กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เด่วเล่านิทานให้ฟังต่อครับ..พอจะทราบเล็กน้อย..เห็นแล้วหละครับ.
    .คนฝั่งโน้น ก็คือคนที่เค้าเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดดวงจิตนั่นหละครับ.
    เป็นบ้านเค้า เป็นแหล่งกำเนิดของเค้า แต่คือไม่ค่อยทราบอะไรมาก
    เด่วเค้ามาอ่านเจอเด่วจิโดนเค้าว่าเอา ๕๕๕๕ ..
    แต่ทางปฏิบัติอย่างที่ว่าหละแม้จะมีความสามารถทางจิตสูง..
    แต่เค้าก็ไม่เน้นหลุดพ้นเท่าไร.เพราะแนวทางการปฏิบัติเค้าจิตจะโน้มไปทาง
    สายมหายานนนนนนน ซึ่งใช้เวลาแสนนานครับกว่าจะหลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเกิด
    ..ซึ่งผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพจะไม่ได้เน้นทางนี้เน้นทางที่เร็วกว่า.
    เพราะมนุษย์เกิดมาหาใช่จะมีความสามารถทางจิตสูงเป็นทุนหาได้น้อยครับ..
    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าสายเค้ามีอยู่ควบคู่กับพุทธศาสนาและคอยเกื้อ
    หนุนกันมาตลอดนั้นหละครับ..โดยมากมีแต่สายพุทธเรานั่นหละครับ
    ที่ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบเค้า ยกว่าตัวเองดีกว่า ทางตรงกว่า
    แถมเอะอ๊ะ อะไรก็ชอบอ้างแต่ผู้เป็นเลิศ เค้าถึงไม่ค่อยอยากจะคุ่ยกับเราๆเท่าไร.
    ชอบคิดว่าปฏิบัติแบบตนเองนี้หละดีที่สุด เข้าสู่ความหลุดพ้นได้แน่ๆ
    บอกตรงๆว่าเค้า ยกแต่ตัวเอง ตัวเองจะรอดหรือเปล่ายังไม่รู้เลยครับ ๕๕๕๕๕๕๕
    แม้ว่าตั้งแต่สมัยพุทธกาลล่วงมาแล้วนั้นก็มีบางกลุ่มที่ไปค้นพบเส้นทางนี้
    และชอบและก็ไม่ได้ปรารถนาหลุดพ้น.พวกนี้มักจะชอบช่วยคนก่อนอันดับแรกเป็นทุน
    โดยบางครั้งก็ไม่ค่อยดูกำลังตัวเอง ถามว่าดีไหมก็ดีครับ.ถ้าว่าควรไหมครับ.
    ก็ตอบแทนเค้าไม่ได้ครับ.เพราะเค้าไม่ค่อยสนใจไงคับ..อย่างเช่นเห็นคนตกน้ำ
    พวกนี้จะรีบโดดไปช่วยเลย บางทีก็ลืมว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น แต่ด้วยใจที่จะช่วยคน
    ก็โดนไปก่อนไม่ทันคิดอะไรครับ.เราเองนะครับก็ชอบแสดง.ไม่หาว่าเค้าไม่ฉลาด..
    ทำไมไม่ร้องให้คนช่วย ไม่หาอุปกรณ์อื่นๆมาก่อน หรือถ้าช่วยไม่ได้ก็อุเบกขาซะ..
    เค้าก็จะได้คืนหละว่า.ไม่สนหรอกครับ คนจะตายอยู่แล้วต้องช่วยไว้ก่อน.ไม่เหมือน
    คุณๆหรอกฉลาดออกความคิดเห็นนัก พอถึงเวลานั้นคุณๆยืนดูกันแบบเงียบกริ๊บ
    ทำไมหละ.นั่นหละพื้นฐานจิตใจเราๆมันต่างกับเค้าตรงนี้หละครับ.
    ยังไงเค้าก็ต้องช่วยไว้ก่อนประมาณนี้หละครับ.พอเค้าใจเนาะ...
    จบนิทานก่อน

    มาโม้เรื่องกสิณไฟก่อน..คือปกติเลยนะครับ การที่ตัวจิตมีความสามารถในการใช้
    พลังงานเกี่ยวกับกสิณไฟได้นั้น...อันดับแรกที่ตัวจิตจะมีความสามารถขึ้นมาได้
    เลยปกติก็คือเรื่องการการ เชื่อมพลังงานของไฟครับ.ไม่ว่าอะไรก็ตามวัตถุอะไร

    ก็ตามที่มันมีความร้อนเนี่ย จะเชื่อมได้หมดโดยไม่ต้องไปสัมผัส หรือว่ามองเห็นด้วย
    ตาเปล่า ณ เวลานั้นก็ได้.บอกไว้ก่อนเลยนะครับ
    และมันก็เป็นธรรมดาและก็สุดแสนจะธรรมดามากๆ..

    สมมุตินะ ถ้ามีใครบอกคุณว่าตัวเอง
    เป็นเซียนกสิณไฟแล้วหละก็ คุณลองบอกไหนดึงความร้อนจากเปลวเทียน
    จากกองไฟ จากเตาแก๊ส มาให้คุณสัมผัสหน่อยจิ ถ้าเค้าทำพื้นฐานแบบนี้ไม่ได้
    คุณคงจะรู้นะว่าเป็นอย่างไร ไม่ต้องอธิบาย...

    และผมจะบอกคุณเอาไว้เลย หากยังทำอย่างนี้ไม่ได้
    อย่าได้เที่ยวไปออกความเห็นเกี่ยวกับห่มเหลืองที่ล่วงลับไปแล้ว
    นะครับเด่วจะหาว่าไม่บอก และอย่าเที่ยวไปมีเรื่องกับใครง่ายๆนะครับ
    หากเราไม่มีเครื่องรู้เบสิกพื้นฐานแบบนี้ครับ
    ส่วนการที่จะเล่นแร่แปรธาตุ คือการที่ทำให้ไฟขยายได้ ในระดับที่ใครก็ตามนะครับ
    มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยังไงๆ ก็จะต้องมีฐานสมาธิในระดับสูงมาก่อนครับ

    ส่วนมากจะเป็นห่มเหลืองครับ..ฆารวาสก็มีแต่น้อย..
    คือ คุณพอนึกออกไหมครับว่า บางทีบางคน เค้าบอกว่า เค้าเพ่งเทียน แล้วเห็นเป็น
    โน้นเป็นนี้ ขยายโน้นขยายนี้ได้ นั่นมันยังไม่ใช่นะครับ พวกนี้มันอภิญญาจิต

    ภายในเอาไว้เล่าให้ฟังสนุกได้อยู่ครับ แต่ส่วนมากนะถ้ามาแบบนี้เพียวๆมักจะหลง
    ตัวเองอีกต่างหาก คุณไปสังเกตุดูได้ครับ ประเภทที่รู้เองเห็นเองในจิตคนเดียว
    ว่าจะมีลักษณะนิสัยอย่างไร...คุณเชื่อไหมครับว่าการที่จะไปภายนอกได้แบบที่
    ทำให้คนอื่นๆสัมผัสได้รับรู้ได้นะ ความจริงมาจากครูบาร์อาจารย์ท่านเดียวกันนั่นหละ
    แต่ท่านไม่สอนต่อให้เพราะ ขนาดรู้เองเห็นเอง ยังขนาดนี้ ที่เหลือคิดเอาครับ..

    เพราะมันเป็นเพราะตัวจิต
    ที่เค้าสร้างขึ้นมาให้เห็นได้ด้วยตัวเอง.

    ..บุคคลที่จะเรียกว่าจะทำได้จริงๆ แบบที่เรียกว่าอภิญญาภายนอก เค้าจะต้อง
    ทำให้บุคคลภายนอกเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆแบบคนที่ไม่ต้องฝึกอะไรมายืนดูเฉยๆ
    ก็เห็น..แต่อย่างว่าหละคุณมันก่ำกลึ่งกับมายากลไง..สมัยพุทธกาลผู้เป็นเลิศ
    ท่านจึงห้ามมิให้สาวกท่านแสดงให้บุคคลอื่นๆเห็น..เพราะถ้าเค้าศรัทธาก็ไม่มี
    ปัญหาอะไร แต่ถ้าเค้าไม่ศรัทธาก็จะเกิดผลเสียตามมาจากการไปปรามาส
    สาวกที่ทำได้จริงๆ..

    คิดว่าส่งผลอย่างไร ไม่ต้องอธิบาย เรื่องเบสิคทั่วๆไปง่ายๆก็คือ
    ปฏิบัตไปกี่ ๑๐ ปีองค์ความรู้ก็อยู่เท่าๆที่ตัวเองเคยคิดได้อยู่แค่นั้นหละครับ

    สำหรับพวกจอมปรามาส หลงตัวเอง ชอบยกตัวเองข่มคนอื่นๆ
    พูดไปพูดมาสุดท้ายก็ว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดีที่สุดอีหลอบเดิม
    .ไม่ต้องไม่คิดถึงเรื่องที่จิตจะมีความสามารถต่างๆให้เสียเวลาครับ..
    เพราะฉนั้นจึงไม่มีประโยชน์
    อะไรจะต้องไปกล่าวหรือไปเสวนา ไปสนทนากับบุคคลประเภทนี้..

    เพราะส่วนมากนอกจากเค้าจะหลงตัวเองว่าตนเป็นระดับสูงๆอยู่ลึกๆในใจแล้ว.
    .ยังชอบพูดเพื่อยกตนเอง และลึกๆในจิตอยากได้รับการยอมรับจากสังคม
    ประมาณว่าตนเนี่ยมีความสามารถมีอะไรพิเศษกว่าชาวบ้านชาวช่อง..
    ชอบกล่าวหาเรา ทั้งๆที่ไม่เคยเข้าถึง ทำไม่ได้ ไม่มีเครื่องรู้ในจิตตน.ที่สำคัญ
    ชอบอ้างแต่ระดับสูงสุดมาเสริมความคิดตน.ทั้งๆที่ระดับภพภูมิธรรมดายังไม่เคยเห็น
    แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส แต่มีอยู่ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีวาสนาบารมีเพียงพอในการ
    เข้าใจเรื่องนามธรรม เพราะใจไม่ได้ยึดในเรื่องบุญเรื่องกุศลไว้ก่อนเป็นทุนนั่นเองครับ
    ประเด็นนี้พอจะเข้าใจเนาะ..

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2014
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ประเด็นสุดท้ายเล่าเผื่อคุณ กิ่งสน ด้วยครับพอเห็นที่เขียนอยู่.
    เด่วจะตามไปคุยเรื่องอักษรต่อ ถือว่าเล่าให้ฟังแบบทั่วๆไปเนาะ
    ..คือนักปฎิบัตินะครับไม่ว่าจะระดับไหนๆ
    ก็ตาม.สิ่งที่เรามั้งจะพลั้งเผลอโดยไม่รู้ตัวก็คือ การไปคิดแบ่งแยก แยกแยะ เปรียบเทียบ
    เป็นเหตุให้ใจไม่เป็นกลาง..ที่นี้ก็ขึ้นอยุ่กับว่า เราไปแสดงกล้ามยกตัวเอง แยกแยะ
    ตัวเองกับผู้ปฏิบัติระดับใด..ซึ่งตรงนี้ก็ขอบอกว่า ตัวใครตัวมันครับ..สาเหตุที่ทำให้
    เราเกิดความคิดอย่างนี้ก็เพราะว่า จิตเรามันยังไม่ก้าวเข้าสู่มรรคผลในเรื่องการยึด
    มั่นถือหมั่นในตนนั้นเองครับ พูดง่ายๆว่ายังตัดร่างกายได้ไม่ขาดจริงๆนั้นหละครับ..
    ยกตัวอย่าง ถ้าคุณผิวขาว แล้วมีคนมาด่าคุณว่าไอ้ดำ.ถ้าคุณติดร่างกาย
    คุณก็จะไปด่าเค้าคืน เผลอๆไปเปรียบเทียบว่าคุณขาวกว่าเค้าอีก..ถ้าคุณพอรู้
    อะไรบ้าง คุณก็อาจจะถามเค้าก่อนว่า อย่างนี้สำหรับคุณถือว่าผิวดำหรือ
    และถ้าเค้าบอกว่าใช่ ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะแก้ตัวหรือปล่อยให้เค้าคิดอย่างนั้น
    และถ้าคุณแก้ตัวก็แสดงว่าคุณก็ยังติดว่าร่างกายคุณผิวขาวเช่นกัน..
    หรือจะยุติเพื่อหลีกเหลี่ยงการต่อความยาวสาวความยึดหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ..
    หรือถ้าเค้าด่าคุณไอ้ดำ คุณจะเฉยๆทำเป็นไม่สนใจเลย.เพราะยังไงๆคุณก็ผิวขาว
    ไม่ได้ดำอย่างที่เค้าว่าครับ.และคุณก็ไม่สนใจว่าใครจะว่าคุณขาวหรือคุณดำ
    .โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปเขียนอธิบายอะไรให้เสียเวลา
    เพราะตัวคุณเองจะรู้ดีว่า ตัวคุณผิวขาวหรือดำ.
    แม้ใครๆจะมองว่าคุณผิวดำก็ตามหรือ
    แม้ใครๆจะมองเห็นว่าคุณผิวขาวก็ตาม.
    ถึงแม้ว่าคุณจะผิวขาวแต่การที่คุณไปพยายามพูด
    ให้คนอื่นๆรู้ว่าคุณผิวขาว คุณก็ไม่ต่างอะไรกับคน
    ที่เค้าด่าว่าคุณผิวดำนั่นหละครับ..
    มาต่อนิทานอีกเรื่องคือเรื่องงูมีพิษกับงูไม่มีพิษ..

    .งูมิพิษอยู่ที่ไหน จะจับมาทาสีอะไรมันก็มีพิษครับ..
    แม้มันอาจจะมีงูไม่มีพิษบางตัวที่เค้าถือว่าเค้าตัวใหญ่กว่า

    ชอบไปแสดงให้คนเค้ารู้ว่าตนเหมือนมีพิษ
    แต่โดยมากก็หาที่มีพิษจริงๆได้น้อย ยังไงโดนงูมีพิษตัวเล็ก
    กว่าฉกเอาแม้ตัวใหญ่แค่ไหนก็ตายทั้งนั้นหละ..
    แต่ก็ยังจะมีงูหลงตัวเองกับงูกินมะพร้าวที่ชอบแสดง
    ให้คนอื่นๆรู้ว่าตนมีพิษ.เพราะอยากให้งูตัวอื่นๆเข้าใจอย่างนั้น..
    พวกงูที่มีพิษจริงๆเค้าไม่ค่อยอยากให้งูตัวอื่นๆรู้เท่าไรหรอกครับ.
    เด่วงูตัวอื่นๆจะมองว่าเค้าอันตราย..
    หากรู้ว่าเค้ามีพิษ ก็มักคิดทำร้าย เพื่อป้องกันภัยที่จะมาถึง
    ตนเองเอาไว้ก่อน หรือไม่ก็ไม่ได้รับความไว้ใจว่าตนจะปลอดภัยเอาได้.
    งูมีพิษก็หาทำอะไรอื่นๆแทน เอาพิษที่ตัวเองมีมาทำอะไรให้เกิด
    ประโยชน์ต่องูต่อสัตว์ตัวอื่นๆจะยังประโยชน์กว่าครับ.

    ถ้าถามส่วนตัวก็จะพยายามบอกว่างูมีพิษนะ
    นิสัยปกติมันอย่างไร มันทำอะไรได้บ้าง.ซึ่งพยายาม
    เขียนบอกไว้เป็นข้อๆ.แต่ก็ไม่ค่อยมีงูมาสนใจอ่าน
    และก็พยายามสร้างภาพให้ตัวเองเหมือนงูมีพิษอยู่นั่นหละ
    ถ้าคุณสมมุติว่าคุณก็เป็นงู คุณก็เคยเจองูมาหลายแบบ
    มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเป็นงูประเภทไหน และจะทำตัว
    อย่างไรก็แค่นั้นหละครับ....หวังว่า.พอจะเกทเนาะ....
    ปล.จบนิทานเรื่องงูๆ ครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2014
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เอาทั่วๆไปก่อนเนาะ คุณ กิ่งสน จะเล่าอะไรให้ฟังครับ..แล้วจะเข้าใจว่าทำไมถึงเขียนแต่เรื่องยันต์
    กลางอาการโดยที่ไม่เคยสนใจ หรือให้ความสำคัญในเรื่อง บทสวดมนต์
    หรือคาถาอะไรมากมาย ตลอดจนอักษระต่างๆครับ..แต่ไม่ใช่ว่าจะทิ้งไปเลยนะครับ
    ก็ยังคงต้องสวดมนต์อยู่ทุกๆวันนี้ครับ
    อักษร รูปแทนต่างๆ สัญลักษณ์เส้นสายต่างๆ.
    เป็นสื่อในการเชื่อมพลังงานด้านต่างๆได้..
    การใช้ อักษร รูปแทน สัญลักษณะก็เป็นสื่อกลาง
    ในการเชื่อมจิตของผู้ใช้ ผู้เขียนเพื่อเชื่อมกับพลังงานต่างๆ
    ที่อักบรต่างๆ เส้นสายต่างๆ รูปแทนต่างๆเหล่านั้นไปเชื่อม...
    ขึ้นอยู่กับว่า จะส่งผลไปทางด้านใดๆ.ก็สุดแล้วแต่ครับ..
    ที่นี้ถ้าเราลองอ่านดูแล้ว ก็ยังจะพบว่ายังไงๆก็ยังมีรูปแทน
    ที่เสมือนเป็นสื่อกลางในการเชื่อมอยู่ ไม่ว่าจะรูปอักษร เส้นสาย ฯลฯ
    ซึ่งจะพบว่ามีมากมายหลายหลายตัวอักษรเหลือเกิน..

    ในระดับต่อมาก็จะเป็นระดับที่จะตัดรูปแทนต่างๆที่เห็นได้
    ด้วยตาปกติที่ใช้เชื่อมพลังงานต่างๆเหล่านี้ออกไป
    .เพราะเมื่อใดก็ตามที่ยังเป็นรูปต่างๆอยู่นั้น
    จิตก็จะยังอยู่ภายใต้สัญญาความจำได้
    เรียกได้ว่ายังอยู่ภายใต้การปรุงแต่ได้อยู่.
    แต่มิใช่ว่าจะตัดรูปต่างๆนั้นออกไปเลย
    เพียงแต่ยังต้องอาศัยพื้นฐานจากการสร้างรูปแทนต่างๆขึ้นมาก่อนเช่นกัน
    เพื่อเป็นแนวทางไปยังแหล่งพลังงานต่างๆด้านนั้นๆ..

    เป็นเหตุที่ส่วนตัวเขียนเรื่องการเขียนยันต์
    กลางอากาศเพื่อที่จะข้ามเรื่องสัญญาการปรุงแต่งจากจิตมาเชื่อมกับรูปภาพ
    เพื่อที่จะให้รู้ว่าเป็นพลังงานทางด้านไหนๆ
    ก็จะข้ามเรื่องการปรุงแต่งตรงนี้และเชื่อมไปยังแหล่งพลังงาน
    ด้านต่างๆนั่นๆได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ ต้องเห็น รูปแทนต่างๆนั่นเองครับ.

    ปล.พอจะเข้าใจเนาะ.วันนี้ขอพักก่อนครับ ทั้งโม้ทั้งเล่านิทาน ๕๕๕
    เด่วรอท่านอื่นๆมาเสริมแล้วกันครับ .
     
  4. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    พูดกันถึงเรื่องยันต์ ทำให้นึกถึงการใช้คำสวดมนต์ ที่แปลงอักษรหรืออักขระให้เป็นกสิณ ไปค้นดูที่ห้องสวดมนต์ก็ไม่เจอแล้วค่ะ ไม่แน่ใจ อันนี้ถามคุณนพได้ไหมคะ
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    อ้อ .. ความสุขของปฎิบัติธรรมคือ การที่ได้ปฎิบัติ และการที่ได้"เผื่อแผ่" ผลของการปฎิบัตินั้นไปให้ผู้อื่นค่ะ ไม่รู้สินะ ดิฉันคิดแบบนั้นนะคะ

    สวดมนต์เสร็จก็ว่าจะมาพิมพ์อย่างนี้แหละ พอดีคุณนพเล่าในนิทานแล้วไปอยู่ในบางตอน แลยได้ปิ้งแว๊บๆ (เป็นยังไงน้อออ ปิ้งแว๊บๆ ) :cool::cool:

     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อักษรตัวหลักๆ ก็แทนกสิณอยู่แล้วครับ.จะเป็นตัวธาตุต่างๆ มีหน้าที่ต่างกันตรง
    ที่เป็นตัวแม่เพื่อสำหรับให้เกิดขึ้น ให้มาเป็นตัวหลัก ตัวเสริม ตัวหนุน และตัวส่ง
    การที่เราฝึกกสิณจนถึงระดับที่ใช้งานได้ จิตก็จะมีความสามารถในการดึงพลังงาน
    จากตัวอักษรต่างๆเหล่านี้เพื่อเป็นต้นสำหรับส่งพลังงานต่างๆด้านต่างๆให้เกิดขึ้น.
    เพื่อให้งานทางด้านต่างๆตามความเหมาะสมครับ..
    และเส้นสายพลังงานต่างๆที่มีอากาศเป็นเหมือนยานพาหนะ
    ก็จะมาเกลื้อหนุนกันต่อตามหน้าที่..เป็นผลให้บังเกิดผลขึ้นมาได้..
    หน้าที่เราก็คือสร้างจิตให้ออกไปเชื่อมกับพลังงานภายนอกให้ได้
    เข้าถึงภายนอกให้ได้ โดยเริ่มจากการสร้างกำลังจิตจากภายใน
    เพื่อเป็นพื้นฐานนั่นเองไงครับ..
    และปิ๊งแว๊บก็คือองค์ความรู้ที่ไม่ใช่
    ความคิดที่เกิดจากจิต แต่เป็นความคิดชนิดหนึ่งเราเรียกว่าปัญญาทางธรรม
    จะมากน้อยแตกต่างกันไปลักษณะเด่นของความคิดชนิดนี้แค่เพียงเสี้ยว
    วินาทีเดียวจะปรากฏเป็นความรู้มากมาย ไม่เหมือนความคิดที่เกิดจากจิต
    ที่เราต้องคอยใช้ความคิดวิเคราะห์ร่วมด้วยถึงจะเกิดเป็นองค์ความรู้ขึ้นมา
    . เป็นองค์ความรู้ประเภทหนึ่งที่เราได้จากการปฏิบัติ
    ลักษณะของความรู้จะเป็นไปเพื่อการแก้ปัญหา
    ในทางการปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมและคอยหนุนในเรื่องของการลด ละ กิเลส
    กลายเป็นองค์ความรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจก่อนในช่วงแรกๆ
    เพื่อให้การปฏิบัติเราก้าวหน้าครับ ในลำดับต่อมาถ้าเราเข้าสู่เรื่องของพลังงาน
    ปิ๊งแว๊บก็จะเป็นองค์ความรู้ที่เราไปเชื่อมกับแหล่งข้อมูลต่างๆที่เราต้องการทราบ
    เช่น ครูบาร์อาจารย์ท่านต่างๆ บางสายที่เค้ามองไม่เห็นเค้ามักจะเรียกว่าการขอบารมี
    นั้นหละครับ.แต่มันจะยังไม่ชัดมากเนื่องจากอาจจะสัมผัสและไม่รู้จักลักษณะเฉพาะ
    ของต้นพลังงาน และยังอยู่ภายใต้การปรุงแต่งที่สร้างเป็นภาพได้อยู่
    ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับจริตของผู้ฝึกครับว่าจะชอบด้านไหน.
    โดยทั่วๆไป ปิ๊งแว๊บจะเป็นองค์ความรู้ที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องนามธรรม
    ต่างๆนั่นเองครับ..
    ประมาณนี้หละครับ...
     
  7. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอขอบคุณนิทานก่อนนอนเรื่องงูมีพิษ งูมีพิษก็หลายชนิดเนอะ ไม่มีพิษก็หลายชนิดเหมือนกัน เหตุที่เอาเรื่องยันต์มาลงก็เพื่อให้ความรู้เสริมว่า อารมณ์ของรูปฌานนั้น ท่านใช้กสิณบ้างใช้คาถาบริกรรมบ้าง สุดแต่นิสัยของผู้บำเพ็ญปฏิบัติ แต่ก่อนเข้าใจว่ามีแบบใช้คาถาบริกรรม แต่ท่านนพอธิบายแบบกสิณได้ละเอียดเลย :cool:
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ๑.ในช่วงของการบรวงทำพิธีต่างๆ.ไม่ว่าจะปลุกเสกวัตถุมงคล หรือมีการวางฤกษ์
    สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรูปแทนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ระดับพระพุทธฯท่านต่างๆ ระดับพระโพธิสัตว์
    ท่านต่าง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในอดีตหรือรัชกาลท่านต่างๆที่มากมายด้วยบารมีที่สะสมมา
    ตลอดจนกระทั้งพาหนะของท่าน หรือพรหมมีชื่อท่านต่างๆ ตลอดจนท่านพระมหาฤาษี
    ท่านต่างๆที่อยู่ในเส้นทางพระโพธิสัตว์ เป็นต้นและไม่ว่าจะท่านใดเป็นผู้ทำพิธี
    และทำพิธีขึ้นเพื่อเป้าหมายอะไรครับ...
    ๒.มีบรุษที่เป็นฆารวาสที่อยู่ในสายพระโพธิสัตว์บรรลุคุณธรรมขึ้นมาวันนั้น..
    ๓.มีห่มเหลืองท่านใดท่านหนึ่งบรรลุคุณธรรมขั้นสูงในวันนั้น
    ๔.มีบรุษหรือห่มเหลืองท่านใดท่านหนึ่งใช้อภิญญาจิตภายในเพื่อ
    ให้ปรากฏขึ้นมา..
    ๕.มีบรุษหรือห่มเหลืองท่านใดก็ตามใช้อาวุธทิพย์พิเศษทำให้ปรากฏขึ้น
    มาอาวุธชนิดนี้จะเป็นอาวุธที่มีเฉพาะคันธนูที่ได้รับการส่งเสริมจากบรรดา
    พยานาคผู้มีฤิทธิ์ และในเวลาปกติที่เรียกขึ้นมาจะมีแต่คันธนูและจะปรากฏ
    เป็นสายธนูได้เฉพาะตอนใช้งานครับ..
    แต่อย่าลืมว่าตอนนี้กำลังอ่านนิทานอยู่นะครับ...


    อ่าน Rep นี้แล้ว ก็นึกขำตัวผมเอง...ทำให้นึกเปรียบไปถึงนิเชากับขวดโค๊ก ผมก็คงไม่ต่างกัน...
    บางครั้งเห็นอยู่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร...
    บางครั้งรู้แล้วว่าคืออะไรแต่ก็ไม่รู้จะใช้ยังไง...
    มาอ่านคุณ Nopphakan อธิบายแล้วก็ถึงได้รู้ว่ามันคืออย่างนี้นี่เอง...
    แล้วก็ได้รู้เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนึงว่า ... ผมคงต้องวิ่งถือขวดโค๊กไปอีกนานแหละนะ...
    กะว่าไปถึงสุดขอบแผ่นดินเมื่อไรจะเอาไปเขว้งทิ้ง...

    จำพวกอาวุธที่เจอะเจอมา (ซึ่งก็พึ่งจะรู้จากคุณ Nopphakanนี่แหละว่ามันคืออาวุธ)
    มีบางอย่างที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน จะว่าอุปทานหรือจินตนาการของผมเอง มันก็ยังไปไม่ถึงความพิศดารของอาวุธพวกนี้เลยครับ...จะเล่าให้ฟังเดี๋ยวก็จะกลายเป็นบ้า...ทั้งที่รู้ว่าถ้าเล่าไปก็คงจะได้รู้วิธีใช้ว่าต้องใช้อย่างไร...เพราะเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ยังไงเหมือนกัน...
    คงเหมือนนิเชากับขวดโค๊กแหละครับ...
    ดังนั้นตอนนี้ผมจึงได้แต่ปั่นน้ำไปก่อน...คงอีกนานกว่าจะทำให้น้ำปรากฎขึ้นตรงหน้าให้คนทั่วไปสามารถเห็นได้...


    ว่าแต่...จะมีใครเล่นมุกหัวงูบ้างไหมเนี่ย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2014
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068

    มุกหัวงู คงไม่ใช่ พลังกุณฑาลิณี ทีึ่พุ่งทะลุจักร7 ไปปกคลุมเหนือที่พี่อยู่ เหมือนกับมีงูยักษ์ปรกอยู่นะครับ เป็นไงบ้าง รบกวนพี่เล่าหน่อยครับ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    มีนิทานเด่วผมจะเล่าให้ฟังแล้วกันครับ เกี่ยวกับงูที่เค้าได้จากพลังกุณฑาลิณี..
    และประโยชน์จากอาวุธทิพย์ที่คิดว่าน่าจะพอเล่าได้และมีประโยชน์...
    เอาเรื่องธนูนะครับ.วิธีการใช้งานอย่างหนึ่งคือ เค้าจะใช้ในกรณีที่เอาไว้ตาม
    คนหายครับ.วิธีการคือ เราต้องสร้างคันธนูให้ขึ้นมาที่มือขวาของเราให้ได้ก่อน
    พวกที่เค้ามีงูน้อยทั้งหลาย หรือตาดีกว่าปกติหน่อยจะสามารถมองเห็นได้
    แต่ถ้าเป็นอีกกลุ่มเค้าจะมีธนูพร้อมคันธนูเลย..
    แต่ธนูที่เล่าเป็นนิทานให้ฟังนี้เป็นคันธนูที่ได้รับการส่งเสริมจากพยานาค
    เพราะฉนั้นพอเข้าใจนะครับ.ว่าจะทำตัวอย่างไรเค้าถึงจะส่งเสริมเราได้
    และถ้าสมมุติเราสามารถสร้างได้ ที่มือขวาของเรามันจะเป็นร่องล๊อคแบบอัตโนมัติ
    เหมือนเราจับคันธนูจริงๆ..และใช้มือซ้ายมือซ้ายในการดึงสายธนู โดยที่ใช้
    นิ้วกลางในการแตะเพื่อให้เกิดสายธนู
    ในทำนองเดียวกันนิ้วชี้ก็ตรงเพื่อเป็น
    ตัวกำหนดทิศทางของลูกธนูที่จะพุ่งออกไป..ถ้าเราสามารถสัมผัสสายธนูได้
    ลูกธนูจะปรากฏได้เอง จะค่อยๆขึ้นมาในขณะที่เรากำลังสายธนูครับ.
    ช่วงนี้ให้อฐิษฐานถึงบุคคลที่เรากำลังตามหา.ถ้าได้ผลบุคคลนั้นจะติดต่อกลับ
    มายังบุคคลที่เราต้องการให้เค้าติดต่อภายในระยะเวลาไม่เกิน ๓ วัน..

    ถ้าอยากลองดู ให้ลองยิงใส่ใครก็ตามที่ไม่เคยติดต่อเรามาเลย แล้วดูว่า
    ภายใน ๓ วันเค้าจะโทรมาหาเราหรือไม่..และประโยชน์อีกอย่างก็คือ
    การกำหนดยิงไปที่หน้าอก บุคคลที่โดนพวกวิญญานมีฤิทธิ์พวกภูต
    หรืออสูรกายรังควานอยู่อย่างนี้ก็ได้ครับ..หรือใช้ยิงเปิดทางกันในกรณี
    โดนบังตาเวลาเดินตามป่าครับ..ประโยชน์อื่นๆก็มีแต่เอาที่พอ
    เล่าได้ก็พอครับ....จบนิทานเรื่องแรก...

    นิทานต่อมาเรื่องงูน้อย..จากการระเบิดจักระ ๑ ขึ้นผ่านแนวกระดูกสันหลังไปออกจักระ ๗ นั้น
    จะปรากฏเป็น งูน้อย และไอ้งูตัวนี้มันจะอยู่ตรงบริเวณท้ายทอยนอนขดเหมือน
    งูปกติทั่วๆไป..งูแบบนี้ส่วนตัวพอรู้จักดี พอดีมีบุคคลใกล้ตัวมีงูแบบนี้อยู่..
    งูตัวนี้เสมือนคล้ายๆเครื่องช่วยรู้ตัวหนึ่งนั่นหละครับ.แต่ถ้าอยู่ใกล้ๆกัน
    งูพวกนี้ถ้าเค้าอยากจะรู้อะไรก็ตามสบายไม่ว่ากัน.แต่หลังๆนี้ส่วนมาก
    งูพวกนี้มักจะเงียบเพราะปกติจะเป็นมิตรกันครับ เพราะถ้ามาเปรี้ยวใส่
    มากๆส่วนตัวพอจะมีความสามารถในการตัดงูพวกนี้ออกพอได้ครับ..
    .คือปกติทั่วๆไปเนาะ
    เวลาเราจะรู้อะไรก็ตาม..ตัวจิตเรามันจะมีกระแสไปเชื่อมกับสัญญาต่างๆ
    ในกรณีที่เราฝึกสติฝึกสมาธิมา หรือเป็นแบบการรู้แบบทางพุทธฯทั่วๆไป..
    ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขยายสัญญาเพื่อไปเชื่อมองค์ความรู้ต่างๆ
    ซึ่งแน่นอนว่าความสามารถตรงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้าสมาธิ
    ระดับสูงมาก่อน.ซึ่งแน่นอนว่าปกติแล้วส่วนมากจะเป็นห่มเหลืองสาย
    วิปัสสนาซะมากกว่า..
    แต่กรณีคนที่เค้ามีงู งูตัวนี้มันจะชอบออกไปก่อน ไปรู้ก่อน ก่อนที่เครื่องรู้
    จากจิตปกติจะออกไปนั้นเอง งูน้อยยังมีความสามารถในการไปกินโน้นกินนี่
    ถามว่าดีไหม ก็ลองพิจารณาดูเองครับ...
    การที่งูมันไปก่อนเครื่องรู้จากจิต นั่นหมายความว่ามันปิดกั้นหน้าที่ของตัวจิต
    ปิดกั้นเครื่องรู้และองค์ความรู้ที่ควรจะเกิดจากจิตไงครับ จริงอยู่แม้ว่ามันจะมีสัมผัส
    หรือเครื่องรู้หรืออะไรที่ดีกว่าก็ตาม....แต่สิ่งที่เราจะไม่มีและสร้างได้ยากก็คือ
    สติทางธรรมครับ และปัญญาทางธรรมในการที่จะเข้าใจนามธรรมต่างๆครับ..
    ตลอดจนการสร้างจิตให้เกิดกำลังจิตก็ยากครับ..อาจจะทำให้เรานิสัยแรงๆ
    ชอบแต่เรื่องความสามารถพิเศษครับ แต่เรื่องสติทางธรรมที่เป็นตัวต้านทาน
    ต่อการถูกควบคุมภายนอกเราจะต่ำครับ.สังเกตุได้กลุ่มที่เค้าไปเปิดจักระ
    แล้วมีงูที่ท้ายทอย เวลาเจอของแรงๆหน่อยมีอาการทุกราย..
    .แถมความเข้าใจเรื่องนามธรรมจะน้อย แต่ถ้าเรื่องพลังงาน
    ต้องยอมรับเค้าเหมือนกันว่าเราๆก็สู้เค้าไม่ได้ครับม
    และถึงแม้ว่าสัมผัสทางพลังงานพวกมีงูจะดีเลิศก็ตาม.
    .เพราะฉนั้นถ้าอยากสร้างงูก็คิดให้ดีๆหลายๆรอบ
    หลายๆตลบแล้วกันครับ..และอย่าลืมว่ามันไปเปิด
    จากจักระที่ส่งเสริมเรื่องความรักนะครับ.เวลาเราจะฝึกจิตให้เกิดกำลังจิต
    หรือฝึกอะไรไอ้งูน้อยมันจะไปก่อนเราทุกครั้ง เอาไปเอามาฝึกอะไรก็กลาย
    เป็นงูฝึกซะงั้น เพราะฉนั้นเรื่องการที่ตัวจิตเรามันจะสร้างกำลังจิตให้เกิด
    ขึ้นกับมันเอง หรือแม้แต่จะสร้างความดีเพื่อสร้างบารมีเพื่อมีพันธมิตร
    ทางภพภูมิก็จะหายออกไป เพราะอะไรๆก็งูก็รับกินหมด
    .

    .จะต่างจากทางพุทธศาสนา
    ตรงที่จะเปิดที่ จักระ ๗ เพื่อไม่ให้เกิดความรักเพราะจะรบกวนจิตใจ
    ขวางการยกไต่ระดับพัฒนาระดับสมาธิ และเปลี่ยนเป็นเมตตาที่ออก
    จากใจแทน เพราะจะเน้นไปเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์ระดับสูงๆ
    จึงจำเป็นจะต้องมีเมตตาเป็นทุนก่อน..
    เพื่อที่เราจะได้อยู่ในเส้นทาง คล้ายๆว่ามีอะไรก็อยู่ภายใต้สายตาท่าน
    ..ไม่ย้อนหวนกลับมายึดติดในเรื่องของ
    ความรักแบบที่รักพวก รักฟ้องตัวเอง อยากกลับบ้านตัวเอง.มันจะทำให้
    เราหลุดพ้นได้ช้าออกไปอีกครับ แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ แต่มันนานไงครับ
    ลำพังปฎิบัติมาตรงๆแนว ก็ยังใช่ว่าจะรอดพ้นหรือหลุดพ้นได้ง่ายๆเลยครับ
    ยังไงก็พิจารณาเอาเองแล้วกันครับ..สรุปแล้วแต่ชอบแล้วกัน

    เรื่องของการปั่นน้ำจนเกิดเป็นน้ำขึ้นมาจริงๆนั้น
    ในระดับที่ทำให้บุคคลอื่นๆเห็นได้และสัมผัสได้ โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องสายตาดี
    เพื่อให้เห็นได้..ส่วนเรื่องสัมผัสได้ คนไม่ต้องฝึกอะไรมาก็จะพอสัมผัสได้ปกติครับ
    สามารถทำได้ครับ.แต่ก็อย่างที่บอกว่า ในนี้คงมีแต่คุณพี่ Raming
    ที่น่าจะทำได้นั่นหละครับเพราะเบสิคเรื่องฐานสมาธิมันต่างกัน..
    ส่วนตัวเคยเล่าแล้วว่ายังไม่ใช่ช่วงนี้ แม้ว่าจะพอมีปรอทให้เห็นแล้ว
    แค่ครั้งแรกก็สอบตก ๔ เรื่องในครั้งเดียวกัน เลยชิวๆขำๆไปก่อน ๕๕๕
    ประเด็นนี้ผมขออนุญาตหน่อยหนึ่งนะครับท่านพี่.คือส่วนตัวคงไม่ทราบ
    สาเหตุหรอกครับแต่ถ้าพูดแล้วเผื่ออท่านพี่จะเข้าใจด้วยตัวเอง..
    คือปกตินะครับ ใครก็ตามที่จะทำน้ำให้ปรากฏได้นั้น พื้นฐานโดยทั่วๆไปแล้ว..

    จะประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ ๑.ส่วนที่มาจากฐานกำลังสมาธิระดับสูง และ ๒.ส่วนที่มา
    จากพลังงานภายนอก.๒ ส่วนนี้ประกอบร่วมกัน..ที่นี้ถ้าฐานกำลังสมาธิกระแสมัน
    ไหลนิ่งมั่นคงและเชื่อมข้างบนดีแล้วแต่มันมักจะขาดๆตรงช่วงลำคอ.และฐานกระแส
    พลังงานนอกก็ดี แต่มันมักจะมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังช่วงสบัก หรือกลางปีกนกด้านหลัง
    แล้วมันดันข้ามพรวดไปเชื่อมกระแสพลังงานภายนอกเลยครับ
    มันก็เลยจะทำให้เกิดปัญหาในระดับของการนำไปใช้งานครับ
    คือถ้าทำให้ทั้ง ๒ กระแสมันไม่ขาดช่วงได้ ซึ่งลึกๆน่าจะพอเข้าใจได้เอง
    โอกาสที่จะทำถึงขั้นให้ปรากฏให้เห็นได้ และสัมผัสได้คงในไม่ช้านี้ครับ.

    ส่วนที่คุณ dowlong เห็นถามว่าเข้าข่ายไหน บอกตรงถามมาแล้วก็งงแทน..
    ความสามารถในการเห็นแบบนี้ มันก็คล้ายๆช่วงที่เราเข้าห้องน้ำแล้วเห็น
    กระแสเห็นเส้นสายพลังงานนั้นหละครับ คือเห็นได้ ให้ฝึกเห็นได้ ให้ฝึก
    ทดลองทำโน้นทำนี้ได้ แต่สร้างกำลังจิตไม่ได้นั่นหละครับ.พยายามจำไว้
    ให้ดีว่า จิตจะเริ่มทำงานเมื่อ เห็นแสงหรือเห็นเส้นสายครับ..เราก็ดูว่าที่เรา
    เห็นมันเป็นแสงหรือเส้นสายนั่นหละครับ.ไม่ใช่เข้าข่ายไหน ๕๕๕ .ประมาณนี้..

    ปล.จบนิทานทั้งหมดครับ.
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขออนุญาตถามต่อเลยละกันนะครับ...
    หลายวันก่อน ปรากฎญาคูท่านหนึ่ง สายกรรมฐานจากสมเด็จฝั่งลาว ท่านผ่านมายิ้มด้วยเมตตา ถามว่า อยากจะลองเล่นหรือ?
    แล้วท่านก็เอานิ้วป้ายที่เหนือหว่างคิ้ว
    ก็ปรากฎว่ากลายเป็นช่องเปิดเหมือนเม็ดพุทรา คือหัวแหลมปลายแหลมตรงกลางจะป่องออก แล้วเป็นแสงสว่างจ้าอยู่...
    พอลองมองไปที่นิมิตน้ำ ก็พบว่าแสงจ้าที่ตำแหน่งตาที่สามนี้ พุ่งเป็นลำออกไปจรดที่ผิวน้ำ ลำแสงสว่างมาก ทำให้นิมิตน้ำที่ ไม่ค่อยชัด กลับชัดขึ้นมามาก ...
    รู้สึกได้ว่ามีกำลังมาก....อืม...แต่ว่าต่อจากนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการต่ออย่างไรดีครับ..
    คือจะใช้จิตเพ่งไปพร้อมๆกับการเห็นแบบนี้ จนกว่าจะปรากฎเป็นน้ำขึ้นมาจริงๆ ให้เห็นด้วยตาเปล่า...หรือ..ฯลฯ...นี่จริงๆผมเริ่มรู้สึกว่าเหมือนนิเชาเข้าไปทุกทีๆแล้วครับ...
    ผมว่าจะลองผิดลองถูก แต่คิดไปคิดมาแล้ว เอามาถามคุณ Nopphakan ดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเวลา...เพราะแนวทางนี้ ยังไม่ถนัดเลยครับ...

    อาวุธที่มีลักษณะเหมือนเชือก มีไหมครับ?
    กับอาวุธที่มีลักษณะ เป็นแท่งกลม หัว ปลาย แหลม ยาวสักประมาณ 1 ศอก แบบนี้มีไหมครับ?
    และอาวุธที่ไร้ลักษณ์ ไม่เห็นรูปร่าง พุ่งออกไปสัมผัสเข้ากับสิ่งใด จะเกิดเป็นช่องว่างขึ้น ภาษาชาวบ้านคงเรียกว่าตัดขาด แต่จริงๆแล้วมันทำให้เกิดเป็นสภาพว่าง ซึ่งก็คงเหมือนกันมั๊งครับ...? ผมก็งงเหมือนกัน ไม่ทราบจะอธิบายยังไง..ไม่เคยเจออะไรประหลาดๆแบบนี้มาก่อนน่ะครับ...
    ขอบคุณครับ
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    555+เรื่องอาวุธต่างๆนี่ผมยอมรับตามตรงว่าไม่มีความรู้เลยครับ
    ถ้าไม่ได้อ่านจากคุณNopphakan ผมยังไม่รู้เลยว่าเป็นอาวุธ
    ส่วนเรื่องสลายวิชาต่างๆนั้น...ผมได้รับมาเป็นการสลายวิชาและพลังต่างๆจนถึงอภิญญา๕
    แต่...ห้ามใช้ เว้นแต่จะเป็นเรื่องจำเป็นจริงๆ ไม่ใช้เพื่อการส่วนตัวและใช้ก็ด้วยความเมตตา ...เป็นวิชาครู ถ่ายทอดต่อให้ไม่ได้ครับ เพราะอันตรายมากไป
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    จะสลายกลับไปเป็นคนธรรมดาๆที่ไม่มีอะไร...เครื่องคุ้มกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายจะสลายไปด้วยทั้งหมด...ทีนี้จึงอันตรายสำหรับพวกที่ไปทำใครเขาไว้มากๆ เพราะสิ่งที่เคยไปทำไว้จะสลายหมดไปด้วย พวกที่เคยโดนสะกดไว้ก็จะหลุดออกหมด...
    วิชานี้ไม่เว้นแม้แต่ผู้มีบารมีมาก แต่หลงผิด ก็ไม่รอดเหมือนกัน...

    ดังนั้นถ้าวิชานี้ไปตกอยู่กับคนที่มีจิตคิดร้าย คนดีๆอาจจะโดนไปด้วย ท่านจึงห้ามเอาไว้...ถ้าเป็นคนอื่นก็จะบอกว่า น้ำตาลูกผู้ชายไม่ไหลล่ะก็อย่าไปทำใคร..
    แต่สำหรับผมนี่ท่านไม่ห้ามแบบนี้หรอกครับ เพราะเด็กๆผมขี้แง...โดนแม่ตวาดหน่อยก็ร้องไห้แหกปาก..แว๊กๆ แล้วครับ...
    โตมาแล้วนี่เวลาหั่นหอมแดงทีไร ผมร้องไห้ทุกที...งั้นถ้าจะห้ามผมว่าน้ำตาลูกผู้ชายไม่ไหลก็อย่าไปทำอะไรเขาล่ะก็...
    เวลาผมโมโหๆขึ้นมา ผมก็หั่นหอมแดงบีบใส่ลูกกะตา แล้วก็ซัดเข้าให้ซะ ก็จบเรื่อง...
    แต่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ท่านทันลูกศิษย์ครับ...ไม่งั้นจะมาเป็นครูบาอาจารย์ไม่ได้...
    ท่านจึงให้ใช้เมตตา...
    ผมยังนึกๆเลยนะว่า...ถ้าเราจะแผ่กุศลโหดไปโปรดสัตว์ นี่จะเรียกว่าเมตตาไหมนะ...
    แต่แค่นึกเล่นๆก็โดนด่าแล้วครับ...ก็เป็นอันว่าวิชาแบบนี้ คงไม่มีโอกาสได้ใช้เป็นการทั่วไปซะแล้วแหละครับ...ถ้าจะใช้ได้จริงๆก็คงกับพวกที่มุ่งร้ายทำลายพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง...แต่ก็นะ เรื่องออกหน้าไปบู๊นี่คงยังมาไม่ถึงผมหรอกครับ...มันต้องผ่านด่านคุณ Nopphakan และท่านดาบหักก่อนนะครับ...ส่วนผมนี่ก็ขอหลบไปแอบเนียนๆตามป่าตามเขาละกัน
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ถั่ววววววต้มมมมมแล้วครับ กลุ่มที่มีอาวุธทิพย์ทั้งหลายนั้น. จะถือว่าดวงแก้วเป็นอีกระดับของกลุ่มผู้มีเมตตาด้วยกันครับ.
    เพราะอาวุธ
    ทุกอย่างที่มีล้วนแล้วแต่ใช้ในทางธรรม. บุคคลเหล่านี้
    จักระตรงหน้าอก และตาที่ ๓ เค้าฐานจะเป็นจักรแก้ว ตามด้วยดอกบัว
    หลายๆกลีบ และมีดวงแก้วอยู่ตรงกลางครับ คือปกติส่วนมาก
    ผู้ปฏิบัติจะมีอย่างใดอย่างหนึ่งคับก็แทบ
    จะนับคนได้แล้วคับ . อย่างมากๆก็ ๒ ส่วน ๓ คับ
    ส่วนใหญ่ที่มี เราก็ทราบดีว่าเป็นใครครับ เพราะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นปกติครับ
    ปล.ไม่ใช่ผมแน่ๆครับในตอนนี้ ๕๕๕ ล้าน%เด่วมาเล่าเรื่องที่กำลังพูดกันต่อคับ พอรู้มาบ้างเล็กน้อย
    เคล็ดลับ "ใครมาดีก็ยิ้มรับ. ใครมาไม่ดีก็ยิ้มรับ"
    ถ้าเข้าใจก็ไม่จำเป็นต้องให้เล่าต่อคับ
     
  15. agentlight555

    agentlight555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +56
    .
    เรียนถามท่านนพครับ

    คือตอนนี้จะเปลี่ยนโหมดมาสู่ภาคการทำลายล้างแล้ว
    ชักจะหมดความอดทนแล้วครับ ขอระเบิดพลังซักหน่อยเหอะ ๕๕๕

    เมื่อคืนนี้ พอสรุปหัวใจได้แล้ว ว่าคงต้องลงมือเล่นแรงๆ กันบ้าง
    เพื่อเป็นการเชือดลิงให้ไก่ดู ไอ้ทีมเบื้องหลังที่คอยป่วนโลกอยู่ตลอด ไม่ยอมเลิก
    ก็เลยลองถามใครดูในฌาน (รึเปล่าน๊า) ว่าจะทำไงดี

    นิมิตรแรกที่เราใช้ตั้งเป็นตุ๊กตา เป็นภาพหมอผีในป่าช้าน่ะครับ
    เหมือนในหนังไทยที่เคยดู เวลาจะใช้ไสยศาสตร์เวทมนต์ด้านมืดแรงๆ
    พริบตาเดียวภาพในจิต ก็เปลี่ยนเป็นเหมือนมีตัวอะไรจะโผล่ขึ้นมา
    จากใต้ผืนดิน เต็มไปหมดเลย แต่ก็หยุดเอาไว้แค่นั้น ไม่รีบรับไว้

    อยากขอเรียนถามว่า มีอะไรจะแนะนำบ้างไหมครับ
    เรื่องวิชาชั่วร้ายคงไม่กล้ารบกวน และไม่เหมาะแน่ๆ ถ้าจะถาม
    เดี๋ยวให้พวกปีศาจหรืออสูรกายพวกนั้นสอนให้ก็ได้ มีวิชาเยอะแยะ

    ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่ยอมเรียนหรือฝึกฝนเลย กลัวใจตัวเอง
    รู้ดีว่าบางคราวก็เป็นคนใจร้อน และอาฆาต แบบข้ามภพข้ามชาติกันเลย
    แต่คราวนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนโหมดจากสว่างมาเป็นด้านมืด

    ท่านนพมีอะไรอยากจะแนะนำหรือข้อควรระวังบ้างไหมครับ รบกวนหน่อย
    ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่กรุณาอย่าห้ามหรือชี้ทางเส้นอื่น

    เราไม่ลงนรก ผู้ใดลงนรก บางพวกบางคนก็พูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง
    เฮ้อ...ไม่อยากให้มือเปื้อนเลือดเลย ถึงมีเทคนิคหลบเลี่ยงกรรมได้เกือบหมด
    แต่เศษกรรมที่คงเหลือ ก็คงทำให้หงุดหงิดใจ ได้เล็กน้อย

    ไม่เท่าไหร่หรอกน่า ไอ้น้อง
    กรรมส่วนใหญ่ "พี่น้องญาติเพื่อน ฝั่งนี้" จะรับไว้เอง ๖๖๖


    อาชูร่า / มัจจุราชสะบัดผม

    .
     
  16. agentlight555

    agentlight555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +56
    .
    อ้อ..เกือบลืมเล่าอะไรให้ฟังหน่อยนึง ก่อนจะโดนแบบอีกยูสนึง

    เมื่อสองคืนก่อน เหมือนโดนโจมตีในฝันอีกแล้ว หลังจากหายไปเป็นเดือน
    แต่ก็เหมือนเคย ทำอะไรไม่ได้ ครั้งนี้มีอีกคนนึง มารับเคราะห์แทน
    แล้วเราก็หนีไปได้ตามเคย หนีแบบไม่ได้รีบร้อนอะไร แสดงว่าเอาอยู่ ๕๕๕

    ประมาณตีหนึ่งตีสองนี่แหละ ทุกครั้งที่โดนก็จะตื่นมาเวลานี้ทุกทีเลย
    อยู่วัดนี้ปีกะสิบเดือน โดนมาสิบกว่าครั้งแล้วมั้ง นะ แต่แคล้วคลาดตลอด
    แต่คราวนี้ พอตื่นขึ้นมา รู้สึกหนาวแบบสั่นๆ คล้ายเป็นไข้แบบสูงๆ
    ใจสั่นระรัว หมดแรงเชียวครับ แต่ก็แค่แป๊บเดียว
    หายใจด้วยปราณยาม สี่ห้าครั้งก็ปกติ แล้วนอนต่อได้สบาย

    ถึงศัตรู เอ็งต้องพัฒนาหน่อยแล้วเฮ้ย ฝีมืออ่อนจังว่ะ
    เค้าจับทางได้หมดแล้วเว้ย เดี่ยวตาอั๊วบ้างล่ะ รอรับได้เลย (ติ๊ก ซีโร่)

    ไม่เหมือนครั้งแรกๆ ที่โดน คราวนั้นหนาวสั่นไปนาน เกือบชั่วโมงแน่ะ
    แต่ปีที่แล้วเคยป่วยหนักๆ เกือบเดือนแน่ะครับ สงสัยโดนหนักหน่อย
    น้ำมูกไหลไม่เลิก เป็นไข้ตัวร้อนเป็นอาทิตย์เลย ไม่รู้โดนอะไรเข้าไป หึหึหึ

    ก็เล่าประกอบฉากให้ฟังน่ะครับ ว่าเราโดนก่อนนะ ถึงต้องเอาคืนกันบ้าง
    ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด ๕๕๕
    นรกไม่กลัว ยมพบาลเพื่อนกัน หึหึหึ

    ศัตรูมีทั้งมาเดี่ยว และทำเป็นทีม ก็กะจะเล่นให้หมดล่ะครับ
    เช็คบิลทีเดียวเอาให้เดี้ยง

    โพสท์นี้เสร็จก็อาจโดนแบนอีก แต่ไม่มีปัญหาแล้ว
    เราไม่โพสท์เรื่องดีๆ แล้ว เป็นคนดีเป็นยาก ต้องเป็นคนชั่วซะบ้าง หึหึหึ

    ไอ้มอดแทะไม้ คราวนี้ต้องเจอยาแรงๆ หน่อย เอาให้ตายทั้งรังเลย ๖๖๖


    อาชูร่า / มัจจุราชสะบัดผม

    .
     
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เหนือฟ้า..ยังมีปุยเมฆ
    เหนือปุยเมฆก็ยังมี.. ขอบโลก
    เหนือขอบโลก..ยังมีจักรวาล
    แล้วเหนือๆๆๆไปกว่านั้นคืออะไร??

    ..นับแต่แรกคือไม่รู้อะไร...เพราะปัญญาด้อยไม่ใคร่มียังใครเขา

    เก็บไว้ในใจเพราะไม่รู้อะไร ในอายุไขยได้เท่านี้
    !!! ก็สบายดีเหมือนกัน...แป่ววว!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2014
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เรื่องคุณ agentlight555 ตอนนี้ส่วนตัวพอเข้าใจแล้วครับ
    ส่วนเรื่องคุณพี่ Raming กับ คุณนักรบเงา ก็ติดไว้ก่อนนะครับ
    พึ่งเดินทางไปไหว้ครูบาร์อาจารย์ที่เป็นห่มเหลืองมาครับ..
    ตอนนี้..กระผมอิท สะ เพลียเหลือเกินครับ..
    ไว้ฟื้นคืนชีพก่อนจะมาโม้ มาเล่านิทาน และคุยเรื่องคุณ agentlight
    ให้ฟังรวดเดียวคร๊าบบบบบ
    (sing)
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เรื่อง พี่บอกี้ พอจะเข้าใจบ้างครับ.เอาว่าสุดแล้วแต่ใครจะตีความได้ แต่ถ้าอ่านที่คุณ นักรบเงา
    แล้วตีความได้ ก็จะเข้าใจแนวทางเดินที่เป็นธรรมชาติได้จริงๆ และก็จะทราบเทคนิคคอลเทอม
    ในการฝึกวิชาต่างๆได้ประสบผลสำเร็จ ตลอดจนความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้เอง....
    อืมๆ ส่วนตัวออกตัวล้อฟรีก่อนนะครับ ว่ามิได้เป็นแตกฉานแน่นอนครับ เพราะทุกวันนี้
    กิเลสยังมีอีกเพียบ ปัญญาทางธรรมยังอยู่ระดับหยาบๆ ความสามารถยังเด็กๆ เครื่องรู้
    ก็ยังหยาบๆ..บอกไว้ก่อนแบบไม่อายใครและกลัวเสียฟอร์มกับใครๆก็ตามทั้ง ๓ ภพครับ

    ว่ากันเรื่องอาวุธทิพย์ก่อนนะครับ..พวกกลุ่มที่เค้ามีนะครับ ปกติเค้าจะมีประมาณ ๘
    อย่างแต่ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าจะใช้อย่างไร และมันคืออะไร มันจะต้องนึกให้ออกให้ได้
    ด้วยตัวเองครับ ว่ามันจะใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่จะใช้ได้จริงๆต้องทำให้มันเป็นแก้ว
    ให้ได้ก่อนนะครับ และเด่วมันจะมีเครื่องรู้ตรงนี้ขึ้นมาเองอัตโนมัติครับ
    เพราะฉนั้นมิต้องห่วงครับ..ถ้านึกออกได้นะครับ ไม่งั้นมันก็อยู่ของมันอย่างนั้นหละครับ.
    แต่ก็ดีกว่าไม่ครับ ๕๕๕๕...

    เรื่องการทำลายวิชาโดยปกติ พวกสายพลังงานเค้าทำลายคุณไสย์ ทำลายพลังงาน
    แบบที่ไม่ดีในตัวของบุคคลได้เป็นปกติอยู่ครับ พวกนี้เค้าตาดีครับ เค้าก็ใช้จิตสั่งธรรมดา
    นี่หละครับ แต่ว่ามันมีขอบเขตของมันอยู่ครับ.มันก็จะพอได้ในระดับหนึ่ง..
    แต่ว่าเป็นแบบที่ได้รับการส่งเสริมจากเทพพรหมมีฤิทธิ์ให้เรามีได้ ให้เราใช้ได้ กับคนดีๆ
    แม้มีจักรถึงจะส่งไปได้ก็จะเย็น แม้เค้าส่งมาก็จะเย็น ส่วนรายละเอียดอื่นๆมันก็พอมีอยู่ครับ
    เด่วจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ

    และขอทิ้งนิทานไว้หน่อยนะครับ เล่าเผื่อคุณ agentlight ไว้อ่านเล่นๆด้วยครับ
    ณ ยอดภูแห่งหนึ่ง ออกจาก จ.เลย ไปทางภูเรือประมาณ ๓๐ กม.
    เคยมีนายพรานผู้มีความชำนาญในการล่าสัตว์ชื่อว่า พราน หุน.
    นายพรานท่านนี้.ชอบแอบดูภรรยาตนเอง ตักบาตรกับพระอริยะเจ้า
    มีชื่อท่านหนึ่งในอดีตชื่อย่อพยางค์เดียวคือ ลป.ท ด้วยเครื่องรู้ของ
    ท่านขณะที่ภรรยาพราน หุน ตักบาตร ท่านจะตะโกนบอกว่า
    ''อย่าไปฆ่าใครเค้า ไม่มีใครเค้าอยากโดนฆ่าหรอก'' ท่านตะโกนบอก
    อย่างนี้ทุกวันจนกระทั่งวันหนึ่ง ..ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุอะไร พรานหนุน
    จึงได้มาตักบาตรากับ ลป.ท ท่านนี้ ขณะที่นายพรานกำลังตักบาตร.
    ลป.ท ท่านจึงได้บอกกับ พรานหุนว่า ''มาตักบาตรเพราะกลัวเค้าโดนฆ่าหรือ''
    ด้วยปริศนาธรรมเพียงเท่านี้..ลป.ท จึงได้สร้างสถานที่แห่งนี้

    เพื่อให้พรานหุนได้อยู่เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่ พราน หุน เลิกฆ่าสัตว์
    ทั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา....ปริศนาสุดแล้วแต่ใครจะตีความ
    จะเดินเท้าก็
    ก็มีวิธีการเดินอีกอย่าง จะขึ้นหลังเสือเพื่อเดินทางคงไม่ยาก
    จะขึ้นเรือแล้วมีคนพายให้ก็สุดแล้วแต่.

    ต่างกันตรงที่จะเดินอย่างไรไม่ให้หลงป่าไม่ให้ได้รับอันตราย
    จะขึ้นเรืออย่างไรไม่ล่มระหว่างทางก่อน
    จะขึ่หลังเสืออย่างไรเวลาลงจากหลังเสือถึงเรียกได้ว่าลงอย่างสง่างาม.
    ถ้าเดินไปแล้วรอดปลอดภัยแต่ก็ถึงช้าหน่อย
    ลงจากหลังเสือแล้วเสือก็ย้อนไปรับบุคคลที่เหมาะสมจะขี่ท่านต่อไป
    และก็คงไม่มีใครแบกเรือขึ้นฝั่งเมื่อถึงปลายครับ..

    ปล.เอาไว้ประมาณนี้ก่อนครับ
     
  20. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    อ่านโพสแล้วเห็นว่ามีพูดถึงพลังจักรวาล เลยขอถามคุณนพค่ะว่า มันแตกต่างจากพลังกสิณอย่างไร .(คิดไปเองว่ามันก็พลังงานเดียวกัน แต่แตกต่างตรงแหล่งที่มา ไม่แน่ใจว่าใช่รึไม่คะ เช่นกสิณน้ำ ใช้พลังงานในโลก เป็นต้น ).รบกวนช่วยขยายความด้วยค่ะ อ้อแล้วทำไมมันถึงรักษาโรคได้ละคะ ?ในเมื่อแหล่งที่มาไม่น่ามีธาตุสี่
     

แชร์หน้านี้

Loading...