ร่างกายของมนุษย์คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 1 ธันวาคม 2014.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    บทความนี้ก็เป็นอีกบทความหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
    ซึ่งก็อย่างเคยครับ..ผมแปลมา
    แล้วก็นำมาโพสต์แบ่งปันให้ท่านได้อ่านด้วย
    หาใช่เจ้าของบทความแต่อย่างใดไม่..

    ดังนั้น ผมก็ขอให้ท่านใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลเอาเองนะครับ
    ส่วนลิงค์ต้นฉบับของข้อมูลภาคภาษาอังกฤษนั้น
    ผมก็จะแปะเอาไว้ให้ในทุกๆโพสต์ที่ผมโพสต์เช่นเคยครับ

    ...........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"

    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 1:


    ในหัวข้อนี้เราจะมาแจกแจงกันว่าร่างกายเนื้อของคุณคือสิ่งที่ถูกฉายออกมา
    จากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวคุณเองได้อย่างไร
    และว่า..คุณกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าโฮโลแกรมอันนั้นอยู่
    (ร่างกายเนื้อของคุณ – ผู้แปล) อย่างไร และเพราะฉะนั้นแล้ว
    สุขภาพอนามัยของร่างกายเนื้อของคุณจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวคุณเองโดยสิ้นเชิง

    และนอกจากนี้แล้วเรายังจะมาอธิบายให้จำเพาะเจาะจงลงไปอีกว่า
    กลไกที่อยู่เบื้องหลังของกฎเกณฑ์นี้มันเป็นอย่างไร
    และโปรดอย่าได้เป็นกังวลไปเลย เพราะว่าผมจะยกหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    ขึ้นมาประกอบด้วย เพื่อให้ถูกใจสมองที่ชอบคิดแบบมีเหตุมีผลของคุณ

    แต่ก่อนอื่นเราจะมาดูกันซะก่อนว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

    ความคิดของมนุษย์คือผู้กำหนดโลกแห่งความเป็นจริง


    กฎเกณฑ์พื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของควอนตั้มฟิสิกส์ก็คือ
    “ความคิดของเราคือผู้กำหนดความเป็นจริงขึ้นมา”
    (our thoughts determine reality)

    ซึ่งเมื่อราวๆต้นศตวรรษที่ 19 พวกเขาได้พากันพิสูจน์เรื่องนี้
    ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดกันไปเรียบร้อยแล้ว
    จนไม่มีข้อสงสัยใดๆเหลืออยู่อีกเลย
    ด้วยการทดลองที่ชื่อว่า “double slit experiment”

    พวกเขาพบว่าปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของพลังงาน (อนุภาค)
    ที่อยู่ในระดับควอนตั้มนั้น ก็คือ
    “ความตระหนักรู้” ของผู้ทดลองหรือผู้สังเกตการณ์เอง


    ตัวอย่างเช่น อิเล็กตรอนที่อยู่ในสถานะเดียวกัน บางครั้งมันก็จะแสดงพฤติกรรมเหมือนเป็นอนุภาค
    แต่บางครั้งมันก็จะแสดงพฤติกรรมเหมือนเป็นคลื่น (พลังงานที่ปราศจากรูปร่างรูปทรง) แทน
    เพราะว่ามันจะขึ้นอยู่กับว่าผู้สังเกตการณ์คาดหวังว่ากำลังจะได้เห็นอะไรนั่นเอง
    ดังนั้น ไม่ว่าผู้สังเกตการณ์จะเชื่อว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นก็ตาม
    สนามพลังงานควอนตั้มอันนั้นก็จะแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นเป็นแบบนั้นเสมอ

    ........................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    หมายเหตุ: การทดลอง Double Slit Experiment:



    "การทดลองสลิทคู่ (Double Slit Experiment)"

    ก่อนที่จะเริ่มทำการทดลองกับอนุภาคระดับควอนตัมจริงๆ
    เขาอธิบายให้เราเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของอนุภาค และของคลื่น
    ที่ถูกยิ่งผ่านช่องสลิทก่อนว่า

    1). สำหรับอนุภาคของสสารทั่วไป เช่น ก้อนหิน เป็นต้น เมื่อถูกยิงผ่านช่องสลิทเดี่ยว
    ผลการทดลองที่ได้ ก็จะเป็นแถบของก้อนหินที่กระทบกับฉากรับเพียงแถบเดียว
    แต่ถ้ายิงผ่านช่องสลิทคู่ ก็จะได้แถบของก้อนหิน 2 แถบบนฉาก

    2). ส่วนคลื่น เมื่อผ่านช่องสลิทเดี่ยว ก็จะได้แถบเดี่ยว ปรากฎอยู่บนฉาก
    แต่ถ้ายิงผ่านช่องสลิทคู่ ก็จะได้ผลเป็นแถบมากมายบนฉาก
    เพราะว่าคลื่นแต่ละคลื่นจะแทรกสอดซึ่งกันและกัน จึงเกิดเป็นแถบมากมายอย่างที่เห็น

    การทดลองจริงกับควอนตัม (Quantum) โดยใช้อนุภาคของอิเล็กตรอน

    1). ยิงผ่านช่องสลิทเดี่ยว => เกิดแถบเดี่ยวบนฉากรับ เหมือนพฤติกรรมของอนุภาค
    2). ยิงผ่านช่องสลิทคู่ => เกิดเป็นแถบมากมายบนฉากรับ เหมือนพฤติกรรมของคลื่น

    นักวิทยาศาสตร์จึงพากันงง ว่าเกิดอะไรขึ้น และจึงสัณนิษฐานว่า
    สงสัยอนุภาคของอิเล็กตรอนที่ยิงออกไปพร้อมๆกันหลายๆอนุภาคนั้นเกิดการชนกัน
    แล้วจึงเกิดการกระเด้งไปมา และจึงเกิดแถบขึ้นมามากมายอย่างที่เห็น

    เพราะฉะนั้น นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย จึงพากันเริ่มการทดลองใหม่อีกครั้ง
    แต่ตอนนี้ ยิงอนุภาคอิเล็กตรอนออกไปทีละอนุภาค
    ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้มันจะไม่สามารถไปชนกับใคร แล้วกระเด้งไปไหนได้อีกแล้ว

    แต่ผลการทดลองก็คือ

    1). ยิงผ่านสลิทเดี่ยว => เกิดแถบเดี่ยว เหมือนพฤติกรรมของอนุภาค
    2). ยิงผ่านสลิทคู่ => เกิดแถบมากมายเหมือนเดิมอีก เหมือนพฤติกรรมของคลื่น

    นี่ก็ยิ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์งงไปกันใหญ่อีก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    เพราะมันขัดแย้งกับสามัญสำนึกปกติของเรา มันไม่น่าจะเป็นไปได้
    ดังนั้นพวกเขาจึงสัณนิษฐานจากผลการทดลองนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า
    อาจจะเป็นเพราะว่า อนุภาคอิเล็กตรอนเมื่อมันถูกยิงไปถึงสลิท
    มันแบ่งออกเป็นสองส่วน แล้วมันก็เข้าไปได้ทั้งสองสลิท
    แล้วเกิดการแทรกสอดกันขึ้น จึงได้ผลอย่างที่เห็น

    แต่ว่าในทางคณิตศาสตร์นั้น ตามหลักความน่าจะเป็นแล้ว
    โอกาสที่อนุภาคอิเล็กตรอนจะเข้าไปทั้ง 2 สลิท หรือ เข้าไปเพียงสลิทเดียว
    หรือ ไม่เข้าไปทั้งคู่เลย มันก็มีความน่าจะเป็นอยู่มากมาย
    เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงเริ่มทำการทดลองใหม่อีกครั้ง
    เพื่อดูว่าอนุภาคอิเล็กตรอนดังกล่าวนั้น มันเข้าไปสลิทไหนกันแน่
    หรือว่าทั้ง 2 สลิท หรือไม่เข้าทั้งคู่เลย
    โดยการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับไว้ที่สลิทข้างหนึ่ง

    แล้วค่อยเริ่มยิงอนุภาคเข้าไปเหมือนเดิม

    แต่เพราะโลกควอนตัม มันน่าอัศจรรย์และน่าพิศวงกว่าที่เราคิดเอาไว้มากนัก
    ดังนั้น ผลการทดลอง จึงปรากฎว่า

    1). ยิงผ่านสลิทคู่ => ได้แถบบนฉาก เพียงแค่ 2 แถบ เท่านั้นเอง
    (เหมือนพฤติกรรมของอนุภาค ซึ่งก่อนหน้านี้

    มันเพิ่งแสดงพฤติกรรมเหมือนเป็นคลื่นให้เห็นอยู่หยกๆ ??)

    เมื่อผลการทดลองเป็นเช่นนี้ นักวิทยาศาสตร์ ก็ยิ่งปวดหัวหนักไปอีก

    เพราะเหมือนกับว่า อนุภาคอิเล็กตรอนเหล่านั้น มันรู้ว่ากำลังถูกจับตาดูอยู่
    เพราะฉะนั้น มันจึงเลือกที่จะแสดงตัวเป็นอนุภาคแทน
    มันแน่ชัดว่า ผู้สังเกต มีอิทธิพลต่อผลการทดลองจริงๆ
    ซึ่งจากการทดลองนี้ ผู้สังเกตได้ทำให้ผลการทดลองล้มเหลวลงได้
    เพียงแค่ได้ "สังเกตการณ์" ดูมันอยู่เท่านั้นเอง ???

    ..........................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    หมายเหตุ: การทดลอง Double Slit Experiment (ต่อ)



    ขออนุญาตนำเอาบทความของคุณ เมธาวี เลิศรัตนา มาลงให้อ่านนะครับ
    เพราะว่าเธอเขียนเอาไว้ดีมากหนะครับ

    ที่มา:
    มนตราหิมาลัย....: Double Slit Experiment

    หลายปีมาแล้วที่พ่อ (หมอประสาน ต่างใจ) พยายามอธิบายเกี่ยวกับการทดลองอันลือลั่น
    “duble slit experiment” นี้ให้ลูกฟัง แล้วสรุปสั้นๆ ว่า
    อิเลคตรอน โฟตอน หรืออนุภาคนั้น มันเป็นอะไรก็ได้

    เป็นคลื่นหรือเป็นอนุภาคก็ได้ ขึ้นอยู่กับการสังเกต
    ซึ่งลูกก็นำไปโยงใย (ตามระบบเครือข่ายประสาทในสมอง)
    กับกฏข้อสำคัญทางควอนตัมที่กล่าวว่า
    “ผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกตคือหนึ่งเดียวอย่างไม่อาจแบ่งแยกได้”


    วันนี้ Fred Alan Wolf, Ph.D. หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์กลุ่ม What the Bleep!?
    ในนาม Dr. Quantum ได้สร้างสื่อในรูปแบบการ์ตูน ทั้งหนังสือและวีดีโอ
    ดังที่ได้แนบมาให้ชมพร้อมกันไปนี้ ทำให้การทดลองดังกล่าว
    ถูกเผยแพร่ให้ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปได้สัมผัสควอนตัมฟิสิกส์ อย่าง “เห็นภาพ”
    เข้าใจได้ว่าในโลกควอนตัมนั้นอนุภาคไม่ได้เป็นสสารแข็งตันอย่างลูกหิน
    ทั้งมันยังทรงคุณสมบัติของความเป็นคลื่น คลื่น-อนุภาค ความเป็นสองในหนึ่งเดียวอีกด้วย

    ยิ่งไปกว่านั้น ความซับซ้อนของการทดลองนี้ยังมีต่อๆ ไป
    เสมือนหนึ่งจะไร้ขอบเขตเลยทีเดียว แต่ ณ ที่นี้ ผู้เขียนขอแบ่งความซับซ้อน
    ออกเป็นข้อใหญ่สองข้อคือหนึ่ง “การสังเกตของเราได้เข้าไปมีส่วนล้มคลื่นควอนตัม
    ให้กลายเป็นอนุภาค เป็นสสาร” และสอง “เวลา” อันสัมพันธ์อย่างแยกไม่ได้กับพื้นที่
    ตลอดจนมิติ สนามต่างๆ

    พูดอย่างนี้ก็คงจะนึกภาพตามลำบากอยู่ดี เอาเป็นว่าหลังจากที่ได้ดูการ์ตูน ดร. ควอนตัมนี้แล้ว
    ก็ขอให้จินตนาการต่อไป ว่านักฟิสิกส์ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะหลอกอนุภาค
    อย่างเช่น เมื่อมีการสังเกต ตรวจจับทิศทางการวิ่งของมัน

    มันจะแสดงตัวเป็นอนุภาคให้เราเห็นที่ฉากรับ
    แต่หากเราไม่สังเกตไม่ถูกตรวจสอบข้อมูลมันก็จะปรากฏเป็นคลื่น
    ไม่ว่าเครื่องตรวจวัดจะถูกติดตั้งก่อนหรือ
    หลังจากที่อนุภาคจะถูกปล่อยออกมาจากเครื่องยิง
    มันก็จะมีพฤติกรรมประหนึ่ง “รู้” อยู่แล้วว่าจะถูกสังเกตหรือไม่เสมอ

    กระทั่งเมื่อนักฟิสิกส์ไปติดตั้งเครื่องมือลบข้อมูล (ที่ได้จากการสังเกต)
    ก่อนที่มันจะถึงฉากหลังเพียงนิดเดียว นั่นเหมือนกับว่ามันสบายใจ
    ที่ข้อมูลถูกลบไปแล้ว แสดงพฤติกรรมเป็นคลื่นในทันที
    (ทั้งที่ตลอดเส้นทางที่ถูกตรวจวัด มันเป็นอนุภาคมาตลอด)

    หรือเมื่อนักฟิสิกส์แยกโฟตอนออกเป็นสอง
    แล้วสังเกตคู่ของมัน โดยที่ไม่ได้ไปยุ่งกับอีกตัวหนึ่งเลย
    มันทั้งสองก็ยังแสดงพฤติกรรมเป็นอนุภาคเหมือนกันทันที
    นั่นแสดงว่านอกจากมันจะ “รู้” แล้ว
    มันยังสื่อสารถึงกันโดยฉับพลันอีกด้วย

    หลังจากที่นักฟิสิกส์ได้พยายามหลอกอนุภาคอย่างสุดความสามารถ
    นอกจากมันจะไม่เคยถูกหลอก แล้วมันยังทำประหนึ่งว่าเราหลอกตัวเองซะอย่างนั้นแหละ
    ก็ลองคิดดูสิ หากอนุภาคโฟตอนไม่ได้ถูกยิงออกมาจากเครื่องยิง
    แต่มันถูกส่งมาไกลสักพันปีแสงเดินทางผ่านอวกาศอันไกลโพ้นมาถึงโลก
    แล้วมีเราเป็นผู้สังเกต แล้วคลื่นก็ล้มให้เราเห็นมันเป็นอนุภาคเป็นสสาร
    ซึ่งไม่ว่าเราจะไปดักจับมันตรวจ แล้วดักลบข้อมูลที่ตรวจได้ สักกี่ครั้งกี่หน
    ผลก็ออกเหมือนเดิมว่าอนุภาคนั้น “รู้ตัว” ตั้งแต่ก่อนที่มันจะออกเดินทางแล้วว่า
    ในท้ายสุด มันจะแสดงพฤติกรรมเป็นอะไร จะมีใครมาดักสังเกต
    ดักลบข้อมูลการสังเกต มันอยู่รึเปล่า

    มีอะไรจะพิสดาร เจ้าเล่ห์แสนกล แปลกประหลาดไปกว่า

    การสังเกต การรับรู้ ของเราอีกไหมนี่?

    การสังเกตตรวจวัดจะทำให้อดีตเหลือเพียงความเป็นไปได้หนึ่งเดียวเท่านั้น
    และผลการตรวจวัดได้กลายเป็นตัวกำหนดเส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาค (โฟตอน)ไปโดยปริยาย
    ทำให้มีอดีตเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นไปแล้วถูกนำมาพิจารณาโอกาสที่จะเกิดการสอดแทรก
    (อันเป็นคุณสมบัติของคลื่น) ได้ถูกทำลายไป
    นั่นคืออดีตทีี่เปี่ยมศักยภาพความเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวลถูกตัดแต่ง

    จากสามัญสำนึกการรับรู้ของเราที่บอกเราว่า มันจะมีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น
    ที่อนุภาคหนึ่งตัวจะเคลื่อนผ่านไปได้ ณ ขณะหนึ่ง

    แล้วก็มาถึงเรื่อง sum over histories ของริชาร์ด ฟายน์แมน (Richard Feynman)
    ยอดมนุษย์อัจฉริยะเจ้าของสูตรรวมอดีต (ผลรวมของคลื่นความเป็นไปได้ทั้งหมดของอดีตจาก จุด A-B)
    อันเป็นสูตรการคำนวณที่ใช้การได้กับพฤติกรรมคลื่นอนุภาคซึ่งพาเราไปพ้นทางตันของฟิสิกส์คลาสิก
    แต่นั่นก็เป็นการบอกเราไปพร้อมๆ กันว่ากฏเอ็นโทรปีข้อสอง

    ที่มนุษย์เราทั้งหลายคุ้นเคย
    อย่างอดีต ปัจจุบัน อนาคต,
    จากการเกิดไปสู่ความเสื่อมสลายและความตาย
    เวลาเป็นเส้นตรงดั่งลูกศรพุ่งออกไปสู่เป้าหมายนั้น
    เป็นความเพี้ยนไปจากความจริงพื้นฐานของจักรวาล ...

    เมธาวี เลิศรัตนา

    ..........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 2:


    a.jpg
    (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

    เพราะว่าโลกของควอนตั้มนั้น
    พวกมันกำลังรอคอยให้พวกเราตัดสินใจอยู่
    เพื่อที่พวกมันจะได้ทำตามความต้องการของพวกเราได้ถูก


    นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม ในการทำงานกับโลกของควอนตั้ม
    และในการอธิบายและให้คำจำกัดความเกี่ยวกับโลกของควอนตั้ม
    นักควอนตั้มฟิสิกส์ทั้งหลาย จึงต้องพบกับปัญหาต่างๆมากมายยังไงหละ

    และในความเป็นจริงแล้ว พวกเราก็คือ “มาสเตอร์หรือผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์” นั่นเอง

    เพราะว่าพวกเราจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่า
    จะให้อะไรถูกเนรมิตออกมา
    จากสนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ทั้งมวลนี้
    (the field of all-possibility) บ้าง

    และประเด็นสำคัญก็คือ โลกแห่งความเป็นจริงในระดับควอนตั้มนี้
    มันไม่ใช่อะไรที่มีอยู่เฉพาะที่-เฉพาะแห่ง
    หรือเป็นส่วนประกอบที่ไร้ความสำคัญ
    ของอาณาจักรแห่งการสรรสร้างนี้แต่อย่างใดเลย
    เพราะว่าพวกมันมีอยู่ทุกๆที่ รอบๆตัวเรา
    และถ้าไม่นับสนามพลังงานร่วม (the unified field) เองแล้ว
    พวกมันก็คือองค์ประกอบมูลฐาน
    ของอาณาจักรแห่งการสร้างสร้างนี้เลยทีเดียว

    และเพราะว่าสนามพลังงานของมนุษย์เอง ก็กำลังมีปฏิสัมพันธ์
    และก็กำลังส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานควอนตั้ม
    ที่อยู่รอบๆตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่ด้วย

    และเพราะว่าพลังงานจาก “ความเชื่อ”
    และ “ความตั้งใจ” ทั้งหลายของพวกเรา
    ก็กำลังแผ่ซึมเข้าไปในสนามพลังงานของพวกเราเอง
    อยู่ตลอดเวลาอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
    เพราะว่าพวกมันถูกกำหนดโดยพลังงาน
    จากความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของพวกเราเองนั่นเอง

    ดังนั้น สนามพลังงานที่เกิดจากการผสมผสานกันขึ้นมา
    ของความคิด, อารมณ์ความรู้สึก, ความเชื่อ
    และ เจตจำนงทั้งหลายของพวกเรา
    ซึ่งผมจะขอเรียกชื่อง่ายๆว่า “สนามพลังงานของมนุษย์” นั้น
    (the human energy field)
    จึงกำลังติดต่อสื่อสารอยู่กับโลกของควอนตั้ม
    ทั้งที่อยู่ภายในตัวเรา และที่อยู่ภายนอกตัวเรา
    อยู่ตลอดเวลา ทุกๆชั่วขณะแห่งการดำรงอยู่ของพวกเราเลยทีเดียว


    และเพราะว่าโลกแห่งความเป็นจริงนี้
    กำลังมีการกระพริบหรือเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา
    (ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว นาย William Brown
    ซึ่งเป็นนักชีวฟิสิกส์คนหนึ่งของโปรเจกส์
    The Resonance Project ได้อธิบายเอาไว้ว่า
    มันกระพริบหรือเกิด-ดับด้วยอัตราเร็วอย่างน้อยที่สุด
    เท่ากับค่าคงที่ของแพลงค์ ซึ่งก็คือ 10 ยกกำลัง 44 ครั้งต่อวินาที)

    ดังนั้น ทุกๆครั้งที่โลกแห่งความเป็นจริงนี้ของพวกเรา
    กระพริบเกิดและดับ เพื่อเปลี่ยนสถานะไปมาอยู่ระหว่าง
    การเป็นรูปร่างรูปทรง และการเป็นสนามพลังงานล้วนๆนั้น
    (ซึ่งต่อจากนี้ไปผมจะขอใช้คำว่าเปลี่ยนสถานะไปมา
    ระหว่าง “การมีรูป” และ “การไร้รูป” นะครับ – ผู้แปล)
    ความตระหนักรู้ของพวกเราซึ่งอยู่นิ่งกับที่
    และไม่ได้กระพริบเกิด-ดับตามไปด้วยนั้น **
    ก็จะไปสื่อสารกับสนามพลังงานดังกล่าวนี้ว่า
    เมื่อใดที่มันกระพริบกลับมาสู่สถานะ
    ของการมีรูปในระดับควอนตั้มใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว
    มันจะต้องปรากฎออกมาเป็นรูปร่างรูปทรงอย่างไร


    (**หมายเหตุ: อันนี้เป็นความเข้าใจของเจ้าของบทความเองหนะนะครับ
    แต่จากข้อความของท่านเมตาตรอนที่ผมเคยแปลมา
    ท่านบอกว่าจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเราเองก็มีการกระพริบเกิด-ดับ
    อยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นเดียวกัน – ผู้แปล)

    เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกๆครั้งที่เรากระพริบกลับเข้าไปสู่สภาวะที่ “ไร้รูป” แล้ว
    ก่อนที่เราจะกระพริบกลับออกมาสู่สภาวะที่ “มีรูป” เหมือนเดิมในชั่วขณะถัดไปนั้น
    เราจึงมีความสามารถในการควบคุมและรับผิดชอบ
    ต่อสิ่งที่เราเลือกที่จะเนรมิตออกมา จากสนามพลังงานอันนั้นอย่างเต็มที่
    ซึ่งพลังอำนาจและความสามารถในการทำเช่นนั้นของเรา
    มันก็จะขึ้นตรงอยู่กับความเชื่อและความรู้สึก ณ.ขณะนั้นๆของเรานั่นเอง


    .....................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 3:


    มันมีกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนอยู่กรณีหนึ่ง ของนาย Vittorio Michelli ซึ่งในปี 1962 นั้น
    เขาถูกหามส่งโรงพยาบาล Military ในเมือง Verona ประเทศอิตาลี่
    ด้วยอาการมีเนื้องอกขนาดใหญ่อยู่ที่สะโพกด้านซ้ายของเขา
    ซึ่งในตอนนั้นหมอบอกว่าไม่สามารถที่จะช่วยอะไรเขาได้แล้ว
    ดังนั้นอาการป่วยของเขาจึงดูเหมือนว่าจะหมดทางเยียวยารักษาแล้ว

    ดังนั้นเขาจึงถูกส่งตัวกลับบ้าน โดยไม่ได้รับการเยียวยารักษาใดๆเลย
    แล้วหลังจากนั้นประมาณ 10 เดือน กระดูกสะโพกด้านซ้ายของเขาก็เน่าเปื่อยไปจนหมดสิ้น
    ดังนั้น ด้วยความหวังที่จะหาที่พึ่งแหล่งสุดท้าย เขาจึงได้เดินทางไปที่เมือง Lourdes
    ประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปอาบน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น
    (มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของชาวคริสเตียน ที่มีชื่อเสียงด้านปาฏิหาริย์)

    และในทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นในทันที ความอยากอาหารของเขาเริ่มกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    แล้วเขาก็อาบน้ำพุนั้นอีก 2 – 3 ครั้งก่อนที่จะเดินทางกลับ
    แล้วหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนในระหว่างที่เขาพักอยู่ที่บ้านของเขาเอง
    เขาก็มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าตัวเองน่าจะแข็งแรงดีแล้ว
    ดังนั้นเขาจึงกุลีกุจอที่จะไปให้หมอเอ็กซ์เรย์ดูใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    ซึ่งผลการเอ็กซ์เรย์ก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจเพราะว่าพวกเขาพบว่า
    เนื้องอกของเขานั้น บัดนี้มันได้หดตัวเล็กลงกว่าเดิมแล้ว
    แล้วจากนั้นตลอดหลายเดือนต่อมา พวกเขาก็จับตาดูเขาอย่างใกล้ชิด
    และผลการเอ็กซ์เรย์ของเขาก็แสดงให้เห็นว่าเนื้องอกก้อนนั้นได้หดตัวเล็กลงเรื่อยๆๆ
    แล้วก็หายไปในที่สุด และหลังจากที่เนื้องอกหายไปแล้ว กระดูกสะโพกของเขา
    ก็ค่อยๆถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    แล้วหลังจากนั้นอีก 2 เดือน เขาก็สามารถกลับมาเดินได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
    แล้วหลังจากนั้นอีกหลายปี กระดูสะโพกของเขาก็กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์
    เป็นปกติใหม่อีกครั้งหนึ่ง จนทำให้คณะกรรมาธิการด้านการแพทย์ของสำนักวาติกัน
    นำมากล่าวในรายงานอย่างเป็นทางการของพวกเขาว่า:

    “การฟื้นฟูกระดูกสะโพกและโพรงกระดูกขึ้นมาใหม่อย่างน่าประหลาดใจ
    ได้บังเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งผลการเอ็กซเรย์เมื่อปี 1964, 1965, 1968 และ 1969
    ก็ได้ยืนยันอย่างชัดเจนแล้ว และโดยไร้ข้อกังขาใดๆทั้งสิ้นว่า
    การฟื้นฟูกระดูกสะโพกที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วในครั้งนี้ คือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลย
    และอาจจะถึงขั้นหาคำอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะว่ามันไม่เคยเป็นที่รู้จักมาก่อนเลย
    ในประวัติศาสตร์ของวงการแพทย์ของโลก”

    (จากหนังสือ The Holographic Universe หน้า 107)

    ถ้ามองดูแบบผิวเผินแล้วเราก็อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ก็ได้
    ซึ่งแน่นอนว่ามันก็คือปาฏิหาริย์จริงๆนั่นแหละ แต่มันเป็นปาฏิหาริย์ที่ผมจะบอกว่า
    มันเกิดจากพลังอำนาจที่แท้จริงของเจตจำนงและความเชื่อของมนุษย์เรานี่เอง

    ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่ทำให้เรารู้ว่า

    มันมีโครงสร้างพลังงานอะไรบางอย่างอยู่
    ที่ “ร่างกายเนื้อ” ของเราเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
    เพราะว่านี่คือเหตุผลเดียวที่จะสามารถอธิบายแบบมีเหตุมีผลได้ว่า
    ทำไมกระดูกสะโพกของนาย Vittorio Michelli
    จึงรู้ได้ว่ามันจะสามารถฟื้นฟูตัวเอง
    เพื่อกลับคืนมาสู่รูปร่างเดิมของมันได้อย่างไร
    ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามันมีอะไรบางอย่าง
    ที่ทำหน้าที่เป็นพิมพ์เขียวทางพลังงาน
    คอยสั่งการเรื่องการเจริญเติบโตของมันอยู่

    ซึ่งก็คงจะเหมือนกับที่คณะกรรมาธิการด้านการแพทย์ของสำนักวาติกัน
    กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วนั่นแหละว่า
    “มันคือสิ่งที่ประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของโลกไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย”

    ...............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 4:


    a.jpg
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ในทางการแพทย์แล้ว เรื่องนี้อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน
    แต่ในทางฟิสิกส์แล้วไม่อาจที่จะกล่าวเช่นนี้ได้
    เพราะว่าในระดับอะตอมแล้ว อะตอมต่างๆจะเกาะเกี่ยวกันอยู่
    เพื่อประกอบเป็นโมเลกุลขึ้นมา ซึ่งโครงสร้างของโมเลกุลเหล่านี้
    ก็จะมีรูปร่างรูปทรงทางเรขาคณิตอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ราวกับว่ามันมีพิมพ์เขียวทางพลังงานอะไรบางอย่าง
    คอยควบคุมมันอยู่อย่างนั้นแหละ ซึ่งพวกมันทั้งหมดจะต้องคอยทำตาม
    เพื่อก่อให้เกิดเป็นรูปร่างรูปทรงดังกล่าวนั้นขึ้นมาให้ได้


    และถ้าร่างกายเนื้อของเราคือสิ่งที่ถูกฉายออกมา
    จากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเราเองจริงๆหละก็
    ถ้าเช่นนั้นจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา
    ก็น่าจะต้องเป็นผู้ที่สร้างพิมพ์เขียวทางพลังงานดังกล่าวนั้นขึ้นมาเองด้วย
    แล้วทำให้อะตอมและโมเลกุลทั้งหลาย
    ที่อยู่ภายในร่างกายเนื้อของเราต้องทำตามคำสั่งของมัน
    เพื่อจัดเรียงตัวกันขึ้นมากลายเป็นร่างกายเนื้อของเรา

    และมันก็มีหลักฐานที่หนักแน่นมากพอสมควร
    ที่สามารถชี้บ่งถึงการมีตัวตนอยู่จริงของพิมพ์เขียวทางพลังงาน
    (หรือสนามพลังงานของมนุษย์) ดังกล่าวนี้ได้จริงๆ
    ซึ่งก็คือผลงานวิจัยชิ้นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ DNA ชิ้นหนึ่ง
    ที่พิสูจน์แล้วว่า DNA จะถ่ายทอดพลังงาน, รับพลังงาน และอ่านพลังงาน
    โดยตรงจากสนามพลังงานอันนั้น (สนามพลังงานของมนุษย์
    ซึ่งเกิดขึ้นมาจากการผสมผสานกันขึ้นมาของความคิด,
    อารมณ์ความรู้สึก, ความเชื่อ และ เจตจำนงทั้งหลาย
    ของมนุษย์ผู้นั้นเอง – ผู้แปล)


    กรณีของนาย Michelli ผู้นี้ คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่แสดงให้เห็นว่า
    มนุษย์มีความสามารถในการจัดเรียงรูปแบบของโครงสร้างของพลังงาน
    ที่อยู่ใน “ความว่างเปล่า” (Vacuum) อันนั้นขึ้นมาใหม่ได้
    โดยอาศัยพลังงานและเจตจำนงของเราเอง เพื่อเนรมิตเอาผลลัพธ์ที่เป็นปาฏิหาริย์แท้ๆแบบนี้
    ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ ออกมาจากสนามพลังงานอันนั้นได้โดยตรงเลยทีเดียว
    และความจริงที่ว่า การที่เขาเริ่ม “รู้สึก” ว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว และเริ่มที่จะ “เชื่อ” แล้วว่า
    เขาจะต้องหายดีแน่ๆนั้น ผมคิดว่า.. นั่นแหละคือกุญแจสำคัญสำหรับการหายป่วยของเขาหละ

    แต่บางคนอาจจะอยากที่จะเชื่อว่ามันเป็นเพราะว่าพระเจ้าช่วยเยียวยารักษาชายผู้นั้นก็ได้
    ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคุณ แต่ว่าความคิด-ความเข้าใจในเรื่องพระเจ้าของคุณและของผม
    อาจจะไม่ตรงกันก็ได้
    เพราะว่าผมจะยืนกรานว่าคุณคือพระเจ้า

    เช่นเดียวกับพวกเราทุกๆคนคือพระเจ้านั่นแหละ
    เพราะว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเราเรียกกันว่า “พระเจ้า” (God) นั้น
    แท้ที่จริงแล้วก็คือพลังงาน
    และก็คือจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่ไร้ขีดจำกัด
    ที่อยู่เบื้องหลังของสรรพสิ่งทั้งปวงนั่นเอง

    และเพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถเชื่อมต่อกับ
    ตัวตนที่แท้จริงของเราเอง (พระเจ้า - ผู้แปล)
    ซึ่งอยู่ในรูปแบบของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ล้วนๆได้แล้ว
    เช่น ในระหว่างทำสมาธิช่วงที่ปราศจากความคิดใดๆทั้งสิ้น เป็นต้น
    เราก็จะสามารถเปิดตัวเองออกไปสู่สภาวะที่ไร้ขีดจำกัด
    ของความตระหนักรู้ของตัวเราเองได้
    เพราะว่าเราก็คือจิตสำนึก/ความตระหนักรู้แห่งการสร้างสรรค์
    ที่ไร้ขีดจำกัดอันนั้นนั่นเอง เราคือมัน และมันก็คือเรานั่นเอง

    และเมื่อใดที่เราสามารถเปิดตัวเองออกไปสู่พลังงานอันนั้นได้แล้ว
    เราก็จะยินยอมให้ตัวเองเอิบอาบอยู่ใน “ความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง”
    และเราก็จะเอิบอาบอยู่ในความรู้อันยิ่งใหญ่ด้วย
    ซึ่งมีพลังอำนาจมหาศาลในการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงนี้ขึ้นมา
    และก็มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบชีวภาพของเราเองด้วย

    ..............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 5:


    "ร่างกายคือภาพฉายของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้"

    ผมอยากจะให้คุณเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆว่า
    โลกแห่งความเป็นจริงนี้กำลังกระพริบเกิดดับ
    และเข้า-ออกจากการเป็นรูป และไร้รูปอยู่ตลอดเวลา
    เพราะว่านี่คือความเข้าใจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
    เกี่ยวกับความสามารถในการเยียวยารักษาตัวเองของเรา
    เพราะว่าถ้าครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดของเรา
    อยู่ในสภาวะที่ไร้รูปจริงๆแล้วหละก็ ถ้าเช่นนั้น :


    1). จริงๆแล้วพวกเราเป็นใครกันแน่? เพราะว่ามันเห็นได้ชัดเหลือเกินว่า
    ร่างกายเนื้อนี้ และโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพนี้ ก็คือมายาการดีๆนี่เอง
    ไม่มากก็น้อย และ..

    2). อะไรคือพิมพ์เขียวอันนั้น? ที่คอยควบคุมการจัดเรียงตัวกันขึ้นมาใหม่
    ของร่างกายเนื้อของเรา ในทุกๆครั้งที่เรากลับคืนมาสู่สถานะที่มีรูปใหม่อีกครั้งหนึ่ง?

    ซึ่งคำตอบของทั้งสองคำถามนี้ ก็น่าจะเป็น
    “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้” (consciousness) นั่นเอง
    เพราะว่าร่างกายเนื้อของเรา คือภาพมายาการสามมิติ
    ที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวเราเองแต่ละคน
    และมันก็คือผลลัพธ์สุดท้ายอันเกิดจากความเชื่อของเราเอง
    ที่มีต่อตัวเราเองด้วย

    ดังนั้น ถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเรา
    ที่มีต่อตัวเราเองได้ ซึ่งก็หมายความว่า
    ถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานที่เป็นตัวกำหนด
    “สนามพลังงานมนุษย์” ของเราเองได้หละก็
    เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพิมพ์เขียวทางพลังงาน
    ที่คอยควบคุมการประกอบกันขึ้นมาใหม่
    เป็นวัตถุธาตุทางกายภาพของร่างกายเนื้อของเราเองนี้
    ด้วยอัตราเร็ว 10 ยกกำลัง 44 ครั้งต่อวินาทีนี้ ได้ด้วยเช่นกัน


    (โครงสร้างและจลนวิสัยที่แท้จริงของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา
    ที่ทำให้เราเป็นทั้งแฟร็กตัล (fractal) และภาพโฮโลแกรมสามมิติ (hologram)
    ของจิตสำนึก/ความตระหนักรู้อันไร้ขีดจำกัดของพระเจ้านี้
    สามารถพบได้ในทฤษฎีและงานเขียนของ Nassim Haramein
    เรื่อง Holofractographic Universe theory
    และ Crossing the Event Horizon ตามลำดับ)

    ...........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 6:


    Deepak Chopra ได้เล่าเรื่องราวเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า How to Know God
    ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สามารถอธิบายถึงเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ว่า..

    เพื่อนของเขาคนหนึ่งเกิดได้รับบาดเจ็บที่เท้า จากการออกกำลังกาย
    เพราะว่าไม่คุ้นเคยกับวิธีการใช้งานเครื่องออกกำลังกายตัวหนึ่ง
    และก็ได้ใช้งานมันหนักเกินไปด้วย ซึ่งอาการบาดเจ็บที่เท้าของเขา
    ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในอีกไม่กี่วันถัดมา จนเขาแทบจะเดินไม่ได้เลย
    และ “ผลจากการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ก็พบว่า อาการเจ็บป่วยของเขา
    มีสาเหตุมาจากเส้นเอ็นข้อเท้าอักเสบ ซึ่งเป็นอาการที่เนื้อเยื่อประสาน
    ที่อยู่ระหว่างส้นเท้าและฝ่าเท้าเกิดอาการตึงตัวหรือฉีกขาดนั่นเอง”
    (จากหนังสือชื่อ How to Know God หน้า 221)

    แต่ว่าเพื่อนของเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปผ่าตัด แต่ตัดสินใจที่จะอดทนกับมันต่อไปแทน
    แต่ว่าเมื่อเวลายิ่งผ่านไปเขาก็ยิ่งพบว่ามันเจ็บปวดทรมานมากขึ้นเท่านั้น
    จนเขาแทบจะเดินไม่ได้เลย จนในที่สุดเขาก็ดั้นด้นไปพบกับผู้บำบัดชาวจีนคนหนึ่ง
    ซึ่งผู้บำบัดชาวจีนคนนี้ถ้าดูจากภายนอกแล้วก็จะดูเหมือนกับคนธรรมดาๆนี่เอง
    “โดยไม่มีวี่แววว่าจะเป็นผู้วิเศษ หรือเป็นคุรุทางจิตวิญญาณ
    หรือเป็นผู้บำบัดที่มีพรสวรรค์แต่อย่างใดเลย”
    และเพื่อนผู้ได้รับบาดเจ็บของ Deepak Chopra ก็ได้กล่าวต่อไปอีกว่า:

    “แต่หลังจากที่เขาได้สัมผัสรับรู้ถึงเท้าของผมเบาๆ เขาก็ยืนขึ้น

    แล้วก็ทำสัญลักษณ์อะไรสอง-สามอย่างในอากาศ ด้านหลังกระดูกสันหลังของผม
    โดยที่เขาไม่ได้แตะต้องโดนตัวของผมจริงๆเลย แต่แล้วพอผมถามเขาว่าเขากำลังทำอะไรหนะ
    เขาก็ตอบแบบเรียบๆว่าเขากำลังเปิดสวิตช์ในสนามพลังงานของผมบางจุดอยู่
    ซึ่งเขาก็ใช้เวลาทำอยู่ราวๆ 1 นาทีเท่านั้นเอง แล้วเขาก็ขอให้ผมยืนขึ้น
    แล้วผมก็ยืนขึ้น แล้วผมก็ไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บปวดใดๆอีกเลย ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
    คุณอย่าลืมนะว่าผมเคยเดินกระเผลกอยู่ และเกือบจะเดินไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป”

    แล้วเขาก็พูดต่ออีกว่า “ด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด
    ผมจึงถามเขาไปว่า เขาทำอะไรลงไปหนะ เขาก็บอกกับผมว่า
    ร่างกายเนื้อของเราคือภาพที่ถูกฉายออกมาจากจิตใจของเราเอง
    ซึ่งในสภาวะปกติ ที่ร่างกายของเราสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่นั้น
    จิตใจของเราจะทำหน้าที่เป็นผู้เก็บรักษาสภาวะแห่งความสมบูรณ์
    และความสมดุลของภาพฉายนี้เอาไว้อยู่ตลอดเวลา

    แต่ว่าเมื่อใดที่เราบาดเจ็บ หรือเจ็บปวดแล้ว
    อาการบาดเจ็บหรือเจ็บปวดดังกล่าวนี้
    ก็สามารถที่จะทำให้จิตใจของเราเพิกถอนความสนใจ
    ไปจากจุดที่ได้รับผลกระทบนี้ได้ ซึ่งในกรณีเช่นนี้
    ภาพฉายของร่างกายเนื้อของเราก็จะเริ่มเสื่อมสลายลง
    แล้วแพทเทิร์นของพลังงานของมันก็จะไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม
    จึงทำให้มันไม่แข็งแรงเหมือนเดิม

    ดังนั้น ผู้บำบัดจึงจำเป็นจะต้องทำให้มันกลับคืนมาสู่แพทเทิร์นเดิมให้ได้
    ซึ่งก็สามารถทำได้โดยทันทีเลยทีเดียว ณ.จุดนั้นๆ
    แล้วหลังจากนั้นจิตใจของผู้ป่วยเอง ก็จะกลับเข้ามารับหน้าที่
    เป็นผู้เก็บรักษาความสมดุลและความสมบูรณ์ของมันเอาไว้
    เหมือนเดิมต่อไป” (จากหนังสือ How to Know God หน้า 222)

    เรื่องราวนี้ประทับใจผมมากและก็เป็นแรงจูงใจให้กับผมตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้ฟังมันเลยทีเดียว
    และก็อย่างที่พวกเราได้เห็นกันแล้วว่าโลกแห่งความเป็นจริงของเรานี้
    กำลังมีการกระพริบเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา ด้วยอัตราเร็วต่อวินาทีสูงมากๆ
    จนแทบจะนับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว เพื่อเปลี่ยนสถานะไปมา
    ระหว่างสภาวะที่ “มีรูป” และ “ไร้รูป” และก็อย่างที่วงการควอนตั้มฟิสิกส์รู้ดีกันอยู่แล้วว่า
    ความคิดและความเชื่อของเรา จะไปส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงในระดับควอนตั้มด้วย
    ซึ่งเป็นโลกที่เป็นต้นตอของโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพนี้ทั้งหมด
    เพราะฉะนั้นแล้วมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะอนุมานเอาว่า
    มันคือต้นกำเนิดที่อยู่ในรูปแบบของพลังงานและที่อยู่ในรูปแบบที่ ”ไร้รูป”
    ของสรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งก็รวมถึงโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของเรานี้ด้วย

    เพราะฉะนั้นแล้ว ตามความคิดของผม ผมเห็นว่ามันชัดเจนเหลือเกิน

    ที่เราจะต้องเริ่มหันมาพิจารณาดูตัวเองซะใหม่
    ว่าเราเป็นอะไรที่มากกว่าร่างกายเนื้ออันนี้แน่ๆ
    เพราะว่าในความเป็นจริงแล้วมันจะถูกต้องมากกว่า
    ถ้าเราจะคิดว่าตัวเราเองคือ
    “สนามพลังงานที่สว่างไสวเรืองรอง” สนามหนึ่ง
    (a luminous energy field)
    ที่กำลังอยู่ในร่างกายเนื้ออันนี้เท่านั้นเอง

    หรือคิดว่า..ตัวเราเองก็คือ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ล้วนๆ”
    (pure consciousness) ที่กำลังเนรมิต
    โลกแห่งความเป็นจริงระดับนี้ขึ้นมาอยู่
    และกำลังมีประสบการณ์กับโลกแห่งความเป็นจริงระดับนี้
    เป็นการชั่วคราวอยู่ โดยอาศัยร่างกายเนื้อนี้ของตัวเอง

    หลักฐานใหม่ชิ้นหนึ่งกำลังช่วยชี้บ่งอย่างชัดเจนอยู่ว่า
    “จิตใจของเรา” คือสิ่งที่ไม่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งแห่งหน
    และก็ไม่ได้ขึ้นตรงอยู่กับสมองอีกด้วย
    ซึ่งนั่นก็หมายความว่า จิตใจของเราไม่มีความจำเป็นจะต้องอาศัยสมอง
    หรืออาศัยร่างกายเนื้อของเราในการดำรงอยู่แต่อย่างใดเลย***

    (อ้างอิง: Exploring the Nature of Mind and our Holographic Brain,
    จาก Exploring the Nature of Mind and our Holographic Brain - Project Global Awakening )

    เราเป็นอะไรที่มากกว่าที่เราคิดว่าเราเป็นซะอีก
    และเราก็เป็นอะไรที่มากกว่าที่เราถูกชี้นำให้เชื่อว่าเราเป็นอย่างลิบลับเลย
    ดังนั้นในตอนนี้ ก้าวต่อไปที่เราจำเป็นจะต้องเดินต่อไป
    ซึ่งเป็นก้าวต่อไปในวิวัฒนาการของมวลหมู่มนุษยชาติของพวกเราเองด้วยก็คือ
    เราจะต้องเรียนรู้ว่าจะสามารถนำเอา และจะสามารถปัดฝุ่นเอาพลังอำนาจที่เรามีอยู่แล้วนี้
    มาใช้งานเพื่อส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงของเราเอง
    และเพื่อเนรมิตเอาสิ่งที่เราต้องการออกมาใช้โดยตรงจากสนามพลังงานอันนั้นได้อย่างไร
    เช่น เพื่อสร้างกระดูกสะโพกขึ้นมาใหม่ หรือเพื่อปรับปรุงสายตาให้ดีขึ้น
    หรือเพื่อสร้างร่างกายที่สมส่วน หรือร่างกายที่มีสุขภาพดีขึ้นมา หรืออะไรก็ตามแต่
    เพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ว่าเราจะสามารถทำอย่างนั้นได้อย่างไรหละ?

    ................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 7:


    การบำบัดรักษาสนามพลังงานของคุณ
    ก็คือการบำบัดรักษาร่างกายเนื้อของคุณนั่นเอง


    a.gif
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    การที่จะบำบัดรักษาร่างกายเนื้อของเรานั้น
    ทั้งหมดที่เราจะต้องทำก็คือการชำระล้างสนามพลังงานของเรา
    ให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะว่าสนามพลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์ของเรา
    จะไปทำให้พลังงานที่จะฉายออกมาเป็นภาพร่างกายเนื้อของเรา
    ไม่เกิดอาการติดขัดหรือถูกขัดขวาง
    ซึ่งก็จะทำให้อะตอมและโมเลกุลทั้งหลาย
    สามารถจัดเรียงตัวกันขึ้นมาเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบได้
    เพราะว่ามันไม่มีพลังงานอะไร ไปอุดตัน-ขัดขวาง
    หรือรบกวนการฉายออกมาของภาพ
    จากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของเรา
    เพื่อกลายมาเป็นร่างกายเนื้อของเรานี้นั่นเอง


    ซึ่งพวกเราจะสามารถชำระล้างสนามพลังงานดังกล่าวนี้ได้
    ก็โดยการเข้าไปในช่องว่างที่อยู่ระหว่าง “ความคิด” ทั้งหลาย
    ของพวกเราเอง ซึ่งเป็นที่ๆความเชื่อทั้งหลายของเรา
    จะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความเป็นจริงของเราอีกต่อไปแล้ว
    เพราะว่า เมื่อเราปราศจากความคิดแล้ว
    เราก็จะเป็นอิสระจากความเชื่อ และความคาดหวังทั้งหลายด้วย

    และเพราะฉะนั้น จึงเท่ากับว่า
    พวกเรากำลังคล้อยตามกฎแห่งจักรวาลทั้งหลายอยู่
    และพวกเราก็กำลังทำให้พลังงานของเราเอง
    เข้ากันได้กับพลังงานที่มาจาก
    “สนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ทั้งมวล” อยู่
    ซึ่งเป็นพลังงานที่มีคลื่นความถี่ที่สูงกว่า
    เพราะว่ามันเป็นคลื่นความถี่แห่งความรัก,
    แห่งความใจดีมีเมตตา, แห่งแรงบันดาลใจ,
    แห่งความปราถนา, และความสุข และอะไรทำนองนั้น


    แต่สิ่งแรกที่เราจะต้องพิจารณาก็คือ
    “ความเป็นไปได้ที่ว่า ไม่ใช่เฉพาะพวกเราเท่านั้นที่เป็นพลังงาน
    แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวเราก็เป็นพลังงานด้วยเช่นเดียวกัน”
    ซึ่งแหล่งพลังงานอันไร้ขีดจำกัดเหล่านี้
    เราก็สามารถที่จะเชื่อมต่อเข้าไปในพวกมันได้อย่างมีสติสัมปชัญญะด้วย
    เพื่อไปเยียวยารักษาร่างกายและจิตใจของตัวเราเอง เพื่อที่เราจะได้มีความสุขมากขึ้น
    มีสุขภาพดีขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

    ซึ่งทันทีที่คุณเริ่มเชื่อมต่อเข้าไปใน “แหล่งพลังงานแห่งการสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด” อันนั้นได้แล้ว
    และเชื่อมต่อเข้าไปใน “ธรรมชาติที่แท้จริงของตัวคุณเอง” ซึ่งอยู่ในรูปของพลังงานที่ “ไร้รูป” ได้แล้ว
    คุณก็จะเริ่มตระหนักรู้ถึงพลังงานเหล่านี้ที่อยู่ภายในร่างกายเนื้อของตัวคุณเองได้
    ในทันทีด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมันกำลังส่งภาพฉายของร่างกายเนื้อของคุณเองออกมา
    ตามปกติของมันอยู่

    ภายฉายของร่างกายเนื้อของคุณ
    จะสามารถถูกก่อกวนหรือถูกทำให้ยุ่งเหยิงได้
    ก็ต่อเมื่อมีสิ่งรบกวน
    อยู่ภายในสนามพลังงานของตัวคุณเองเท่านั้น
    ซึ่งสนามพลังงานที่ว่านี้
    ก็คือจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของตัวคุณเองนั่นเอง
    และ “สิ่งรบกวน” ที่ว่านี้ ก็เกิดจาก
    ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกที่ขาดสมดุล
    และเกิดจากความเชื่ออันคับแคบที่มีข้อจัดทั้งหลายนั่นเอง


    “สนามพลังงานที่สว่างไสวเรืองรองของเรา” ปกติแล้วก็จะสั่นสะเทือนด้วยความมีชีวิตชีวา
    และพลังงานของเราโดยธรรมชาติแล้วก็จะหลั่งไหลไปโดยไร้สิ่งกีดขวางใดๆ
    ประดุจสายน้ำแห่งจิตสำนึกที่เชี่ยวกราก แต่ว่าระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่ต่ำๆทั้งหลาย
    ที่เราถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ให้ใช้ชีวิตจมอยู่แต่กับมันนี้ เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของเรา
    ที่สั่งคมปลูกฝัง-สั่งสอนและอบรมเอาไว้ให้เรานี้ จะไปขัดขวางกระแสการไหลของพลังงานของเรา
    ซึ่งถ้าปล่อยให้มันหลั่งไหลโดยไร้สิ่งกีดขวางใดๆทั้งสิ้นแล้ว
    มันก็จะแสดงความสมบูรณ์แบบของมันออกมาในทุกๆที่เลยทีเดียว

    ................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 8:


    สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คุณจะต้องเข้าใจเอาไว้ก็คือ
    ร่างกายเนื้อของคุณจะมีการฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
    ซึ่งจากการบรรยายของ Deepak Chopra ที่ผมได้ไปฟังมานั้น
    เขาได้ชี้ให้เห็นว่า อะตอมไม่ใช่สิ่งที่จะรู้จักการแก่เลย
    และพวกมันก็ไม่มีวันตายด้วย

    ดังนั้นอะตอมที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 14 พันล้านปีที่แล้ว
    ในปรากฎการณ์ Big Bang ในครั้งกระโน้น ก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
    ซึ่งบางส่วนของพวกมันอาจจะอยู่ภายในตัวของคุณเองด้วยซ้ำไป!


    แต่ทุกๆปี 98% ของจำนวนอะตอมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในร่างกายของคุณ
    ก็จะถูกแทนที่ด้วยอะตอมใหม่ทั้งหมด
    ดังนั้นจึงเท่ากับว่าคุณกำลังตายและเกิดใหม่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
    และคุณก็กำลังเปลี่ยนรูปแบบในระดับอะตอม
    และในระดับโมเลกุลอย่างแท้จริงอยู่แล้วด้วย

    เพราะว่าทุกๆ 3 วันคุณจะมีเยื่อบุกระเพาะอาหารใหม่,
    ทุกๆเดือนคุณจะมีผิวหนังใหม่, ทุกๆ 3 เดือนคุณจะมีกระดูกใหม่
    และทุกๆปีคุณก็แทบจะมีร่างกายทั้งหมดใหม่ทั้งหมดด้วยซ้ำไป
    (โดย Deepak Chopra จาก Living Beyond Miracles กับ Wayne Dyer)


    Deepak Chopra ได้อธิบายไว้อย่างงดงามว่า
    อะตอมในร่างกายของเราก็จะเหมือนกับ “ฝูงนกอพยพ” นั่นแหละ
    คือพวกมันจะไม่อยู่กับที่ เพราะว่าพวกมันมีอิสระอย่างเต็มที่
    และพวกมันก็จะผลุบเข้า-ผลุบออก ทะลุช่องว่างและกาลเวลา
    ไปไหนต่อไหนอยู่เสมอๆอีกด้วย

    เพียงแต่ว่าเวลาที่พวกมันเรียงตัวกันจนกลายเป็นโครงสร้างต่างๆขึ้นมานั้น
    เช่นเป็นร่างกายเนื้อของเรา เป็นต้น พวกมันก็จะถูกจัดระเบียบโดย
    “สนามพลังงานของเรา” นี้เอง ไม่ใช่อย่างอื่นเลย
    ซึ่งการจัดระเบียบให้พวกมันดังกล่าวนี้ ก็จะคล้ายๆกับการที่
    สนามแม่เหล็กจัดระเบียบการเรียงตัวกันให้กับผงตะไบเหล็กนั่นเอง
    เพียงแต่ว่ามันจะมีความสลับซับซ้อนมากกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง


    เรายังต้องการข้อพิสูจน์อะไรเพิ่มเติมอีกไหม๊?
    เพื่อที่จะทำให้เราเริ่มหันมามองดูร่างกายเนื้อของเราในแบบที่แตกต่างออกไปจากเดิม
    และจึงจะทำให้เราเริ่มหันมามองดูกลไกในการมีสุขภาพดีของเราในวิถีทางใหม่ๆบ้าง?

    มันไม่มีวัสดุชิ้นไหนเลย

    ที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายเนื้อของคุณ
    ที่จะมีการแก่เกิดขึ้นได้
    และยิ่งไปกว่านั้น พวกมันทั้งหมด
    ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

    และเพราะฉะนั้นแล้ว ผมจึงอยากจะถามคุณว่า
    สิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปนั้นหนะ ใช่คุณจริงๆหรือเปล่า?
    และถามอีกว่า..อะไรคือแรงพลังที่คอยควบคุม หรือคอยบริหารจัดการ
    ให้อะตอมและโมเลกุลเหล่านี้ กลับมาอยู่ในที่ๆมันสมควรจะอยู่ ได้เหมือนเดิม
    และอะไรคือสิ่งที่คอยบริหารจัดการอยู่ เพื่อทำให้แน่ใจว่า
    พวกมันจะปฏิบัติหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่องและอย่างสอดประสานกลมกลืนกัน
    เป็นอย่างดีอยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่เซลและอะตอมทั้งหลายในร่างกายของคุณ
    กำลังอพยพไปยังที่อื่นๆจำนวนนับพันๆล้านอะตอมอยู่ก็ตาม?

    ร่างกายเนื้อของคุณไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคุณแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่าร่างกายเนื้อของคุณเป็นแค่เพียงภาพฉายของความเชื่อของคุณเอง
    ตามแบบที่คุณเชื่อว่าคุณเป็นใครเท่านั้นเอง และถ้าคุณสามารถค้นพบได้ว่า
    คุณคือ “จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ล้วนๆ” (pure consciousness) แล้วหละก็
    และถ้าคุณสามารถค้นพบได้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของคุณก็คือ
    “ความตระหนักรู้แห่งการสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด” (infinite creative awareness)
    ผู้ซึ่งกำลังเนรมิตเอาโลกแห่งความเป็นจริงนี้ออกมาอยู่
    และผู้ที่กำลังร่วมสร้างสรรค์โลกแห่งความเป็นจริงนี้ขึ้นมา
    ร่วมกับเหลี่ยมมุมอื่นๆของตัวตนของคุณเองอยู่
    (เพราะว่าทุกสรรพชีวิต ล้วนคือภาคแสดงภาคหนึ่ง ของจิตสำนึกอันไร้ขีดจำกัดของจักรวาล
    ที่เราเรียกกันว่าพระเจ้า (God) นั่นเอง) หละก็
    เมื่อนั้นคุณก็จะสามารถเริ่มควบคุมร่างกายเนื้อ, สุขภาพ, และชีวิตของตัวคุณเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    อาการเจ็บป่วยเรื้องรัง, การเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลาย

    และการบาดเจ็บเก่าๆที่คุณเคยมีมาในร่างกายเนื้อของคุณนั้น
    จริงๆแล้วพวกมันไม่ได้อยู่ในร่างกายเนื้อของคุณเลย
    เพราะว่าพวกมันอยู่ในจิตใจของคุณเองต่างหากหละ!

    หรือถ้าจะพูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ พวกมันคือผลจากการทำงานอย่างหนึ่ง

    ของการรับรู้ของคุณเองต่างหากหละ
    เพราะว่าอะตอมทั้งหลายในร่างกายเนื้อของคุณนั้น
    จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และโมเลกุลของคุณก็ด้วย

    แต่ในตอนที่อะตอมใหม่เข้ามา แล้วรวมกันเป็นโมเลกุลใหม่ขึ้นมานั้น
    และในขณะที่คุณกระพริบเกิด-ดับ, เข้าและออกจากการมีตัวตนอยู่นั้น
    สนามพลังงานของคุณจะคอยบอกกับพวกมันว่า
    พวกมันจะต้องไปอยู่ที่ไหนบ้าง และพวกมันจะต้องทำอะไรบ้าง
    และพวกมันจะต้องจัดเรียงตัวกันอย่างไรบ้าง

    ดังนั้น โรคภัยไข้เจ็บ หรือความเจ็บปวด
    หรืออาการบาดเจ็บทั้งหลายที่คุณมีอยู่นั้น
    มันอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคุณเองต่างหากหละ
    และเพราะฉะนั้น พวกมันจึงถูกประทับเอาไว้ในสนามพลังงานของคุณด้วย
    และด้วยเหตุนี้พวกมันจึงถูกเนรมิตออกมาสู่สรีรทางชีวภาพของคุณด้วย

    ซึ่งถ้านี่คือเหตุผลที่แท้จริงหละก็ ไม่เพียงแต่สุขภาพร่างกายของเรา
    จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างตั้งใจของตัวเราเองเท่านั้น
    แต่อัตราการแก่ของเราเอง ก็อาจจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเราเองด้วยเช่นเดียวกัน

    แต่ว่า..ผมก็ไม่ได้กำลังบอกว่าเราจะสามารถมีชีวิตอยู่เป็นอมตะได้หรอกนะครับ
    เพราะว่าพวกเราหนะเป็นรูปธรรมชีวิตแห่งจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว
    แต่สิ่งที่ผมกำลังบอกอยู่นี้ก็คือ ในอดีตกาลนานมาแล้ว และในอนาคตอันใกล้นี้
    มนุษยชาติเคยมีความสามารถ และก็จะได้ประจักษ์ชัดถึงความสามารถนี้ใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า
    ตัวเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยสนามพลังงานนี้ได้ และสามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ
    ด้วยธรรมชาติของตัวเอง ในฐานะที่เป็นรูปธรรมชีวิตที่สว่างไสวเรืองรอง
    ที่อยู่ในรูปแบบของพลังงานล้วนๆนี้ได้

    ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว มนุษยชาติก็จะได้ประจักษ์ว่าร่างกายเนื้อนี้
    คือสิ่งที่ภาคที่สูงส่งที่สุดของเราเอง (Our Highest Self) เนรมิตขึ้นมาให้กับเราเท่านั้นเอง
    และพวกเราก็จะไม่เพียงแค่สามารถเนรมิตเอาสิ่งต่างๆออกมาใช้ในชีวิตของตัวเองได้
    อย่างมีสติสัมปชัญญะเท่านั้น แต่พวกเรายังจะสามารถเนรมิตเอาสิ่งต่างๆ
    ออกมาให้กับร่างกายเนื้อของเราเองได้อย่างมีสติสัมปชัญญะอีกด้วย

    แล้วสักวันหนึ่งพวกเราก็จะไปจนถึงจุดๆที่

    สามารถที่จะฟื้นฟูร่างกายเนื้อของเราเองได้ดั่งใจหมาย
    และอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว
    เราจะดำรงชีวิตอยู่ ด้วยสนามพลังงานอันไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนี้
    และเพราะฉะนั้น ร่างกายเนื้อของเรา ก็จะทำหน้าที่ของมันไป
    ด้วยระดับคลื่นความถี่ที่สูงมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
    ดังนั้น จึงทำให้เราสามารถที่จะมีชีวิตยาวนานแค่ไหนก็ได้
    จนกว่าภาระหน้าที่บนโลกใบนี้ของเราจะเสร็จสิ้นลง
    แล้วเราก็จะ “เลือก” ที่จะจากไปเองเมื่อถึงเวลา

    .....................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    "หลักฐานที่ชี้บ่งว่าร่างกายเนื้อของมนุษย์
    คือสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของมนุษย์เอง"


    ผู้เขียนบทความ: Brandon West,
    วันที่: 17 เมษายน 2014

    ที่มา:Proof That the Human Body is a Projection of Consciousness – Expanded Consciousness

    ตอนที่ 9: จบครับ


    มันน่าอัศจรรย์ใช่ไหม๊หละครับ? ใช่แล้ว..แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
    ก็สามารถที่จะสังเกตเห็นได้ภายในร่างกายเนื้อ และภายในจิตใจของมนุษย์เราเอง
    แม้ว่าเราจะฝึกฝนและอบรมมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ตาม

    ดังนั้น จงตัดสินใจเลือกที่จะรู้สึกและสัมผัสกับมันด้วยตัวของคุณเอง
    และจงเรียนรู้ที่จะทำสมาธิด้วย เพราะว่านี่คือสิ่งที่หลักฐานกำลังชี้ชัดให้เห็นอยู่
    และจากประสบการณ์โดยตรงของผมนั้น มันก็บ่งชี้ว่ามันเป็นความจริงเช่นนั้นจริงๆด้วย

    อุปสรรคเพียงอย่างเดียว ที่ขัดขวางไม่ให้คุณ

    สามารถเชื่อมต่อเข้าไปในธรรมชาติของจักรวาลอันนี้ได้
    ก็คือ “ความตระหนักรู้ของจิตสำนึกของตัวคุณเอง”
    ซึ่งก็คือ “ระดับการจดจ่อ” ของคุณ และความเชื่อของคุณนั่นเอง

    ความสามารถในการเยียวยารักษาตัวเองของพวกเรา
    เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “ระดับการจดจ่อ” (level of attention)
    และระดับความเชื่อของตัวเราเองด้วย

    ตัวอย่างเช่น เรามีความสามารถในการเยียวยารักษาตัวเองได้ในทุกๆโรค,
    ทุกๆการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือทุกๆการบาดเจ็บ ซึ่งนั่นจะสามารถเป็นไปได้
    ตราบเท่าที่เรา “รู้” อย่างแน่ชัดและโดยปราศจากความครางแคลงใจใดๆทั้งสิ้นว่า
    เราจะต้องหายแน่ๆ ซึ่งเราจะสามารถ “รู้” เช่นนี้ได้โดยตรง

    ก็ต่อเมื่อเราจะต้องเข้าไปให้ถึงโลกแห่งความเป็นจริง
    ที่อยู่ในระดับมูลฐานที่สุดของมันให้ได้ซะก่อน
    โดยอาศัยการเข้าสมาธิในระดับลึก

    ซึ่งนั่นก็เพราะว่าในระดับมูลฐานของโลกแห่งความเป็นจริงนี้นั้น

    อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น และการประกอบกันขึ้นมาใหม่
    ของโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ก็ถูกควบคุมโดย
    “ความเชื่อ” และ ”ความคาดหวัง” ของเราเองทั้งสิ้นอีกด้วย

    พวกเราคือพลังงานล้วนๆ และมันก็มีศักยภาพแห่งความเป็นไปได้
    ที่อยู่ในพลังงานอันนี้จนนับอนันต์ซะด้วย
    ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับเราโดยตรงว่า
    เราจะเลือกที่จะเนรมิตเอาอะไรออกมาจากสนามพลังงานอันนั้น
    เพื่อให้มันมาอยู่ในร่างกายเนื้อของเรา
    และเพื่อให้มันมาอยู่ในชีวิตของเรา

    เพราะว่าคุณคือผู้ที่ไร้ขีดจำกัด และก็ไม่มีอะไรเลย
    ที่จะเป็นไปไม่ได้ด้วย มีแต่เพียงความเชื่อของคุณเองเท่านั้น
    ที่คอยบงการคุณอยู่ว่า คุณสามารถที่จะทำอะไรได้
    หรือทำอะไรไม่ได้บ้าง

    “ปาฏิหาริย์..ไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ
    แต่มันคือสิ่งที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เรารู้มาเกี่ยวกับธรรมชาติต่างหากหละ” St. Augustine

    (จบ)
    .....................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2022
  13. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    ขอบคุณมากครับ อ่านแล้วเข้าใจการควบคุมร่างกายตัวเองขึ้นอีกมากเลย
     
  14. PooPowerZ

    PooPowerZ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +18
    ดีน๊ะที่นุ้ย..ไปคัดลอกเค้ามา..ไม่งั้น..ฉานว่า..ทำเฒ่ากับเขาหลาวนิ.
     
  15. goddemon83

    goddemon83 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +14
  16. OSR

    OSR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +107
    [​IMG]
    ขอบคุณ... มากๆๆ ครับ
    โลกของ ควอนตั้ม ทำให้ผม จินตนาการไปไกลเลย เช่น
    มะกี้... ก่อนจะพิมม์ข้อความนี้ จิตมันประหวัด แว๊บขึ้นมาเองว่า
    หรือ ภาพต่างๆที่ตาเนื้อเราเห็นนั้น เราถูกอนุภาคต่างๆในสสาร
    ที่ควรจะมีความหลากหลายเป็นอนันต์ แปลงร่างหลอกเรา ว่า
    มันมีอันเดียวเป็น วัตถุทึบตัน แล้วที่อยู่เลยสายตาของเราไปล่ะ
    ถ้าเทียบตามการทดลอง ที่คุณชยุต นำมาลงไว้ อะไรที่อยู่นอก
    การรับรู้ของเรา มันก็คงเป็นแค่แถบของคลื่นแห่งความน่าจะเป็น
    หาได้มี อะไรที่ เป็นโลก เป็นจักรวาล อยู่จริงไม่ ???
    โอ้... ว้าว... มิน่าล่ะ เคยได้ยินพูดกันว่า
    ถ้าเข้าใจ ควอนตั้ม แล้ว ไม่รู้สึกว่า เหมือนถูก ผีหลอก :boo:
    แสดงว่า ยังรู้ไม่จริง >>> ไอ๊หย๋า อัศจรรย์จริงหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2014
  17. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    ความคิดของนักวิทยาศาสตร์บางทีฟังแล้วก็ขำ และเราก็นึกไม่ถึงอย่างเช่น เรื่องแรงโน้ม
    ถ่วง เราอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วง เราจึงมีน้ำหนัก แล้วเราจะเป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วงได้อย่าง
    ไร

    ไอสไตน์ บอกว่า ก็โดดออกจากหน้าต่าง ก็หลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงแล้ว นึกแล้วก็จริงอย่าง
    ที่เขาว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...