรกิจสำรวจและผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 20,000 อัตรา

    2.4 การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพราะหากสามารถเดินหน้าให้สิทธิสำรวจและปิโตรเลียม และมีผู้สนใจลงทุนและได้รับสิทธิตามการเชิญชวนครั้งนี้ ประเทศไทยมีโอกาสค้นพบก๊าซธรรมชาติ 1-5 ล้าน ลบ.ฟุต และน้ำมันดิบ 20-50 ล้านบาร์เรล

    โดยเฉพาะพื้นที่ทะเลอ่าวไทยจำนวน 6 แปลง ที่เชื่อมต่อกับแหล่งเอราวัณ แหล่งบงกช แหล่งอาทิตย์ น่าจะมีการแข่งขันกันสูงมาก ทำให้การเปิดการสำรวจสัมปทานปิโตรเลียมรอบนี้ จะมีเงินลงทุนเบื้องต้น 3 ปีแรกของการสำรวจ 1,000 -1,500 ล้านบาทต่อแหล่ง หากพบแหล่งก๊าซหรือน้ำมัน จะต้องลงทุนเพิ่มนับแสนล้านบาท

    ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยหลายสิบราย ที่เป็นผลพวงจากนักการเมืองในอดีต แต่มีผู้ผลิตรายใหญ่ ๆ คือ

    - กลุ่มบริษัท ปตท.สัดส่วน 27%
    - กลุ่มเชฟรอนจากชาติตะวันตก ประมาณ 32%
    - กลุ่มเล็กๆ รายอื่นๆ เช่น เพิลล์ออย , ทีพีไอ ฯลฯ รวมกัน 41%

    โดยที่ผ่านมากลุ่มเชฟรอน จะลงทุนในแหล่งอุบล เพิ่ม หลังลงทุนในไทยไปแล้วกว่า 9.9 แสนล้านบาทไปแล้ว

    สรุป..การดำเนินงานครั้งนี้ อธิบายเพื่อความเข้าใจง่ายๆ

    1. โลกเรายุคนี้สถานการณ์ไม่แน่นอน ประเทศมหาอำนาจจ่อจะทำสงครามกัน เกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ ไทยจึงต้องจัดหาปริมาณสำรองเพิ่มเติม โดยเพิ่มโอกาสในการค้นหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว

    ไม่เช่นนั้นไทยอาจต้องเผชิญกับวิกฤติพลังงาน หรือต้องสูญเสียเงินไหลออก ในการนำเข้าพลังงานจากต่างชาติ..ไทยไม่ต้องการยืมจมูกต่างชาติหายใจว่างั้นเถอะ

    2. เป็นการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานปิโตรเลียม “ ยังไม่ใช่การให้สัมปทานโดยไม่สำรวจ” ตามที่มีบางกลุ่มปล่อยข่าวยุยง ให้ประชาชนสับสนและแตกแยก โดยเป็นพื้นที่บนบก 23 แปลง (ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคอีสาน) และพื้นที่ในทะเลอ่าวไทย 6 แปลง

    นั่นหมายความเป็นภาษาชาวบ้านว่า “ เป็นพื้นที่ใหม่” ที่ยังไม่เคยได้รับอนุญาต ให้สำรวจมาก่อน ซึ่งอาจจะมีน้ำมันเพียงพอลงทุน หรือสำรวจแล้ว ไม่คุ้มค่าต่อการขุดเจาะเลยก็ได้ “ ไม่มีใครสามารถการันตี “ ผลการสำรวจนี้ได้ ผู้ยื่นขอสำรวจแหล่งต้องรับความเสี่ยงเอาเอง

    เปรียบเทียบ เหมือนเจาะขุดบ่อบาดาล ผู้รับอนุญาตสำรวจต้องจ่ายเงินกินเปล่า ให้เจ้าของที่ดินมาก่อน ถ้าเจาะแล้วน้ำบาลไม่ออก หรือมีน้อย ก็เจ๊งไป เจ้าของที่ไม่รับผิดชอบ , แต่ถ้าน้ำบาลดาลออก ก็ต้องจ่ายค่าผลประโยชน์อีกจิปาถะให้เจ้าของที่ดิน

    3. ครั้งนี้เปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานแปลงใหม่ “ ไม่ใช่การต่อสัญญาให้กับแหล่งเดิม “ ตามที่บางกลุ่มกำลังทำให้ประชาชนสับสน ต้องทำความเข้าใจตรงนี้เสียก่อน ไม่งั้นจะไปยึดติด กับข้อมูลเดิมๆ จนหลงทางไป

    4. รูปแบบรอบนี้ จะใช้ระบบ “ ไทยแลนด์ ทรี พลัส” ไม่ใช่ระบบสัมปทาน ตามที่มีบางกลุ่มยุยงประชาชนให้เข้าใจผิด ซึ่งมีรายละเอียดโดยย่อ คือ

    4.1 การเปิดแหล่งพลังงานในรอบที่ผ่านมา สมัยนักการเมือง คือ “ การให้สัมปทาน” เฉยๆ ผู้รับสัมปทาน จะจ่ายค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และค่าตอบแทนพิเศษตามกฎหมาย ขณะยุคนักการเมืองนั้นๆ ( ที่ผ่านมา มีกฎหมายที่ใช้มาแล้ว 3 ฉบับ 3 ยุค)

    4.2 ครั้งนี้มีเงื่อนไขการให้ผลประโยชน์ประเทศไทยเพิ่ม อีกหลายด้าน เช่น

    - จ่ายเงินให้เปล่าให้รัฐแปลงละ 2 -10 ล้านบาท (ตามขนาดพื้นที่และจุดพิกัด)
    - เมื่อขายสะสมถึง 10, 20 และ 30 ล้านบาร์เรล จะต้องมีส่วนแบ่งปันผลผลิต จ่ายให้รัฐ ครั้งละ 200 - 400 ล้านบาท
    - ต้องมี “บริษัทไทย” ร่วมประกอบการกว่า 5 %..เรากำลังกู้ศักดิ์ศรีชาติคืนมา
    - ต้อง “ใช้สินค้าและบริการของไทย” เป็นอันดับแรก..เรากำลังทำให้สินค้าไทยหมุนในตลาด
    - เงินลงทุนเบื้องต้น 3 ปีแรกของการสำรวจ 1,000 -1,500 ล้านบาทต่อแหล่ง
    - หากพบแหล่งก๊าซหรือน้ำมัน จะต้องลงทุนเพิ่มนับแสนล้านบาท

    5. พื้นที่เปิดสำรวจฯ ครั้งนี้ ในอ่าวไทย ทั้งหมด 6 แปลง บางแปลง เป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่พิพาทด้านพลังงานระหว่างไทย กับ กัมพูชา ทำให้ที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลเลือกตั้ง ไทยจึงทะเลาะเบาะแว้ง ก่อสงครามกับพูชาตลอดมา และทั้ง 2 ประเทศ มีแต่เสียหาย และไม่มีใครได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่แปลงนั้นเลย เป็นการเสียโอกาสอย่างรุนแรงที่สุด

    เพื่อไม่ให้เกิดสงครามสู้รบระหว่างไทย กับ กัมพูชา อีกการพื้นที่เปิดสำรวจฯ ครั้งนี้ จึงได้เว้นส่วนที่เป็นข้อพิพาทไว้ “ ไม่ใช่หมายความว่าไทยยอมรับพื้นที่พิพาทไม่ใช่ของเรา” อย่างที่บางกลุ่มเป่าหูประชาชน ไม่เกี่ยวกับการไทยเสียพื้นที่ใดๆ ให้กับกัมพูชาได้ทั้งสิ้น

    ในส่วนพื้นที่พิพาททับซ้อนกันในทะเล รัฐบาลทั้งสองประเทศ ก็ต้องเจรจาหาข้อยุติร่วมกันในอนาคตต่อไป จะมาตี มาต่อย ทำสงครามกัน ให้ทหาร และประชาชน บาดเจ็บล้มตายกันไปตายทำไม แค่กลุ่มติดอาวุธแดง นปช. และกลุ่มก่อการร้ายภาคใต้ ฆ่าประชาชน ก็มากพออยู่แล้ว

    6. จะมีการจ้างงานในธุรกิจสำรวจและผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 20,000 อัตรา ซึ่งจะส่งผลให้บันฑิตจบใหม่ของไทย มีงานทำและเกิดความมั่นคงในครอบครัวพวกเขา อีกหลายแสนคนตามมา แล้วถ้าลูกหลานของท่าน ได้งานดีๆ แบบนี้ไม่ดีดอกรึ ??

    7. ครั้งนี้ “ไม่ใช่การเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนต่างประเทศ เข้ามาผูกขาดสัมปทาน” น้ำมันในประเทศไทยในระยะยาว ตามที่มีกลุ่มหลอกลวงประชาชน แต่เป็น “ความพยายามลดสัดส่วนกลุ่มทุนต่างประเทศลง “ จากผลพวงของฝีมือนักการเมืองในอดีต

    แล้วเปิดโอกาสให้ “บริษัทไทย ได้ร่วมประกอบการเพิ่มมากขึ้น” เสียอีกด้วย ตามเงื่อนไขกติกาใหม่ ซึ่งเป็นความจริงที่ตรงกันข้ามกับที่บางกลุ่มให้ข้อมูลประชาชน ดังนั้นภาคประชาชนในไทย ถ้ามีเทคโนโลยีถึง แต่ทุนไม่ถึง

    ก็สามารถระดมทุนรวมกันหลายๆ แห่ง ในรูปแบบกลุ่มบริษัทร่วมทุนคนไทยล้วนๆ จะตั้งเป็นบริษัทสามทหาร หรืออะไรก็ได้ แล้วขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานปิโตรเลียมรอบนี้ได้..นี่คือวิธีการที่เราจะชิงส่วนแบ่งคนไทยคืนมาจากต่างชาติ..ไม่ดีดอกรึ !!

    เมื่อได้สิทธิในแหล่งใด ก็เท่ากับบริษัทไทยนั้นๆ มีสิทธิเท่ากับกลุ่มทุนจากต่างชาติ เป็นการแข่งขันโดยเสรี ที่ไม่ผิดกฎการค้าของโลกด้วย ซึ่งในครั้งนี้อาจมีบริษัทคนไทยได้รับสิทธิการสำรวจจำนวนหลายแปลงก็ได้ นี่คือข้อแตกต่างจากระบบเดิมที่ผ่านมาแบบฟ้ากับเหว

    “ ในอดีตที่ผ่านมา” กลุ่มบริษัท ปตท. ไม่ใช่ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมรายใหญ่ ตามที่มีบางกลุ่มหลอกประชาชน เพราะมีสัดส่วนเพียง 27% เท่านั้น และ ปตท. ก็ต้องจะจ่ายค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และค่าตอบแทนพิเศษตามกฎหมายให้รัฐด้วย

    แต่ที่แตกต่าง คือ ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจ ต้อง “ ส่งเงินกำไรเข้ากระทรวงการคลัง” ปีละหลายหมื่นล้านบาท เงินกำไรที่เหลือ ก็ใช้ลงทุนในระบบต่างๆ เช่น การซ่อมแซมเครื่องจักร ฯลฯ โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐ

    แต่สัดส่วนกลุ่มผู้รับสัมปทานรายใหญ่ มากถึง 73 % (เชฟรอน จากชาติตะวันตก 32% และกลุ่มเล็กๆ รายอื่นๆ อีก 41% ) กลุ่มพวกนี้ ระบบสัมปทานในอดีต จ่ายเฉพาะค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และค่าตอบแทนพิเศษตามกฎหมายเท่านั้น

    เขา “ ไม่ต้องส่งเงินกำไรเข้ากระทรวงการคลัง” เหมือนรัฐวิสาหกิจไทย ??..แล้วมันดีกับประเทศไทยตรงไหน เมื่อเปรียบเทียบกับ รัฐวิสากิจไทย ที่มีบางกลุ่มรับเงินจากกลุ่มทุนพลังงานต่างชาติมา แล้วโจมตีรัฐวิสาหกิจไทย อย่างหนักหนา..ขี้ไม่มีวันดีกว่าใส้หรอก

    และที่หลายคนเชื่อตามที่ถูกเป่าหู ว่าผู้ถือหุ้น ปตท. คือ คนแดนไกล และพรรคพวกนั้น..ต้องพิสูจน์ด้วยตาตนเอง “ อย่าเชื่อเขาว่ามา” วิธีการก็แค่ค้นกูเกิ้ล เข้าไปเว็ปไซต์ตลาดหลักทรัพย์ไทย จากนั้นก็เปิดดูสัดส่วนผู้ถือหุ้น ปตท..เท่านี้ท่านจะตาสว่าง แล้วหยุดคิดเรื่องนี้ตลอดไป

    การเปิดสำรวจรอบนี้ หากกลุ่มทุนใหม่ๆ บริษัทไทยได้รับสิทธิการสำรวจ มากขึ้นกว่าในอดีต และมีสัดส่วนมากกว่ายุคนักการเมืองในอดีต แบบ “ ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ “ แล้วจะไม่ดีตรงไหน ??

    แน่นอนกลุ่มทุนต่างๆ 73% ย่อมต้องการสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลไทย เพื่อต้องการสัดส่วนผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น เป็นธรรมชาติของพ่อค้า พวกเขาทำได้ง่ายๆ เหมือนทำกับชาติอื่นๆ ทั่วโลก

    คือ จัดตั้งกลุ่มขึ้นมา แบบแรก คือ ก่อการร้ายด้วยอาวุธ เหมือนในซีเรีย อิรัก อัฟกานิสถาน ฯลฯ แบบที่สองคือ “ ก่อการร้ายทางการเมือง” โดยกลุ่มทุนพลังงานต่างชาติ ให้ทุนกับกลุ่มจัดตั้งโดยตรง หรือ ให้ทุนผ่านไปทาง กองทุนบางแห่ง ในต่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก หรือ อื่นๆ

    หลักการคล้ายทุนจาก CIA ของอเมริกา ให้กับกองทุนต่างชาติ USAID แล้วนำมาจ่ายให้ขบวนการล้มเจ้าในไทย เช่น ประชาไม่ใช่ไท เพื่อทำเว็ปโจมตีเบื้องสูง หรือ กลุ่มนิติเรด เคลื่อนไหวมาตรา 112 โดยอ้างประชาธิปไตย นั่นแหละ

    แล้วกลุ่มทุนพลังงานต่างชาติ กองทุนนั้นๆ ก็ผ่านเงินมาให้กลุ่มจัดตั้งในประเทศเป้าหมาย เพื่อก่อการร้ายทางการเมือง โจมตีให้ร้ายรัฐบาลเรื่องพลังงานอีกที เพื่อต่อรองขอสัดส่วนให้กลุ่มทุนตนเอง โดยใช้กลุ่มเคลื่อนไหวในไทยเป็นเครื่องมือ

    ในการรับข้อมูลจากชาติตะวันตก แล้วปั้นข้อมูลเท็จ ขยายผลหลอกลวงประชาชนในชาติ และก่อม็อบต่างๆ ตลอดมา วิธีการแบบนี้ชาติตะวันตกทำมาตั้งแต่สมัยอยุธยา จนมาถึงปัจจุบัน เพราะมันคือ “วิธีการล่าอาณานิคมทางผลประโยชน์ “ แบบหนึ่ง

    8. ปัจจุบันระยะเวลาของสัมปทานนำมัน “ แหล่งเดิม” จะหมดลง และ “ยังไม่มีการต่ออายุสัมปทาน” ให้กลุ่มใดทั้งสิ้น และการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานปิโตรเลียม “แหล่งใหม่” ครั้งนี้ ถ้าสำรวจแล้วเจอ ก็เพื่อนำประโยชน์นั้นกลับมาเป็นของชาติ และประชาชน ทั้งชาตินั่นเอง ไม่ใช่ของนักการเมืองเหมือนสมัยที่ผ่านมา

    มันคือรายได้ของประเทศไทย และประชาชนทุกคน ที่จะเพิ่มขึ้น สามารถนำพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานประเทศ การที่บางกลุ่มเรียกร้อง “ ให้หยุดการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจไว้ก่อน “ อ้างว่าต้องแก้กฎหมายปิโตรเลียมให้เสร็จ

    ก็อีก 1 ปีไง..นั่นก็ทำเพื่อถ่วงเวลารอเวลารัฐบาลเลือกตั้ง..ถามจริงๆ นี่ยังไว้ใจนักการเมือง และยังไม่เข็ดเขี้ยว กับนักการเมืองเลือกตั้ง กันอีกหรือ !!..แล้วรู้ได้อย่างไรว่ากฎหมายพลังงาน จะออกมาทิศทางใด และ สปช.คนอื่นๆ เขาจะเห็นด้วย กับรูปแบบของ กลุ่มเคลื่อนไหว ทุนต่างชาติขณะนี้

    เจ็บปวดจากนักการเมืองมาตลอด แต่ก็ไม่เคยจำ แถมเป็นการ “ เรียกร้องให้หยุดหารายได้เข้าประเทศ” อีกด้วย เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นธรรม กับชาติตนเอง และประชาชนอย่างแท้จริง แต่กลับไม่เคยไปเรียกร้องอะไร กับนักการเมืองรัฐบาลที่ผ่านมา

    ที่ทำโครงการจำนำข้าว เจ๊งไปกว่า 8.81 แสนล้านบาท และทำกองทุนน้ำมัน จนเป็นหนี้หัวโตหลักหมื่นล้าน และยังผลักภาระ ให้กับรัฐบาลยุคนี้อยู่ขณะนี้ กว่ารัฐบาลนี้ใช้เวลา 2 เดือน แก้ปัญหาให้กองทุนน้ำมันเสมอตัวอยู่ตอนนี้ ก็แทบกระอักเลือด

    รูปแบบการสำรวจฯ “ ไทยแลนด์ ทรี พลัส” ตามรายละเอียดด้านบน เป็นระบบเฉพาะแบบใหม่ของไทยเรา ไม่เหมือนสมัยนักการเมืองขี้โกงที่ผ่านมา ที่จะให้แต่สัมปทานกลุ่มทุน..ดังนั้นกลุ่มเคลื่อนไหว ทุนพลังงานต่างชาติ อย่ามัดตรึงแขน ตรึงขา ประเทศไทยไว้กับที่ และยึดติดกับนักการเมือง ฉากหน้าประชาธิปไตย นักเลย

    ปลดปล่อยให้ประเทศชาติ ได้เดินหน้าไปได้บ้าง และหัดปลดแอกตัวเอง จากนักการเมืองเลือกตั้งขี้โกงบ้างเถอะ อย่าไปหวังลมๆ แล้งๆ อะไรจากลมปากนักการเมืองนักเลย ตอนนี้รัฐบาลอนุรักษ์นิยม ก็ลดราคาน้ำมันลง แทบทุกสัปดาห์ อยู่แล้ว

    แม้มันจะค่อยๆ ลดลงมาทีละน้อย แต่มันก็แตกต่างจากยุคนักการเมืองเลือกตั้ง ไม่ใช่หรือ ?? ตอนนี้ท่านออกไปเติมน้ำมัน ก็ลดลงมาอีกแล้ว เป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้ เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมัน กับยุครัฐบาลที่แล้ว..นี่คือผลงาน 5 เดือนของ คสช. และ 2 เดือนของรัฐบาล !!

    ที่ผ่านมาประเทศเราแย่ ก็เพราะมีเม็ดเงินจากกลุ่มทุนพลังงาน ในรูปกองทุนจากต่างชาติ มาหนุนม็อบในไทย ให้ “ ก่อการร้ายทางการเมือง” ไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่แหละ บางกลุ่มในชีวิตนี้ไม่เคยพอใจอะไรเลยสักอย่าง จะทำอะไรก็ต่อต้านไปหมด

    จะทำพลังงานจากเขื่อนก็ก่อม็อบ , จะทำพลังงานถ่านหินก็ก่อม็อบ , จะทำพลังงานจากขยะก็ก่อม็อบ , จะทำพลังงานจากนิวเคลียร์ก็ก่อม็อบ , จะทำพลังงานจากพืชเกตรก็ก่อม็อบ , จะหาแหล่งพลังงานน้ำมันใหม่ ก็จะก่อม็อบอีกแล้ว..

    คือ ก่อม็อบ รับเงินบริษัทพลังงานต่างชาติมันลูกเดียว ขอรวยไว้ก่อน โดยไม่สนใจว่าอนาคตลูกหลานจะลำบากอย่างไรว่างั้นเถอะ..ไปดูกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวพวกนี้ซิ บ้านช่องหลังใหญ่โต รถยนต์หรูหรา ฯลฯ ไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหน ? เคยสงสัยกันบ้างไหม ?

    ม็อบยกเว้นจะไม่ต้านอย่างเดียว คือ ต้านกองทุนต่างชาติ ที่ไปรับเงินเขามาจัดอีเว้นท์ในไทยนี่แหละ เมื่อไรจะเลิกเป็นทาสเศษเงินชาติตะวันตกเสียที ประเทศจะเดินหน้า แต่กลับมาเรียกร้องว่าประเทศ “อย่าเดินหน้า” ไปต่อเลย

    ขอหยุดสักปี รอแก้กฎหมายก่อน แล้วจะได้ให้นักการเมือง เขามาจัดการแหล่งพลังงาน แหม..ใช้คำพูดแฝงเป้าหมายลึกนะเนี่ย แต่ถ้ากลุ่มใดทำผิดกฎหมายก่อม็อบวุ่นวาย ก็ต้องถูกจับ เพราะหลักการง่ายๆ “ คนดีย่อมไม่ทำผิดกฎหมาย” เพราะกฎหมาย คือ กติกาที่ควบคุมสังคมไม่ให้วุ่นวาย

    ใครอยากจะหยุดรอนักการเมือง ก็นั่งหาวปากรอต่อไป เพราะประเทศไทยหยุดกับความขัดแย้งมานานกว่า 10 ปีแล้ว หยุดกึกติดกั๊ก ขัดแข้งขัดขา ประเทศไทยด้วยกันเองอยู่นั่นแหละ

    กลุ่มเรียกร้องจะให้หยุด..แต่รัฐบาลอนุรักษ์นิยมนี้คงไม่หยุด หากพิจารณาสิ่งใดก็ตามแล้วว่า จะพาประเทศไทย และประชาชน เดินหน้าต่อไปได้ และผลประโยชน์ชาติได้มากกว่าเดิมในอดีต ก็ต้องทำ

    ผูกเชือกรองเท้าแล้วต้องเดิน ไม่มีวันหันหลังกลับไปมอง ต้องเดินหน้าอย่างเดียวเท่านั้น !!


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  9. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 23 ต.ค.2557 เผยความจริงอีกมุม ที่เปิดขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานปิโตรเลียม” รอบที่ 21

    บิ๊กตู่ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และกรรมการมีมติเห็นชอบเปิดให้ยื่น “ ขอสิทธิสำรวจ และผลิตสัมปทานปิโตรเลียม” รอบที่ 21 ในพื้นที่จำนวน 29 แปลง เป็นพื้นที่บนบก 23 แปลง และพื้นที่ในทะเลอ่าวไทย 6 แปลง

    โดยรัฐบาลจะเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ภายใน 120 วันจนถึงวันที่ 18 ก.พ. 2558 คาดว่า

    - หากมีผู้มายื่นขอแปลงสัมปทานทุกแปลง จะทำให้เกิดการลงทุนในประเทศกว่า 5,000 ล้านบาท
    - จ้างงานในธุรกิจสำรวจและผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 2 หมื่นอัตรา
    - จะพบก๊าซธรรมชาติ 1-5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
    - พบน้ำมันดิบ ประมาณ 20-50 ล้านบาร์เรล

    รูปแบบการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบนี้จะใช้ระบบ “ไทยแลนด์ ทรี พลัส” ที่แตกต่างจากการเปิดสัมปทานในรอบที่ผ่านมา โดยนอกจากผู้รับสัมปทานจะจ่ายค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และตอบแทนพิเศษตามกฎหมายแล้ว ยังมีเงื่อนไขการให้ผลประโยชน์เพิ่มอีกหลายด้าน เช่น

    - จ่ายเงินให้เปล่าแปลงละ 2-10 ล้านบาท
    - เมื่อขายสะสมถึง 10 20 และ 30 ล้านบาร์เรลจะต้องจ่ายครั้งละ 200-400 ล้านบาท
    - ต้องมีบริษัทไทยร่วมประกอบการกว่า 5%
    - ต้องใช้สินค้าและบริการของไทยเป็นอันดับแรก

    มีเงินลงทุนเบื้องต้น 3 ปีแรกของการสำรวจแหล่งละ 1,000-1,500 ล้านบาท เมื่อพบแหล่งก๊าซหรือน้ำมันจะลงทุนนับแสนล้านบาท

    ใครที่สงสัยว่าราคานำมันต่อลิตรทำไมแพงจัง ทำไมแพงกว่าเพื่อนบ้าน ทำไมๆ..แบบโน้นแบบนี้ คำตอบเหตุผลสำคัญ คือ “ กฎหมายภาษีแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน “ เราลองมาดูว่า รัฐบาลเลือกตั้ง อ้างประชาธิปไตย ของไทยที่ผ่านมา เขาทำเวร ทำกรรม อะไรไว้กับคนไทย ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

    - ขั้นแรก ราคาน้ำมันที่ประกาศทุกวัน ในตลาดโลก คือ ราคาน้ำมันดิบ ( ตอนนี้ราว 90 US ) ก็ประมาณไม่เกิน 20 บาทต่อลิตร

    - ขั้นที่สอง จะบวก ดังนี้ (ภาษีสรรพสามิต + ภาษีเทศบาล + กองทุนน้ำมัน + กองทุนอนุรักษ์พลังงาน ) = ตรงนี้จะเรียกว่า " ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น " ขั้นตอนนี้ ราคาจะอยู่ที่ราว 35 บาทต่อลิตร

    - ขั้นที่สาม จะต้องบวก ดังนี้ (ภาษีมูลค่าเพิ่ม + ค่าการตลาด + แล้วบวกซ้ำ ด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มอีกเป็นรอบที่สอง) = ตรงนี้เรียกว่า " ราคาขายปลีก " ขั้นตอนนี้ ราคาจะอยู่ที่ราว 43 บาทต่อลิตร

    - ขั้นที่สี่ บริษัทน้ำมันจะบวกอีก ดังนี้ (ค่าจ้างแรงงาน + ค่าขนส่งจากคลังน้ำมัน ไปยังสถานีบริการน้ำมัน + ค่าสารปรับปรุงคุณภาพ + กำไรของปั้มน้ำมัน ) = ตรงนี้ราคาต่อลิตร ก็คือ ราคาที่คนไทยต้องจ่ายจริง ที่ปั้มน้ำมันนั่นเอง

    เมื่อเราตั้งหลักทำความเข้าใจข้อเท็จจริงสารพัดภาษีแบบนี้ เราก็จะเห็นว่า โอโห้ นักการเมืองมันช่างคิดออกกฎหมายสารพัด มาขูดรีดเราเลยนี่หว่า..เราถึงจะเริ่มไตร่ตรอง หาข้อเสนอปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับภาษีพลังงาน ที่ซ้ำซ้อนสารพัดได้

    เข้าใจหรือยังว่าทำไมคนไทยทุกคน ต้องให้ความร่วมมือ ปฎิรูปประเทศไทย..กับรัฐบาลนี้ ก็เพราะนักการเมือง เขาโหดเหี้ยม อำมหิต กับประชาชน เขาอ้างว่าเมื่อเขาได้รับเลือกตั้งแล้ว เขาสามารถตรากฎหมาย มาเก็บภาษีสารพัด กับประชาชนได้ เพราะเขามาจากประชาธิปไตย

    ท่านจ่ายค่าปกป้องประชาธิปไตย จนกระเป๋าแห้งมาหลายสิบปี รู้ความจริงตอนนี้..เจ็บปวดไหมล่ะ นี่คือความจริงที่อย่ายอมให้ใครมาเป่าหูให้เขวได้ !!


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  10. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 24 ต.ค. 57 เอาอีกแล้ว.. แพทย์อเมริกันติดเชื้ออีโบลา แถมโดนแฉซ้ำฉีดเชื้อใส่คน

    พบแพทย์ชาวอเมริกัน ใน มหานครนิวยอร์ค ติดเชื้ออีโบลาคนแรก คือ ดร.เกรก สเปนเซอร์ ซึ่งทำงานให้กับองค์กรแพทย์ไร้พรมแดน ในประเทศกินี ซึ่งมีอาการป่วย และผลการตรวจเลือดเป็นบวก

    ซึ่งยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสอีโบลา ทำให้เพิ่มความกังวลของประชาชน เนื่องจากมหานครนิวยอร์คเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา

    ดร.สเปนเซอร์ เข้ารับการกักพื้นที่เพื่อตรวจสุขภาพ ในโรงพยาบาลนครนิวยอร์ค ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามบุคคลใกล้ชิด หรือสัมผัสกับ ดร.สเปนเซอร์

    ดร.สเปนเซอร์ เป็นผู้ติดเชื้อคนที่ 4 ในสหรัฐอเมริกา คนแรกคือชายชาวไลบีเรียที่เดินมาดัลลัส มลรัฐเท็กซัส และเสียชีวิต จากนั้น แพทย์ พยาบาลอีก 2 คนที่ดูเขา ก็ติดเชื้อและมีอาการดีขึ้นแล้ว

    ตอนนี้โอบามา แทบจะไม่เป็นอันทำอะไรจนหัวหงอก เพราะกระแสตื่นกลัวโรคอีโบลา ถูกโหมประโคมทางเสื่อหลักอย่างหนัก จนเกิดแรงกดดันกับเขา จนแทบจะหยุดภาระกิจก่อกวนนอกประเทศ เช่น ยูเครน อิรัก ซีเรีย ฯลฯ

    ส่วนม็อบในฮ่องกง โดนมะกันลอยแพไปแล้ว เพราะมองไม่เห็นทางชนะจีนได้เลย แม้ม็อบสายมะกัน จะขู่ว่าจะยกพลทัพมหาศาล (200 คน) เดินเท้าจากฮ่องกง บุกไปจีนแผ่นดินใหญ่

    เล่นเอาตั่วเฮียจีน ที่กำลัง นั่งท่ามกลางภูเขาทองคำ และเงินหยวน หัวเราะจนฟันร่วงไปครึ่งปาก เพราะแค่ส่งมือดีไปไล่กระทืบม็อบสายมะกัน ไร้ประสบการณ์ และปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่เว้นแต่ละวัน ก็ระส่ำหนักแล้ว

    แถมที่ทำเนียบขาว มือดีก็เพิ่งบุกตะลุยเข้าไปเดินเล่นหน้าตาเฉยอีกแล้ว และในแคนาดา กลุ่มก่อการร้าย IS ก็เพิ่งส่งมือปืนเข้าไปยิงนายกฯ และ ครม.ที่กำลังประชุมในรัฐสภา จนวุ่นวายไปหมด

    ซ้ำด้วยมีมือดีนักวิทยาศาสตร์ของแอฟริกา ออกมาแฉ ซ้ำอีกว่ามะกันได้ทำการทดลองฉีดเชื้ออีโบลา ใส่คนจริงๆ ที่แอฟริกา จากนั้นไม่นานโรคอีโบลาก็เริ่มระบาดจาก 1 รายเป็นกว่า 10,000 ราย ในปัจจุบัน จนคุมไม่อยู่ตอนนี้

    คนเรายามคราวเคราะห์หามยามร้าย อะไรก็ไม่เป็นใจเสียเลย (^_^)


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  11. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 24 ต.ค.57 เอาแหล่ว..จีนจับมือ 21 ชาติ ตั้งธนาคารเอเซียสู้ชาติตะวันตก

    รัฐบาลจีนและอีก 21 ประเทศในภูมิภาคเอเซีย รวมถึงประเทศไทย ได้ลงนามในสัญญาจัดตั้งธนาคาร เพื่อการลงทุนในเอเชีย ณ ศาลาประชาคมในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

    โดยรัฐบาลจีนได้จัดสรรเงินทุนในการก่อตั้งธนาคารราว 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งธนาคารแห่งนี้ มีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนาโครงพื้นฐานในด้านการก่อสร้างเส้นทางและระบบขนส่ง รถไฟ แหล่งพลังงาน โรงกำเนิดไฟฟ้า

    รวมถึงเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคม ให้กับประเทศกำลังพัฒนาในเอเซีย เพื่อ ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวของเอเชีย การจัดตั้งธนาคารดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าจีน กำลังผลักดันการลงทุนในภูมิภาค

    ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ธนาคารพัฒนาเอเชีย ซึ่งมีญี่ปุ่นและชาติตะวันตกเป็นผู้กุมอำนาจ

    อินเดียและกาตาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย ขณะที่ชาติพันธมิตรของสหรัฐเช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย ไม่ได้ร่วมลงนามด้วย

    เมื่อจีน และอินเดีย ที่มีประชากรในสัดส่วน 37% ของโลกขยับ บวกกับอีก 19 ชาติเอเซียด้วย ประชากรย่อมเกิน 50% ของโลก นี่เป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากกลุ่ม BRICS ขาใหญ่ๆ ที่จะผงาดอิทธิขึ้นมาแทนชาติตะวันตก

    วันก่อนอิตาลี เพิ่งลงนามการค้ากับจีนมูลค่า 3 แสนล้านบาท เพราะทนอดอยากปากแห้ง กับอเมริกา และ EU ไม่ไหวแล้ว เพราะส่อแววจะล้มละลายตามกรีซ

    เลยขอชิ่งหนีเอาตัวไปรอด ไปหาจีนที่รวยมหาศาลเงินถุง เงินถังดีกว่า...อเมริกา..ใครๆ ก็ไม่ร็ากก...เอเซีย สู้ๆ เอเซีย สู้ตาย เอเซีย ไว้ลาย เอเซีย สู้ๆ (^_^)


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  12. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    ชาติและพระมหากษัตริย์อยู่รอดมาได้เพราะพระพุทธศาสนา
    และพระศาสนาอยู่รอดมาได้เพราะชาติและพระมหากษัตริย์

    ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ เป็นของคู่กัน
     
  13. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    จีนกำลังจะเป็นมหาอำนาจในโลก หลายประเทศก็หนาวๆร้อนๆ
    โดยเฉพาะอเมริกา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
     
  14. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 25 ต.ค. 57 แสบสันต์..จีนประมูลได้สร้างรถไฟฟ้าใต้ดินในอเมริกา? สายใหม่ของไทยเสร็จปี 64

    บริษัทซีเอ็นอาร์ คอร์ปอร์เรชั่นจำกัด บริษัทสัญชาติจีน ได้ชนะการประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟใต้ดินในสหรัฐฯ ในโครงการที่มีมูลค่าสูงถึงราว 108,800 ล้านบาท

    สำนักคมนาคมขนส่ง แห่งแมสซาชูเซส เบย์ ในสหรัฐฯ ยืนยันว่า นครบอสตัน จะนำเข้ารถไฟใต้ดิน 284 โบกี้ จากบริษัทผู้ผลิตรถไฟ ซีเอ็นอาร์ ฉางชุน ของประเทศจีน
    ก่อนที่จะชนะการประมูลในการจัดซื้อรถไฟใต้ดินจำนวน 284 โบกี้ในครั้งนี้ จีนได้มีการส่งออกอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการรถไฟฟ้าในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชีย, ยุโรป, แอฟริกา, อเมริกาใต้
    และประเทศในแถบโอเชียเนียด้วย แต่นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทจากจีนชนะงานประมูลครั้งสำคัญในสหรัฐฯ

    โห..อะไรกันนี่ หักหน้าอเมริกาอย่างแรง เพราะยิ่งรัฐบาลโอบามา พยายามจะลดการโตทางเศรษฐกิจของจีน แต่จีนดันดอดแอบไปประมูลก่อสร้างรถไฟใต้ดินที่ นครบอสตันได้ซะงั้น

    มันเป็นทางเจาะทะลวงกล่องดวงใจของมะกันแบบคาดไม่ถึงจริงๆ สัญญาณแบบนี้บริษัทก่อสร้างรถไฟใต้ดินของยุโรป และญี่ปุ่นหนาว แน่ เพราะราคาของจีนต้องถูกกว่าอย่างมาก

    ใครจะอ้างว่าไม่ได้คุณภาพดีก็ไม่ได้ เพราะขนาดมาตรฐานสูงอย่างอเมริกาที่ว่าเขี้ยว ยังซูฮกยอมรับ งานนี้ กระอักเลือดกันเป็นแถบเลย !!

    ส่วนรถไฟฟ้าสายใหม่ของไทย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่จะเริ่มก่อสร้าง ก็จะใช้งานได้ในไม่เกินปี 2564 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า และบิ๊กตู่ บอกจะต้องคอยอยู่ควบคุมกำกับให้เสร็จทันกำหนดให้ได้ เอ๊ะ..ยังไง คริคริ (^_^)


    @ เสธ น้ำเงิน1
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  15. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 25 ต.ค. 57 แฉ..ความบังเอิญไม่มีจริงในโลก และแล้วแผลก็ปริ จนน้ำเหลืองออก

    ตามที่เคยบอกไว้เสมอว่าความบังเอิญไม่มีจริงในโลก ทุกอย่างล้วนมีคนเจตนา เพียงแต่เราจะรู้หรือไม่เท่านั้น และหลักอาชญวิทยา ผู้ร้ายจะต้องทิ้งร่องรอย และข้อพิรุธใดๆ ไว้เสมอ เป็นหลักคิดปรัชญาสากล ที่ใช้ได้เสมอมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน

    ที่เพจนี้เคยบอกมานานกว่า 2 เดือน แล้วว่ามีแก็งค์ "แบ่งงานกันทำ ความเหมือนที่แตกต่าง" เนื่องจากการข่าวสายลับที่แฝงตัวเข้าไปพบว่า แกนนำอย่างน้อย 4 แก็งค์ มีการนัดหารือลับกัน ในสถานที่แห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ

    ในบรรดาแกนนำขาใหญ่เหล่านั้น ประกอบด้วย แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. , แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน , แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ , แก็งค์พิราบกระป๋อง , สื่อมวลชินแดง และมีตัวเชื่อมกลางเป็นกลุ่มทุนสายอำนาจเก่า และหวั่นเกรงเรื่องภาษีมรดก ที่จะเก็บคนรวยเอามาให้คนจน โดยทั้งหมดได้บรรลุพันธกิจหลักๆ โดยย่อ คือ

    1. หยุดพักรบ ระหว่างแก็งค์ชั่วคราว ปรองดองเฉพาะกิจ เพราะพลังแต่ละแก็งค์แยกเดี่ยวๆ ไม่พอ เนื่องจากมีประชาชนสนับสนุนรัฐบาลจำนวนมาก

    2. ร่วมกันขย่มรัฐบาลชุดนี้ ให้สั่นคลอน ตามความถนัดของแต่ละแก็งค์ โดย
    - กำหนด Agenda ให้สังคมคล้อยตามโหมกระแสให้เกินปกติ เช่น คดีเกาะเต่า , พลังงาน
    - ดิสเครดิสรัฐบาล และ คสช.ต่อสายตาชาวโลก เช่น แฝงม็อบอื่น ตีเนียนชูป้ายต้านบิ๊กตู่ ที่อิตาลี , เข้าชื่อให้ต่างชาติมาแทรกแซงไทยคดีเกาะเต่า
    - ดิสเครดิสเป้าหมายพร้อมๆ กันในประเทศ เป้าหมายหลัก คือ รัฐบาล คสช. พระสุเทพ หลวงปู่

    3. ปลุกระดมมวลชน ใช้หลักการโฆษณาชวนเชื่อ 7 วิธี คือ
    3.1 โจมตีตัวบุคคล..สร้างบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตี แล้วจับผิดทุกอย่าง โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัว และคำพูดทุกคำพูดของคนๆ นั้น รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีน่ากลัว

    จึงเกิดลัทธิ “ ด่ากราดใครก็ได้เอามันปากไว้ก่อน “ และพุ่งเป้าโจมตี บิ๊กตู่ พระสุเทพ หลวงปู่
    จับผิดทุกอย่าง ด่าทอ ต่อว่า ทุกคำพูด ไม่ว่าจะอธิบายข่าวสารทางสื่อต่างๆ สักเท่าใด แต่กลุ่มสิ่งคล้ายคนพวกนี้ ก็จะตีมึน บื้อ ไม่ฟัง เพราะตั้งธงในใจไว้แล้ว ว่าจะต้องโจมตี การอธิบายกับคนพวกนี้ ก็เสมือนสีซอให้ทุยฟังนั่นเอง

    3.2. พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก...เข้าทำนอง "น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน แล้วใจคนอ่อนๆ จะทนได้อย่างไร” พวกแกนนำแดงนี้ จะพูดกรอกหูเข้าทุกวัน แปรคนดี เป็นคนร้ายไปได้ เพราะความเป็นคนหูเบา

    จำได้ไหมตอนสมัคร สปช.กัน มีการวางแผนก่อม็อบพลังงาน โดยโจมตี คสช.เรื่องพลังงาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ทุกนาที เกลื่อนไปหมด ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่มีประเด็นอะไรเลยสักนิด จนหลวงปู่ฯ ต้องออกมาวางกับดัก เพราะเริ่มรู้ทันกลุ่มนี้ว่ากำลังจะก่อความวุ่นวาย โดยการอ้างว่าเดินให้ความรู้ประชาชน

    แล้วก็เป็นจริง เมื่อมีการรับไม้ต่อจากกลุ่มนกพิราบกระป๋อง ที่พักภารกิจนี้ ส่งไม้ต่อให้กลุ่มพลังงานทำแบบเดียวกัน แต่เป้าจริงๆ คือ การต่อรองเอาตำแหน่งเพื่อเข้าไปอยู่ใน สปช. จากนั้นเมื่อสมใจแล้ว การโจมตีเรื่องพลังงานนั้นก็หยุดหายไปเป็นปลิดทิ้งทันที..คิดตามๆ

    ส่วนแก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็สวมสอดคล้องเลย รับลูกกันอย่างเป็นระบบ เหมือนนัดกันไว้ อาศัยมีสื่อในมือ ก็มีขึ้นภาพบิ๊กตู่บ้าง ส่อเสียด ให้ร้าย เต้าข่าว อ้างว่าแหล่งข่าวมันลูกเดียว เพราะหมอนี้มันนิรนามไร้ตัวตน ใช่หมอนี้แหละอ้าง เพื่อให้ดูเสมือนว่ามีที่มาข้อมูลนะ

    ตอนนี้ถ้าใครจะสังเกต ในสื่อสังคมออนไลน์ แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน ก็จะใช้มุกเดิมอีกแล้ว คือ โจมตีเรื่องพลังงาน ตลอดวันตลอดคืน พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก เสี้ยมยุยงประชาชนเหมือนเคย สังเกตง่ายๆ ประเด็นจะเหมือนเดิม ข้อความเดิม ข้อมูลเดิมกรอกหู แต่เปลี่ยนคนโพส เปลี่ยนแค่ฉากเวลาทำซ้ำๆ เท่านั้น

    3.3. โกหกคำโต...หลักการ คือ “ ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น , ฝูงชนมหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ “ การ โกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆ เพื่อหลอกให้เชื่อ มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆ หลากหลาย

    อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟังที่ขาดเฉลียว และเมื่อผู้พูดๆ ในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย

    หน้าที่นี้จึงตกกับแก๊งค์พิราบกระป๋อง ลูกทีมเป็นพิน็อคิโอ โดยเต้าข้อมูล ข้อสงสัย เขาว่ามา มันน่าจะ เรื่องคดีเกาะเต่า โดยไม่พุ่งไปที่ DNA เพราะคือจุดตายของคดี แต่พุ่งไปที่อาวุธไม่ใช่จอบ , กล้องวงจรปิด , ใส่ความว่ามีผู้อิทธิพล หรือ กู้ภัย ร่วมกระทำผิดด้วย พยายามจะโยงถึงพระสุเทพให้ได้ โดยนำรูปถ่ายตอนทอดกฐินมา

    สร้างความน่าสงสาร มีพ่อ-แม่ ผู้ต้องหาพม่ามาเยี่ยม ตอนลงสนามบินมีคนเตรียมภาพพระฉายาลักษณ์เบื้องสูงไว้ให้ญาติถือ ให้เป็นข่าวเสร็จสรรพ , ทนายสายแดง นปช.ก็หว่านล้อมพม่าให้กลับคำสารภาพ เพื่อดึงระยะเวลาในคดี โจมตีทางการไทยไปอีกนาน ถูกเงินกว่าจ้างม็อบตั้งเยอะ

    แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็ประโคมสอดรับกับพิน็อคคิโอ โดยแต่ละฝ่ายต่างอ้างอิงซึ่งกันและกัน คือ แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ อ้างอิงพิน็อคคิโอ และ พิน็อคคิโอ ก้อ้างอิงสภาท่าพระจันทร์ ง่ายสุดๆ ..ทั้งที่คดีไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ยึด DNA เป็นหลักฐานสำคัญ และความยุติธรรมก็ไปว่ากันศาล เพราะ DNA จะให้ความยุติธรรมกับทั้ง 2 ฝ่ายเอง

    ตอนนี้แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน ก็หันมาโกหกคำโตเคลื่อนไหวพลังงาน อีกสร้างวาทะกรรมว่าไทยจะเสียหายถ้าให้สัมปทานบ้าง ขายสมบัติชาติบ้าง คุ้นๆ ไหม?? แล้วโจมตี ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจไทย ส่งผลให้บริษัทคู่แข่งต่างชาติ ที่ไม่ต้องส่งผลกำไรเข้ากระทรวงการคลัง ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ

    เพราะพวกนี้จะรู้ว่าคนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว ว่ามันเป็นเช่นนั้น แค่เสี้ยมนิดเดียวก็มีคนยอมกินฟางบุฟเฟ่แบบสบายๆ เคี้ยวเอื้องให้รับแนวคิดไปต่อได้ทันที

    3.4. สร้างสมญานาม...การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพดีเลิศ หรือ เสียหาย ที่ผ่านมาแดง นปช. และขบวนการล้มเจ้า จึงใช้หลักวิธีนี้ เช่น วาทะกรรม อำมาตย์ , วีระบุรุษประชาธิปไตย , ท่านผู้นำ , พ่อทุกสถาบัน

    แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. ก็เล่นคำอำมาตย์ อีกที และแก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็เอาบ้าง ใช้คำอำมาตย์โจมตีด้วย แล้วไปหากินกับศพรองโรมานอฟ สร้างสมญานามว่าเป็นวีระบุรุษประชาธิปไตย มีการขี้โม้ว่าระดมเสื้อแดงมางานเผาศพรองโรมานอฟ 50,000 คน

    พอวันจริงขาด 50,000 คนไปแค่ 49,000 คน มาแค่ 1,000 คน เท่านั้น แค่นี้ก็ต้องจ้าง เกณฑ์ กันขนานหนัก ถึงขนาดมีมนุษย์ป้า 500 บาท หน้าเดิมมารับงานกันเกร่อ

    แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช.ที่อิตาลีอีก 3 คน ก็รับคำสั่งคนแดนไกลทางโทร ให้สร้างสมญานามบิ๊กตู่ ที่ไปเยือนอิตาลี ให้น่ากลัวหน่อย จากนั้นก็ร่วมมือกับ ส.ส.อิตาลี เพื่อนคนแดนไกล ที่ขุนน้ำข้าวไว้ กับนางจรรยา ล้มเจ้า อาศัยช่วงนั้นที่อิตาลี นักศึกษาเขามีก่อม็อบเรื่องเหยียดผิว และเรื่องแข่งรถกัน

    แก็งค์นี้เลยทำป้ายไปตีเนียน ยืนที่หน้าม็อบ แล้วให้นักศึกษาอิตาลีช่วยถือ จากนั้นก็ถ่ายภาพกันใหญ่ ให้นักข่าวไซออนิสต์ประโคมว่ามีม็อบต้าน สุดท้ายถูกจับได้ แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. ก็อายจนแทบแทรกแผ่นดิน

    3.5. สร้างภาพ แบบขาว-ดำ โดย สร้างภาพการแบ่งแยก ฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างตนจะเป็นฝ่ายถูก ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิดทันที พวกนี้จะตั้งธงบังคับให้ คนหลงเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวอย่างง่ายดาย เข้าร่วมและคนรู้ไม่เท่าทันอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย

    แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. สายเสรีเทย ขบวนการล้มเจ้า จะอ้างแบบพิลึกว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย คลั่งเจ้าบ้าง ตามืดบอดบ้าง ยิ่งเป็นข้อมูลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรือเห็นชัดเจน คนที่ได้รับข้อมูลเข้าไปก็จะยิ่งเชื่อ ใครไม่มาร่วมเป็นฝ่ายอำมาตย์

    และพวกเขาถูกกดขี่ ไม่มีความเท่าเทียม อ้างว่ายุคนี้เผด็จการ ทั้งที่จริงๆ แล้วแกนนำแดงกลับเป็นผู้หลอกใช้ กดขี่คนเสื้อแดงเสียเอง และยุคนี้มีเสรีภาพมากกว่าสมัยยุคเผาไทยเป็นรัฐบาล หลายร้อยเท่า เพราะสมัยนั้นแค่คิดต่างก็เจอประเคน M79 และระเบิด RGD-5 ใส่ไม่ยั้งแล้ว แต่สมัยรัฐประหารนี้กลับมีเสรีภาพมากกว่าอเมริกาเสียอีก

    แก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ดูหมิ่นนักบวชในศาสนา โดยการโจมตีสร้างภาพพระสุเทพ ไว้หน้าปกนิตยสาร เป็นการเหยียดหยามน้ำใจชาวพุทธและมวลชน กปปส. และผู้ที่เคารพอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าแก็งค์นี้จะเพี้ยนสมองกลับทำได้ถึงเพียงนี้ ช่างตลกร้ายนัก

    แก็งค์เคลื่อนไหวพลังงาน ก็เร่งเร้ามวลชนในสังกัดอย่างหนัก สร้างภาพว่าบิ๊กตู่ ทำความเสียหายให้ชาติ ในการเปิดสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ชาติควรจะได้รับ แล้วสำรวจฯ มันไม่ดีตรงไหน ?? จากนั้นก็อัดหลวงปู่ อย่างหนัก

    เหตุเพราะหลวงปู่ไล่ตะเพิดคราวก่อน ที่มาป่วนเวทีเสวนาปฏิรูปพลังงาน โดยไม่เคารพกติกาอะไรทั้งสิ้น จะป่วนมันลูกเดียว วันนี้แก๊งค์นี้ ผสมกับเสื้อแดงแฝงกาย เลยด่าทอ หลวงปู่ด้วยคำหยาบคายไปทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์คเต็มไปหมด ไม่เชื่อไปหาดูได้

    3.6. ชูธงสูงส่ง...อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ อ้างตนเองและกลุ่ม แนวคิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูด และป้าย ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับ เช่น เทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์

    แก็งค์ติดอาวุธแดง นปช. ก็จะสร้างอีเว้นท์ ชูภาพเจ้าหญิงล้านนาปูข้าวเน่า เป้นอองซานซูจี , ชูภาพให้นั่งเว่อวร์ๆ ในการเป็นประธานเผาซากศพพวกหมิ่นเจ้า , ชูภาพคนแดนไกล เจ้ามูลเมือง เป็นคานธี ทำให้รู้สึกเหมือนเก่ง คิดไม่เหมือนคนอื่น เหล่านี้ชาวบ้านจะถูกล้างสมองให้เชื่อทั้งสิ้น

    คางคกตู่ ก็ออกมาอัดกับเป็ดเหลิม แฉ กันใหญ่ เพื่อเลี้ยงกระแสมวลชนไว้ และชูธงสูงส่งว่ากินอุดมการณ์ (แต่จริงๆ กินหัวคิว) วิเคราะห์ว่าหลังรัฐธรรมนูญใหม่ กรรมการบริหารแก็งค์เผาไทย 220 คน และอดีต ส.ส. , อดีต ส.ว.เด็กในคอนโทรล อีก 308 คน คงถูกคุมกำเนิดยกเข่ง ไม่ได้ผุดได้เกิด เกลี้ยงสนามการเมือง

    ตอนนี้แดง นปช.ถูกทำลายด้วยพวกเดียวกันเอง ตลอด 3 ปี จนพ่ายแพ้ ไม่ใช่มือที่มองไม่เห็น ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้วที่แดง นปช.จะต้องปฏิรูปตัวเองบ้าง เพื่อเตรียมลงสนามเลือกตั้ง..น่าน โหนกระแสปฏิรูปเสร็จสรรพ

    ส่วนแก็งค์สภาท่าพระจันทร์ ก็ชูภาพผู้นำกลุ่ม ว่าอุดมการณ์สวยหรู เสียสละเพื่อชาติอีกสักรอบ ไม่สนใจเรื่องทวงคืนพระวิหาร –ทุจริตจำนำข้าว อะไรอีกแล้ว เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียอัยการไม่ฟ้องศาล เดือน พ.ย.57 ปปช.ก็ฟ้องเองแน่ๆ จึงหันมาเล่นงานทหาร หวดเรื่องพลังงานลูกเดียว ทำกันเป็นขบวนการอย่างเนียน

    3.7. ควบคุมข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน บอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกเรื่องเบี่ยงเบนประเด็น หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี ใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก บอกผ่านกันไปปากต่อปาก จะยิ่งดูน่าเชื่อถือ พอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า "ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้"

    ปกติ หน้าที่ของสื่อข้อหนึ่ง คือ คัดกรองข่าวสาร เลือกข่าวสารที่มีประโยชน์ เป็นจริง และกำจัดข้อมูล ข่าว ภาพ ขยะที่เป็นเท็จ และไม่เป็นประโยชน์ทิ้งไป เมื่อสื่อมาโฆษณาชวนเชื่อเสียเอง การคัดกรองข่าวสารก็จะบิดเบี้ยว กลายเป็นว่า คัดเฉพาะข้อมูลที่เข้าข้างฝ่ายตน มีประโยชน์ต่อตนเอง หรือหากข้อมูลเป็นกลางที่ชี้แจงแล้วก็จะนำมาตัดแต่งเติมต่อตีความให้เข้ากับแนวคิดของตนเอง

    รวมทั้งการเรียบเรียง ตัดทอน และละเลยข้อเท็จจริงไป แล้วนำเรื่องยากซับซ้อนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจสูงมาพูดเป็นเรื่องพื้นๆ ให้คนเชื่อตาม นอกจากจะเป็นกระบอกเสียงสร้างความนิยมให้กับแก็งค์แล้ว เมื่อมีโอกาสก็จะฉวยจังหวะเปิดโอกาสให้ กล่าวหาอย่างผิดปกติธรรมชาติ พิลึกพิลั่น แบบหน้าไม่อาย เช่น เจ้ยุแยง โพสวันนี้ มติชิน ข่าวแห้ง สรย้วย ฯลฯ

    สมัยก่อนใช้การปั้นเรื่องมีคนหลอกวีรบุรุษไปให้เขมรจับ แยกคนไทยผู้รักชาติ ออกจากกัน ด้วยความเกลียดชัง ดังนั้นช่วงระยะต่อจากนี้ ฟันธงว่า แก็งค์แบ่งงานกันทำ ความเหมือนที่แตกต่าง จะขยายข้อขัดแย้งปัญหาพลังงาน ให้กลายเป็น ความแตกแยกของประชาชนในสังคม

    เพราะมีคน “ หูเบา โลกสวย ข้อมูลน้อย แล้วคล้อยตาม “ ก็จะตกเป็นเหยื่อให้เขาหลอกใช้ปั่นหัว สร้างความวุ่นวายให้กับสังคมต่อไป ไม่ยอมให้ประเทศไทย ได้พักฟื้นจากความบอบช้ำ พอใกล้เลือกตั้งปีหน้า ก็จะชูเรื่องนี้เป็น ประเด็นโหวตโน ใครอยากได้ใช้พลังงานราคาถูก ให้โหวตโน !!

    แต่หาความคิดของกลุ่มตนพลาด ทำให้ราคาพลังงานยิ่งแพงขึ้นไปอีก ก็จะใช้ประเด็นนี้ ชวนคนลงถนน เพื่อไปก่อม็อบ เป็นผู้นำมวลชนบนถนน มีอำนาจการต่อรองทางการเมือง สูตรแบบนี้ไม่เปลี่ยนไปมากหรอก

    มีการอ้างฉากบังหน้าว่าไม่แบ่งสี ทำเนียนๆ แต่เบื้องหลังระดมคน และพยายามหาเหตุต่างๆ นาๆ ป้ายสีดิสเครดิส ทำลายชื่อเสียงของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็เดินตามแผนแบ่งแยกประชาชนออกจากกัน เพจนี้เคยเตือนประชาชนไปแล้ว แต่หลายคนก็พลาดจนได้

    เพราะมองโลกสวย มองคนที่เปลือกนอกเกินไป คิดว่าเขาคงหวังดีจริงๆ ประวัติเขาดีนะ คนที่คิดทันก็จะได้บทเรียนชีวิตอีกหนึ่งบท ว่าน้ำดีกับน้ำเสีย มันกวนเข้ากันไม่ได้ง่าย มันต้องแกว่งสารส้ม ให้ตะกอนน้ำเสียแยกออกมาเสียก่อน เมื่อนั้นน้ำจึงจะเป็นเนื้อเดียวกัน และเป็นน้ำสะอาดได้

    พยัคฆ์นิ่ง ใช่ว่าไม่รู้และหลับ แต่กลยุทธุ์ ลับลวงพราง จริงคือเท็จ เท็จคือจริง จริงคือจริง เท็จคือเท็จ แบบนี้จะแยกมิตรแท้ ออกจากมิตรเทียม ปล่อยให้เขาเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเรื่อยๆ ให้ประชาชนเห็น ให้ประชาชนแกว่งสารส้ม แยกน้ำดีกับน้ำเน่า ออกจากกันได้ง่าย

    ไม่อย่างนั้น ขืนกินน้ำพิษนี้เข้าไป ตกหลุมพลางแก๊งค์แบ่งงานกันทำ ที่เขายุให้แตกกันเอง แล้วมาก่อม็อบมาไล่ทหารที่กำลังแก้ปัญหาความขัดแย้งของชาติ ที่บรรดาสารพัดแก็งค์เล่นละครตบตามากว่า 10 ปี

    ก็จะส่งผลให้ การต่อสู้ของมวลมหาประชาชน ที่ยาวนานมา 7 เดือนที่แล้ว เพื่อขับไล่แก็งค์เผาไทยขี้โกงออกไป ก็เท่ากับสูญเปล่า นั่นเพราะประชาชนไม่รู้คุณค่าว่าสิ่งที่ได้มากแสนยากนั้น กลับไม่รักษาไว้ และทำลายความฝันของตัวเองด้วยมือ

    ขงจื้อบอกว่า “ ถ้าวางแผน 1 ปีให้ปลูกข้าว..ถ้าวางแผน 10 ปีให้ปลูกต้นไม้..ถ้าวางแผน 100 ปี ให้การศึกษากับคน” เสธ รู้ว่ามีคนที่ฝังหัวอยู่มากกับตัวบุคคลที่รักและชื่นชอบสิ่งที่เขาทำในอดีต แนะนำว่า อย่าได้ปักใจเสีย 100% ให้ถอยออกมาเงียบๆ สักพัก

    การเสพข้อมูลจากด้านใดด้านเดียวตลอดเวลา ทำให้ท่านถูกล้างสมองจากโฆษณาชวนเชื่อ แล้วท่านก็จะเห็นข้อมูลในมุมมองอื่นผิดไปหมด นั่นเพราะท่านได้ปักใจไปแล้ว ว่าข้อมูลที่เสพมามันต้องใช่แน่ๆ เพราะเราเชื่อใจเขาๆ ไม่โกหกเราหรอก

    แต่ท่านก็ไม่เปิดใจศึกษาข้อมูลอีกด้านอย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องกว่าก็ได้ ทำไมท่านไม่ลองให้รัฐบาลนี้ เขาทำอะไรเพื่อประเทศตามแนวคิดของเขาบ้าง ถ้าอีกสัก 2 ปีมันไม่ดีขึ้นก็มาประท้วงอีกที ถึงตอนนั้นท่านก็คงจะมีแนวร่วมมาก

    แต่ตอนนี้ คสช.ทำงานได้ 5 เดือน รัฐบาลทำงานได้ 2 เดือน น้ำมันก็ลดราคาฮวบๆ กว่ารัฐรัฐบาลที่แล้ว แก๊สเมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนก็ถูกกว่าอยู่ดี ถ้าจะเอาราคาพลังงานถูกกว่านี้ ก็ต้องปล่อยให้รัฐบาลเขาทำงาน ไม่งั้นราคามันจะลดลงได้อย่างไร ถ้าท่านขัดขวางเขา

    ขาข้างหนึ่งก็ปฏิรูปไป ขาอีกข้างก็ต้องเดินหน้าพลังงาน จะมัวเดินขาเดียวเป็นคนขาเป๋ อยู่ได้อย่างไร พัฒนา กับปฏิรูป มันก็ต้องทำไปด้วยกันจะมาหยุดรอถ่วงเวลาไปเพื่ออะไร เกิดผลเสียขึ้นมา กลุ่มเคลื่อนไหวก็ไม่เคยรับผิดชอบชีวิตของท่าน

    ต้องขอยกขึ้นมาอีกครั้ง ตอกย้ำให้เจ็บแล้วจำ กรณีมีกลุ่มเคลื่อนไหวรับเงินจากนายทุน ก่อม็อบต้านเหมืองแร่โปแตส จนต้องปิดเหมือง และโรงไนเตรต จนเป็นผลให้โครงการปุ๋ยแห่งชาติล้มพังลง ดับฝันชาวนาชาวไร่หลายสืบล้านคน ต่อมาชาวนา ชาวสวน จนถึงปัจจุบัน ต้องซื้อปุ๋ยแพงแบบผูกขาดจากพ่อค้าไม่กี่เจ้าจนถึงทุกวันนี้

    ถึงนาทีนี้พวกที่ออกมาก่อม็อบแย้วๆ ครั้งนั้น ก็รับเงินนายทุนรวยอื้อไปแล้ว แต่ไม่เคยออกมาช่วยค่าปุ๋ยแพงให้ชาวนา ชาวสวน เลยสักบาท เสวยสุขอยู่บนหยาดเคลื่อไคลของคนยากจน...นี่คือบทเรียนของจริง คนไทยเสียโอกาส และเจ็บปวดกี่ครั้ง กับกลุ่มที่ต้านทุกเรื่องแล้ว

    กลุ่มต่อต้านก็ดื้อจะเอาแต่แนวคิดของตน โดยไม่เคยยอมรับแนวคิดคนอื่น ทำงานได้อะไรก็ไม่ถูกใจสักอย่าง “ กบเลือกนาย “ โบราณเคยเตือนและสอนไว้ ระวังท่านจะเจอนายหลอกไปจิกกินอย่างโอชะ

    จริงๆ กลุ่มเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะนิยามชื่อตนเองอย่างไร ความจริงตามสภาพก็ “กลุ่มการเมือง” นั่นแหละ ถ้าประชาชนอยากได้ปลา กลุ่มเคลื่อนไหว ก็จะเอาปลาทั้งตัวมาให้แค่ตัวเดียว เพื่อให้ท่านพึงพอใจเฉพาะหน้า มันสะใจดี

    แต่สำนักคิดทหาร ยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง จะเอาอุปกรณ์จับปลามาให้ท่าน แล้วประชาชนก็ไปเลือกจับปลากินเองได้ในอนาคต จะจับกี่ตัวก็ได้ เลี้ยงชีพตลอดไปจนตาย วิธีนี้อาจไม่ทันใจปุบปับนัก แต่ส่งผลดีเป็นธรรม ต่อประเทศของเราในระยะยาว

    ขออัญเชิญ พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512

    “ ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ “

    ตอนนี้หากอยากไล่รัฐบาลทหารอนุรักษ์นิยม เพราะเขามีแนวทางและวิธีคิดไม่ตรงกับท่าน แล้วถามว่าตอนนี้ท่านมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ และเขามีศักยภาพคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ไหม ??

    ถ้าคำตอบคือยังไม่มี ก็ควรแยกย้ายกันไปทำมาหากินตามปกติ เพราะออกมาก่อม็อบเกิน 5 คน ก็ต้องถูกจับ และคุมขัง เจ้าหน้าที่เขาไม่ทำก็ต้องทำ เพราะมันผิดกฎหมาย มันทำให้เศรษฐกิจไม่ดีที่บ้านเมืองวุ่นวาย

    ปล่อยให้ประเทศไทยที่บอบช้ำหนัก ปล่อยให้ประชาชนที่เขารักความสงบ เขาได้อยู่อย่างสบายใจบ้าง หยุดเอาแต่ใจตนเอง และใส่ใจความรู้สึกคนอื่นบ้าง สังคมเราจะได้น่าอยู่ขึ้น


    [​IMG]

    [​IMG]



    @ เสธ น้ำเงิน2
    https://www.facebook.com/topsecretthai
     
  16. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 26 ต.ค. 57 อึ้ง.. ดวงอาทิตย์ระเบิดรุนแรงตรงจุดดับ ยาวเทียบโลก 10 ใบ มาวางเรียงต่อกัน

    กล้องโทรทรรศน์อวกาศเอสดีโอ (Solar Dynamics Observatory : SDO) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ (นาซา) สามารถจับภาพปรากฏการณ์การปล่อยมวลของดวงอาทิตย์ (Coronal Mass Ejection: CME) ที่เกิดขึ้นในบริเวณจุดดับบนดวงอาทิตย์ ในซีกครึ่งล่างของดวงอาทิตย์ได้

    **ดูที่ [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Nx5tFNB5jcI]HUGE 3.1 X CLASS SOLAR FLARE 10-24-2014 - YouTube[/ame]

    โดยเป็นการปล่อยมวลที่มีความรุนแรงระดับ X3.1 ซึ่งระดับเอ็กซ์จัดเป็นระดับที่รุนแรงที่สุด จุดจุดดับนี้เป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดอื่นบนดวงอาทิตย์ ซึ่งเอื้อต่อการเกิดปรากฏการณ์เปลวสุริยะ และการปล่อยมวลของดวงอาทิตย์

    โดยจุดดังกล่าวมีขนาดใหญ่มาก ความยาวตลอดแนวเกือบ 1.3 ล้านกิโลเมตร เทียบได้กับนำโลกของเรา 10 ใบ มาวางเรียงต่อกัน ทำให้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าซึ่งควรใช้อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม

    สนามแม่เหล็กโลก คงจะได้รับผลกระทบไม่สามารถยับยั้งได้ ภัยธรรมชาติแปลกทั่วโลก เหมือนเคย ตอนนี้
    - ภูเขาไฟ Sakurajima ที่ญี่ปุ่น ก็ระเบิดขึ้นมาอีกแล้ว พ่นเถ้าถ่านสูงขึ้นไปถึง 4,500 เมตร ,
    - ภูเขาไฟ Sinabung อินโดนีเซีย ระเบิด ปล่อยเถ้าสูง คลุมรอบบริเวณ
    - ภูเขาไฟ ที่ ฮาวาย ลาวา อุณหภูมิ 2,000 องศาฟาเรนไฮต์ ข้ามถนน กว้าง 35 หรา
    การไหลลาวา ประมาณ 10 เมตรต่อชั่วโมง ข้ามถนนมาแล้วห่างหมู่บ้าน ไม่เกิน 1 กิโลเมตรทางการ แสดงว่าอีกไม่กี่วัน ลาวาจะเข้าสู่แหล่งที่พักของชาว ฮาวาย ทางการสั่งอพยพประชาชนแล้ว

    โลกเราตอนนี้เป็นโรคไข้จับสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว และตัวร้อน..ภัยธรรมชาติเกิดไปทั่วเลย


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  17. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 27 ต.ค. 57 มึน..พบภาพอะไรบางอย่าง ใกล้ดวงอาทิตย์

    มีนักวิทยาศาสตร์ สังเกตภาพถ่ายของนาซา พบรูปร่างอะไรบางอย่าง พอๆ กับขนาดของโลก ที่กล้ๆ กับดวงอาทิตย์ แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ดวงดาวโคจรรอบดวงอาทิตย์

    ปกตินักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต้องตรวจสอบภาพถ่ายดวงอาทิตย์ และอวกาศทุกวัน และคราวนี้เจอบางสิ่งขนาดใหญ่ใกล้ๆ ดวงอาทิตย์นี้ คำนวนแล้วขนาดพอๆ กับโลก ที่ใกล้พื้นผิวของสิ่งนี้ไม่มีเปลวไฟหรือการเปลี่ยนแปลงความร้อน

    สีของมันไม่เหมือนผิวของดวงอาทิตย์ สิ่งนี้มีสีผสมหลาย ๆ สี นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ได้รับการแจ้งจากทั่วโลกในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ว่าพบบางสิ่งใกล้ๆ ดวงอาทิตย์บ่อยครั้ง และมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วได้ ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยกล้องประสิทธิภาพสูง

    สมัยก่อนพวกสมัครเล่นหลอกลวงเรื่องยูเอฟโอกันอย่างแพร่หลาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น มีการสร้างกล้องภาพดิจิตอลความละเอียดสูงที่รองรับ super ความเร็ว

    สิ่งนี้ไม่มีใครยืนยันข้อเท็จจริงได้ เพราะอาจจะเป็นความผิดปกติของกล้อง หรือเปลวไฟพลังงานจากแสงอาทิตย์ก็ได้ เพียงแต่ช่วงนี้มีนักวิทยาศาสตร์สังเกตุพบบางอย่างถี่ขึ้น ใกล้ดวงอาทิตย์เท่านั้น

    และมันคงจะเป็นปริศนาต่อไปอีกนาน แต่เพราะมนุษย์ก็จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสอดส่องห้วงอวกาศ ได้ทันสมัยขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา วิทยาศาสตร์เจริญจากความเชื่อเรื่องโลกแบน และมีปลาอานนท์หนุนใต้โลก จนมาถึงการส่งยานไปสำรวจดาวอังคารกันยกใหญ่ ก็เพราะข้อสงสัยพวกนี้แหละ

    อย่าลืมว่าดวงอาทิตย์ คือ บ่อพลังงานชั้นเยี่ยม ที่ตักตวงได้ไม่มีวันสิ้นสุด ทั้งกัมมันภาพรังสี และสารพัดพลังงานธาตุ ถ้าเรามีอุปกรณ์ที่มีความทันสมัยพอ ก็สามารถไปเก็บมันกลับมาใช้ได้..

    ชาติในเอเซียอื่นๆ เขาไปไกลกันถึงอวกาศแล้ว อินเดีย ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ แต่เมืองไทยวันนี้ ยังมีม็อบไปยื่นหนังสือต้านบิีกตู่ ที่ศาลปกครองอยู่เลย..นึกแล้วขำ

    คงกลัวทหารจะปลดแอกประชาชน จากกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ครอบงำเมืองไทยให้มืดสลัวมากว่า 10 ปี สำเร็จ เลยต้องรับจ็อบมาออกอาการดิ้นซะหน่อย


    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  18. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 27 ต.ค. 57 เงิบ..แก็งค์พิน็อคคิโอ เสียแรงเปล่า โพลฝรั่งปลื้มรัฐบาลไทย คดีเกาะเต่า

    บริษัท เอ็นไวโรเซล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทวิจัยยักษ์ใหญ่ของโลก ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้สำรวจความคิดเห็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป รวมทั้งอังกฤษ 1,835 คน เกี่ยวกับเหตุการณ์กรณีเกาะเต่า พบว่า

    - มีนักท่องเที่ยวจากอังกฤษที่รับรู้ข่าวดังกล่าว จำนวนถึงร้อย 94
    - นักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ ของยุโรป รับรู้ข่าวดังกล่าว ร้อยละ 73

    ซึ่งในจำนวนนี้ มีนักท่องเที่ยว ร้อยละ 10 ที่มีแผนว่าจะเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทยภายใน 6 เดือน-2 ปีข้างหน้า โดยในจำนวนนี้ ร้อยละ 61 ยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแผน นอกจากนี้ ผลสำรวจ ยังระบุด้วยว่า

    - นักท่องเที่ยวร้อยละ 74 ไม่ได้ติดใจ กับระบบการจัดการหรือการติดตามคดีเกาะเต่า ดังนั้น การสร้างกระแสข่าวที่เป็นด้านลบต่างๆ ที่มาจากทั้งคนไทยเอง อาจส่งผลต่อการจดจำภาพลบที่มีต่อประเทศไทยในระยะยาว
    - ร้อยละ 85 ของนักท่องเที่ยวชาวยุโรป รวมถึงอังกฤษ ยังคงชื่นชอบประเทศไทย ด้วยเสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยว อาหารไทย และเอกลักษณ์ความเป็นไทย

    นี่ขนาดแท็กทีมรวมกันหลายแก็งค์ ทั้งแก็งค์นกพิราบกระป๋อง เสื้อแดง สภาท่าพระจันทร์ เพื่อหวังให้ฝรั่งกลัวคดีเกาะเต่า บล็อคนักท่องเที่ยวจากต่างชาติมาไทยช่วงไฮซีซั่น หวังฉุดรายได้เข้าไทย ดิสเครดิสรัฐบาล และ คสช. แต่ฝรั่งกลับไม่เอาด้วย ยิ่งเชื่อมั่นหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก..เงิบ เสียแรงเปล่าไป

    เพราะนักท่องเที่ยวหลงไหลในความสวยงามปานสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ของเมือง ธรรมชาติทีแสนงดงามปานเทพเนรมิตร และคนไทยที่แสนที่เป็นมิตรขึ้นชื่อลือชาว่า "เมืองแห่งรอยยิ้ม"

    สิ่งนี้คือบทพิสูจน์ว่า ที่ประเทศไทยเราวุ่นวายยุ่งเหยิงนานมากกว่า 10 ปีมานี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ภัยร้ายแรงของชาติ ก็คือ คนในชาติเดียวกันนี่แหละ ที่ไม่ต้องการให้ประเทศสงบสุข หรือ จะเรียกแบบภาษาชาวบ้านคือ "กวนน้ำให้ขุ่น"

    เคยสังเกตุไหมล่ะ ว่าหลังกลุ่มการเมืองทั้งหลายพวกนี้ ได้รับเงินอัดฉีดหลังปี 2551 เป็นต้นมา..เขาเคลื่อนไหวเข้าทางเป็นคุณกับใคร ??


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
  20. เกตุวดี

    เกตุวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    10,518
    ค่าพลัง:
    +18,696
    วันที่ 27 ต.ค. 57 พระเจ้าช่วยกล้วยทอด.. เกิดฟ้าผ่า 8 หมื่นครั้ง ในออสเตรเลีย ไฟไหม้ เดือดร้อนทั้งเมือง
    ได้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรงที่เมืองเมลเบิร์น ในรัฐวิกตอเรีย และเมืองแอดิเลด ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย ตลอดคืนที่ผ่านมา ทำให้เช้านี้ ประชาชนในเมืองเมลเบิร์นต้องเดินทางไปทำงานได้อย่างยากลำบาก

    เนื่องจาก อิทธิพลของพายุฝนดังกล่าว ทำให้เกิดฟ้าผ่าอย่างรุนแรง โดยพายุฝนฟ้าคะนองครั้งนี้ ทำให้เกิดฟ้าผ่าราว 80,000 ครั้ง ในเวลา 24 ชั่วโมง และในช่วงเย็นวันนี้มวลอากาศจากรัฐวิกตอเรียจะเคลื่อนตัวไปยังทางตอนกลางของรัฐนิวเซาท์เวลส์

    ฟ้าได้ผ่าลงมายังอุปกรณ์ที่ใช้การเดินรถที่ถูกติดตั้งไว้ จึงทำให้ระบบไฟไม่เสถียร ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าที่ใช้ควบคุมการเดินรถไฟขัดข้อง เป็นเหตุให้การรถไฟจึงต้องงดให้บริการชั่วคราว ขณะที่ฝนที่ตกลงมาหนักทำให้เกิดน้ำท่วมถนน
    และผู้ใช้ถนนบางรายต้องติดอยู่ในรถ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศยังเตือนว่า พายุลูกนี้ มีแนวโน้มว่าจะพัดถล่มนครซิดนีย์ เมืองหลวงของออสเตรเลียในบ่ายวันนี้ด้วย...คนไทยอยู่ที่นั่นให้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดอย่าประมาท

    ทางการเมลเบิร์น ระบุว่า ระบบรถไฟในเมืองเมลเบิร์นจะสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้งในช่วงเย็น หลังระบบสัญญาณไฟที่ใช้ในการเดินรถที่สถานีรถไฟฟลินเดอร์ สตรีท
    ซึ่งเป็นสถานีหลักในการให้บริการเกิดขัดข้อง เนื่องจากเหตุกาณ์ฟ้าผ่าอย่างรุนแรง และมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง เกิดไฟลุกไหม้เนื่องจากฟ้าผ่า

    คุณพระช่วย..ฟ้าผ่า ราว 80,000 ครั้ง ในเวลา 24 ชั่วโมง ?? ตรงตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าเป๊ะเลย ที่เป็นผลจากแรงกระแทกของโซลาแฟร์จากดวงอาทิตย์ จนทำสนามแม่เหล็กโลกปั่นป่วน ภัยพิบัติ ต่างๆ อ่วมไปทั่วโลกเลย

    อิทธิฤทธิของโซลาแฟร์จากดวงอาทิตย์นี้ ถ้าในอนาคตมนุษย์คิดค้นหาทางเอาพลังงานนี้มาใช้ได้ เราจะเกิดแหล่งพลังงานใหม่ แทนน้ำมันและก็าซ บนพื้นโลก

    ใครที่คิดว่าเป็นไปได้รึ..ประมาทมนุษย์เกินไปซะแล้ว เพราะจีนได้ก่อสร้างอุปกรณ์เครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้ภูเขาเป็นลูกสร้างห้องทดลอง ที่จะไขปริศนาพลังงานจากดวงอาทิตย์และจักรวาล

    คิดดูละกันว่าสายฟ้าผ่า 8 หมื่นครั้ง มันมีพลังงานไฟฟ้าเท่าไร ?? แล้วเหตุอะไรถึงทำให้มันผ่าลงมาขนาดนี้ แล้วถ้าเราเอาไอ้เจ้าต้นเหตุนั่นมาใช้งานสร้างพลังงานให้มนุษย์ล่ะ...โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลบชิดซ้ายไปเลย



    @ เสธ น้ำเงิน4
    http://www.facebook.com/thailandcoup
     

แชร์หน้านี้

Loading...