อยากเเบ่งปันค่ะ ตอนที่ 8 การตั้งลม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หนูนะโม, 16 มกราคม 2015.

  1. หนูนะโม

    หนูนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2015
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +128
    จากการที่ได้ไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดแห่งหนึ่งมา และได้มีโอกาสได้รับหนังสือเล่มหนึ่งมา เป็นหนังสือที่ส่วนตัวคิดว่าให้ความกระจ่างและชัดเจนเป็นอย่างมากสำหรับผู้เริ่มเจริญสมาธิและภาวนา จึงมีความคิดที่จะนำมาเผยแพร่แก่สมาชิกทุกท่านที่สนใจในแนวทางนี้ค่ะ​




    ======================================================





    ชื่อหนังสือ สมาธิภาวนา กับ หลวงตามหาบัว




    จึงขอคัดลอกมา ซึ่งมีเนื้อความ ดังนี้ค่ะ......



    คำนำ

    หนังสือ "สมาธิภาวนากับหลวงตามหาบัว" นี้สำเร็จขึ้นมาด้วยความวิริยะอุตสาหะของเพื่อนสหธรรมิกหลายสิบท่าน ที่มาร่วมกันคัดเลือกธรรมโอวาทของหลวงตาเมื่อครั้งจัดทำหนังสือที่ระลึกงาน พระราชทานเพลิงสรีระสังขารของท่านจากธรรมโอวาทนับเป็นพันหน้า ถูกกลั่นกรองเพื่อเลือกเฟ้นเฉพาะที่ตอบโจทย์เรื่อง "วิธีการภาวนาและข้อพึงระวัง" เกิดผลพลอยได้เป็นหนังสือเล่มเล็กๆให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและนำมาปฎิบัติให้เป็นของจริง
    คณะผู้จัดทำขอขมาต่อองค์หลวงตาในความผิดพลาดบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น และขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมดังกล่าว หวังว่าผู้อ่านจะได้รับประโยชน์จากหนังสือนี้และนำไปสู่สิ่งที่ดีงามของชีวิตในที่สุด


    คณะผู้จัดทำ
    ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖​





    การตั้งลม



    ขอให้จิตใจมีความสงบด้วยการภาวนา ผู้กำหนดอานาปานสติก็ไม่ต้องไปมุ่งเอาอันใด มุ่งให้รู้อยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออกๆ ตั้งลมที่ตรงไหนซึ่งเห็นว่าลมสัมผัสมาก เช่นดั้งจมูก เป็นต้น ก็ให้ทำความรู้ตั้งสติไว้ตรงนั้น ไม่ต้องคาดหมายสูงต่ำใกล้ไกลภายในภายนอก นอกจากกำหนดรู้อยู่เฉพาะลมที่สัมผัสเข้าสัมผัสออก ด้วยความมีสติเท่านั้น นี้เป็นความถูกต้อง แล้วการตั้งลม มีกลมายาอันหนึ่งที่หลอกลวงผู้ปฎิบัติให้ตั้งแล้วล้มเล่าๆ เช่นการกำหนดลมอยู่เพลินๆ เพราะไม่เผลอสติตั้งท่าตั้งทางดูลมอยู่อย่างนั้น ลมเข้าลมออก ทีนี้ความปรากฎในจิตนั้นเมื่อตั้งไปนานๆ จะเป็นลักษณะเหมือนกับว่า ฐานที่เราตั้งลมนี้ แต่ก่อนเราตั้งไว้ที่ดั้งจมูก บัดนี้ปรากฎว่าสูงขึ้นกว่าดั้งจมูกบ้าง หรือดั้งจมูกพาให้สูงขึ้นไปบ้าง และต่ำกว่าดังจมูกบ้างหรือดั้งจมูกพาให้ต่ำบ้างอย่างนี้แล้วก็มาตั้งใหม่ พอดำเนินไปๆถึงจุดที่มันเคยเป็น มันก็หลอกอีก ก็มาตั้งลมอีก ตั้งไปตั้งมาเหมือนกับปลูกต้นไม้ พอจะขึ้นแล้วย้าย ย้ายปลูกใหม่ๆสุดท้ายต้นไม้ก็ไปไม่รอดต้องตาย นี่การตั้งลมประเภทนี้เป็นความผิด


    เพราะฉะนั้นเพื่อความแน่ใจ เพื่อความถูกต้องไม่สงสัย เราถือเอาการตั้งลมเบื้องต้น คือตั้งที่ดั้งจมูก ลมผ่านเข้าก็รู้ ลมผ่านออกก็รู้ แต่ไม่จำเป็นต้องตามลมเข้าไป ตามลมออกไปทำเหมือนบุคคลที่ยืนเฝ้าหน้าประตู คอยดูคนที่เข้าออกประตูเท่านั้นไม่ตามเข้าไปข้างในเวลาคนผ่านเข้าไป คนผ่านออกไปก็ไม่ตามเขาไป แต่ยืนอยู่ที่ประตู คนเข้าก็รู้คนออกก็รู้อยู่อย่างนั้นเป็นประจำ


    นีการตั้งลมก็เหมือนเช่นกัน ด้วยความมีสติรู้อยู่กับลมหายใจออก ทีนี้มันจะมีความสูงต่ำขนาดไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ไม่ให้เผลอ ความสัมผัสของลมเข้าลมออกนั้นนี่เป็นของสำคัญ ให้รู้อยู่ตรงนี้ ตรงนี้จะสูงก็ตามจะต่ำก็ตาม เมื่อไม่เผลอแล้วเป็นอันใช้ได้ ไม่ต้องไปกังวลกับความสูงความต่ำ แม้ที่สุดการภาวนาด้วยลมหายใจนี้เราก็ไม่ได้เอาลม อันนี้เป็นเครื่องยึดเป็นอารมณ์ของใจในเมื่อยังตั้งตนไม่ได้ต่างหาก เราจึงต้องอาศัยลม


    เมื่อกำหนดลมพอจิตสงบเข้าไปๆ ลมนี้จะละเอียดเข้าไปละเอียดเพียงไรให้รู้ อย่าไปคาดไปหมาย ให้รู้อยู่ในปัจจุบัน สุดท้ายก็จะไปถึงที่ลมหมดนะ ละเอียดลงไปๆแล้วลมนั้นเลยหายเงียบไปเลยไม่ปรากฎ ว่าเราเผลอ เราไม่ได้เผลอเห็นความละเอียดของลมไปโดยลำดับๆ จนกระทั้งลมหายใจหายไปเลย เมื่อลมหายใจหายไปนั้นจะมีวิตกอันหนึ่งกระตุกขึ้นมาหลอกตัวเองว่า นี่เมื่อลมหายใจหายไปแล้วจะไม่ตายหรอ นั่น อันนี้สร้างอุปสรรคให้ตนเองแล้ว ลมก็กลับมีเพราะจิตถอยตัวออกมาแล้วเผลอแล้ว เพื่อตัดปัญหาข้อนี้ให้ขาดลงไป ได้ดำเนินเพื่อความสะดวกสบายตามวิธรการของเราในหลักปัจจุบัน พึงทำความเข้าใจกับตนหรือกับลมว่าแม้ลมจะหายไปตามก็เถอะ เมื่อความรู้ยังครองร่างอยู่นี้แล้วจะไม่ตาย เพียงเท่านี้ก็ตัดปัญหาได้แล้วละเอียดจนกระทั้งลมหายเงียบ สิ่งที่ไม่หายคืออะไร คือความรู้ที่เด่นดวงอยู่ภายในจิต นั่นเอาตรงนั้น


    ทีนี้ลมไม่ลมไม่สำคัญเพราะจิตทรงตัวได้แล้ว เข้าถึงตัวจริงคือจิต แล้วลมอันเป็นเงาเพื่อตามจิตเข้าไปนั้นมันก็หมดปัญหาไป เช่นเดียวกับเราตามรอยโค เมื่อถึงตัวโคแล้ว รอยก็ปล่อยไปไม่สำคัญ เพราะเราตามรอยโคก็เพื่อจะจับเอาตัวโคตัวนั้นต่างหาก เราไม่ได้ตามโคไปเพื่อจะเอารอยโค นี่ก็เหมือนกันนั้น





    ครั้งหน้าจะมาต่อ เรื่อง สมถธรรม-ปัญาธรรม และ ปัญญาต้องใช้ความคิด
    อนุโมทนาบุญกับผู้ที่นำไปปฎิบัติด้วยนะคะ​
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    บทความที่นำมาลงนี้เป็นเทคนิคคอลเทอมครับ..
    ส่วนตัวขออนุญาตคุณเจ้าของกระทู้เล่าให้คุณฟังเพิ่มเติม
    ในหลายๆมุมนะครับ..ลองอ่านดูเพื่อช่วยสะกิดใจเราได้บ้าง
    และจะเล่าให้มุมที่ไม่ต้องใช้เครื่องรู้เหนือธรรมชาติอะไรครับ..
    ถ้าเราลองสังเกตุระบบหายใจปกติของเราดู
    หรือของบุคคลทั่วๆไปจะพบว่าลมหายใจจะมาหยุด
    อยู่ที่กลางหน้าอก บ้างก็ว่ากระบังลม ซึ่งเป็นธรรมชาติปกติครับ..
    และลองจับสังเกตุเพิ่มอีกนิด ครูบาร์อาจารย์หลายๆท่านก็มักจะบอก
    ในทำนองเดียวกันว่าให้เราหายใจเข้าออกให้ลึกๆเข้าไว้..แม้ว่าบางกรณี
    จะต้องให้ตามลมก่อนในช่วงแรกๆ.เพื่อเป็นแนวทางในการบังคับให้ลม
    หายใจของเรามันยาวขึ้นก็ตาม..แต่ก็สอนในทำนองเดียวกันว่าอย่าไปบังคับ
    ให้หายใจให้เป็นธรรมชาติทำนองนี้..และที่คล้ายๆกันก็คือให้มีความรู้สึกรับรู้
    ว่ามีลมหายใจเข้าและออกกระทบที่ปลายจมูกครับ...โดยที่ท่านเหล่านั้น
    ก็ไม่ได้เน้นว่าเราจะต้องใช้คำภาวนาอะไรเฉพาะเจาะจง หรือมีเฉพาะเจาะจง
    ก็จะเป็นในกรณีที่เน้นสายการปฏิบัติพิเศษที่คำภาวนาสามารถเป็นผลได้
    ในโหมดที่จิตเป็นทิพย์..แต่ทั่วๆไปก็จะให้ใช้คำภาวนาก่อนในเบื้องต้น
    ที่คำแปลของคำภาวนานั้นเป็นบทที่ส่งเสริมหรือสรรเสริญคุณพระรันตตรัยครับ..
    ก็เพราะว่าถ้าเราไม่ได้จะฝึกวิชาพิเศษเฉพาะอะไรนั้น คำภาวนาต่างๆหรือบทสวด
    ต่างๆที่เราท่องกันได้นั้น..จะเป็นอุบายในการเชื่อมโยงตัวจิตให้เกิดความสงบได้นั่นเองครับ
    จากบทความที่คุณนำมาลง..ก็ทำให้คุณได้ทราบเทคนิคต่างๆไปแล้วว่าเป็นอย่างไร
    ถ้าตามลมตลอดก็จะแน่นหน้าอก ถ้าเผลอใช้ความคิดก็จะตึงๆเหนือระหว่างคิ้ว
    หรือแม้กระทั่งปวดศรีษะได้นั้นเอง....

    แต่การที่ร่างกายจะปรับระบบหายใจของมันเองให้มันลึกขึ้น และให้กลายเป็นระบบ
    หายใจปกติในชีวิตประจำวันแทนการหายใจถึงกลางหน้าอกได้นั้น..มันก็มีกลไกธรรม
    ชาติในการปรับตัวของมันเองได้อย่างน้อยก็ ๒ สัปดาห์..ซึ่งอุบายต่างๆที่เน้นให้
    ตามลมให้ลึกถึงท้องไม่ว่าจะ หายใจเข้าแล้วให้ดูว่าท้องพองหรือเปล่า หรือหายใจ
    ออกแล้วท้องยุบหรือไม่ หรือการที่ใช้สติตามลมหายใจให้ถึงท้องก็ล้วนแล้วแต่
    เป็นอุบายในการช่วยเสริมให้ร่างกายปรับระบบการหายใจใหม่ของตนเองเพื่อทำ
    การปรับสมดุลย์ตรงนี้ของมันโดยธรรมชาติครับ...
    การที่เราหายใจได้ลึกขึ้นโดยเป็นธรรมชาติในชีวิตปกติประจำวัน..
    หรือเราเข้าใจว่าจิตเราละเอียดขึ้นนั้นและส่งผลให้จิตสงบมากขึ้นนั้น...
    คำตอบมันไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า จริงหรือไม่จริงครับ..แต่ผลของจิตที่ละเอียดขึ้น
    จิตที่สงบขึ้นนั้น..มันเป็นเหตุจากการที่เราทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจ
    เข้าและลมหายใจออกที่มากระทบปลายจมูกนั้นเอง..ง่ายๆหายใจเข้า
    แล้วให้หยุดที่ปลายจมูกภายนอก หายใจออกให้สิ้นสุดที่ปลายจมูกภายใน..
    ซึ่งระยะเวลาของลมหายใจที่ยาวขึ้นจากช่วงอกลงไปถึงช่วงท้องตรงนี้..
    บวกกับความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจกระทบเข้าออกที่จมูกตรงนี้..มันเป็นการสร้างสติ
    ทางธรรมให้เกิดขึ้นกับเราครับ..นึกออกไหมครับ ลมเดินทางไกลขึ้น การสร้างความ
    รู้สึกรับรู้ที่จมูกก็ยาวขึ้นมาอีกเสี้ยววินาทีจากลมหายใจที่เดินทางไกลขึ้น..
    จึงเกิดเป็นตัวสติทางธรรมขึ้นมาครับ...และถ้าพูดในส่วนของพวกที่มาทางด้าน
    จักระทางด้านพลังงาน.จะเป็นที่รู้กันว่า ต่ำแหน่งที่ปลายจมูกตรงนี้เป็นจุดที่ส่ง
    เสริมในการสร้างสติทางธรรมอยู่แล้วด้วยครับ..แต่ครูบาร์อาจารย์ต่างๆสายอื่นๆ
    แม้ท่านไม่ได้บอกว่าต่ำแหน่งที่ปลายจมูกจะเด่นในเรื่องการสร้างสติ แต่กลับพบ
    ว่าท่านเหล่านั้นก็มีหลักการณ์ในการที่ทำความรู้สึกตรงนี้เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อครับ..

    พอเรามีสติทางธรรมมากขึ้นแล้ว เราก็จะมีกำลังตรงนี้ ในการไปควบคุมความคิด
    ต่างๆจากจิตไม่ให้มันเกิดได้ในระหว่างวัน แม้มันเกิดเราก็จะทราบได้เร็ว รวมทั้งอารมย์
    ต่างๆไม่ว่าจะจากภายนอกหรือภายใน..สติทางธรรมตรงนี้ก็จะเข้าไปเสมือนเป็น
    เครื่องมือในการควบคุม.จนกระทั่งส่งผลให้เราไม่ยึดหมั่นถือหมั่น กับความคิดที่เกิดจาก
    จิตหรือความคิดจากสมองที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วแต่เราจะคิด.
    ไม่ว่าจะเรื่องคนโน้นคนนี้ เรื่องโน้นเรื่องนี้.เรื่องในอดีตบ้าง เรื่องในอนาคตบ้างฯลฯ
    แม้ว่าบางการสอนก็สอนให้เรารู้ทันความคิดและก็วางแม้ว่ามันจะยัง
    ไม่ได้ผลแต่หากป้อนความคิดดีๆก็พอเป็นแนวทางเดินให้กับจิตเอาไว้
    เดินปัญญาได้ในอนาคตครับ..และกำลังสติทางธรรมตรงนี้
    .และก็จะยังไปคอยควบคุมให้เราคลายอารมย์ต่างๆไม่ว่าจากภายนอกหรือภายในได้.
    ไม่ให้เราไปยึดมั่นในอารมย์ต่างๆเหล่านี้เช่น.
    ไม่ว่าอารมย์ โกรธ เศร้า เหงา ซึม ดีใจ เสียใจ อิจฉา เกลียด รำคาญ ฯลฯ
    พอเราคลายความคิดจากสมองได้ คลายอารมย์ได้ มันก็จะยังเหลือกิเลสต่างๆ
    ไม่ว่าความอยากเล็กๆน้อย อยากไปโน้นไปนี่ อยากทานโน้นทานนี้ อยากได้นั่นได้นี่
    อยากเป็นโน้นเป็นนี่ ฯลฯ พอกำลังสติเข้าไปควบคุมแล้วคลาย ความคิด อารมย์
    ความยึดหมั่นถือหมั่นในความคิด ความยึดหมั่นถือหมั่นในอารมย์ต่างๆ รวมทั้งคลาย
    กิเลสต่างๆได้ตามที่เล่าให้ฟังมาแล้วนั้น..จิตเค้าก็สงบของเค้าได้เองครับ..
    ที่บอกว่าจิตละเอียดและทำให้เราสงบขึ้น มันเป็นเพราะกำลังสติทางธรรม
    ที่เราได้สร้างขึ้นมา ที่ได้จากเทคนิคต่างๆที่คุณนำมาลงนั้นหละครับ..
    การหายใจได้ยาวขึ้นอย่างเดียว การทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมหายใจเข้าออก
    กระทบที่ปลายจมูกทั้ง ๒ นี้มันเกลื้อหนุนและส่งเสริมกันในการสร้างกำลังสติ
    ทางธรรมอย่างที่ได้เราให้ฟังมานั่นหละครับ..เมื่อจิตเรามันสงบได้ก่อนแล้ว
    แยกอารมย์ แยกความคิด คลายความยึดมั่นถือหมั่นจากความคิด
    คลายความยึดมั่นถือมั่นจากอารมย์ได้แล้ว..คลายกิเลสเล็กๆน้อยๆได้แล้ว
    มันถึงจะเริ่มเข้าสู่การเดินปัญญาเพื่อลดละเลิสในตัวจิต ให้มันน้อยลงเรื่อยๆ
    เมื่อจิตไม่เกิด เข้าสู่ความสงบ ตัวจิตเค้าก็จะเป็นกลาง จิตเป็นธาตุรู้ เราปล่อย
    ให้เค้าว่างรับรู้ แต่เราจะไม่ให้เค้าเกิดครับ..ก็จะเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาอย่าง
    หนึ่งก็คือ ปัญญาทางธรรม ที่จะทำให้จิตเค้าคลายจากกิเลสต่างๆได้จริงนั้นเองครับ..

    คำว่าตัวปัญญาทางโลกต่างๆแม้ว่าทางโลกเราจะมีมากมายเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้คลายกิเลส
    ได้จริงๆ เพราะมันยังมีความคิดที่เกิดจากจิต ที่เรารับรู้มาไม่ว่า จากการอ่าน
    ได้ยิน ได้ฟัง เข้ามาปรุงแต่งร่วมกับจิต หรือบางท่านก็มักจะเผลอไปวิเคราะห์ร่วมกับมันอีก
    เมื่อจิตกับความคิดพวกนี้มันอยู่รวมกัน มันก็เลยไม่ได้คลายกิเลสได้จริงนั่นเองครับ..
    เราต้องไปเป็นขั้นเป็นตอนก่อน เริ่มจากการสร้างผู้รู้ตัวใหม่ก็คือตัวสติทางธรรม
    ซึ่งอ่านบทความที่คุณนำมาลงถือว่ามีประโยชน์มากๆครับ.เพราะเทคนิคอย่างนี้
    มีแต่สุดยอดของบรุษที่มีปัญญาเต็มรอบที่จะถ่ายทอดได้อย่างนี้ครับ..
    แล้วเราก็มาสร้างปัญญาทางธรรมกันต่อไป ซึ่งท่านเคยได้กล่าวไว้ครอบคลุมแล้ว
    ตั้งแต่ช่วงปี๒๕๐๕ ซึ่งถ้าปัญญาไม่ถึงระดับเต็มรอบก็คงจะไม่สามารถถ่ายทอด
    ได้อย่างนี้แน่นอนครับ..แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะต้องเพียรปฏิบัติของเรา
    ไปด้วยเพื่อให้สามารถที่จะมาถึงจุดที่เราอ่านแล้วจะเข้าใจได้ร่วมด้วยครับ..
    ปล.ให้ระวังให้ดีๆครับ..ถ้ายังแยกจิต แยกความคิดที่เกิดจากจิตไม่ได้.
    แยกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมไม่ได้ซี่งเป็นฝ่ายนามธรรมเป็นอารมย์..ให้ระวัง
    อย่าพึ่งไปด่วนสรุปหรือไปเน้นอะไรเรื่องการเดินปัญญาครับ..
    เพราะเราจะไม่ทันและจะเผลอไปคิดว่า ความคิดที่เกิดจากจิตที่มันปรุงร่วม
    กับตัวจิตมันเป็นตัวสติ เป็นตัวปัญญาได้ครับ..ส่งผลให้พอเราเกิดปัญหาขึ้นมา
    หรือได้รับการกระทบไม่ว่าจากภายนอก หรือ ภายในต่างๆนั้น กิเลสต่างๆ อารมย์
    ต่างๆของเรามันถึงยังคงขึ้นมาปรากฏให้เราไปยึดมั่นถือมั่นได้อยู่นั่นเองครับ..
    ยิ่งถ้าเผลอไปวิปัสสนาด้วยแล้วก็จะกลายเป็นนึกเองว่าเรารู้ เราเห็น
    เราเข้าใจ หรือที่เราเรียกว่าวิปัสสนึกได้ครับ...
    และจะทำให้เรากลายเป็นคนยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งตนรู้ ต้องแบบนี้เท่านั้น
    อย่างนี้เท่านั้น และที่สัมคัญมันจะสร้างและหลอกให้เราเข้าใจไปเอง
    ว่าตัวเรานั้นบรรลุโน้น บรรลุนี้ จนล้นทะลักออกมาถึงขั้นต้องมาพยายาม
    สร้างเหตุเพื่อประกาศให้บุคคลอื่นๆรับรู้ด้วยครับ..ไม่ได้เกิดจากปัญญาทางธรรม
    ที่มันมีการขยายสัญญาออกไปภายนอก ทำให้แค่ปิ้งเดียวเราก็จะอ่อและสามารถ
    เขียนบรรยายได้เป็นหน้าๆ..ส่วนความคิดที่ยังมีตัวจิตปรุงร่วมกับจิตอยู่นั้น
    มันก็จะมีขอบเขตอยู่ภายใต้ความคิดและก็วิ่งวนสร้างสัญญาปรุงแต่งให้ตัวเอง
    อยู่ภายในสมองนั่นเองครับ..
    ยิ่งนักปฏิบัติที่มีสัมผัสทางจิต มีสัมผัสทางด้านนามธรรม มาตั้งแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ
    และพึ่งมามีตอนปฏบัติด้วยแล้ว หากว่ายังแยกทั้ง จิต ทั้งความคิด ทั้งอารมย์
    ความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้แล้ว..สังเกตุได้เลยครับว่า ตัวจิตเรามันจะไปฝึกกรรมฐาน
    อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความสามารถพิเศษอะไรก็จะไม่ได้ ไม่สำเร็จ
    ใช้เวลานานมากแต่ผลก็ไม่ดี ไม่อยู่ในระดับที่เป็นประโยชน์ ไม่มีกำลังจิตในระดับ
    ใช้งานได้จริง จะใช้งานอะไรก็ยังต้องหลับตา ตั้งท่า ตลอดจนกว่าจะเกิดผลก็ใช้
    ระยะเวลาข้ามวัน เผลอๆจะหลงตัวเองด้วยครับ แม้ว่าความสามารถที่มีจะไม่ได้มี
    เกิดขึ้นให้บุคคลอื่นๆสัมผัสได้ และจะไม่ทันเรื่องการอยากได้รับการยอมรับจากสังคม
    บางท่านถึงต้องแยกจิตตัวเองมาชมกันเองก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วครับ.
    ความเข้าใจทางด้านนามธรรมก็ก็คาดเคลื่อนแม้ว่าจะเคยสัมผัสมา
    ได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำการฝึกก็ตาม..การไม่ทันแยกเรื่องต่างๆไม่ได้เหล่านี้ เหตุด้วย
    มองข้ามเรื่องการสร้างสติทางธรรมเพื่อเดินปัญญามาหนุนนำนี้หละครับ เป็นตัวขวาง
    ไม่ให้ผลการปฏิบัติของเรามันก้าวหน้านั่นเองครับ.
    .
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ...
     
  3. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    คิดถึงคุณอินทรบุตรจัง ถ้าอยู่คงร่วมวงสนทนาแล้ว
     
  4. หนูนะโม

    หนูนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2015
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +128
    ถึงคุณ nopphakan

    ตีความผิดมาโดยตลอดเรื่องการหายใจสั้น ยาว คิดว่าเป็นลักษณะของแต่ละบุคคล
    จึงไม่ได้หายใจให้ยาวลึกลงไป แต่พอลองหายใจยาวลึกลงไป ลมเดินทางไกลขึ้น
    มีสติมากขึ้นจริงๆด้วยคะ



    "หายใจเข้าแล้วให้หยุดที่ปลายจมูกภายนอก หายใจออกให้สิ้นสุดที่ปลายจมูกภายใน"
    รบกวนช่วยขยายความให้สักหน่อยได้มั้ยคะ คือทุกครั้งที่ปฎิบัติเอง หายใจเข้าจะรู้สึกถึงลมเย็นที่โพรงจมูกด้านใน
    แล้วหายใจออกจะรู้สึกที่ปลายจมูกด้านนอก ยังผิดวิธีอยู่ใช่มั้ยคะ??



    "ถ้ายังแยกจิต แยกความคิดที่เกิดจากจิตไม่ได้.
    แยกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมไม่ได้ซี่งเป็นฝ่ายนามธรรมเป็นอารมย์..ให้ระวัง
    อย่าพึ่งไปด่วนสรุปหรือไปเน้นอะไรเรื่องการเดินปัญญาครับ"


    ตรงนี้เห็นจะจริงตามที่กล่าวมาเลย ช่วงนี้รู้สึกสภาวะภายนอกกระทบอารมณ์ได้ง่ายมาก
    ง่ายกว่าการที่ยังไม่ได้ปฎิบัติอีกในบางครั้ง กำลังถูกทดสอบใช่มั้ยคะ หรือจิตเราเดินไม่ถูกทางใช่หรือไม่จึงเกิดสภาวะนี้
    เกือบจะโดนหลอกหลงทางซะแล้ว

    แล้วควรปฎิบัติอย่างไรดีคะ ทำอย่างไรให้เราไม่หลง
    จะรู้ทันได้อย่างไรว่า ปัญหาที่เราพิจารณาโดยใช้ปัญญานั้น
    มันไม่ได้เกิดจากกิเลสปรุงเเต่ง หรือพิจารณาถูกแล้วเป็นความเห็นจริงตามจริง





    ขอขอบพระคุณมากๆๆๆค่ะ ที่เมตตามาขยายความให้อ่าน อ่านแล้วจิตเบิกบาน เป็นการตีความละเอียดละออมาก อ่านแล้วรู้สึกบรรลุทางความคิดเลย...เพียง แต่ยังไม่ได้ปฎิบัติจริงเท่านั้น (ต่อไปจะตั้งใจปฎิบัตค่ะ)
    ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ให้อาจารย์ชี้แนะเลยได้มั้ยคะ 555 ^_^
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อย่าว่า อย่างู้น อย่างงี้เลยนะ

    หากคุณ มีสรณะคม เป็น หลวงตามหาบัว ...รับ นิสัย หรือ ชอบอุบาย
    ธรรมผูกจิตให้รักการภาวนาของท่านแล้ว ก็ควร จะ ซื่อตรงต่อ สรณะ ที่ถูกต้อง
    ไปก่อน

    อย่า รับร้อนให้ ใครมาแสดงธรรม ส่ายตูด หยิบคำนั้นมาใช้ โยนคำนี้ทิ้ง

    คือ เข้ามาก็ กระทืบปากหลวงตามหาบัวก่อนเลยว่า เป็น เทคนิคอลเทอม

    หลังจาก เจาะรู้จมูกคนฟังสำเร็จ ก็ ค่อนๆ ร้อยสายจูง เข้าไปใหม่ แล้วก็
    ทำเป็นเตือนตรงนั้น ตรงนี้ .....คนยังมี สรณะ ไม่มั่นคง เสร็จหมด

    สติทางธรรม เอะอะ สติทางธรรม แต่ สังเกตดีๆ มันจะพูดแต่ ชื่อ แต่
    ไม่รู้วิธี ว่า ทำอย่างไงหว่า .....เก่งเป็นลิง ก็จะ ห้อยท้ายเอาไว้ว่า
    นี่ยัง คายออกมาไม่หมด ยังมี กำเอาไว้ในมือ ดังนั้น .......ขอให้
    ทำอาการสนใจ เยินยอ แล้ว หลังไมค์มา .........เสร็จกัน


    คุณคร้าบ หากคุณทำอานาปานสติ เหลือแต่ รู้ จิตอยู่กับผู้รู้ ข้ามฝาก
    ตาย ข้ามกังขาเรื่องมี จิตกูอยู่ มีสรรีระกูอยู่ มีชีวตินทรีย์ อยู่หรือไม่อยู่

    บอกก่อนนะว่า ไม่ได้หลับตาหายไปไหน ไม่ได้เกิดแสงว๊าบเป็นดวงอะไร
    ลมหายใจ ก็หายใจไปตามปรกติ ตามความสำรวมแห่งกาย ภูมิจิตนั้น
    จะเป็น ภูมิจิตมนุษย์ปรกติ

    มีภูมิจิตมนุษย์ปรกติ แปลว่าอะไร แปลว่า จิตมันมีหน้าที่คิด มันก็คิด
    ของมันปรกติ แต่ มันจะเห็นว่าเป็นเพียง อะไรสักอย่างที่ทำหน้าที่
    ของมัน ไม่ใช่เรา เกิด ดับ อยู่อย่างนั้น ตามอำนาจวาสนา บารมี

    การเห็นตัวความคิดแสดงไตรลักษณ์ให้เห็น อันนี้ เขาเรียกว่า อานาปานสติ
    มีอำนาจตัดความคิดทั้งปวง ตัดทิฏฐิทั้งปวง

    ตัดเนี่ยะ คือ มันทำงานของมันปรกติ แต่ จะเห็นเลย ว่า มันไม่ใช่เรา
    เพราะ มันแสดงความเกิด ความดับ .....ตรงนี้ จะทำให้ สังขารมันระงับ

    ไม่ใช่ไม่มีความคิด หรือ มีความคิดมาจากสมอง หรือ มีความคิดมาจากจิต
    ไปแยกแบบ พยายามก๊อปปี้ธรรมะ เดาสุ่มส่งสวด แยกไม่เป็น แล้วพูด
    ไปเรื่อยเปื่อย

    ทีนี้ ความคิดไหนมันมี อัตตาตัวตน แล่นเข้าไปรองรับ มันจะเกิดการ
    สาวไปหาเหตุ .....การสาวไปหาเหตุเนี่ยะ จะเรียกว่า กำหนดรู้ทุกขสัจจ

    ยังเป็นการฝึกเตาะ แตะๆ อยู่เลย

    นะ

    อย่าไป แยก หรือ เดาสุ่มส่งสวด ความคิดมาจากสมอง ความคิดมาจากจิต
    ความคิดมาจากพลังงานภายนอกมาขวาง ส้นสิบครับท่าน !!! มันมั่ว
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ถ้าไม่เชื่อ ลอง pm ไปถามเอาก็ได้

    ไอ้อาวุธ อะไรต่อมิอะไร ระดับใช้งาน งาน เนี่ยะ งานอะไร

    พลังออกจากหน้าผาก พลังออกจากอก พลังออกจากก้น
    พลังไล่จากฝ่าเท้าทะลุออกไปทางปาก มีสี มีทรง อย่างไร
    ลองถามเขาดูว่า งานอะไร


    งานทางธรรม เนี่ยะ งานอะไร แล้ว พลังอะไรเหล่านั้น เอาไว้ ทำงานนั้น จริงหรือ

    มัวนิ่ม !?
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ไม่ต้องฝากตัวหรอก โดยส่วนตัวถามได้ตลอดครับเน้นฮาๆครับ..
    มีสโลแกนส่วนตัวครับ ใครมาดีก็ยิ้มรับ ใครมาไม่ดีก็ยิ้มรับครับ..
    และไม่เคยคิดเป็นศัตรูกับใครๆ ไม่ว่าภพภูมิไหนๆครับ...
    ที่นี้มาต่อเนื่องจากคุณ ถามคุณ Nopphakan เนาะงั้นก็ขอ
    เล่าต่อนะครับ ว่าเราพอเราเดินปัญญาบางท่านก็เรียกว่าวิปัสสนา
    อะไรทำนองนี้แล้วแต่จะเรียกนะครับ มันจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรม
    ที่จะลดลดกิเลสในใจเราได้อย่างไรครับ...
    พอคุณดับความคิดที่เกิดจากจิตตรงนี้ได้แล้วนะครับ..จนมีกำลัง
    สติมากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง...ก็จะมีความคิดอีกตัวหนึ่งผุดขึ้นมา
    โดยไม่ได้ตั้งใจครับ...ความคิดตรงนี้จะมีเอกลักษณะเด่นพิเศษของ
    มันอย่างหนึ่งก็คือ จะไม่เลือกกาลเวลาครับ..และที่สำคัญแม้ว่าคุณ
    จะพยายามไปเปลี่ยนความคิดตัวนี้ หรือพยายามไปแทรกแซงอย่าง
    ไรมันก็จะไม่เปลี่ยนแปลงครับ และจะขึ้นมาเป็นประโยคเดิมๆซ้ำๆ
    เป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาแล้วด้วยครับ..ตรงนี้เรียกว่า ความคิด
    ที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(สัญญา วิญญาน สังขารและเวทนา)
    ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมเป็นฝ่ายอารมย์ ตรงนี้ถ้าไม่ปฏิบัติ
    ไม่เจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆเราจะสังเกตุไม่ทันความคิดตรงนี้ครับ..
    และที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวได้นั้น ก็เพราะว่าฐานของ
    ความคิดตรงนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นที่ตัวจิตครับ แต่มันอยู่ข้างๆกัน
    ซึ่งก็ต้องอาศัยการปฏิบัติอีกเช่นกันถึงจะเข้าใจตรงนี้ได้ครับ.
    เนื่องจากว่ามันอยู่ใกล้กับตัวจิตมาก ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราก็จะไม่เข้าเห็น
    ไม่เข้าใจตรงนี้ พอมันรวมกับจิตเราแล้วเราถึงค่อยทันมันนั่นเองครับ
    จึงเกิดเป็นอารมย์ต่างๆที่ทำให้เรารู้สึกขึ้นมาแล้วแสดงออกทางกาย
    ของเรานั่นหละครับ..
    ไอ้ตัวขันธ์ ๕ นามธรรมตรงนี้นี่หละครับที่มันรวมกันอยู่เสมือนกับ
    เป็นเชือกเส้นเดียวกันที่เรามักจะรู้ทันก็ต่อเมื่อมันรวมกันแล้วเรา
    ก็เลยหลงเข้าใจว่าเรารู้ เราเห็น เราเข้าใจ แล้วเผลอนำไปพิจารณา
    เพราะนึกว่ามันคือตัวสติตัวปัญญานั่นหละครับ มันเลยไม่ส่งผลต่อ
    การระดับกิเลสที่ค่อยๆคลายจากตัวจิตของเรานั้นเองครับ..
    ขันธ์ ๕ นามธรรมตรงนี้เราก็ต้องอาศัยกำลังสติ
    ทางธรรมของเราในการสังเกตุมันครับ และขันธ์ ๕ นามธรรมตรงนี้ถ้า
    กำลังสติทางธรรมของเราไปตั้งท่าสังเกตุเห็นมันนะครับ มันก็จะดับ
    ไปทันทีและก็จะเปลี่ยนเป็นเรื่องด้วยครับ..
    แต่ก็จะเข้ามาอีกเรื่อยๆครับ.
    กำลังสติเราก็ต้องคอยเฝ้าสังเกตุแบบไม่ต้องคอยระวัง ไม่เพ่งจนกว่า
    เราจะสังเกตุเห็นว่ามันก่อตัวอย่างไรได้..ไอ้ความคิดจากขันธ์ ๕
    นามธรรมนี้มันก็จะแยกกันออกเป็นขันธ์ ของใครของมันครับ.
    ต้องอาศัยการปฏิบัตินะครับถึงจะเข้าใจ..ถึงจะเห็นได้..
    ยกตัวอย่างเพื่อเป็นหลักสังเกตุให้ง่ายขึ้นประกอบคำอธิบาย
    นะครับ..เช่น
    ถ้ามันมีเรื่องผุดขึ้นมาว่า...''ญาติของเราไม่ดี'' มันก็จะขึ้นมาว่า
    ''ญาติของเราไม่ดี'' ''ญาติของเราไม่ดี'' วนเวียนซ้ำๆอยู่แค่
    ประโยคนี้เท่านั้นครับ โดยที่เราไม่มีทางคิดเปลี่ยนเรื่องได้เลยว่า
    ''ญาติของเราดี'' ''ญาติของเราน่ารัก''เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงได้
    ก็ยังเป็นความคิดที่เกิดจากตัวจิตอยู่ซึ่งเราต้องดับเป็นปกติครับ..
    แต่ขันธ์ ๕ นามธรรมผุดขึ้นมาอย่างไรก็อย่างนั้นครับ..ให้เห็น
    ความคิดลักษณะแบบนี้ให้ได้ก่อน ค่อยว่ากันเรื่องเดินปัญญาครับ..
    ถ้าจิตเราเห็นมันแยกออกจากกันเป็นส่วนๆได้ ความเห็นชอบใน
    อริยมรรคแปดเค้าถึงจะเปิดทางให้เราเริ่มต้นเดินปัญญาเพื่อลดละ
    กิเลสได้ครับ และถึงจะลดกิเลส คลายกิเลสออกจากตัวจิตเราได้
    จริงๆ..จากการตามทำความเข้าใจ ในขันธ์แต่ละตัว ในสภาวะที่
    จิตมีความเป็นกลาง(คือจิตไม่มีความคิดจากจิตมาปรุงร่วม
    ไม่มีอารมย์จากขันธ์ ๕ มาปรุงร่วมให้จิตเกิดอยู่)
    ..ในสภาวะ ณ ปัจจุบัน
    ก็จะเกิดเป็นปัญญาทางธรรมได้ขึ้นมาของมันเองครับ.
    .อย่างผู้เขียนที่แนะนำให้คุณอย่างนี้ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ยังหยาบๆอยู่เช่นกันครับ
    ยกตัวอย่างการสังเกตุจากประโยค ''ญาติของเราไม่ดี'' ก็คือ มีการ
    รับรู้จากตัววิญญานรับรู้จากการเห็น
    ผุดขึ้นมาในรูปแบบของสัญญาความจำได้จากอดีต
    พอขึ้นมาแล้วก็เกิดการปรุงแต่งก็คือ
    สังขาร เกิดการปรุงแต่งให้เรารู้สึกไม่ดีกับญาติของเราคนนี้ก็คือ
    เวทนานั้นเองครับ นี่คือหลักสังเกตุว่ามันเป็นขันธ์ของใครของมันครับ
    ปล.อืมมมมมบทความที่คุณนำมาลง..โดยส่วนตัวผู้เขียนมีความ
    เคารพยกให้เป็นมหาบรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งครับ..
    และโดยส่วนตัวสามารถสัมผัสได้มากกว่าปกติแต่มิควรเล่า
    ให้ฟังออกสื่อ..หากคุณมีอะไรดลใจให้มาพบมาอ่านบทความ
    นี้ได้แล้วคุณเข้าใจและแก้ปัญหาของคุณได้ ทำให้แนวทาง
    การปฏิบัติของคุณก้าวหน้าเดินต่อไปได้ แสดงว่ามีอะไรที่
    มองไม่เห็นได้ดลใจให้คุณมาเห็นบทความที่คุณนำมาลง
    แล้วหละครับ..ถ้าพูดแบบพิเศษ ฟังหูไว้หู อย่างคุณไม่ต้อง
    กลัวว่าจะหลงครับ ตัวจิตคุณมันมีกะแสเชื่อมกับครูบาร์
    อาจารย์ข้างบนในระดับที่เร็วด้วย เมตตาก็พอมี และไม่ใช่
    ว่าคนอย่างคุณจะไม่มีสัมผัสพิเศษนะครับ..เพียงแต่คุณ
    ไม่ได้เน้นเท่านั้นเองตอนนี้.และก็กระแสความความคิด
    ที่เกิดจากจิตที่วิ่งในสมองคุณมันก็เบาบาง ในระดับที่ไม่
    ทำให้คุณเป็นคนขี้อิจฉาริษยา อยากได้รับการยอมรับ
    จากสังคมอะไร เพราะกำลังกระแสความคิดในหัวคุณ
    พวกนี้มันอ่อนครับ..ที่มีเพียงแค่คุณ
    เกิดความลังเลสงสัยเล็กน้อย เนื่องจากบทความที่คุณเจอ
    ต้องอาศัยการปฏิบัติพอสมควรกว่าจะผ่านแต่ละขั้นตอน
    และเข้าใจได้หากได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
    บวกกับการเผลอไปตัดสินแบบที่ติดกลายเป็นนิสัย
    ว่าใช่ ว่าไม่ใช่ ว่าผิดว่าถูกเท่านั้นเองครับ
    โดยภายรวมๆถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ...
    ขอบคุณครับ สำหรับพื้นที่ตรงนี้ครับ..
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  8. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮากลิ้งเลย.....

    กว่าจะ บีบให้แพลมออกมาชัดๆว่า ความคิดที่ไม่ได้มาจากจิต คืออะไรของมันฟร๊ะ

    ก็ อ๋อ เป็น "กตตากรรม" นั่นเอง ที่ ถีบหัวส่งว่าไม่ใช่มาจาก " จิต " เพราะมัน
    ออกแนวไม่สะอาด เป็นกิเลสเล็กๆน้อยๆ ที่ ขึ้นวิถีจิต มาให้ผลกรรมเป็น ความเศร้า
    หมองแก่จิต แสดงสภาวะความเป็นจริง จิตไม่เที่ยง ...ให้กำหนดรู้

    ท่าน จขกท คร้าบ อย่าไป อมธรรม เสียงที่ตรูไม่ได้คิด ไม่ได้มาจากจิต มันมา
    ข้างๆ ตีสีข้าง ผลักไสไม่ใช่มาจากจิต เพราะมัน ดูหมองๆ

    หากเป็นการภาวนาในทางธรรมะ เราจะ กำหนดรู้ อะไรที่ขึ้นวิถีซ้ำๆ แบบเป็น
    กรรมเบา ถึง กรรมหนัก นั่นว่า อนุสัย7 กรณียกเห็นเป็น กองภวสวะ ( ภวัง สวะ )

    แต่โดยส่วนมาก พวกสมถะยานิก งง และ ยังไม่ชอบยกพิจารณา ภวสวะ เพราะ เขา
    ชอบเรื่อง ภพ หรือ ภวสวะมาก เป็นชีวิตจิตใจ พระ หรือ ครู ก็เลยต้องชี้ไปเรื่อง
    ของ มารดลใจบ้าง กตตากรรมบ้าง

    ซึ่ง ร้อยละร้อย ก็มักจะ ลากตกไปจากรรมฐาน ไปขึ้น กรรมฐานใหม่ เปลี่ยน
    อารมณ์กรรมฐาน เพื่อ ตบตาตัวเองว่า มี ภวะสวะอื่นที่ดีกว่า ขึ้นวิถีแซงหน้า
    [ ก็พออนุโลม หาก ขยัน ....แต่ ร้อยลระร้อยไม่รอด และไปกันใหญ่ ไม่เข้า
    ใจว่าเป็น อุบายหลอกเด็กให้ภาวนา ...ก็เลยมักไปโน้น ไปบัญญัติ ภาวนาแก้กรรม
    เปิดโลก บ้าบอคอแตกกันไป จนไปถึง แสงดาวพฤหัส แสงจีกรวาล แสงทิพย์
    แสงอำนาจดลบันดาลรหัสพ่อรหัสแม่ อยู่มุมซ้าย 5 ซ.ม. ...จนบางส่วนไป
    ลงเอยที่ สฟิงค์ หรือ มะนาวต่างดุด ไปโน้นนนนน คือ ไปเห็นมันห่าง เท่านั้น เท่านี้ ไปกันใหญ่ไง ]

    จริงๆ ให้พิจารณา ภวสวะ ไปตามปรกติ เกิด แล้ว ก็ดับ ยิ่งเกิดซ้ำ ยิ่งกำหนดรู้
    ว่า มันเกิด ดับ ซ้ำ จนกระทั่งเห็นว่า มันไม่ใช่เรา แต่......มันออกมาจาก จิต นั่นแหละ
    ไม่ต้องไปโทษ ช้าง ม้า วัว ควาย มาร อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ อะไร

    ให้พิจารณาไปที่ จิต ที่ห่างจาก วิหารธรรม จิตห่างจากฌาณ สภาวะจิตไม่มีฌาณ
    เขาแสดงไตรลักษณ์ เข้ามาก็ได้ / กำหนดรู้จิตไหลไปจากฐานจิต ก็ได้ / กำหนด
    รู้อกุศลมูลจิต โลภะ โมหะ โทษะ ตามประเภาอนุสัยก็ได้ เป็นการ หัดรู้หัดดู ยัง
    ไม่ถือว่า มีสติ จนกว่า จะไม่ต้อง จงใจระลึก

    ถ้า พิจารณาทัน จิตมันจะ นมสิการสิ่งอื่น ถ้ามัน นมสิการสิกขา อันนี้ จะเป็นมรรค

    ถ้า จิตมันไป นมสิการ อารมณ์สมถะ ก็พอทำเนา ดีกว่า ไม่มีอะไรเป็นกุศลให้ขึ้นวิถี
    แต่ถ้าเอาตรงนี้เป็นสรณะ ตายเปล่าแน่นอน

    เพราะ อวิชชาไม่ได้ยกขึ้นพิจารณา ว่ามันเป็น ปัจจัยให้เกิด สังขาร

    ยิ่งไปปฏิเสธเสียแล้วว่า ไม่ได้มาจากจิต ภาวนาแบบ เอาดีเข้าตัว เอาชั่ว
    ให้คนอื่น .........................โอยย อีกแสนกัปปปปป ก็ไม่รู้ว่าเขา วิปัสสนายังไง

    ทำสมาธิ สำเร็จฌาณ ก็ยังโง่เท่าเดิม

    ..........

    แต่ถ้า ภาวนาเป็น ยกระลึก ภวสวะได้ สาสวะได้ อาสวะได้ คราวนี้จะ
    ทราบเลยว่า จิตไม่ห่างจากฌาณ คือ งานการภาวนาในภูมิจิตมนุษย์
    เนี่ยะเป็นยังไง จิตระดับใช้งานชำระกิเลส ระลึกรู้ ลูกเดียว เป็นยังไง

    จะแยกออกเลยว่า ตายหละว่า ที่แท้ หลงภาวนาแบบตั้งท่า อยู่นี่หว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2015
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    และ พอชำนาญมากๆ

    ความคิด ที่เราสื่อสารกันเนี่ยะ อาศัยเป็นบัญญัติให้เป็น ผัสสะ
    สงเคราะห์แก่ สังขาร ไปตามปัจจัย เนี่ยะ...ความคิด ทิฏฐิ โอฆะ ที่ข้ามกันได้ยาก

    ความคิดจาก จิตทั้งนั่น ไม่ใช่ ไปนั่งแยก ความคิดจาก
    สมอง ความคิดจากจิต ความคิดข้างๆจิต แบบนั้น แยกธาตุ
    แยกขันธ์ ไม่เป็น แล้ว ยังจะไปสอนเขา
     
  10. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    ..ไอ่เหล้าปั่นนี่มันแสนรู้ไปทุกอย่าง..
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เอาหน่า

    อย่าว่า งู้น งั้น งี้ เลยนะ

    ลำพัง กตัญญูต่อพ่อแม่ มัน ผูกใจได้ แค่ไหนกัน

    เคยได้ยินคำว่า นโม ที่มาจาก ดิน กับ น้ำ ไหม ........

    ลอง ระลึกกตัญญูต่อดิน กับ น้ำ จิฮับ แล้วระรู้ว่า ฝันนั้นใกล้ หรือ ไกล

    รู้ขอบ รู้เขต เลยนะ ฮับ โลกธาตุเดียวทำไมมีเพียงหนึ่ง ซ้อนทับกันไหมก็ว่ากันไป ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2015
  12. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    .อืมๆๆๆๆ ขี้เกียจพูด.. เหอะ เหอะ เหอะ ^^"
     
  13. หนูนะโม

    หนูนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2015
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +128
    ขอบคุณ คุณเล่าปังนะคะ ที่มีความหวังดี มาสอนธรรมะและสัจจะธรรม
    คุณก็เปรียบเสมือนครูคนหนึ่งที่ให้ฝึกจิต..
    หนูยังคง
    พุทธัง สะระณัง คัจจามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจจามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจจามิ
    หนูอายุ 21 ปี ภูมิรู้ ภูมิธรรมยังไม่มากคะ
    สำหรับคุณ nopphakan นั้น
    หนูคิดว่า การที่มีกัลยาณมิตรที่มีความหวังดีต่อกัน
    ช่วยไขข้อข้องใจในการปฎิบัต
    หนูถือเป็นความโชคดีของหนูคะ
    และการที่มีคุณเล่าปัง มาแสดงความคิดเห็น
    ก็เป็นความโชคดี เช่นกัน ขอบคุณคะ
     
  14. หนูนะโม

    หนูนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2015
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +128
    ถึง คุณnopphakan
    รู้สึกว่าเหมือนมีคุณครูอยู่ในบ้านเลยคะ55
    ขอบพระคุณมากๆสำหรับการยกตัวอย่างในชิวิตจริง
    มันเห็นได้ชัดเจนเลยคะ อ่านบทความที่คุณอธิบายให้ฟังแล้ว
    หนทางยังอีกยาวไกลนัก สำหรับคนที่ผ่านมาแล้ว แล้วเหลียวหลังมาช่วยนั้น
    เป็นความบังเอิญและความโชคดีอยากบอกไม่ถูก (อานิสงค์การเผยแพร่ธรรมะคงเกิดแล้ว ^_^)
    สำหรับบทความของคุณ ขออนุญาติเก็บไว้เป็นไกด์ไลน์นะคะ ไม่แน่ใจว่าชาตินี้จะทำได้ถึงซักครึ่งทางที่กล่าวมามั้ย บทความของคุณทุกคำตอบ ล้ำค่าและมีคุณค่ามากนะคะ ณ วันนี้รู้สึกเข้าใจ ณ ภูมิภูมิธรรมในปัจจุบันนี้ แต่เชื่อว่าถ้ากลับมาอ่านอีกในอนาคตคงเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้นอีก ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ เพราะ ความเข้าใจไม่ได้เกิดขึ้นแค่การอ่านเพียงอย่างเดียวต้องปฎิบัติด้วย
    ขออนุโมทนากับธรรมในวันนี้ รู้สึกทราบซึ้งในความเมตตามากคะ ^_^

    สุดท้าย มีคำถาม 1 ข้อคะ สำหรับเวลา ณ ตอนนี้ ควรรู้ลม ทำความสงบในจิตให้ผ่านก่อนใช่มั้ยคะ ยังไม่ต้องพิจารณาทางด้านปัญญา ???
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อืมทนอ่านอีกหน่อยเนาะ ๕๕๕
    อายุเพียงเท่านี้.มาสนใจบทความทำนองนี้ได้ ถือว่าดีแล้วนะครับ.
    และก็โชคดีที่ได้หนังสือมาด้วยครับ..เราก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ..
    อย่าไปตั้งใจนะครับ การตั้งใจไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ว่ามันจะเป็นการไปปิดกั้น
    ตัวเราเองนั่นก็คือตัวใจครับ.และจะไปสร้างความเครียดให้เกิดขึ้นกับจิต
    ได้โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยครับ..''การปฏิบัติธรรมอยู่คนเดียวก็สนุกครับ
    อยู่หลายคนก็สนุกครับ'' การที่เราจะสามารถเข้าสู่สภาวะที่จิตมีความเป็นกลาง
    และรับรู้ตามความเป็นจริงจนเกิดเป็นปัญญาทางธรรมได้ ตลอดจนเรามีกำลัง
    สติมากพอในการที่จะตามทำความเข้าใจในขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้บางท่าน
    ก็เรียกตรงนี้ว่าเป็นวิบากกรรมนะครับ ส่วนการตามทำความเข้าใจได้ก็คือ
    การรอบรู้ในกองสังขารนั่นหละครับ....จนตัวจิตของเราสามารถรู้ และเห็นได้ว่า
    เรื่องที่เกิดนั้นมันเป็นสาเหตุของทุกข์.จนจิตเค้าเบื่อ และเค้าคลายเรื่องนั้นๆได้
    ก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆเท่าไร.
    เพราะมันก็มีเทคนิคในส่วนของการเดินปัญญาตรงนี้อยู่อีกประมาณ ๒ ถึง ๓ ขั้น
    ตอนตามระดับกำลังสมาธิสะสมของเราด้วยครับซึ่งผลที่ได้ก็จะแตกต่างกันไป..
    แต่ที่พยายามเขียนให้ฟัง จะเขียนในส่วน
    ที่เราสามารถเข้าใจได้ เข้าถึงได้ในแบบที่เราลืมตาปกติในชีวิตประจำวัน
    ธรรมดาทั่วๆไปนี้หละครับ..ยกเว้นว่าบุคคลที่มีความชำนาญในการเข้า
    สมาธิระดับสูงได้.ก็ยังจะต้องยกเรื่องขึ้นวิปัสสนาอีกเช่นกันครับ..

    ซึ่งการที่เราจะเห็นกิเลสตัวต่างๆได้..เราจะทราบกิริยาต่างๆไม่ว่าของจิต
    ของความคิดที่เกิดจากจิต หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจได้นั้น
    เราก็ต้องเปลี่ยนจากความตั้งใจในการตามลมตรงนี้ ให้มาเป็นการสร้างสติ
    ก็ต้องอาศัยการเจริญสติในชีวิตประจำวันให้มันต่อเนื่องจริงๆ.เพื่อที่จะสร้าง
    ''ผู้รู้''ตัวใหม่ขึ้นมา เพื่อคอยควบคุมความคิดไม่ให้เกิด เพื่อให้จิตเค้า
    ค่อยๆคลายความคิดออกจากจิต คลายขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมออกจากจิต.
    ร่วมกับการดับความอยากเล็กๆน้อยๆ
    พยายามงดการส่งจิตออกรับรู้ ไปสนใจเรื่องภายนอกทุกๆกรณีเพื่อมาเกลื้อหนุนกัน.
    ยกเว้นว่าถ้าเรายังเรียนหรือทำงาน
    ตรงนี้จำเป็นต้องคิดเพราะว่าจะต้องใช้เป็นวิชาในการเลี้ยงชีพของตนเอง...

    พอจิตคลายตรงนี้ได้ เราจะรับทราบและเข้าใจได้เอง ว่ามันจะแยกกันอย่าง
    เด็ดขาดเป็น ๓ ส่วน ก็คือ ตัวจิต ตัวความคิดที่เกิดจากจิต ตัวความคิดที่ผุด
    ขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม..เราก็จะทราบการเกิดดับ
    ของจิต จะเห็นกิริยาต่างๆของจิต กิริยาต่างๆของความคิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น.
    พอเราทราบตรงนี้ได้.เราถึงจะมีโอกาสที่จะเข้าถึงกิริยาที่ตัวจิตเป็นกลาง
    ที่ไม่มีทั้งความคิด ทั้งขันธ์ ๕ นามธรรม ทั้งอารมย์เข้ามาปรุงร่วมครับ.
    เราจะมีกำลังสติทางธรรมตัวใหม่นี้ที่มากพอ ที่จะคอยควบคุมตัวจิตให้
    เค้าว่างรับรุ้อยู่ภายใน..จนเกิดเป็นปัญญาทางธรรมขึ้นมาได้เองครับ.
    ส่วนจะมีมากหรือมีน้อยก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล..ส่วนองค์ความรุ้ต่างๆ
    ที่เรารับรู้มาจากการได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ดี สามารถใช้
    เป็นแนวทางเดินให้จิตได้..เพียงแต่ว่ามันไม่สามารถที่จะทำให้จิตคลาย
    กิเลส คลายความคิด คลายขันธ์ ๕ นามธรรมคลายความยึดมั่นถือมั่น
    ในความคิด ในขันธ์ ๕ ได้จริงๆครับ..เพราะฉนั้นการพิจารณาทางด้าน
    ปัญญานั้นก็ไม่ต้องไม่เข็มมาก.กว่าการสร้างผู้รู้ ตัวใหม่ให้ผู้รู้ตัวใหม่นี้
    มีกำลังมากพอ..เด่วถึงจังหวะหนึ่งในช่วงที่เราเหมือนเผลอๆไม่รุ้ตัว

    หลังจากที่โดนเรื่องราวอะไรก็ตามกระทบกระเทือนจิตใจขึ้นมาแล้ว
    เราเหมือนกับว่าเฉยๆไม่ได้สนใจ.และเราก็นิ่งๆไปซักพักหนึ่ง
    อยุ่ดีๆเราก็อ่อออ ขึ้นมาได้ของมันเองนั้นหละครับ จะเกิดเป็นปัญญา
    ทางธรรมขึ้นมาได้เอง..พวกนี้แค่ปิ้งแว๊บเดียว การที่เราจะอธิบายนั้น
    อาจจะต้องเขียนกันยาวเป็นหน้าๆเลยครับ..ไม่เหมือนกับองค์ความรุ้
    ที่เกิดจากปัญญาทางโลกนะครับ..ที่ต้องค้นคว้าแหล่งข้อมูลเพื่อมา
    เสริมความคิดที่เกิดจากสมองของตนเองครับ...
    และตัวจิตนะครับ ถ้ามันคลายเรื่องอะไรได้แล้วก็ตาม
    ให้เราพยายามนึก พยายามคิดอย่างไร มันก็ไม่เกิดอีกครับ.

    และในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเราเคยอยู่ในสถานบางอย่างที่เมื่อก่อน
    มันทำให้เรามีอารมย์ร่วมหรือเกิดอารมย์ร่วมขึ้นมา ไม่ว่าจะแสดงออก
    ทางร่างกายหรือไม่แสดงออกทางกาย หรือมีความคิดร่วมด้วยปรุงแต่ง
    ไปต่างๆนานา และก็มีอารมย์คงค้างขึ้นมานั้น..
    หากว่าวันใดวันหนึ่งนั้นเกิดสถานการณ์ในทำนองเดียวกันขึ้นมาอีก..
    แต่ว่าเรากลับไม่สนใจเลย และจิตเรานิ่งๆเป็นปกติมาก ไม่คิด
    ไม่ปรุงร่วมอะไรเลย..ไม่เกิดอารมย์

    ไอ้ตัวที่จับเหตุจากสถานการณ์ตรงนี้ได้นั่นหละครับ เรียกว่าตัวสติทางธรรม
    หรือผู้รู้ตัวใหม่ครับ..ตรงนี้เขียนไว้เป็นหลักสังเกตุในอนาคตครับ..
    ถ้าเราสามารถเพิ่มระยะเวลาในการจับตัวผู้รู้ตัวใหม่ตัวนี้ได้นานขึ้นนะครับ.
    กำลังสติของเรามันก็จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นมหาสติได้ครับ..
    เพียงแต่แม้ว่าเราจะปฏิบัติมา รู้ว่าการเจริญสติเป็นอย่างไร แต่เราขาดการ
    สังเกตุตรงนี้เท่านั้นเองครับ..ซึ่งระยะเวลาในการจับสังเกตุตรงนี้ได้นานขึ้น
    เท่าไร ปัญญาทางธรรมเราก็จะมากตามขึ้นเช่นกันครับ..
    ลองอ่านๆดูไว้ก่อนนะครับ..ว่าต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นอย่างที่
    ได้เล่าให้ฟังมาหรือเปล่านะครับ...

    ปล.ราตรีสวัสดิ์ครับ...
     
  16. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ขออนุโมทนาสาธุ กับหนูนะโม ที่นำธรรมะครูบาอาจารย์มาเผยแผ่ ผู้ที่เข้ามาอ่านก็เกิดกุศล มีกำลังใจในการปฏิบัติภาวนากันต่อๆไป..ทุกๆที่ก็มีทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี ก็ขอให้เลือกดูเลือกฟังแต่สิ่งที่ดีๆ ..ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  17. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    การภาวนานั้นเพียงตามเห็นการเกิดดับ เห็นการเกิดดับให้ได้เพียงอย่างเดียวก็จะไถ่ถอนความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนได้ พระพุทธองค์กล่าวว่าให้ตามเห็นเกิดดับกิจอื่นยิ่งไปกว่านี้ไม่มี
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็นะ ....โพสนี้โดยรวม กล่าวเป็น " สัจจ " ที่เรียบง่ายขึ้น
    คือ ทุกอินทรีย์จะเข้ามาพิสูจน์ได้ ซึ่งจะมี รสเลิศกว่า การ
    กล่าวธรรมแนว "จักรๆ วงษ์ๆ"

    ดังนั้น

    ไม่ต้องไปถามหา การพิสูจน์จากคนอื่นหรอก ให้ดู รส ทางธรรม
    ที่ตนปรารภมา มันมีจริง หรือ มันแค่ ลมปากผ่านไปชั่วครั้งชั่วคราว

    ถ้า การปรารภ หนทางอันห่างไกลข้าสึก คือ ภาวนาได้โดยไม่ต้อง
    อาศัย นิมิต ไม่ต้องกำหนดที่ตั้ง และ รู้ได้อย่างไม่มีการประมาณ หรือ
    เข้าไปบัญญัติ ชื่อ อาวุธ ความเป็นสัตว์ แต่ ยุบลงเหลือ การพิจารณา
    ขันธ์5 อันไม่ต้องระบุชื่อ [ รู้อย่างไม่รู้ว่าอะไร คือ สุดยอดของการรู้ --
    คำเทศนา หลวงพ่อพุธ ถวายแด่ ในหลวง ]

    ถ้ารสของการภาวนา ด้วยความเรียบง่าย ห่างไกลข้าสึก รูปราคะ(นิมิต ก็เรียก)
    ภาวนาด้วยวิธีนี้ เดี๋ยวก็เริ่ม บทของอานาปานสติที่ว่า "จิตมีราคะ ให้รู้ว่าจิตมีราคะ"

    หมายถึง หากจิตไหลไปในนิมิต ภาพ ภพ ภูมิ ให้รู้ว่า จิตมีรูปราคะ ปักอยู่
    เกิด อภิชญา และ โทมนัส ในกาลก่อนๆ กำเริบ [ อนุสัยรูปราคะ ] ก็จะกำหนด
    รู้ ความโหลยโถ้ย

    จิตไหลไปในนิมิต หรือ เกิด จิตรวมเล็กแล้วเข้าไปสู่ภพภูมิ คือ อาการภาวนา
    โหลยโถ้ย จิต ตกจากกรรมฐาน จิตไม่อยู่ที่ฐานของสติ การงาน (ภาวนา ก็เรียก)

    พอเข้าใจ จิตแฉลบไปใน รูป ใน แสงสว่าง ว่า ไม่ใช่ทาง แต่ การระลึก
    เห็นจิตมันส่งออกจะอนุโลมให้ฝึกเตาะแตะ ได้ ไม่ว่ากัน

    พอเข้าใจ สุญญตาสมาธิ การภาวนาที่ห่างเรื่องสิงห์ สา รา สัตว์ เทวดา
    อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ มันจะ ทำให้ทราบว่า นี่คือทาง

    พอเข้าใจอีก ก็จะ ทราบ อนิมิตสมาธิ

    พอเข้าใจอีก ก็จะ ทราบ อัปณิหิต อัปปณา ของแท้ๆ ที่จะต้องภาวนา
    กันจนกว่า จิตจะรวม แหวกภพ ชาติ สังขารทั้งปวง .... ไม่ใช่ สังขาร
    มาจากจิต สังขารมาจากสมอง สังขารมาจากข้างๆจิต ห่างไป 5 ซ.ม.
    มุมบนขวาๆล่างๆบีเอซีเล็คสาตรท์ โง่ๆ

    สังขาร ( ความคิด ) มันมี ปัจจัยมาจาก อวิชชา [ โลกแห่งอวิชชา ที่ คนไม่รู้ เข้าข้องอยู่ ]

    ไม่ใช่ มาจากจิต มาจากสมอง มาจากข้างๆ จิต .............โหลยโถ้ย !!!
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    สำหรับ เจ้าของกระทู้

    หากมา ภาวนาเพื่อธรรม จริงๆ ยังไม่ กางเล็บที่ซ่อนไว้ออกมา ไม่ได้
    มาภาวนาเพื่อมา หมายกางกงเล็บภายหลัง เข้าทำนอง จิตใสๆแบบเงาะป่า

    สังเกตุเลยว่า อาเจนด้า กำลังจะทนไม่ไหว มันกำลังจะ ขย้ำ อยู่ มะรอมมะร้อแล้ว

    ถ้าสนใจธรรมะ ฝากสังเกต " การรู้ธรรมก่อน จะภาวนา "

    " การตัดสินใจ ตัดสินธรรม ได้ก่อน บรรลุธรรม "

    ตัวเนี่ยะ กำลัง กระโดดขย้ำแล้ว ดูให้ดีๆ


    ถ้าไม่เชื่อ ลองเอาไป คำนี้ไป ทดสอบได้


    ธรรมะที่คัดลอกมา หาให้ตายก็ไม่มีเรื่องการขึ้น " จิตมีราคะ ก็ให้รู้ว่าจิตมีราคะ "

    อานาปานสติ ครึ่งใบ ภาวนาอยู่อย่างนั้น หลวงตาจะเรียกว่า ภาวนาโง่ยังกับ
    หมาตาย ..........การพิจารณา เรื่องการสอนการพิจารณาของหลวงตา คน
    เขาจะทราบกันว่า เป็นกรรมฐานอีกกองหนึ่ง

    แปลว่าอะไร

    แปลว่า ทำอานาปานสติ แล้ว ออกไปพิจารณา มันก็เหมือน เปลี่ยนกรรมฐาน
    จาอานาปานสติ ไปขึ้นกรรมฐานอื่น นับหนึ่งใหม่

    อานาปานสติ เป็นกรรมฐานที่ "ควบสมถะ และ วิปัสสนา " ไปพร้อมๆกัน ระลึก
    ความแปรปรวนเกิดดับของลม ได้ 1ขณะ สมถ และ วิปัสสนา ต้องปรากฏแล้ว

    แต่เนื่องจาก หลวงตาท่านมั่นใจว่า ภาวนาแบบนับหนึ่งใหม่ ไม่เอารู้เห็นทะลุ
    ทะลวงโลกธาตุเป็นสาระ สำรอกโลกแห่งรู้เขียนได้เป็นหลายหน้ากระดาษออก
    ไปได้ ...ก็จะอนุโลมว่า ถึงที่สุดได้เหมือนหลวงตาท่านพิสูจน์มาแล้ว

    ***********************************************

    เนี่ยะ ฟังไปแล้ว รู้สึกยังไง ..................... ลองพิจารณาดูปัจจุบัน ไปเลย
    มีประโยชน์กว่าแสดงอาการ " ตัดสินธรรมได้ทั้งที่ๆ ยังเตาะแตะ "
     
  20. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    แนวการโต้ตอบ ของ จขกท

    ต้องพยายาม เลี่ยง การถ่อมตัว การบอกปฏิปทาของตัว

    อย่าโหลยโถ้ย แบบ พวกผู้ชายอ่อนหัด ที่จะแพลมว่า
    " จิตของตนเป็นอย่างไรต่อสิ่งกระทบ "

    เพราะอะไร ห้ามกล่าวเรื่อง ถ่อมตัว เสมอตัว ยกตัว ....เพราะ เราเอา ธรรมเป็นใหญ่
    ไม่ใช่เรื่องของ อัตตา ตัวตน ซึ่งเป็นเรื่อง มิจฉาทิฏฐิ สถาณเดียว

    เพราะอะไร ห้ามกล่าวว่า จิตตนมีอาการอย่างไรต่อผัสสะกระทบ ก็เพราะ เป็นการ
    ภาวนาไม่เป็น ได้แต่อ้างส่วนสุดโก้ๆ โง่ๆ แบบ ผู้ชายอ่อนหัดหน้าใหญ่ใจโต แต่
    ภาวนาไม่เป็น กล่าวธรรมแบบเด็กเล่นขายข้าวแกง
     

แชร์หน้านี้

Loading...