เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    หลวงพ่อ วัดป่ากังวาลไพร ท่านส่ง ใบอนุโมธนาบัตร
    ที่ พวกเรา ร่วมกัน ทำบุญ ทอดกฐิน ไปในครั้งนี้ มาให้

    อันที่จริง ท่านส่งมาให้ หลายวัน แล้ว แต่ ผม เอง แหละ งาน เข้ามา ติดๆกันจนล้นมือ
    ไม่ค่อยมีเวลา นั่งอยู่ในออฟฟิค จึง เพิ่งจะได้มาบอกเล่า แก่ เพื่อนสมาชิก เอาวันนี้ เอง

    ครับผม


    [​IMG]
    ขอกราบอนุโมธนาบุญ กับ ทุกๆท่าน อีกครั้ง ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2014
  2. ฤชา

    ฤชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +835
    หาข้อมูลไม่พบเลยนะครับว่าเป็นเสือสำนักไหน
     
  3. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอน อดีต(ชาติ)ของมนุษย์ ผลในปัจจุบันค่ะ (ต่อ)


    อีกเรื่องหนึ่งที่กะทิเคยเจอ คือการใช้ร่างเดียวกันของจิตวิญญาณตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องแปลก คุณผู้อ่านอาจเคยได้ยินเรื่องคนฟื้นขึ้นมาจากความตาย เรื่องนี้บางทีก็เป็นเรื่องธรรมชาติ และบางทีก็เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ


    เรื่องที่เป็นธรรมชาติกล่าวคือ ในบางครั้งผู้ที่ป่วยมีอาการร่างกายอ่อนเพลียมาก จนหัวใจเต้นอ่อนแรง จนแทบจะจับชีพจรไม่ได้ ที่ยกมากล่าวไว้ เพราะกะทิเธอเคยมีอาการนี้ตอนไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าทำไมถึงเพิ่งจะมา เพราะว่าจับชีพจรแทบไม่เจอแล้ว


    ดังนี้เราจะเห็นบางคนที่ทุกคนเชื่อว่าตายไปแล้ว 1-3 วัน ลุกขึ้นมาเฉยๆ (โดยเฉพาะในตจว. หรือที่ห่างไกลแพทย์) บางทีเพราะจริงๆ แล้วเขายังไม่ได้ตายหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าหัวใจเต้นอ่อนมากๆ จนแทบจะจับชีพจรไม่ได้นั้นเอง ทำให้ญาติบริวารเข้าใจผิดว่าเสียชีวิต ทั้งๆ ที่จริง หากร่างกายได้พักผ่อน ก็จะซ่อมแซมตัวเองให้ฟื้นกำลังขึ้นมาได้เหมือนกัน


    ส่วนเรื่องเหนือธรรมชาติก็คือ การฟื้นคืนจากความตายจริงๆ บางคนยังคงเป็นคนๆ เดิม (และอาจจำเรื่องราวหลังความตายติดมาได้ด้วย) แต่บางคนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหลังจากนั้น ผู้ที่เคยเสียชีวิตแล้วฟืนคืนมา บางคนจำอะไรไม่ได้ บางคนจำหลายเรื่องหลังความตายได้ และบางคนพาคนอีกคนมาด้วย โดยอาศัยใช้ร่างเดียวกัน ซึ่งอย่างหลังนี้จะทำให้เขามีความสามารถพิเศษทางพลังจิต



    พี่สาวในอดีตชาติของกะทิเคยเล่าให้ฟังว่า พวกนี้จำต้องบูชาจิตวิญญาณที่มาอาศัยอยู่ด้วยกัน ส่วนสาเหตุที่มาอยู่นั้น กะทิขออธิบายเท่าที่ตัวเธอเองเข้าใจอะนะคะว่า การทำบุญให้ได้บุญ จะต้องอาศัยร่างมนุษย์เพื่อย้ายภพภูมิให้สูงขึ้น(หรือถ้าทำไม่ดีมากกว่าเก่าก็อาจต้องกลับไปอยู่ในภพที่แย่ลง) นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นเทพ หรือผี ต่างก็รอโอกาสมาเกิดทั้งนั้น


    ดังนั้นบางจำพวก ไม่จำเป็นต้องรอให้ร่างกายเติบโตรับรู้ดีถึงจะทำบุญกุศลได้/ทำเป็น วิธีการคือการขอยืมร่างจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือผู้ที่กำลังจะจากไป เข้าร่างของคนเหล่านี้มาแทน เป็นต้น ฟังๆ ดู คล้ายๆ ละครที่เคยดูในทีวีหลายๆ เรื่องไหมคะ? แต่ว่านี่แหละค่ะเขาถึงว่า ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครอะนะคะ และกะทิเธอถึงได้เคยเขียนเล่าให้ฟังว่า โลกในมิติอื่นหนะ มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดซะอีก




    /ยังมีต่อ


    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจาก การเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2014
  4. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    เอ่อ...ว่าจะไม่เขียนก็อดปั่นกระทู้ให้กะทิไม่ได้...อิอิ
    ตอน อดีต(ชาติ)ของมนุษย์ ผลในปัจจุบัน เล่าในฐานะคนที่มิมีความสามารถพิเศษใดๆ นะคะ เป็นเรื่องความเชื่อและพลังอธิษฐานล้วน ๆ

    ...เรื่องแฟนของเราเอง...แกอายุมากกว่าเรามาก(มิบอกดอก...ว่ามากกว่าเท่าไร...อิอิ) คือตอนคบกันสงสัยมาก ว่าชอบได้ไง(วะ) ก็เลยอธิษฐานจิตถามตอนก่อนนอนว่าเคยเกี่ยวข้องไรกันในชาติภพไหนรึ.....ก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ 5 นาที 10 นาที

    ก็ว่ากันปายอะนะ ก็ทำอย่างนี้ประมาณ 3 คืนติดกัน แล้วคืนหนึ่ง...จิตก็ดิ่งลง...วิ้งๆๆ
    (ตอนนั้นเรานอนหลับไปแล้วนะ...มิได้นั่งสมาธิใดๆ เลย) คือรู้สึกตื่นในจิตเพราะวิ้งๆ นี่แหละ...ก็มองเห็นภาพ เหมือนเราดูทีวีเลย มองเห็นตัวเราเป็นผู้หญิงผิวขาว สวย ผมยาว

    ดำขลับ (ช่างแตกต่างจากปัจจุบันแท้...555) อยู่กะผู้ชายผอมๆ ขี้โรคคนหนึ่ง....เขาดูแลเราและรักเรามาก...เราก็มองไปในตาเขา...หะ...ผู้ชายคนนี้ก็คือแฟน สว. ของเรานั่นเอง...โอ้วมายก๊อด...555 แต่...แต่..แต่ เรื่องมิได้ แฮปปี้ จากดีแทค เช่นนั้น

    คือว่า...คือ เรามิได้เป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือยอะจ้า...เรามีสามีแล้ว...โอ้วมายก๊อด(รอบ 2) เพราะคุณสามีที่แสนดีเขามาตามเรากลับไปแบบลากถูลู่ถูกังเลยอะ...ก็มานไม่ยอมไปอะ (เหมือนกากี...นัง...555) อันที่จริงผู้ชายขี้โรคก็ไม่น่าผิดที่รักและดูแลเรา เราก็ไม่ผิดเพราะไม่รู้....ที่ไม่รู้ เพราะเราความจำเสื่อมเพราะเกิดอุบัติเหตุแล้วสมองเสื่อม...จำไรไม่ได้ ผู้ชายขี้โรคนี้ดูแลรักษาเรา...วันหนึ่ง

    สามีตัวจริงก็ตามมาเจอและลากตัวกลับไป...ก็เท่าน๊าน...แล้วก็ตัดภาพมาอีกภาพ...คือ เรากลับมาหาผู้ชายขี้โรคนี้อีก...เหมือนหนีมานะ(ตอนนี้คงจะเป็นกากี...จริงๆ ล่ะ...555) แต่พบแต่ความว่างเปล่า...หลังจากเราไปผู้ชายคนนี้ก็ตรอมใจตายภายในเวลาไม่นาน....

    /ยังมีต่อ

    **ขอยืมคำกะทิมาใช้..อิอิ...เป็นภาคต่อของแฟนเรา จากความฝันของเขา มาต่อความฝันของเราและสามีที่ลากเราในภพนั้นยังได้เจอกันในชาตินี้อิก...โอ้วมายก๊อด(รอบ 3) 555
    (ที่หัวเราะน่ะ...จริงขำไม่ออกดอกเด้อ...ฮือๆๆ ...แล้วกัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤศจิกายน 2014
  5. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    คุณ wawana คะ ต้องขอบคุณมากที่รักกะทิเธอขนาดนี้นะคะ เขียนมาในกระทู้บอกว่าเพื่อช่วยกะทิปั่นกระทู้ 55555


    สงสัยท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ กระทู้นี้เป็นของหมอสุวินะคะ ดังนั้นกะทิเธอมาเขียนเพื่อจะปั่นกระทู้ให้หมอสุวิต่างหากล่ะคะ5555



    มีช่วงหนึ่งที่กะทิเธอทำท่าจะหายไป หมอก็มากระแซะๆ กะทินะคะ บอกว่ามีคนจะอ่านรออยู่อะนะคะ(จะเชื่อเธอดีไหมหว่า?)



    แต่ถึงกระนั้นกระทิว่ามันเป็นการดีมากๆ ค่ะ ที่จะมีผู้อ่านอย่างคุณ wawana เข้ามาเขียนเล่านิทานกันเยอะๆ เพื่อเพิ่มสีสันและรสชาติที่หลากหลายให้กับท่านผู้อ่านนะคะ เป็นผู้รับอย่างเดียวมันไม่สนุกหรอกค่ะ เราต้องเป็นผู้มีส่วนร่วมมันถึงจะสนุกกว่านะคะ หรือก็คือเป็น "ผู้รับ" และ "ผู้ให้" (ให้ผู้อื่นได้อ่าน รวมถึงกระทิเธอด้วย)


    มันดีอย่างไรนะรึ?


    มันดีแน่นอนค่ะ เราอ่านเรื่องราวความคิดของผู้อื่น เราก็ได้การต่อยอดทางความคิดของเราจากประสบการณ์ของคนอื่นมาเป็นแง่คิดในชีวิตเราอะนะคะ



    คุณ wawana เป็นอีกคนที่เขียนเล่าเรื่องราวได้ดีในเรื่องของการบอกเล่าถึงรายละเอียดนะคะ ทำให้มองเห็นภาพตามได้ เข้ามาเขียนนิทานอีกนะคะ เรื่องของคุณออกจะเยอะแยะเนอะ และผู้อ่านท่านอื่นๆ ด้วยนะคะ เก็บเรื่องความสามารถของตัวเองไว้เพียงตัวคนเดียวมันอาจเหงา เอามาแชร์มาเล่ากันค่ะ อิอิ
     
  6. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ขออนุญาติ เพิ่มเติม นิดหนึ่ง
    ตามที่คุณอธิษฐาน ได้เล่าเรื่องการเดินพลัง ตามสายจักระ ไว้นะ
    อ่านไป อ่านมา สะดุด ใจ นิดหนึ่ง
    จึง ขออธิบาย เพิ่มเติม ป้องกัน ไว้ก่อน เผื่อว่าจะมีคนดี มีฝีมือ ประเภท อ่านปั๊บ ทำได้ปุ๊บ จะได้ ไม่ เกิดเรื่อง หวาดเสียว
    เดี๋ยวไม่รู้ จะ นอนเดี๊ยง อยู่กับบ้าน

    สมัยที่ผมเรียน อาจารย์ท่าน สั่งนักสั่งหนา ว่า ห้ามพูดสั้นๆ
    ถ้าจะพูด ถ้าจะสอน ก็ ต้อง สอนให้ ละเอียด ชัดเจน เป็นขั้นตอน
    ไม่งั้น ก็ ไม่ต้องพูดถึง
    ( ในหลายๆเรื่อง พูดสั้น มันก็ เข้าใจได้ แต่ ในเรื่องที่สำคัญๆ ต้องอธิบาย ให้เข้าใจ ถ่องแท้ เน้นย้ำในทุกแง่มุม ก็ ต้องยอมเหนึ่ยหน่อย อธิบายไป แล้วยังต้อง สอบถาม ซ้ำๆ ว่า เข้าใจ ตรงกัน จริงๆ นะ เพื่อป้องกันมิให้ เกิดอันตราย ในการปฏิบัติ)


    ตามที่ คุณกะทิ เล่ามา เรื่อง การฝึกจักระ เดินพลัง ตามไล่มาทีละจักระ นั่นเป็นพื้นฐาน ที่ ต้องฝึกฝน กัน ตั้งแต่เบื้องต้น ถูกต้องแล้ว

    แต่ ที่ว่า " เค้านิยม ฝึก จากข้างล่าง ขึ้นข้างบน "

    อันนี้ ในสมัยก่อน เค้า ฝึกกัน จาก จักระ1 ขึ้นมา 2 3 4.....ฯ

    กันจริงๆ
    เป็นวิธี ที่ได้ผลชัดเจน รวดเร็ว แต่ ต้องอยู่ในความดูแล ของครูบาอาจารย์ อย่างใกล้ชิด ( ย้ำนะ ว่า อย่างใกล้ชิด)

    ในช่วงแรกๆ นะ มัน ก็ ยังคง ทำกันไม่ค่อยได้ หรอก
    ทำผิดทำถูก ก็ ไม่เกิดผล อะไร
    พอฝึกไป เริ่มเปิดรับพลังได้ เดินพลังได้
    พลัง ก็ พลังพลู ออกมา ให้รู้สึกได้ มากบ้าง น้อยบ้าง

    ทีนี้ จักระ1 ( อยู่่ บริเวณ ตรงกลาง ระหว่าง รูทวาร กับฝีเย็บ)
    จุดนี้ เป็นจุด ให้พลังรุนแรงมากที่สุด เป็นพลังชีวิต ของเราเลยก็ว่าได้
    เหมือนพวกจอมยุทธ ในหนังกำลังภายใน เค้า ใช้พลังจากตันเถียนล่าง นี่แหละ

    หากนักเรียนมือใหม่ ที่ยัง ควบคุม พลังได้ ไม่ชำนาญ
    คือ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ควบคุม ปริมาณ ก็ ยังทำไม่เป็น
    ไป เปิด จักระ1 ขึ้นมา
    แล้ว หาก บังเอิญ เก่ง เกิน เปิดได้ พั๊ว พลัง พุ่ง ออกมา ปั้ง แบบท่อปะปาแตก หากได้ ระดับนี้ แล้วละก้อ

    ได้ นอนเดี๊ยง กองกับพื้นเป็นแน่

    ตรงนี้ แหละ จึง ต้องย้ำว่า " ต้องอยู่ในการดูแล จากครูบาอาจารย์ อย่างใกล้ชิด"

    เพราะ หากพลาดพลั้งไป จะได้มีคนช่วย ประคับประคอง ให้เอาตัวรอบปลอดภัย ได้

    ในทางปฏิบัติ การฝึกพลังในสมัยใหม่
    นิยม ที่ จะ สอนให้ นักเรียน เริ่มฝึก จากจักระ 7 เว้น จักระ6 ไว้นก่อน ลงมาที่ จักระ5 4 3 2 เว้น จักระ1 ไว้ก่อนเหมือนกัน

    สรุปว่า ในระดับที่1 ให้ รู้จัก เพียงจักระ 7 ก็พอ
    ฝึกจนชำนาญ ในการรับพลัง เพียงเท่านี้ก่อน

    ระดับที่2 ค่อย เลื่อนผ่าน จักระ6 ไปเลย ไป พักที่ จักระ5
    เลี่อนไป มา ระหว่าง 7 - 5
    จนชำนาญ

    ผมมาพิมพ์ อย่างนี้ ก็ ยัง ไม่ค่อยไว้วางใจ
    เอาเป็น ว่า รู้ กัน คร่าวๆ นะ ว่า คนที่ฝึกใหม่ๆ

    ให้ เริ่ม จาก จักระ 7 ก่อน

    ให้ เว้น จักระ 6 ไว้ ก่อน
    จักระ 1 อย่าเพิ่งไป ยุ่ง กับเค้า

    เอา ไว้ พัตนา ได้ เกินระดับที่ 5 ขึ้นไป จนเปิดจักระ6 เปิดตาที่สามได้ แล้ว ค่อยๆ มา หัดฝึก จักระ1
    ตอนที่จะ ฝึก จักระ 1 ควร ฝึกการ รับ ส่งพลังได้ อย่างคล่องแคล้ว รู้จัก การ ควบคุม ปริมาณ มากน้อย ได้เหมือนกับมีวาว์ล คอนโทล มากน้อยได้ ตามต้องการ เสียก่อน

    เรื่อง การคอนโทล ตรงนี้ สำคัญมาก อย่าประมาท อย่ามองข้าม

    สำหรับคนที่ ประสงค์ จะฝึกฝน กันจริงๆ

    ก็ ควรหา ครูบาอาจารย์ ที่ มีตัวตน จริงๆ
    ไป เรียน กัน จริงๆ
    จะได้ เรียนแล้ว ทำได้สำเหร็จผล ตามหลักสูตรการเรียนการสอน อย่างปลอดภัย และ ได้ผลจริง

    ที่ เห็นๆ ว่า เรียนเล่นๆ ก็ได้
    นั่น ก็นับว่า โชคดี มาก ที่ทำกันไม่ค่อยจะได้
    หากบังเอิญทำได้ขึ้นมา แล้วละก้อ
    คงจะเป็น เรื่องเคราะห์ หาม ยามร้าย เป็นแน่ (มีให้ เห็นกับตา มา ก็ไม่น้อยแล้ว ก็นับว่าโชคดี ที่บังเอิญ ยังมีคนเห็น นะ...55)

    เรื่อง นี้ ควรระวัง นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2014
  7. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ขอบคุณนะคะพี่ดาว ที่มาให้ความรู้ค่ะ


    พี่ดาวเขาเข้าคอร์สเรียนเป็นกิจจะลักษณะอะนะคะ ความรู้เรื่องนี้จึงแน่นปิ๋งปั๋ง


    ส่วนกะทิเรียนจากการฟังจากผู้มีความรู้บ้าง อ่านเอาบ้าง ไม่ได้เรียนเป็นกิจจลักษณะเหมือนพี่ดาวฯ อะค่ะ


    อาศัยที่ว่า ตาเปิดแล้ว และเคยเดินพลังสมาธิแบบ เกสา โลมา ขนา ทันตา ตโจ มาก่อน ตามที่หมอสุวิสอน ซึ่งควบคุมกะทิในการฝึกตอนนั้นอยู่ด้วย (เรียกว่ามีอาจารย์หมอสุวิคอยติดตามผลอยู่) ดังนั้นพอกะทิมาทำสมาธิแบบจักระ ซึ่งมีลักษณะหลายๆ อย่างคล้ายกันอยู่ ก็เลยเดินพลังจักระแบบดุ่ยๆ ไป ยังไม่เดี๊ยง 555



    แต่กับผู้อื่นแล้ว กะทิยังอ่อนด้อยปัญญา ไม่เคยเข้าครอสเรียน ว่ามันอาจมีผลร้ายแฝงอยู่ ดังนั้นต้องขออภัยท่านผู้อ่าน และขอบพระคุณท่านพี่ดาวฯ ที่เคารพอย่างสูงนะเจ้าค่ะ

    จริงอย่างที่พี่ดาวฯ ว่ามาจริงๆ ด้วย ว่ากะทิพูดรวบรัดเอามากๆ จนมีผู้อ่านเขียนมาถามหลังไมค์ แต่ก็นั่นแหละ กะทิก็เพียงอธิบายให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่อาจารย์สามตาก็เคยอธิบายเพิ่มพอให้กะทิเห็นภาพของการเดินทางของพลังจักระ แต่ถ้าให้พูดถึงว่าเข้าเรียนล่ะก็ ไม่เคยเจ้าค่ะ


    ดังนั้นต้องขออภัยผู้อ่าน ที่เขียนอธิบายเรื่องนี้น้อยมากๆ และขอบพระคุณพี่ดาวฯ อีกครั้งที่มาให้ความรู้แก่กะทิเธอด้วยนะคะ (กะจะทำบุญ(จากการเล่าเรือง) เกือบได้บาปมาเป็นของแถมแย้วววจิ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2014
  8. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    พวกเรา ที่ เข้ามาในกระทู้ นี้ ก็ถือว่า เป็นคนคุ้นเคยกัน
    เป็นเพื่อนสมาชิกที่ ติดตามกันมา มีอะไร ก็ เป็นห่วงเป็นใย กัน

    มองเห็น อะไรที่ ไม่เหมาะ ก็ ต้องออกมา ชี้แจง แนะนำกัน เป็น ธรรมดา

    จะว่าไป การ ฝึกพลัง โดยการกระตุ้นจักระ แบบนี้
    จะเรียกว่า พลังจักรวาล ก็ได้ เพราะเค้านำมาเผยแพร่ ก่อนในยุคแรกๆ
    ต่อมา ก็แตกสาขา ตามแง่คิดมุมมอง ออกมา เป็น พลัง.... อะไร ต่ออะไร ออกมา อีก หลายด้าน

    แต่ ก็มี พื้นฐาน และเริ่มต้น จาก พลังจักรวาล แทบทั้งสิ้น

    ขอเล่า ต่อ พอเป็นกระสายยา ( แบบ ว่า เล่าถูกเล่าผิด ก็ อย่าถือสากัน)

    ที่มาของเรื่อง พลังจักรวาล นี่ ตามประวัติ หรือ ตำนาน ก็ไม่แน่ใจ
    เล่ากันว่า มี ต้นตอ มาจาก อียิปต์ ยุคโบราณ (มากกว่า 4,000ปี ก่อน ค.ศ.)
    มีการค้นพบหลักฐาน และภาพแกะสลัก อักษรภาพโบราณ ในถ้ำ ในปิรามิดโบราณ แสดงถึงการรักษาโรค ด้วยการส่งพลัง โดยกษัตริย์ หรือจากพระ ให้คนป่วย
    และหลักการ ฯลฯ

    พระอาจารย์ดาสิรา ท่านเดินทีเป็นศาสดาจาร์ย ด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี หลังจากที่ท่านเกษียรอายุ แล้ว ท่านบวชเป็นพระในพุทธศาสนา แล้วยังได้ ค้นคว้า ในเรื่องพลังจักรวาลนี้ ต่อมา จนไปค้นพบ วิธีการรักษาโรค ด้วยพลังจักรวาล นี้ กลับมาเผยแพร่ ทำให้คนรุ่นหลัง อย่างเราๆ ได้ มีโอกาสได้ รู้จัก

    อีกคน ที่ต้อง ขออนุญาติเอ่ย นามท่าน คือ อาจาร์ย เลอมินด่าง ( หากสะกดชื่อท่านผิดไป ก็ ต้องขออภัย) ท่านเป็นชาวเวียตนาม อพยพไป อยู่ในอเมริกา ท่านได้ นำวิชาการเรื่องพลังจักรวาลนี้ ช่วยเหลือผู้คน และ เผยแพร่ ต่อมา จนมีคนสนใจ ศึกษากว้างขวาง เป็นสมาคมขนาดใหญ่ มีสาขาอยู่ในหลายๆ ประเทศ ในประเทศไทยเรา ก็ มี สมาคมพลังจักรวาลนี้
    มีการเรียนการสอน เป็นระบบ หลักสูตร ชัดเจน เป็นขั้นๆไป
    ตั้งแต่ เริ่มต้น ระดับ1 2 3 4 ไป จนถึง ระดับ 21 มากภายหลัง ได้ยินว่ามี ถึง ระดับ 22 ด้วย

    แม้นหลังจากที่ อาจารย์ด่าง ท่านละสังขารไป แล้ว ก็ตาม
    สมาคมนี้ ก็ ยังคง ดำเนิน การ ต่อมาจนถึง ทุกวันนี้

    แม้นผม เอง ไม่เคยเรียน ไม่เคยรู้จัก กับอาจารย์ด่าง ก็ตาม แต่ ก็ รู้สึกคุ้นเคย กับ ท่านอย่างแปลกๆ

    ผมเรียนพลังยูเรอัส มาจาก อาจารย์กิตติชัย

    ถึงจะมีชื่อเรียกที่ ต่างกันออกไป แต่ก็มีพื้นฐาน อันเดียวกันกับ พลังจักรวาล นั่นแหละ
    จะมีแตกต่าง กัน ก็ เพียง เรื่องพลังเบื้องบน กับแนวคิดเปิดกว้างออกไป เท่านั้น


    โดยสรุปแล้ว ก็ เหมือนๆ กันนั่นแหละ
    คือ ระดับ 1 - 4 ว่าด้วยการเรียนรุ้ เรื่องพลัง การรับ การส่งพลังเพื่อการรักษา
    ระดับ 5 เพิ่มขีดความสามารถ ในการรักษาทางไกล ( ตาที่สาม)
    ระดับ 6 7 8 .......... ขึ้นไป เป็นการพัฒนาการทางจิต + การเรียนรู้ ทางจิต ในแง่มุนต่างๆ


    สำหรับคนที่สนใจ ที่จะศึกษากันจริงจัง
    พลังจักรวาล มีสมาคมอยู่ในประเทศไทย ลอง ค้นหาเบอร์โทร ศัพท์ ติดต่อดู
    หรือ ที่ เฮียสามเหลี่ยม (คนนี้ ก็ ระดับ 21 เก่ง เอาการ คนหนึ่ง แต่ไม่ค่อยเปิดเผยตัว) เฮียแก นานๆ ก็ สอนที ส่วนมาก จะสอน ตอนที่ ครูบาคำเป็ง มากรุงเทพ มาพักที่บ้านของเฮีย เค้า ก็จะร่วมจัดสอนพลังจักรวาล เพื่อร่วมบุญ หาทุนสมทบ ให้ ครูบาคำเป็ง

    ส่วนพลังยูเรอัส อาจารย์กิตติชัย นานๆ ท่านจะเปิดสอนที หนึ่ง
    มาในระยะหลัง ท่าน เว้น ห่าง ไป จึงต้อง ค่อย ติดตามข่าว คราว ว่าเมื่อไร ท่านจะ เปิดสอนอีก
    ................................

    ไหนๆ ไปเอ่ยชื่อ ถึง เฮียสามเหลี่ยม เข้า
    ก็ ขอ เล่าต่ออีกสักหน่อย
    เฮียสามเหลียม คนนี้ ผมเรียกว่า เฮีย ถึงแม้น เธอจะมีอายุ น้อยกว่าผม ก็ตาม เรียกแบบคนจีน ที่ นับถือกัน นั่นแหละ

    ทีแรกเลย ที่ได้รู้จักกัน
    ผมโทรไป ถาม ข่าวเรื่องครูบาคำเป็ง คุย กันทางโทรศัพท์ คุยกับไป อีท่าไหนไม่รู้ จนแกรู้ว่าผม ไปเรียนพลังยูเรอัส มา ตอนนั้น อยู่ระดับ 1-2 เท่านั้น
    เฮียแก บอกว่า ถ้างั้น ก็ รับพลัง เป็นแล้ว นะซิ
    ผม .. เด็กใหม่ ยังไม่ค่อยรู้ อะไร
    เฮีย.. ส่งพลัง มาให้ นะ

    ว่าแล้ว แก ก็ ส่งพลัง มาจริงๆ มาแบบ พายุ เฮอริเคน เลย
    คือ ไม่ใช่ แค่ พอรู้สึก ว่า มีพลังมา เท่านั้น แต่มา แบบเป็นพายุ เหมือน กับมี ลมพายุแรงๆ พัดใส่มาที่ ตัวผม ระดับ ทั้งเนื้อทั้งตัว เหมือนยืนกลางพายุ กัน เลยทีเดียว
    ทำเอา ผมเอง คิดใน ใจ
    เค้าเป็นใคร กัน...(วะ) ...

    ต้องบอกกันตรงๆ ว่า เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เพิ่ง เจอ พลัง แรงๆ แบบนี้

    เฮียสามเหลี่ยม จึง เป็น ที่ประทับใจ ของผม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    มารู้ เอาภายหลัง ว่า เค้า ก็ เป็นหนึ่ง ในจอมยุทธ์ ในยุคนั้น........55
    (
     
  9. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    พี่ดาวเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้เป็นนิทานเรื่องใหญ่ได้อีกเรื่องหนึ่งเลยนะคะ


    เพราะถ้าเปรียบไปแล้วจริงๆ สมาธิเดินจักระเท่าที่พี่ดาวฯ เล่ามาเนี่ย หากเป็นสำนักฝึกวิทยายุทธ ก็เป็นเสมือนกลายๆ วัดเส้าหลิน เพียงแต่ทางโน้นเขาเด่นในเรื่องทางกาย และทางจิต แต่ที่เราคุยๆ กันอยู่นี้ เป็นเรื่องของทางจิตล้วนๆ


    เรื่องของการส่งพลังที่พี่ดาวฯ เล่าไว้ว่า คราวหนึ่งที่เคยได้รับจาก "เฮียสามเหลี่ยม" ทางโทรศัพท์นั้น เรื่องนี้มันทำให้กะทิเธอนึกถึงพี่คนหนึ่งในสมัยที่อาจารย์สามตายังอยู่ แต่จำชื่อเขาไมได้แล้วอะค่ะ


    พี่แกคนนี้เป็นคนร่างใหญ่ตัวท้วมๆ ที่กะทิได้พบ เป็นอีกคนที่เคยเชิญองค์เทพต่างๆ มาให้พรกะทิเธอ และทำให้กะทิได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่พี่ดาวฯ อธิบายไว้ว่า เป็นเหมือนพายุเฮอริเคนพัดถล่มเข้าใส่ตัวเรา ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเราอยู่ในที่ร่ม ไม่มีลมพัด แต่มันเป็นความรู้สึกเหมือนถูกลมพายุถล่มเข้าใส่ จนตัวเองซึ่งตอนนั้นยืนอยู่ แทบจะยืนไม่อยู่ ล้มทั้งยืน 555 (รุนแรงมากๆ)


    จริงๆ ก็อย่างที่พี่ดาวฯ กล่าว จากหนึ่งหรือก็คือพลังจักรวาล ได้แตกตัวออกเป็นหลายๆ ชื่อ ตามแต่จะเรียก แต่สุดท้ายแล้ว มันก็วนกลับมาเป็นจุดที่เรียกว่า การฝึกพลังจักรวาลนั้นเองอะนะคะท่านผู้อ่าน ซึ่งก็อย่างที่กะทิเธอเคยเขียนไว้ว่า โรงหนังหนะมันมีหลายทางออก แล้วแต่ใครจะออกประตูไหน แต่สุดท้าย มันก็มารวมกันอยู่ที่หน้าโรงหนังนั่นเอง หรือก็คือ ไม่ว่าคุณจะฝึกพลังจักรวาลด้วยวิธีใด ตามแต่ชื่อเรียกสิ่งใด แต่สุดท้ายมันก็คือๆ กันนั่นแหละ


    ว่าแต่สุดท้ายแล้วกะทิเธอไม่น่าจะนำเรื่องนี้มาเปิดประเด็นหลังบ้าน กับต้นตอที่มาจากเรื่องลับของยันต์กระดาษสีขาวของหลวงพ่อโอภาสีฯ ที่ท่านเขียนเป็นปริศนาเอาไว้เป็นกลอนหลังกระดาษยันต์เลยอะ


    กะทิเข้าใจแล้วล่ะค่ะว่า เหตุใดท่านจึงได้เขียนเป็นกลอนเอาไว้ แทนที่จะบอกวิธีการฝึกในขั้นที่สูงขึ้นมาประกอบกับยันต์คาถาของท่านเอาไว้ตรงๆ ก็เพราะมันอาจมีผลต่อผู้ฝึกทั้งในแง่ที่ดี และในทางตรงกันข้ามได้นั่นเอง หากผู้ฝึกไม่มีพื้นฐานที่ดีเพียงพอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2014
  10. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356

    ก็เขียนอีกเรื่องเลยสิจ๊ะ....แต่ให้จบ นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ อดีต(ชาติ)ของมนุษย์ ผลในปัจจุบัน ก่อนนะ
    รอวิธีถอนคำสาบานหรือคำสัญญิงสัญญา ในอดีตชาติ อยู่น๊า

    ถ้ากะทิเขียนเรื่องนี้อิก...ก็มีเรื่องราวเล็กๆ ปั่นกระทู้ให้อีกแระ...อิอิ เรื่องเบาๆ จากแฟนคลับ...อะนะ

    ก็อย่างกะทิว่าน่าจะมีผู้อ่านมาเขียนเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง....ถูกผิดอย่างไร ผู้รู้อย่างท่านอาจารย์สุวิ คุณดาวฯ และกะทิ ก็จะได้เสริมเพิ่มเติมให้ แต่เขาอาจจะมีความรู้สึกเหมือนเราสมัยตะก่อนนะ

    คือ...ไม่กล้า...กลัวเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน...เขาไปถึงไหน...ถึงไหนกันแร้ววว...เธอยัง...คลานต้วมเตี้ยมอยู่เรยยย
    ประมาณนี้อะจ้า...555
     
  11. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ใกล้จะวันเฉลิมพระชมน์พรรษาในหลวงของพวกเราปวงชนชาวไทยเข้าไปทุกขณะ กะทิเธอบังเอิญได้อ่านข้อความดีๆ จากคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ที่ได้ลงเอาไว้ จึงอยากนำมาแชร์ให้ผู้อ่านได้อ่านกันนะคะ งานนี้มี มุข ส่งท้ายค่ะ


    หลวงปู่ดู่รักในหลวงมาก

    ในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิต ท่านจะกำชับให้ลูกศิษย์ของท่านเอาบุญจากการภาวนา รวมเข้ากับบุญของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ถวายให้ในหลวง รวมทั้งแผ่เมตตาให้เทพเทวาผู้ปกรักษาพระองค์ท่านให้มีความสุข แล้วก็กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรของพระองค์ท่าน ให้ไปเกิดในสุคติภูมิ หลวงปู่กล่าวว่า หากไม่มีในหลวง พระพุทธศาสนาก็ตั้งอยู่ไม่ได้


    หลายครั้ง ที่ลูกศิษย์จะรับทราบได้ว่า หลวงปู่จะเข้าที่เพื่ออธิษฐานช่วยในหลวง ในยามที่พระองค์ทรงพระประชวร


    นอกจากนี้ ท่านยังกำชับให้แผ่เมตตาให้ประเทศชาติ ดังเช่นการอธิษฐานช่วยประเทศชาติของหลวงปู่เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ด้วยเช่นกัน(หลวงปู่เกษมจะมีคาถากำกับด้วยว่า รัฐะ ปาลา สมัคคา สทา โหนตุ)


    สรุปก็คือ นักปฏิบัติต้องไม่ลืมประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะสามสถาบันนี้เกื้อกูลให้เราได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ได้รับความสัปปายะแก่การปฏิบัติธรรมสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน


    [​IMG]



    สำหรับองค์ของหลวงปู่ดู่เองนั้น ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้กาลเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี กิจวัตรอันหนึ่งที่ท่านทำอยู่มิได้ขาด คือ การสวดมนต์ถวายพระพรแด่ในหลวงทุกวันตลอดมา ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญคนไทยตลอดไป


    หลวงพ่อยังได้กล่าวไว้อีกว่า เพราะพระเจ้าแผ่นดิน (ร.9) ท่านปฏิบัติ (ธรรม) ต่อไปพุทธศาสนาในเมืองไทยจะเจริญขึ้น เพราะท่านเป็นผู้นำเป็นแบบอย่าง


    สมัยหนึ่งเมื่อหลวงปู่ดู่ ยังทรงสังขารอยู่นั้นบ่ายของวันที่แดดร่มลมตก จู่ ๆ ท่านก็เปรยกับคณะศิษย์ที่ประกอบด้วย "คนตาดี" หลายคนว่า


    "พวกแกลองดูทีซิว่า มีพระรูปไหนอยู่กับในหลวงบ้าง?"



    เข้าใจว่าท่านคงหมายถึง กายทิพย์หรือบารมีที่พระมหาเถระแต่ละองค์อธิษฐานพิทักษ์รักษาในหลวง


    ศิษย์ท่านหนึ่งก็ "เข้าที่" ตามหลวงปู่สั่ง พักหนึ่งก็ลืมตาแล้วตอบว่า "หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปางครับ"


    หลวงปู่ยิ้มแล้วว่า "นั่นองค์หนึ่งละ มีใครอีก"


    ศิษย์แสนซนคนหนึ่งตอบทันที "หลวงพ่อนั่นแหละครับ"


    ท่านมองหน้าแล้วถาม "ทำไมแกจึงว่าอย่างนั้น?"


    ศิษย์อธิบายว่า "อ้าว ก็หลวงพ่อรู้ได้ว่ามีองค์นั้น องค์นี้อยู่กับในหลวง แสดงว่าหลวงพ่อก็ต้องไปมาด้วยน่ะสิไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง"


    เมื่อเข้าเนื้อท่านโบกมือให้ยุติเรื่องทันที ศิษย์ก็ถึงที่ยิ้มไป...
     
  12. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอน อดีต(ชาติ)ของมนุษย์ ผลในปัจจุบันค่ะ (ตอนจบเอย)



    กรณีคนใกล้ตัวของกะทิ ชื่อพี่หนึ่งค่ะ เธอเป็นพี่สาวอีกคนที่ทั้งหมอสุวิ กะทิ และพี่ดาวฯ รู้จักกันดีค่ะ (กะทิขออนุญาตพี่หนึ่งนำเรื่องของพี่มาเล่าแล้วเรียบร้อยนะคะ) พี่คนนี้เป็นผู้ที่ชอบทำบุญและมีบุญเยอะมาก ช่วงก่อนโน้นที่เรารู้จักกันใหม่ๆ พี่เขาจะสนใจทำบุญและทำสมาธิ แต่จะไม่ค่อยสนใจเรื่องการฝึกทางฤทธิ์เลย ทั้งๆ ที่ศักยภาพความพร้อมที่พี่เขาสะสมมา มีมากกว่ากะทิซะอีก ถ้าเขาจะหันมาจริงจังกับบุญฤทธิ์ไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างจริงจัง กะทิก็กะทิเถอะ ชิดซ้ายไปเลยอะนะคะ


    พี่หนึ่งนั้นแต่งงานและมีครอบครัวนะคะ พี่เขาเคยเล่าให้พวกเราฟังว่า ในตอนแรกพี่เขามีลูกสาว 1 คน และไม่คิดจะมีอีก เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ในความคิดของเธอตอนนั้น เหมือนให้เด็กๆ มารับรู้สังคมโลกบุบๆ เบี้ยวๆ แบบที่เป็นอยู่ เธอรู้สึกว่าเหมือนเป็นกรรมกับเด็กน่ะค่ะ


    แต่ในช่วงเวลาต่อมา เพราะมีหลานสาวให้คุณแม่(สามี) แล้ว เธอก็อยากได้หลานชายมาเติมเต็มให้ครบชุด จึงรบเร้าให้พี่หนึ่งมีน้องอีกสักคน เนอะๆ และพอพี่หนึ่งเริ่มตั้งครรภ์ในครั้งนี้ เธอเริ่มมีความคิดว่า เธอน่าจะตั้งครรภ์ลูกแฝด ทางมิติที่ส่งเด็กมาให้เธอนั้น ขอให้เธอยอมรับ แต่ความที่พี่หนึ่งไม่อยากมีน้องอีกแล้ว เหตุเพราะโลกยุคนี้โลกไม่น่าอยู่สำหรับเด็กๆ พี่หนึ่งจึงตอบในใจว่า แฝดในครรภ์นี้ ขอรับเอาแค่ผู้ชายคนเดียว



    เธอส่งพลังทางจิตไปกล่อมในความคิดเช่นนี้บ่อยๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ ทางมิติโน้นเขาก็เลยมาหาในฝันค่ะ โดยได้ยื่นตุ๊กตาสองตัวมาให้ ตัวหนึ่งเป็นชาย อีกตัวหนึ่งเป็นหญิง พี่หนึ่งยื่นมือไปรับตุ๊กตาเด็กชาย เพราะว่าพี่หนึ่งมีลูกสาวอยู่แล้ว ปรากฏว่าตุ๊กตาเด็กชายเหมือนพลิกฟลิ๊บตกจากมือลงพื้น ด้วยความเสียดาย เลยจะก้มลงเก็บ ทันใดนั้นเขาก็บันดาลให้เห็นว่าตุ๊กตาที่จะก้มลงเก็บนั้นใบหน้าจิ้มอยู่บนมูล พี่หนึ่งเห็นอย่างนั้นก็กังวลว่าใบหน้าของน้องจะเป็นตำหนิ ก็เลยต้องจำรับตุ๊กตาเพศหญิงมา



    วันเวลาผ่านไป ดังเช่นนิทาน เมื่อน้องตัวน้อยโตขึ้นมาแล้ว กลับไม่ได้มีแต่ดวงวิญญาณเดียวในร่างของน้องค่ะ เพราะอย่างที่ในฝันบอกพี่หนึ่งแล้วว่า ให้รับแฝดสองคน แต่พี่หนึ่งยังยืนกรานรับคนเดียว ดังนั้นเด็กหญิงที่เติบโตมาจึงมีทั้งสองดวงจิตอยู่ด้วยกัน เหตุเพราะในอดีตชาติต่างเป็นคู่ที่เคยมีบุญกรรมร่วมกันมา (เห็นไหมคะว่าการสัญญาร่วมทุกข์สุขกันในความรัก แบบคู่ผัวตัวเมีย มันมีผลที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่คุณผู้อ่านคิดว่าในชาติต่อมาน่าจะเป็นได้หลากหลายแบบจริงๆ )


    ช่วงหลังเมื่อพี่หนึ่งได้พาน้องคนนี้มาพบหมอสุวิ ดวงจิตเพศชายที่อยู่ร่วมกันมานานกว่า 20 กว่าปีร่วมกับน้อง ถึงได้จากไปนะคะ ร่างของน้องคนนี้เลยเป็นเหมือนจะชินกับการมีดวงวิญญาณที่มากกว่า1 อยู่ในร่างๆเดียว



    น้องคนที่มีดวงวิญญาณมากกว่า 1 นี้ จะออกแนวทอมบอยน่ะค่ะ หลังจากพี่หนึ่งมีน้องคนนี้แล้ว เธอก็ยังมีน้องตามมาอีกคนจนได้ รวมเป็น 3 สาว และเมื่อช่วงที่ผ่านมานี้ น้องคนเล็กของบ้านก็มาจากไปนะคะ เรื่องมันซับซ้อนเยอะอยุ่ กะทิจะไม่ขอเล่าละกัน


    และในช่วงที่น้องสาวคนเล็กเพิ่งจากไปไม่นาน ในวันนั้นของวันหนึ่ง เป็นวันที่กะทิเธอไปบ้านหมอสุวิ และพี่หนึ่งก็ไปด้วย วันนั้นพี่หนึ่งพาน้องสองสาวมาด้วยกันนะคะ เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นหน้าค่าตาของน้องๆ ตั้งแต่รู้จักพี่หนึ่งมา และในวันนั้น ขณะที่น้องคนรองที่เล่ามาตั้งแต่ต้นคนนี้กำลังได้รับการตรวจจากหมอสุวิ หมอไม่ทราบเรียกน้องไปคุยอะไรด้วยอยู่ กะทิไม่ได้ฟังเขาคุยกันนะคะ คุยเสร็จก็หันหน้ามาเรียกกะทิให้ไปใกล้ๆ ค่ะ แล้วก็ถามกะทิว่า “มีใครมาอยู่กับเขารึเปล่า?”


    งานเข้าอะจิ คือว่ากะทิไม่ได้ขอว่าจะดู แต่ถูกเรียกให้ดูอะค่ะ กะทิก็ยิ้มแหยๆ แล้วก็ขออนุญาตน้องเขาไปว่า “ขอดูนะคะ” กะทิก็หลับตาทำสมาธิกำหนดจิตส่งไปมองน้องเขาค่ะ สิ่งที่เห็นก็คือ มี 3 ร่าง 3 ดวงจิตอยู่ที่น้องเขาค่ะ กะทิก็ตอบหมอสุวิไปนะคะ สิ่งที่กะทิเห็นจะเป็นออร่าสีแดง 3 สามดวงจิต ต่างคนก็ยืนกันอยู่แบบเบียดๆค่ะ แต่ไม่ได้เบียดแบบแออัดมาก



    หมอก็ถามต่อไปว่า “ใน 3 ดวงจิตนี้ กะทิรู้จักหรือเคยเจอกับใครรึเปล่า?” หมอพูดเพียงเท่านั้นไม่ขาดคำ 1 ในจำนวนดวงจิตนั้นก็ยื่นมือมาสัมผัสมือขวาของกะทิ กะทิเธอจับสัมผัสได้ว่าเป็นความรู้สึกแบบยินดีอะหนะคะ ดังนั้นกะทิจึงรู้สึกตกใจ ว่าอยู่ดีๆ ทำไมยื่ยมือมาจับมือกะทิ กะทิเธอก็ถามว่า "เป็นใครอะ ทำไมมาจับมือกะทิอะ" กังวลนิดหน่อย คือในช่วงนั้นสมาธิยังไม่ค่อยนิ่งหนะคะ และกังวลด้วยเพราะไม่เคยดูอะไรแบบนี้ จึงเห็นแค่ภายในเป็นโครงร่างของดวงจิต 3 ดวง แต่ไม่เห็นรูปร่างหน้าตาภายนอกของพวกเขาหนะค่ะ



    หมอสุวิ ตอบกลับมาว่า “เป็นคุณปัทมา ไงล่ะ” กะทิถึงได้ถึงบางอ้อนะคะ อ๋อ...คุ้นเคยกันดีค่ะ ก็เลยเลิกตกใจ และรู้สึกยินดีเช่นกันที่ได้เจอคุณปัทมา (ไม่ได้พบกันนาน) เอาไว้กะทิจะนำเรื่องของคุณปัทมา มาเล่าให้ฟังในนิทานตอนต่อๆ ไปนะคะ



    และขอสรุปตรงประเด็นที่นำเสนอนี้ก่อนคือ เหตุที่น้องคนรองที่เล่ามาตั้งแต่ต้นนี้มี 3 ดวงจิต เป็นเพราะลูกสาวคนเล็กที่เพิ่งจากไปได้กลับมาอยู่กับพี่สาว ที่แต่เดิมเคยมีฝาแฝดมาอยู่ด้วยตั้งแต่เกิดหนะค่ะ แล้วในเวลาต่อมาหมอสุวิได้ขอให้ฝาแผดชายนั้นจากไป ก่อนที่น้องสาวคนเล็กจะเพิ่งมาเสีย และจากไปหนะค่ะ ดังนั้นเหตุนี้น้องสาวคนเล็กเลยได้ที่อยู่ปลอดภัยโดยปริยาย โดยมาอยู่กับพี่คนรองที่คุ้นเคยกับการมีคนอีกคนมาอยู่ด้วยตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ทว่าอยู่กันแค่สองดวงนั้นไม่พอ ยังมีดวงจิตอีกดวงมาคอยช่วยเหลือดูแลน้องสาวคนเล็กที่เพิ่งเสียไปนี้ โดยกะว่าจะให้ช่วยดูแลจนกว่าจะถึงเวลาที่น้องคนเล็กไปเกิดใหม่อะหนะคะ โดยที่พี่สาวคนรองนี้เธอยินดี และชินกับการมีดวงจิตอื่นซ้อนกันอยู่แล้วมาตั้งแต่เกิดดังกล่าวอะคะ



    แต่ทว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอนนะคะ ตอนนี้น้องคนเล็กก็ไปอยู่ที่อื่นแล้วนะคะ กะทิเองก็ขอจบนิทานพลังอธิษฐานของกะทิตอน อดีต(ชาติ)ของมนุษย์ ผลในปัจจุบัน แต่เพียงเท่านี้ค่ะ ใครที่เคยสัญญาสาบานว่าจะรักใครไปตลอดทุกชาติ ถ้าเห็นผลของสิ่งที่สัญญาไว้แล้ว ว่ามันอาจไม่ได้ออกมาสวยงามอย่างที่คุณทั้งหลายคิดก็เป็นได้ กะทิเธอมีวิธีนะคะ คือให้กล่าวขอถอนคำพูดค่ะ ทำเป็นพิธีการหน่อยก็ดีนะคะ ด้วยการจุดธูปบอกกล่าวกลางแจ้ง ปักธูปลงดินหนะค่ะ ตอนต่อไปขอเล่าเรื่องคุณปัทมา หรือคุณปัท ละกันนะคะ ไหนๆ ก็เอ่ยชื่อเธอขึ้นมาแล้ว


    อนึ่ง หากผู้อ่านท่านใด มีใดๆ ข้องอยู่ สามารถสอบถามให้แจ้งได้ หลังไมค์ของกะทิเธอได้ค่ะ




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจาก การเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม เข้าใจสัจจธรรมแห่งการดับทุกข์ได้โดยง่าย ทั้งที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และเมือ่ข้าพเจ้าสิ้นชีวิตแล้ว และจงเป็นบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2014
  13. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    ออกมาเล่านิทานต่อ...(คิดว่าลืมแล้ว...555)
    แค่ออกมาตอกย้ำถึง อดีต(ชาติ)ของมนุษย์ ผลในปัจจุบัน น่ะค่ะ (อันที่จริงก็มิรู้ดอกว่าจริงเท็จแค่ไหนนะคะ...อ่านเล่นๆ รอกระทู้ใหม่ของกะทิแล้วกันเนาะ)

    คือจากเหตุที่แฟนในอดีตชาติ ดูแลรักษาเราอย่างดี...มันทำให้เราต้องดูแลเขาอยู่ตอนนี้ไง...555 คือตัวเขาก็ยังเป็นคนขี้โรคอยู่เหมือนเดิม...ปวดหัวแทบระเบิด...เหมือนตาโปนจะออกจากเบ้าตา ปวดเข่ารุนแรงบวมเบ่งเท่าลูกมะพร้าว ปวดข้อ ปวดตัว...
    โอ้ยสารพัดเลย...ตกลงเขาสร้างกรรมมามาก...รึเราสร้างกรรมมา มากกว่าหว่า...555

    เขาเล่าว่าตั้งแต่ตอนเด็กๆ เขาจะฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งตลอด จนถึงชราภาพ 555
    ตอนเด็กที่ฝันเห็นเด็กผู้หญิงก็เป็นเด็กเหมือนกัน..คือจะเฝ้าวนเวียนมาให้เห็นในความฝันตลอดๆๆ(ตอนนั้นเรายังไม่เกิดเลยอะ...อีกน๊านนน...555) จนเขาคิดว่าจะผู้หญิงคนนี้ในโลกความจริงไม๊....

    จนกระทั่ง เราได้คุยกัน...ทางโทรศัพท์(ยังมิได้เจอหน้า) ความฝันเขาก็เปลี่ยนไป...คือ ผู้หญิงที่เคยฝันถึงกลายเป็นแฟนของเขาแล้วตอนนี้ ได้พูดคุยหลอกล้อกัน...นั่งมองตากัน...แอบซึ้ง...ว่าซั่น 555

    และเมื่อเราได้เจอกันและอยู่ด้วยกันในปัจจุบัน เขาก็ไม่เคยฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกเลย ....เคยถามเขาถึงลักษณะของหญิงผู้นั้น...มันละม้าย...เหมือนตัวเราในภพที่ความจำเสื่อม(เข้าข้างตัวเองนิ๊ 555)

    ส่วนผู้ชายที่เป็นสามีในภพนั้น ที่ได้เจอก็ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ....เขาก็ยังเป็นคนดีของเขาอยู่(กำ...บุญไม่ถึงของดี 555) คือเจอเขาในสำนักปฎิบัติธรรมที่หนึ่ง เราตั้งใจไปนั่งสมาธิ แต่พอไปถึงสายตากลับถูกตรึงไว้ ให้มองเขาแต่ผู้เดียว (เวอร์อะ 555)

    แต่มิใช่เขาหล่อเหลาจนละสายตามิได้น๊าา...เหตุเพราะคุ้นเสียเหลือเกิน...ไม่ว่าจะหน้าตาท่าทาง ทุกอิริยาบถ...แอบมองตลอด แต่เขามิได้สนใจเราเลย 555 ในใจคิดว่าต้องเคยเห็นแน่ๆ ผู้ชายคนนี้ ที่ไหน ที่หนึ่ง ตามถนนหนทาง ป้ายรถเมล์ (ว่าไปนั่น)

    ตกเย็น...ตอนแรกตั้งใจจะนอนค้างคืนหนึ่ง แต่ไม่รู้ทำไม ในใจมันวุ่นวายม๊ากกก จนร้อนรน...คืออยู่ที่นี่ไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว ต้องกลับบ้านแล้ว...ไม่อาววว จากลับบ้านนน
    วันต่อมาน้องที่พาไปที่นั่น เขาโทรมาถามว่าเป็นไง ....เจอคู่แท้แล้วเป็นไง.....

    เราบอก...จงเจอไร ไม่เห็นมีใครบนรถไฟที่เข้าตาเลย....555
    เขาบอก...อ้าว ก็พี่เอกไง (เรา...งงตึ๊บ) พี่เอกเป็นคนดีมาก...เหตุที่เขามาอยู่วัดนี่ เพราะโดนบังคับให้แต่งงาน...เขาเลยหนีมา บอกจะแต่งงานกับคู่แท้เท่านั้นน....
    ซึ้งอะ...แต่บุญเราไม่ถึง...เราเลยถึงบางอ้อ ว่าที่เราต้องรีบกลับ รถด่วนขบวนสุดท้าย

    อาจเพราะบุญเขามีมากกว่าก็ได้...คือชาตินี้ไม่เหมาะกับเขาไง...โถๆๆ แม่บุญน้อย(ทำเขาไว้เยอะ) หลายวันต่อมาก็ฝันเห็นเขามาลา....เขาต้องเดินทางไกล(อะฮ้า...ขนาดวันนั้นไม่ได้คุยไรกันเลย...ไม่เห็นเขาชายตามองด้วยซ้ำอ่ะ...ยังมีน้ำใจมาลาอิก)

    ก็คงมีเท่านี้อะจ่ะ....เรื่องนี้ทำให้มั่นใจมากขึ้นว่า คนที่รายล้อมตัวเราในปัจจุบัน...ที่จริงเคยพานพบกันมาแล้วทั้งสิ้น อยู่ที่เราจะมีสติในการใช้ชีวิต...เข้าใจ.....และแก้ไข สิ่งที่เคยผิดพลาดเพื่อจะก้าวต่อไปได้ไม๊...(อันนี้ยากเนอะ)

    เราเกือบทำพลาดอีก...คือบ้านใกล้กันแอบเปิดก๊อกน้ำฝนทั้ง 3 โอ่ง ของเราจนเกลี้ยงตั๊บ เราโมโหม๊ากกก ด่าๆๆๆ(ลม ฟ้า อากาศ...แต่เขาได้ยิน) ไม่คุยกันเกือบปี ท่องคำว่าให้อภัยเกือบทุกวัน เพราะใจเราร้อนมาก คิดๆๆ ชาติใดชาตินึง คงทำกรรมแบบนี้กับเขาไว้

    แล้วเราก็ชนะตัวเอง...โดยการพูดคุยกับเขาก่อน (เขาไม่กล้าคุยกะเราเลย...ดูน่าสงสารมาก) เราทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น จนทุกวันนี้ ก็แทบไม่เหลือความขุ่นข้องเรื่องนั้นอีก ....จบแล้ว...เอิงเอย
     
  14. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    อ่านนิทานที่คุณ wawana เขียนแล้วสนุกดีค่ะ คุณบอกว่า คุณเขียนจบแล้ว

    แต่สำหรับกะทิเธอแล้ว คิดว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น คุย ระหว่าง คุณ กับ คนๆ นั้นในปัจจุบันชาติเองอะ


    ยังไม่เห็นมีตอนชัวร์แล้วว่าใช่ และมาเป็นครอบครัวกันนะ ยังไงเหรอ?

    เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นการละลาบละล้วงนะคะ แต่เพราะตัวเขาเองอย่างที่คุณเขียนเอาไว้ ก็เหมือนจะคิดว่า คุณจะใช่คนที่อยู่ในฝันของเขารึเปล่าด้วย?

    อันนี้แน่นอนว่า เขาจะต้องตามคุณมาหาคำตอบของความจริงที่อยู่ในฝันรึเปล่าอะนะคะ?


    เมื่ออ่านเรื่องของคุณแล้ว ทำให้กะทินึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "Only Love is real" หรือ ชื่อภาษาไทย มีชื่อว่า "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" แปลโดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข นะคะ ซึ่งตีพิมพ์มาหลายครั้งแล้วอะ กะทิเธอส่งเรื่องนี้ให้ใครอ่าน ก็ติดอกติดใจ วางไม่ลงกันทั้งนั้น แม้แต่เพื่อนแม่ และแม่เลยอ่านตามเพื่อนของเธอ เพราะถ้าเราบอกแม่ตรงๆ ว่าลองอ่านเรื่องนี้ไหม สนุกดีนะคะ แม่ก็ไม่อ่านหรอกอะนะคะ? เพราะเธอไม่ค่อยจะเห็นเราโตเป็นผู้ใหญ่ไง อิอิ



    [​IMG]


    ใครเคยอ่านหนังสือเล่มนี้บ้างยกมือขึ้น?


    หนังสือเล่มนี้ กะทิเธอได้อ่านมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2546 ได้ล่ะมั้ง และยังอ่านซ้ำอีกในหลายปีต่อมา น่าจะสามรอบได้แย้ว หากใครยังไม่เคยอ่าน ก็ลองเข้าไปอ่านได้ตามลิ้งค์นี้นะคะ คอนเฟิร์มแล้วว่า ปลอดภัยค่ะ หรือหากจะซื้อมาเก็บไว้ ก็ขอบอกได้คำเดียวว่า คุ้มค่าเกิดกว่าสตางค์ที่เสียไป เพราะนี่คือเรื่องจริงจากจิตแพทย์นักสะกดจิตชื่อ ดร.ไบรอัน แอล. ไวส์


    ซึ่งจริงๆ แล้ว หมอไม่ได้ตั้งใจจะสะกดจิตเพื่อระลึกชาติของใคร เพียงแต่การบำบัดนั้น แพทย์จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลของคนไข้ไว้เป็นกรณีศึกษา และทำความเข้าใจ(ตีความพฤติกรรมของคนไข้ เพื่อหาทางบำบัดทางจิต) แต่สิ่งนี้กลับทำให้หมอได้บังเอิญทำให้เขากลายเป็นคิวปิท พ่อสื่อสื่อรรักของคนไข้สองคน ที่บังเอิญมีบางอย่างเคยร่วมชาติกันมาก่อน จึงทำให้หนังสือเล่มนี้นำเสนอได้อย่างสนุก ตื่นเต้น และลุ้นมากๆ ที่จะทำให้เขาสองคน กลับมารักกันอีก


    แต่ที่มันน่าสนใจ ไม่เพียงแค่นั้น แต่ในระหว่างที่พวกเขาระลึกชาติ พวกเขาได้เกิดมาแล้วหลายชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นแต่เพียงสามีภรรยากัน แต่เคยเกิดเป็นอย่างอื่นร่วมกันมาหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นพ่อลูก คนรู้จักที่สนิทกันมากๆ (กลายเป็นโฆษณาหนังสือให้คุณโจ ไปโดยปริยาย แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าคนเคยรู้จักกันอะนะคะ)


    กะทิเธอเองในตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ยังไม่สามารถทำสมาธิและรู้เรื่องราวในอดีตชาติของตัวเองได้ แต่ในปัจจุบัน หลังจากที่ได้คุยกับพี่สาวในอดีตชาติของตัวเอง ความจำก็ปรากฎภาพเรื่องราวในอดีตชาติของกะทิ ทำให้เธอรู้ว่า คนรอบตัวของเธอมีใครที่เกี่ยวข้องอย่างไรกับเธอบ้าง แม่ของกะทิเธอบ้างล่ะ หมอสุวิบ้างล่ะ ฯลฯ


    อนึ่ง แนะนำวิธีการเปิดลิงก์ที่แนบมากันสักหน่อย เมื่อกดเข้าไปอ่าน หน้าหนังสือที่ปรากฏตัวหนังสืออ่านจะเล็กมากๆ ดังนั้นให้คุณใช้มือซ้ายของคุณกดปุ่มแป้มพิมพ์ ctrl ค้างเอาไว้ พร้อมๆ กับเคลื่อนลูกกลิ้งในตัวเม้าส์มือขวาด้วยรนิ้วของคุณไปข้างหน้า ก็จะทำให้หน้าหนังสือบนเว็บออนไลน์ ตัวใหญ่ขึ้นได้ค่ะ หรือถ้าอย่างง่ายกว่านั้น ก็ดาวน์โหลดมาอ่านค่ะ (แต่กะทิเธอถึงแม้จะมีหนังสือแล้ว ก็ยังต้องขอดาวน์โหลดมาเก็บไว้ล่ะ อิอิ)

    เราจะข้ามเวลามาพบกัน


    ขอให้สนุกในการอ่านนะคะ

    หนังสือคือ การเปิดโลกความรู้ สู่ปัญญา ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2014
  15. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    555 กะทิพูดถูก...แค่เริ่มต้น คือมันทั้งไม่ชัวร์และไม่ใช่น่ะ...เรื่องยังดำเนินต่อไปอยู่...ไม่รู้จะจบอย่างไรเลยจ้า...เล่าก็ยาววว...เกรงว่าแฟนคลับกะทิจะเบื่อน่ะ....อยากอ่านเรื่องกะทิมากกว่า...อิอิ

    ถามนอกเรื่องหน่อย..สงสัยมานาน(ว่าเราบ้ารึเปล่า....555)
    คือช่วงหนึ่ง...ขยันสวดมนต์ บทต่อไปนี้ พุทธมนต์ นะโมฯ อิติปิโสฯ ธัมมะจักกัปฯ จักรวาล 8 ทิศ บูชาดวงชะตา พาหุงฯ สักกัตวา ยันทุน บารมี 30 ทัศ โพธิบาท แผ่เมตตา กรวดน้ำ

    นั่งสมาธิจับลมหายใจเข้าออก....ทำอย่างนี้ประมาณ 3 เดือน...การทำอย่างนี้มีผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราไม๊ ....คือเรามองเห็นแสงลูกแก้วขนาดเขื่องๆ ไล้ไปตามบล็อกแก้ว(เวลาเดิมทั้ง 2 ครั้ง)

    มีสีแดง สีเหลือง สีเขียวสลับไปมาอย่างชัดเจน...คืออะไร...แมลงกลางคืนรึ(ตัดแสงสะท้อนจากบ้านอื่นนะ)...ต่อมาก็ไม่สวดอีกเลย...และไม่เจออีก

    แต่ที่เจอตอนนี้ก็คือ...นั่งดูทีวีตาแป๋วๆ ช่วงทุ่ม สองทุ่ม ประตูทางลงครัว(ประตูในบ้าน) ก็โดนทุบปัง..กลอนเด้ง...แกรงงงง ต่อหน้าต่อตา...อันนี้ก็เหลือเกิ๊น...ผวาเลยเรา...แรงงงงอะ ....เจอ 2 ครั้ง

    ติดๆ นี่ไม่นับทุบประตูห้องนอนนะ...เฮ้ออออ ....ขอถาม ถ้าสิ่งที่มองไม่เห็นทุบประตูสนั่นขนาดนี้ได้...ถ้าเขาโกรธเราเขาก็ทุบเราให้เจ็บได้ใช่ไม๊...จริงๆ ว่าจะถามส่วนตัว...ดันถามออกสื่อซะงั้น...ก็กระทู้นิทานนิ๊...อิอิ

    ปล. หนังสือเราจะข้ามเวลามาพบกัน อ่านหลายปีแล้ว...อ่านแล้วจมดิ่งเข้าไปในหนังสือเลย...น้ำตาไหลพรากๆ..ชาติพ่อช่างปั้นหม้อกับลูกสาวแสนรัก
     
  16. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ให้เวลาอย่างมากต่อการปรับปรุงของตัวของคุณเอง

    และแล้วจะไม่มีเวลาที่จะไปวิจารณ์ผู้อื่น



    [​IMG]
     
  17. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานคั่นเวลา ไม่รู้จะเอาไปเล่าที่ไหนดี เอามาเล่าไว้ที่นี่ละกันค่ะ


    ในที่ทำงานของผู้อ่านท่านไหนเป็นองค์การใหญ่บ้างคะ(คนมักเขียนผิดเป็นองค์กรนะคะ) บริษัทที่กะทิเธอทำงานอยู่เป็นลูกขององค์การขนาดใหญ่ ดังนี้องค์การใหญ่จะส่งพนักงานบางคนมาให้ เช่น นักศึกษาฝึกงานมาช่วยในช่วงปิดเทอม หรือไม่ก็พนักงานมีภาวะบกพร่องทางกาย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ยินอะนะคะ ดังนั้นในย่านสีลมนี้ จะเรียกได้ว่า ตั้งแต่ต้นถนน ไปจนถึงปลายถนน หากคุณสังเกตดีๆ จะเห็นคนจำนวนหนึ่ง(มักรวมเป็นกลุ่มใหญ่มากกว่า 2 คนขึ้นไป) ส่งภาษามือกัน


    กะทิเธอชอบภาษามือนี้มาก เพราะมันจัดเป็นภาษากาย และสามารถใช้สื่อสารได้ทั่วโลกในหมู่ผู้พิการทางการได้ยินด้วยกัน ดังนั้นในช่วงหนึ่งจึงพยายามเรียนรู้และจดจำภาษามืออะนะคะ แต่พอไม่ได้ใช้ก็ลืมๆ ไปหลายอยู่ อิอิ


    มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เนื่องจากกะทิเธอสนใจกลุ่มคนเหล่านี้ นอกจากคุยกับพวกเขาด้วยภาษามือบ้างเป็นครั้งคราว แบบเบสิก เช่น สวัสดี ขอบคุณ ฯลฯ แล้ว ยังได้สังเกตพวกเขาด้วย ว่ามีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง


    ความบกพร่องทางการได้ยิน นำมาซึ่งเหตุปัจจัยหลายอย่าง ดังที่กะทิเธอสังเกตพฤติกรรมของคนที่จำนวน 1 คน ได้นี้ค่ะ (ไม่ได้พูดถึงเวลาที่พวกเขารวมกันเป็นกลุ่มนะคะ)


    1. เสียงฝีเท่าด้านหลังของเรา ความหมายคือ ในคนปรกติ เมื่อมีใครเดินมาข้างหลังเรา เราจะได้ยินเสียง และจะพยายามรีบเดินให้เร็วขึ้น หรือไม่ก็หยุดเดินเพื่อให้คนข้างหลังเราที่(อาจ)รีบเดิน เดินแซงเราไปก่อน หรือก็คือหลบทางให้เขาเดินไปก่อนนั้นเอง แต่คนที่บกพร่องทางการได้ยิน จะไม่ทราบในสิ่งนี้ หากมีใครเดินอยู่ข้างหลังพวกเขา พวกเขาก็จะคงเดินในทางนั้นๆ ต่อไป โดยไม่รู้เลยว่า มีบางสิ่ง เช่น ...

    1.1 คนเดิน

    1.2 คนเดินตาม(สะกดรอย)

    1.3 คนกำลังรีบ(อยากจะแซงหน้า แต่ทำไม่ได้ เพราะทางเดินแคบ ทำให้คนที่เดินอยู่ข้างหลังอารมณ์เสีย คิดว่าเขาแกล้ง)

    1.4 คนที่กำลังขนของขนาดใหญ่ เช่น โต๊ะทำงาน ตู้ใส่เอกสาร กำลังมุ่งหน้ามาที่หลังของเขา แต่เขาไม่รู้ว่ามันอาจอันตราย เขาจำต้องหลบนะ แต่เขาไม่รู้

    1.5 รถขนน้ำ รถเข็น ภายในออฟฟิศ กำลังเข็นมาด้านหลังของเขา หรือหากเป็นบนทางเท้า อาจมี มอเตอร์ไซค์กำลังจะแซงหน้าพวกเขา ซึ่งจุดนี้อันตรายมากๆ เพราะรถเข็นน้ำไม่รู้ว่า คนข้างหน้าไม่ได้ยินเสียงล้อรถเข็น ซึ่งโดยปรกติผู้ที่หูปรกติจะได้ยินเสียง และหลบเข้าข้างทาง หรือยิ่งเป็นเสียงรถมอเตอร์ไซค์ อันนี้เสียงเครื่องยนต์จะดังมาก เราต้องรีบหลบแน่นอน และคนขับก็คิดว่าเราได้ยิน และชอบขับมาใกล้ๆ ในระยะกระชั้น ซึ่งคนหูปรกติจะได้ยินเสียงกระหึ่ม(น่ากลัวจะขับมาชนเรา)


    นี่แค่ตัวอย่างนะคะ แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น คือกะทิเก็บโทรศัพท์ได้จากในห้องน้ำค่ะ เป็นโทรศัพท์ยี่ห้อดังที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กันล่ะ กะทิก็เอามาเก็บไว้ก่อน รอดูซิว่าใครจะโทรเข้ามา

    มันเป็นเช่นนั้นใช่ไหมคะ? ถ้าโทรศัพท์ของคุณหาย คุณจะทำยังไง เรียกว่าแทบไม่ต้องคิดเลยอะ เพราะว่าหากเป็นกะทิเธอแล้ว จะลองโทรกลับไปที่โทรศัพท์ของตัวเองดู หรือไม่ก็เดินตามหา พร้อมกับพูดไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน เพื่อนๆ น้องๆ ในออฟฟิศ ใช่ไหมคะ เพียงสักพักเดียวเราก็จะรู้แล้วค่ะ ว่าใครกำลังทำโทรศัพท์หาย และจะให้เอาไปคืนที่ใครคนไหน? แต่ที่กะทิเก็บโทรศัพท์ได้นี้ มันตรงกันข้าม เพราะกะทิเธอรอแล้วรอเล่า เป็นชั่วโมงๆ ไม่มีแม้แต่ใครกำลังตะโกนถามใครว่า “เฮ้ย โทรศัพท์ของนายคนนี้ คนนี้ หายหวะ ใครพอเห็นบ้าง” หรือไม่ก็เสียงโทรศัพท์สักกริ๊งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นของเจ้าตัว หรือของเพื่อนเจ้าตัว เจ้าของโทรศัพท์อะนะคะ


    สรุปสุดท้ายกะทิทราบจากแม่บ้านที่เดินไปคุ้ยสิ่งต่างๆ ในห้องน้ำ รวมถึงช่องกระดาษม้วนภายในห้องน้ำ พอดีกะทิไปเจอแม่บ้านกำลังเปิดช่องกระดาษม้วยในห้องน้ำพอดี เลยได้ทราบว่า กำลังช่วยหาโทรศัพท์ให้คนในห้องสตูดิโอ(ห้องถ่ายภาพของช่างภาพหนะค่ะ มีไว้ถ่ายภาพสินค้านะคะ ไม่ได้ไว้ถ่ายภาพคนนะคะ วันๆ หนึ่งถ่ายภาพสินค้าทั้งวันค่ะ เลยต้องมีช่างภาพประจำเอาไว้ในออฟฟิศ)


    กะทิเธอก็เลยเดินไปที่ห้องนั้น แล้วก็เปิดประตูเข้าไปถาม ช่างภาพก็บอกว่า ของน้องคนนี้ เป็นน้องผู้หญิงที่กำลังนั่งหันหลังให้ประตูทางเข้านะคะ กะทิก็เรียกให้มาเอาค่ะ กะทิเดินไปถึงโต๊ะสักพักหนึ่ง เธอถึงได้เดินตามมา กะทิก็เอาโทรศัพท์ไปซ่อนไว้ข้างหลัง แล้วถามน้องเขาว่า “โทรศัพท์ของน้องสีอะไร ยี่ห้ออะไร?” น้องเขาไม่ตอบคำถามของกะทินะคะ ได้แต่ยกมือไหว้ แล้วพูดว่า ขอบคุณค่ะๆ อย่างเดียว แล้วทำสายตาออดอ้อนขอคืน กะทิก็เลยให้ไปค่ะ แต่ก็เอะใจอยู่นะคะ


    พอน้องเขาเดินกลับไปสักพักแล้ว กะทิเธอถึงได้เดินกลับไปที่ห้องช่างภาพ และถามเขาว่าน้องเขาไม่ตอบว่าโทรศัพท์เขาสีอะไร ยี่ห้ออะไร ช่างภาพเธอถึงได้บอก ตามที่กะทิสงสัยไว้เบื้องต้นนั้นถูกแล้ว น้องเขาไม่ได้ยินหรอกอะนะคะ แต่เธอก็เก่งมากที่พูดคำว่าขอบคุณเป็น และพูดได้ชัดมากๆ ซะด้วยจิ

    ที่กะทิเธอเขียนเล่ามา ก็เพื่อจะบอกกับผู้อ่านว่า แม้เราจะเก็บของส่วนตัวของใครบางคนได้ และมีใจที่จะคืนของ แล้วผู้ที่ทำหายไม่มาตามเอาศักที ทั้งๆ ที่มันน่าจะง่ายสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะบกพร่องบางประการแล้ว เรื่องง่ายๆ ที่น่าจะคิดได้เพียงเล็กน้อย กลับกลายเป็นคิด หาทางออกได้ยากอะนะคะ
     
  18. aoffy_s

    aoffy_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +3,775
    โอนร่วมบุญเข้ากองทุนไถ่ชีวิตวันนี้ 200บาทครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอน คุณปัทมา


    วันนี้กะทิเธอ อยากจะแนะนำให้ผู้อ่านทุกท่านได้รู้จักคุณปัทมาค่ะ คุณปัทมานี้ กะทิจะขอเรียกเธอในนิทานสั้นๆ ว่าคุณปัทละกันนะคะ ซึ่งกะทิเธอได้รู้จักในวันหนึ่ง ขณะที่กะทิอยู่บ้านหมอสุวิกับพี่ๆ ที่มาหาหมอด้วย (ในวันนั้นอีกประมาณ 2 คน) อยู่ดีๆ หมอก็พูดว่า “มีคนที่อยากจะกะทิรู้จักกัน”

    กะทิ : .”ใครรึคะ?”

    หมอ : “ก็ดูเอาเองสิว่าใคร?”

    ขณะที่พูด สายตาของหมอก็มองไปด้านหนึ่งของห้องรับแขกที่ว่างเปล่า หมอกำลังมองอะไรอยู่? กะทิไม่ทราบ แต่สายตามองไปบริเวณที่หมอสุวิมองซึ่งว่างเปล่านั้น ...


    ”เฮ้อออ...งานเข้าอีกแล้วกะทิ”


    ในเวลานั้น กะทิเธอจะมีสมาธิหรือไม่ไม่รู้ค่ะ แต่กะทิจำต้องตามคำพูดหมอไปแล้ว กะทิก็เลยกำหนดสมาธิมองดู และพูดในสิ่งที่เห็น ซึ่งไม่คิดว่าจะเห็น แต่คิดว่าเพราะเขาอยากให้เห็น เราถึงได้เห็นนะคะ


    กะทิเห็นไปก็พูดอธิบายให้ทุกคนได้ยินไปด้วยค่ะ “เขาใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งโจงกระเบนใช่ไหม? ที่บนหัวเขาเป็นผมจุกใช่ไหมคะ?”

    หมอ : “ใช่”

    ขอบอกเลยว่า ณ เวลานั้น กะทิแทบจะไม่ได้ใช้สมาธิในการมองหลับตาเลยนะคะ แต่ลืมตามอง และเพ่งสมาธิอยู่ ก็เหมือนจะมองเห็น รับรู้ได้


    กะทิยังพูดอธิบายต่อไป “ที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของเขา ใส่กำไรข้อเท้าสีทองใช่ไหม? เขายืนต่อหน้ากะทิอย่างนี้......”


    กะทิพูดไปก็ทำท่าให้ทุกคนในห้องดูไป โดยลุกขึ้นแล้วก็เอาเท้าไขว้กันยืนค่ะ เพราะสิ่งที่เห็นคือ เขายืนอยู่ในท่านี้กลางอากาศต่อหน้ากะทิ และค่อยๆ ลอยลงมายืนอยู่ที่พื้น จึงสามารถยืนในท่านี้ได้ตั้งแต่แรก เพราะยืนมาตั้งแต่อยู่กลางอากาศแล้ว


    หมออธิบายว่า เขาชื่อปัทมา เป็นลูกของหมออีกคนหนึ่ง (ลูกทางจิต..หมอไม่ได้หมายถึงลูกในชาติปัจจุบันนะคะ) เขาอยากมาเป็นเพื่อนหนู(กะทิ) ไปไหนมาไหนก็คิดถึงเขา พูดคุยกับเขาได้นะ เขาจะสอนหนูอะไรบางอย่าง


    (ชื่อของเขาแปลกไหมคะคุณผู้อ่าน เขาชื่อปัทมา แต่เป็นเด็กซึ่งตอนแรกกะทิเธอก็ไม่ได้แยกแยะหรือต้องการรู้จากที่สัมผัสได้ว่าเธอมีตัวตนอยู่ ณ ขณะนั้น ว่าคุณปัทเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง ใจไม่ได้คิดถึงสิ่งนี้เลย รู้แต่เพียงว่าเธอ ผิวขาว หัวจุก แต่ได้สอบถามจากหมอ จึงได้ทราบว่าเธอเป็นผู้ชาย ก็แปลกดีนะคะที่ชื่อเธอกับเพศของเธอมันออกจะขัดกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ในใจเป็นประเด็นสักเท่าไหร่)



    คำพูดของหมอสุวิเพียง “ไปไหนมาไหนก็คิดถึงเขา พูดคุยกับเขาได้นะ” แค่นี้ กะทิก็คิดเอามาเป็นจริงเป็นจังคะ เพราะช่วงที่กลับบ้าน กะทิก็ชวนคุณปัทกลับบ้าน ไปเที่ยวบ้านกะทิ วันรุ่นขึ้นกะทิเธอไปทำงาน เวลาที่กินขนม ก็ชวนคุณปัทกินด้วย เวลานอนตอนกลางคืนกะทิก็เรียกให้คุณปัทมานอนด้วย (ก็แค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งอะนะคะ ไม่เป็นไรชิมิ?)




    แต่ไอ้ที่ไม่เป็นไร มันก็มีเป็นไรจนได้ค่ะ (อย่าคิดไปไกลนะคะ) เพราะในคืนนั้นกะทิเธอฝันร้ายมากๆ ในฝันนั้นเหมือนไปท่องเมืองผี แบบว่าน่ากลัวสุดๆ บรรยากาศเป็นสีน้ำตาลดำ ตื่นมาเหงื่อนี่เต็มตัวเลย โชคดีที่กะทิเธอได้เคยชวนให้คุณปัทมานอนเล่นด้วยแค่ครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นเมื่อกะทิไปบ้านหมออีกครั้งถึงได้ทราบว่า คุณปัทเธอมีหน้าที่ของเธอในเวลาค่ำคืน เธอจะต้องไปตรวจความเรียบร้อยในเมืองผีหนะค่ะ(ประมาณนี้) ในเมื่อกะทิอยู่ด้วยในตอนนั้น ก็ต้องพาจูงกันไป กะทิก็เลยได้ไปเที่ยวในที่ๆ ไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่อยากจะไปอีกอะ น่ากลัวมากๆ กะทิเธอตื่นมากลางดึก เหงื่อแตกพลักๆ รีบวิ่งไปเปิดไฟนอนเลย (น่ากลัวฝุดๆ TT TT )



    แต่ในฐานะพี่เลี้ยง คุณปัทก็ได้แสดงวิธีดูดพลังจากพระสุริยะให้ดูนะคะ เวลาที่เธอทำตัวอย่างให้กะทิเธอดู(สอน) เธอจะจริงจังมากเลยค่ะ แบบเต็มสตรีมเลยอะ (Extreme) เพราะทั้งตาทั้งสองข้าง และปากของเธอเวลาที่ดูดพลังจะเป็นสีเพลิงฉานอะนะคะ



    /ยังมีต่อ





    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจาก การเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในพระพุทธศาสนา พระอริยะเจ้าและพระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2014
  20. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เรื่องที่กะทิเล่ามา กะทิสับสนแล้ว
    ปัทมา ที่กะทิพบนะตอนนั้นเธอเป็นเด็กหญิง ตัวเล็กๆ อายุประมาณ ๑๔-๑๕ (แต่โค ตะ ระ ซน)
    อีหนูผู้นี้ชอบวิชาการต่อสู้ ออดอ้อนฉอเลาะ โดยเฉพาะ กับท่านผู้เป็น s-baba ผู้เป็นใหญ่ในดวงอาทิตย์
    ทำให้ได้รับการสอนวิชาการต่อสู้หลายรูปแบบ และยังได้ของวิเศษอีหลายชิ้น

    ปกติอีหนูปัท ชอบแต่งกายทะมัดทะแมง บางครั้งก็ใส่ชุดเกราะพร้อมรบ แอบตามอาๆลุงๆของมันไปออกรบเสมอ
    ห้ามก็ไม่ฟัง หมอเองก็ดูแล้ว ชุดมันเข้าท่าวุ้ย ยังกะเซล่ามูล
    มันแต่งชุุดรบแล้วเอามาอวด แต่ละชุดของมันนี่ ไอ้เกมรบกันที่มีในคอมฯอายมัน ชิดซ้ายได้เลย
    ไอ้วันที่มันมาพบหนูกะทิ หมอบ่นมัน แต่งตัวให้สมเป็นเด็กผู้หญิ่งหน่อย
    มันจึงแต่งตัวอาโนเนะ แบบเด็กหญิงโบราณ ใส่คอกระเช้า นุ่งโจงกระเบน ใส่กำไรมือเท้า แบบคุณหนู เกล้าจุกไว้กลางศีรษะ พร้อมเอาพวงมาลัยมะลิล้อมรอบจุก หน้าใสเชียว

    แล้วแค่วันแรกที่ไปอยู่ด้วยกัน อีก็พาอีหนูกะทิ ไปแหย่ผีเล่น เป็นที่สนุกสนาน
    เลยต้องปราม ว่า เพื่อนรุ่นพี่คนนี้ เพิ่งฝึก ฝีมือยังรักษาตัวไม่ค่อยได้ อย่าพาไปเล่นซนมากนัก และให้ถ่ายทอดวิชาให้พี่กะทิเขาด้วย
    นังปัท ก็ยิ้มหวานจ้อย

    ตอนหลัง มันแอบไปรบกัมมารใหญ่มา ทำให้ได้รับบาดเจ็บเจียนตายอยู่หลายครั้ง รักษาให้เสร็จ มันก็ไปอ้อนคนนั้นที คนนี้ที ได้ฝีมือและของวิเศษอีแยะ มันก็ไปท้ารบเขาอีก
    ครั้งสุดท้าย โดนพิษมาร ทำให้เป็นแผลพุพองดำคล้ำไปทั่วตัว ต้องไปขอยาจากแดน อมรโคยานะ มารักษาจึงหาย

    งานนี้ทำเอาอีหายซ่า และทำให้อีหนูปัทมา เกิดความคิดขึ้นว่า การที่นางเป็นหญิงออกรบยังไงก็เสียเปรียบ ถ้าเป็นชาย ออกรบก็จะไม่เสียเปรียบแล้ว
    ยิ่งอีเห็นลุงๆอาๆมันคุมทัพออกรบแล้ว มันทะมัดทะแมงสะจาย

    ว่าแล้วอีหนูก็ไปสอบถามผูใหญ่หลายท่านถึงวิธีที่จะเป็นชาย
    และก็ได้คำแนะนำจากท่าน s-baba.... และท่าน...
    และเมื่อหนูปัทมา ได้ข้อมูลครบถ้วย นางก็อธิษฐาน ขอจุติใหม่ กลายเป็นชายในพริบตาเดียว

    คราวนี่มันก็กลายเป็นไอ้ปัทม์แล้ว และออกรบกับมารและอสูร เป็นประจำ
    จนปัจจุบันได้รับการอวยยศเป็นแม่ทัพประจำดวงอาทิตย์แล้ว และได้แต่งานไปกับสัตรีผู้หนึ่งนามแม่พลอย(ยังกะ เรื่องสี่แผ่นดินเลยวุ้ย)
     

แชร์หน้านี้

Loading...