จิตไม่เที่ยง จิตเกิดดับ ใครว่า จิตเที่ยง จิตดับไม่มี นี่เป็นความเห็นผิด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้, 5 พฤศจิกายน 2014.

  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ส่วนเรื่องฌานสี่ของอสัญญีพรหม

    อันนี้ยาก แต่เคยได้ยินคนกล่าวถึง ฌานสี่ที่มืดสนิท(ไม่ใช่สว่าง)
    ก่อนรู้สึกตัว ไปโผล่ที่นั่นนี่(กายทิพย์)
    เคยทำเกือบได้ครั้งนึง คือ มืดเลย เหมือนจะขาดๆสติอยู่เหมือนกัน
    แต่หลุดออกมาก่อน แล้วกายทิพย์ก็ไม่ได้หลุด (เลยไม่มีประสบการณ์จ๊ะ)

    มันต่างจากสว่าง และกายแยกจิต..

    อาจเป็นสภาวะที่ตัวสติ ขาดไปนาน ...
    หรือต้องลองไปถาม พวกเข้าสมาบัติหลายๆวัน
    ว่าเขาเข้าอย่างสว่าง อย่างมืด มีตัวรู้(มีจิต) ไม่มีตัวรู้(ไม่มีจิต)

    คือเคยเข้าได้แบบสว่าง แบบประมาณเกือบชั่วโมง อย่างนี้ก็มีตัวรู้อยู่..(มีจิต)

    อันนี้แค่สันนิษฐาน ไม่มีความรู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2014
  2. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    คุณนิพพานสุข

    คนโง่ แต่รับฟังเหตุผล ยังพอฉลาดขึ้นมาได้บ้าง
    แต่ไม่รับฟังเหตุผลเลย เป็นยังไงก็ จะเป็นอย่างนั้นตลอด

    ไม่เข้าใจว่าทำไม คุณจึงเชื่อฝังหัวว่า เราปฏิเสธสาวก
    เราบอกเราไม่ได้ปฏิเสธสาวกเข้าใจไหม?

    ถ้าสาวกสอนสอดคล้องกับพระพุทธเจ้า ก็ไม่ผิดอะไร

    คนที่คิดอย่างอย่างคุณ ก็มีพื้นฐานมาจากการ "การถือประมาณในบุคคลว่า เป็นพระอริยะ" (ซึ่งขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านสอนว่าอย่าถือประมาณในบุคคล)
    ใครจะแตะต้องไม่ได้ บอกอะไรไม่ได้ ไม่ฟัง กูจะเชื่อ คนที่กูคิดว่า เป็นพระอริยะอย่างเดียว ไม่ฟังพระพุทธเจ้า

    ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อนทำให้ สัทธรรมปฏิรูปหรือธรรมปลอมครองเมือง
    เป็นช่องทางให้มิจฉาชีพอาศัยจุดนี้หากิน เช่น ลัทธิขายบุญ สมีคำ ลัทธิพีรามิดงมงาย ฯลฯ

    ก็เพราะไม่ฟัง ไม่เทียบเคียงคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก ส่งผลเสียต่อพระสัทธรรมแท้

    ขนาดอรรถกถาจารย์ เองท่านยังสอนว่า ค้านสุตตะ คือ ค้านพระพุทธเจ้า
    ถ้าคำไหนในอรรถกถาจารย์ขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ต้องถือตามพระพุทธพจน์เป็นหลัก

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า
    - จิตไม่เที่ยง
    - จิตเกิดดับตามเหตุปัจจัย
    - จิตไม่ใช่รูป จิตเป็นอนัตตา
    - นิพพานเป็นอนัตตา

    ใครจะบอกว่า
    - จิตเที่ยง
    - จิตดับไม่มี
    - จิตเป็นรูป จิตเป็นวัตถุ จิตเป็นตัวตน
    - นิพพานเป็นอัตตา

    ควรเชื่อหรือไม่พิจารณาเอาเอง
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    สภาพการดับของจิตเป็นอย่างไรขออธิบายตามความเข้าใจว่าแบ่งได้ดังนี้

    1 เป็นสภาพรู้ ที่จิต มีการ รู้ หรือเข้าไปรู้เรื่องๆหนึ่งหรือสิ่งๆหนึ่งอยู่ในขณะนั้น แต่ในเวลานั้นก็มีสิ่งปรุงแต่ง วิ่งเข้ามากระทบจิต หรือส่งมายังจิต จิตที่กำลังรู้เรื่องเดิมอยู่นั้น ก็ดับลง แล้วจิตก็วิ่งเข้าไปรู้เรื่องใหม่สิ่งๆใหม่นั้น กลายเป็นว่าตอนนี้ ความรู้ในเรื่องเก่าที่จิตจับไว้นั้น ดับลงไปแล้ว ส่วนเรื่องใหม่สิ่งใหม่ จึงเกิดการรู้ใหม่ ในเรื่องใหม่ที่มีการปรุงแต่งส่งเข้ามา

    นั่นคือการเกิดดับของจิต แต่เป็นสภาวะการเกิดดับจากการ รู้ เรื่องที่1 แล้วพอผ่านไปก็ไปรู้เรื่องที่2 พอไปรู้เรื่องที่2 นั่นคือเรื่องที่1ก็ดับไป การรู้ใหม่ในเรื่องที่2จึงเกิดขึ้น จึงเป็นการดับแล้วเกิด พอมีเรื่องที่สามว่งเข้ามา สภาพการดับในเรื่องที่2จึงเป็นก่อน แล้วจึงเกิดรู้ ในเรื่องที่สามหมุนเวียนไปอย่างนี้ไม่จบสิ้นนั้น เพราะจิต สภาพรู้หรือตัวรู้นั้น รู้ได้ทีละเรื่องเท่านั้น

    2การเกิดดับของจิตอาศัยสภาพ แห่งการมีสติหรือไม่มีสติ อันหมายถึง การมีสติ ตาม สภาพรู้ หรือสติตามดูจิต นั่นเอง เมื่อใดที่ขาดสติ หรือหมดสิต ย่อมหมายถึงสภาพรู้ดับลงไป หรือจิตดับไปชั่วขณะหนึ่ง อันหมายถึง การขาดสติก็ดี การวิสัญญีภาพสลบเหมือดไปก็ดี การละสังขารตายไปกายแตกดับไปก็ดี หรือการเปลี่ยนอัตภาพ ภพภูมิ ด้วย นี่คือสภาพที่จิตดับไปชั่วขณะ
    เพราะไม่มีสติ ไม่สามารถระลึกรู้ได้ ไม่สามารถ เข้าไปรู้ได้ สภาพรู้ หรือจิตจึงดับไปชั่วขณะ
    ส่วนในอีกด้าน หมายถึงสภาพที่จิตทรงสติได้ต่อเนื่องเป็นปกติ เมื่อใดที่ทรงสติ นั่นแสดงว่า จิตเกิดต่อเนื่องทำงานเป็นปกติ คือเอาสติเป็นเครื่องชี้วัด

    ดังนั้นสรุปคือ การเกิดดับของจิต หรือการไม่เกิดดับของจิต นั้น อาศัยสภาวะต่างๆที่ได้กล่าวมา เมื่อท่านเข้าใจสภาวะและเข้าใจการทำงานของจิต แท้จริง อันเป็นธรรมชาติปกติ ท่านก็จะเข้าใจสิ่งที่ผมกล่าวมา ครับ สาธุ
     
  4. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    คุณปุณฑ์

    แม้แต่จิตพระอรหันต์ก็ไม่เที่ยง

    ในพระอภิธรรม มีสอนเรื่อง มหากิริยาจิต ซึ่งก็มี 8 ดวง

    บางดวงเกิดขึ้นแล้วประกอบด้วย โสมนัส
    บางดวงเกิดขึ้นแล้วประกอบด้วย อุเบกขา
    ฯลฯ

    จิตดวงสุดท้ายของพระอรหันต์ เรียก จริมะจิต เป็นจิตดวงสุดท้ายที่เกิดขึ้นและดับไป
    หลังจากนั้น ก็จะไม่มีจิตดวงใหม่สืบต่ออีก ไม่เหลือเชื้อให้เป็นไปอีกแล้ว

    แต่นิพพานเที่ยงนั้นถูกแล้ว นิพพานไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพาน
     
  5. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เข้าใจว่าพระอรหันต์ กลับมาใช้ขันธ์ห้า..(หลังมรรคจิตผลจิต)
    ซึ่งขันธ์สี่(จิต) ต้องเกิดดับอยู่แล้ว แม้นจะเป็นกริยาจิต (เป็นกุศลจิต)
    คือยังไม่ละขันธ์(ดับขันธ์ห้า)เข้านิพพาน

    คือทราบจิต(ขันธ์สี่)ก็ไม่ใช่นิพพานธาตุ ในความหมายของอภิธรรม

    แต่คือ กำลังอธิบาย ว่าอาจมีใคร..ที่ใช้คำว่าจิตในความหมายนิพพาน
    เลยพยายามแยกแยะ ให้ไม่สับสน (ซึ่งปัญหานี้มีมานานแล้ว)
    ว่าเขากำลังใช่จิต ในความหมายไหน..

    ส่วนคนที่สนใจเรื่องจิตจริงๆ อยากแนะนำให้ศึกษาอภิธรรม..ด้วย
    เพราะอภิธรรม ก็เป็นส่วนที่ครูบาอาจารย์ ยกมาจากพระวินัยและสุตตันตะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2014
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ==============

    ใช่ครับ ดังนั้น พึงเข้าใจและพิจารณาเสมอว่า จิตที่กล่าวในขณะนั้นๆ หมายถึงจิตในสภาวะใด เป็นจิตปุถุชน จิตเทพ จิตพรหม จิตอริยะบุคคล จิตอรหันต์ เมื่อท่านทราบว่าเป็นสภาวะใด ขอบข่ายเป็นอย่างไร ท่านย่อมสามารถทำความเข้าใจต่อเนื่องต่อไปได้อย่างถูกต้องแจ่มชัด เพราะแต่ละประเภท แต่ละสภาวะย่อมมีสภาพแก่นแท้ต่างกัน ขอบข่ายก็ต่างกัน เงือนไขเหตุปัจจัยก็ย่อมต่างกัน ด้วยนั่นเองครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม ทั้งมีวิบากกรรมให้ผลเป็นเครื่องหนุนส่ง

    การจุติจิต การเปลี่ยนภพภูมิและอัตภาพ ย่อมอาศัย กำลังจิตอันมีพื้นฐานจาก

    อุปนิสสยปัจจัย คือ กุศลธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่กุศลธรรมที่เกิด
    หลังๆ โดยอุปนิสสยปัจจัย
    กุศลธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรมที่เกิดหลังๆ บางอย่าง โดยอุปนิสสย-
    *ปัจจัย
    กุศลธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอุปนิสสยปัจจัย
    อกุศลธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอุปปนิสสย-
    *ปัจจัย
    อกุศลธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรมที่เกิดหลังๆ บางอย่าง โดย
    อุปนิสสยปัจจัย
    อกุศลธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอุปนิสสย-
    *ปัจจัย
    อัพยากตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอุปนิสสย-
    *ปัจจัย
    อัพยากตธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อกุศลธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอุปปนิสสย-
    *ปัจจัย

    ผู้ปฏิบัติธรรม สามารถสร้างกำลังสมาธิหนุนกำลังจิต ย่อมสามารถควบคุมด้วยกำลังแห่งกุศลกรรม ให้เปลี่ยนภพภูมิอันภาพไปสู่ภพภูมิที่ดีเสมอไม่ว่าจะต่อด้วยเทพพรหมหรือมนุษย์ ครับ สาธุ
     
  8. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    ถ้าเข้าใจว่าจิตเทึ่ยง จิตไม่เกิดดับ จะไม่เห็นไตรลักษณ์
    ก็ไม่สามารถทำวิปัสสนาให้พ้นทุกข์ได้
     
  9. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องเห็นประโยชน์ ไม่เห็นประโยชน์ กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับเราหรอกครับ

    มันเป็นเรื่องของ "ความจริง"

    มันมีคำถามอยู่ว่า ถ้าเรารู้เห็นความจริง ที่ถูกต้อง

    เห็นคนที่ยังไม่เข้าใจความจริง เราจะทำยังไง

    จะปล่อยผ่าน หรือ ช่วยบอกความจริง

    ถ้าเป็นคุณ กราบ1 กราบ2 กราบ3 จะทำยังไงครับ


    เห็นคุณกราบ 123 แล้วนึกถึง อ.แดง กีต้าร์
    ท่านชอบบอก "ยิ้มจี๊ด ซี๊ด มีแต่ได้ไม่มีเสีย"
    กับคำว่า "กราบ1 กราบ2 กราบ3"

    เห็นทีไรนึกถึงทุกที
    เป็นธรรมะที่ขำดี แต่แฝงไปด้วยเรื่องที่ พ้นบัญญัติ
    เป็นธรรมะที่คนธรรมดารู้ตามได้ยาก
     
  10. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เท่าที่ได้อ่านกระทู้ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน มี 5 กระทู้

    1.จิตผ่องใส คือ อวิชชา
    2.จิตไม่เที่ยงเกิดกับฯ
    3.จิตดับไม่มี ฯ
    4.จิตอรหันต์เหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ
    5.ผู้บิดเบือนพระสัทธรรม คือ ผู้ทำลายพระศาสนา

    มีความเห็นสองประเด็น

    1.จิตเดิมประภัสสร เป็นจิตที่มีอยู่จริง เพราะมีอวิชชา จิตจึงเศร้าหมอง
    พอชำระจิต จึงบริสุทธิ์ดังเดิม

    จิตไม่ดับ ธรรมชาติของจิตเดิมที่รู้สภาวะความว่างอยู่ เมื่อจิตบริสุทธิ์
    ก็คืนสู่สภาพเดิม

    เพราะสภาวะเดิม ก็คือ สภาวะทีไม่มีอะไรนอกจากความว่าง เป็นสภาวะที่รู้ว่า
    ว่างอยู่ ไม่มีอะไรเป็นตัวตน หรือเป็นแก่นสาร

    2. จิตเกิดดับ ไม่เที่ยง ก็เป็นสภาวะที่มีอยู่จริง เพราะสังขารปรุงแต่งขึ้นมาด้วย
    เกิดจากเหตุ คือ อวิชชาธาตุ ความที่จิตอวิชชา คือ จิตเดิมแท้ผ่องใสอยู่
    เมื่อรู้สภาวะความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งไม่มี อยู่ในสภาวะความว่างไร้แก่นสาร
    ก็ เพราะมีแต่ ความเกิด ดับ ของสรรพสิ่ง จิตจึงไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน
    รู้แล้วก็คืนสู่ ความว่าง ดังเดิม

    แล้วแตกต่างกันตรงที่ว่า

    1.ไม่ดับ เพราะรู้ว่า สภาวะความว่างนั้นมีอยู่ (สุญญตา)

    2.ไม่เที่ยง เกิด-ดับ เพราะไม่มีอะไรเป็นตน คืนสู่สภาพเดิมแท้ สภาวะความว่าง
    (สุญญตา)


    สองสิ่งนี้แตกต่างกันตรง......

    1.รู้ว่ามีสุญญตา คือ สภาวะเดิมของธรรมชา

    แต่ที่อวิชชา คือ ความปรุงแต่งที่เป็นอวิชชาธาตุ
     
  11. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    จิตเที่ยง เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่เราพูดถึงในกระทู้นี้

    หมายถึง จิตที่เที่ยงแบบ มีอยู่คงอยู่ตลอดไปไม่เกิดไม่ดับ

    แต่จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เกิดอรหัตตมรรคตัดกิเลสแล้วนั้น นั้นเที่ยงที่จะไม่กระเพื่อมหวั่นไหวเมื่อมีสิ่งใดมากระทบ เที่ยงที่จะไม่มีกิเลสใดๆมาครอบงำจิตใจได้
    เรียกว่าได้เข้าถึงแก่นสารสาระอันแท้จริงของพุทธศาสนาแล้ว คือ ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ

    จิตดังกล่าวเรียกว่า มหากิริยาจิต หรือ จิตพระอรหันต์
    แต่มหากิริยาจิตนั้น แม้จะเที่ยงที่จะไม่มีกิเลสครอบงำได้ แต่ก็ยังตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดดับสืบเนื่องต่อกันเป็นสันตติ ด้วยเหตุปัจจัย

    มหากิริยาจิตมี 8 ประเภท บางดวงก็ประกอบด้วยโสมนัส บางดวงก็ประกอบด้วยอุเบกขา
     
  12. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ก็คือ มีชีวิตดำรงอยู่ด้วยขันธ์ห้า รู้แจ้งว่าสิ่งทั้งปวง เป็นความว่าง
    ไร้แก่นสาร ไม่มีตัวตนใด ๆ รู้แจ้งสภาวะทั้งปวงเป็นสุญญตา

    สิ้นชีวิตดับขันธ์ลงไป คืนสู่สภาวะเดิม กลายเป็นสภาพความว่าง
    เป็นธรรมชาติเดิม คือ สภาวะสุญญตา

    คือ

    พ้นโลก อยู่เหนือโลก

    พ้นรู้ ไม่มีอายตนะรับรู้

    ผู้รู้ รู้สภาวะการปรุงแต่ง (สังขาร)

    โลก คือ โลกที่สร้างจากความคิด (ภพ)

    พ้นโลก รู้เหตุการเกิดของความคิด (เหตุแห่งทุกข์) ดับสังขารไม่มีการปรุงแต่ง

    พ้นรู้ ดับวิญญาณ (ที่เป็นตัวตน)

    สภาวะรู้ อวิชชาธาตุ สร้าง มโนวิญญาณธาตุ

    เมื่อ

    สังขารดับ

    วิญญาณดับ

    อวิชชาธาตุดับ

    พ้นรู้ (พ้นสภาวะรู้)

    พ้นโลก (โลกที่เต็มไปด้วยสังขารปรุงแต่ง)

    เข้าสู่ความว่าง สภาวะสุญญตา ดังเดิม
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สุญญตา มันแค่ สมถะ กองหนึ่ง มันเป็น ขั้น ฝึกหัด หัดเดิน

    สุญญตา ของพวก โชว์พาวอวดภูมิธรรมด้วยความคิด มันจะโดน สังขาร หลอก
    ให้ไปตรึกเป็น " ผล " เป็น เป้าหมาย มีการ เผลอเพลินในการ อมขี้ปากคนอื่น เป็นธรรมประดับตน

    ด้น เด้า เดา ธรรม ไม่เลิก ตายเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2014
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สุญญาตา ที่เป็นชื่อ สมาธิ ขั้นพื้นฐาน เพราะ สมาธิพุทธศาสนา มี แค่ 3 อย่าง

    คือ

    สุญญตาสมาธิ เป็นการฝึกสติ ระลึกรู้ จิตมีราคะ หาก ทัน
    หรือ ระลึกได้ ก็เรียก สุญญตาสมาธิ แล้ว หากทำบ่อยๆ ก็เรียกว่า
    พอกพูลสุญญคารวิหาร เป็นการ อยู่สุข( สมถะ ) เฉยๆ แต่ถ้า
    พอกพูลเอาไว้ ไม่หาย ได้เป็นสิกขา ได้เป็นวินัย ก็จะ พยากรณ์
    ได้ว่า โน้มไปสู่ .....( แค่โน้มไปสู่ ไม่ได้บอกว่า ได้ผล ฮา อะไร )

    อนิมิตสมาธิ ก็เป็นเพียงจิตที่มันปราศจากราคะ ในจิตได้เนืองๆ แล้ว
    กำหนดรู้การกำเริบกลับ ทำให้ยก บางสิ่งบางอย่าง เป็นตัวระลึก
    พอจิตมันไป กระทบ บางสิ่ง ก็เกิด บางสิ่งกระเพื่อม เป็นรูป เป็นนาม
    ก็จะอาศับ กริยาจิตตรงนี้เป็นตัวระลึก ก็เป็น การทำสมาธิ อยู่ดี
    [ ความโน้มไปสู่ ก็เหมือนกัน ... ]

    อัปณิหิตสมาธิ ตรงนี้ผลิกเข้ามารู้ข้างใน เห็นว่า ทุกสิ่งมัน
    ออกไปจาก "...." ดังนั้น ไอ้ตัว "...." ที่สดใส ประภัสสร นั่นแหละ
    ตัวโง่ล้วนๆ หากมาเห็นตวนี้ จะเลิกตั้งว่า " โน้น นั่น นี่ คือ ....." แล้ว
    อาศัย กริยาจิตระลึกได้ในสิ่งนี้เป็นตัว สิ่งจับต้องได้ เป็นตัวระลึก ซึ่ง
    ก็คือ การยกสมาธิอีกนั่นแหละ .....มีการโน้ม น้อมไป เหมือนกัน แต่
    ถ้าไม่โน้ม ไม่น้อมไป โยนิโสมนสิการ ไม่มีเนี่ยะ ก็ไม่ได้ ฮา อะไร ตายเปล่า อยู่ดี
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ละเมอ ไง

    ถ้าเป็น นักภาวนา นักปฏิบัติ เจริญสติ ก็จะให้ คำว่า ลืมกาย

    กายยังตกอยู่ใต้อำนาจตัณหา ทำเป็นไม่เห็น เพราะอะไร

    เพราะ เอาความละเมอ เป็นใหญ่กว่า ความเป็นจริง
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีเนี่ยะ คุณไม่ใช่ นักภาวนา

    ปรารภกี่ที ก็ ปรารภว่า กูไม่ภาวนา กูไม่เอาธรรม

    ดังนั้น

    ก็เลย ทำอะไรไม่ได้ แนะอะไรไม่ได้ แนะไป ก็ เป็น เฮีย แก่กันและกัน เปล่าๆ
     
  17. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    ผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ที่ใครซักคนจะเกิดสัมมาทิฐิ
    อย่างคุณจิตยิ้มนี่ ผมก็เห็นว่า เธอมีความเห็นที่ตรงตามธรรม
    แบบโน้มไปในทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งวันนี้คุณจิตยิ้มจะปฏิบัติหรือไม่
    ผมว่าไม่สำคัญ เท่าความเห็นที่ถูกต้อง
    ว่าที่แท้พระพุทธเจ้าต้องการให้เราปฏิบัติเพื่อเห็นอะไร
    คือ เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นไตรลักษณ์
    ถ้านักภาวนาที่ยัง เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ จะเอาหรือครับอย่างนี้
    มานั่งดู นั่งรู้ แต่เรื่องทุกข์

    ผมว่าถ้าวันหน้า คุณจิตยิ้มจะปฏิบัติ
    ก็มีแต่จะโน้มไปทาง นิพพาน อย่างไม่ต้องสงสัย

    และที่แปลก คือ คุณจิตยิ้มเธอ
    กลับเข้าใจในเรื่อง อนัตตาธรรม
    ผมว่ามีไม่กี่คน
    ในบอร์ดนี้ก็นัดคนได้เลย

    และผมเห็นนักภาวนาหลายคน ปฏิบัติหลายสิบปี
    ครึ่งค่อนชีวิต
    ยังเห็นทางที่จะเดินไม่ถูกเลย
    บางคนยังทำเพื่อเพิ่มพูน ตัวตน อยู่โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

    ผมว่าอย่าดูแคลนเธอเลย น่าจะโมทนาด้วยซ้ำนะครับ
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เอาอย่างนี้ดีกว่าคะ

    ข้าพเจ้าลบข้อความนั้นไว้ก่อน พูดไปก็คงไม่ค่อยมีใครเชื่อ

    ว่า ในสภาวะของธรรมชาติ ที่เราเห็นอยู่นี้ มองว่ามันมีอยู่

    เห็นอยู่ และรู้อยู่ แต่ความจริง ในธรรมชาติที่เราเห็นอยู่ว่ามี

    กลับมี ความว่าง หรือ ความไม่มี ซ่อนอยู่ในธรรมชาตินั้น

    และคำที่ว่า ไม่มีอะไรเลย ทุกสิ่งที่มองเห็นอยู่นี้

    ไร้แก่นสาร ไม่มีตัวตน...

    ใช่ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ว่า สุญญตา ว่างเปล่า ไร้แก่นสาร ไม่มีตัวตนที่แท้จริง

    หรือไม่นะคะ แล้วคำดังกล่าวข้างต้น หมายความว่า........

    ใจเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้พิสูจน์ รู้ได้ตนเอง. .....เท่านั้น

    ถ้าอยากรู้ ต้องโน้มเข้าไปพิสูจน์ด้วยตนเองคะ
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    แล้วคำว่า พ้นโลก หมายความ ว่าอะไรคะ

    ปฏิบัติอย่างไร จึงทำให้จิตใจพ้นไปจากโลก

    อยู่เหนือโลก (คิริมานันทสูตร)

    คำว่าพ้นรู้ มีไหมคะ มีครูบาอาจารย์ท่านใดที่กล่าวไว้

    พ้นจากความรู้การปรุงแต่งของสังขารทั้งปวง

    โลก คือ สังขาร

    สังขาร คือ ความคิด

    คิดปรุงแต่งสิ่งใด ใจก็เป็นไปตามที่คิด

    โลกที่เต็มไปด้วยความคิด

    ความคิดอันเป็นต้นเหตุของความทุกข์

    จะต้องมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนคะ

    นอกจากที่กล่าวมานี้....มีอะไร มากไปกว่านั้น หรือเปล่าคะ

    ข้าพเจ้า ก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันคะ

    อยากรู้อะไร พอใจเรานิ่ง ก็ได้รู้

    เหมือนธรรมะจัดสรร ธรรมชาติจัดให้

    ส่วนเรื่องการปฏิบัติเพื่อไปให้ถึง ก็เพียรพยายามกันอีกที

    ตอนนี้ได้แค่....รู้ความจริง แค่นั้นคะ
     
  20. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สิ่งที่พูดมาทั้งหมด ก็ถือว่าเป็นข้อคิด เพื่อไว้พิจารณา ก็ได้นี่คะ

    คงไม่เสียหายอะไรนะคะ ใจเราจะเชือหรือไม่ ..ถ้าเราไม่ได้พิสูจน์

    ได้ด้วยตนเองนะคะ

    ผู้ที่จะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง ก็คือผู้ที่ประสบเห็นด้วยตนเองเท่านั้น

    โดยเฉพาะ การมองย้อนลงไปถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต

    ของตัวเราเอง คนที่เรารัก คนที่เรารู้จัก มีความพลัดพลาด

    มีการตายจากไป สิ่งที่คงเหลือไว้......

    ความทรงจำ.....ที่ว่างเปล่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...