หลวงปู่คำคะนิงเที่ยวเมืองพญานาค และ ท่องแดนนรก

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย pokpok111, 19 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    [​IMG]
    ๐ ศาลาพันห้อง

    หลวงปู่เล่าต่อไปว่า จิตวิญญาณของท่าน พอวูบวาบออกจากร่างไป ก็ไปรวดเร็วมากไม่สนใจใยดีร่างกายเดิมที่หมอบฟุบอยู่บนอาสนะเลย เหมือนคนเราถอดเสึ้อผ้าตัวเก่าทิ้งไว้แล้วไปใส่ชุดใหม่ไปเที่ยวนั่นแหละ สติของท่านตามจิตวิญญาณไป (ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตนะครับว่า หลวงปู่คำคะนิงท่านแยก “สติ” ต่างหากกับ “จิตวิญญาณ” แต่ตามความเป็นจริงนั้น “สติ” ก็คือตัว “ญาณปัญญา” หรือ จิตฝ่ายกุศลนั่นเอง คือจิตในจิต)

    “จิตวิญญาณของอาตมาไปอย่างรวดเร็วมาก เป็นลักษณะเดินไป แต่ไม่ได้สังเกตว่า จิตที่ไปนั้นมีร่างกายไปด้วยหรือเปล่า”

    “อาตมาใช้สติตามไป สตินี้เป็นตัวปัญญาเบื้องสูง เป็นตัวบังคับบัญชาจิต สติของอาตมาตามจิตไป จะว่าจิตในจิตมันติดตามกันก็ได้”

    จิตวิญญาณของท่านเดินไปแต่ไปอย่างรวดเร็วมาก (เข้าใจว่าเป็นสภาพของกายทิพย์พาจิตวิญญาณท่านไป) ทางที่ไปนั้น เป็นทางสายใหญ่กว้างมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึง 8,000 วา เป็นทางไปสู่ “ศาลาพันห้อง”

    ศาลาพันห้อง อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นศาลาใหญ่โตมโหฬารเป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้าง 8,000 วา จำนวน 8 สาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้

    หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิง ลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาวและเฒ่าแก่ เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนนมองสุดลูกลูกตา

    มองเห็นแต่หัวดำบ้างหงอกบ้างนับไม่ถ้วน คล้ายหัวตัวไหมนับล้านๆ ตัวในกระด้งใหญ่ที่เขาเลี้ยงตัวไหมตามหมู่บ้านชนบท ดูไปอีกทีคล้ายฝูงมดปลวก ดูไปอีกทีคล้ายกระแสน้ำไหลเอื่อยพัดพาผู้อื่นไปตามน้ำ

    ผู้คนมากมายเหลือคณานับ ทุกคนเดินไปเงียบกริบไม่มีใครพูดจากันเลย ท่านได้พบพ่อแม่ที่ตายไปนานแล้ว เดินรวมอยู่ในหมู่ร่างวิญญาณ ได้แต่มองดูกัน ไม่อาจพูดทักทายกันได้ต่างต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนใบ้

    พอไปถึงประตูทางเข้าศาลาพันห้องที่รวมคนบาปและคนบุญ มีทหารยามตัวสูงใหญ่ผิวดำ ถือหอกสามง่ามเป็นประกายแปลบปลาบคล้ายเปลวไฟลุกไหม้

    ทหารยามพูดกับหลวงพ่อคำคะนิงว่า

    “สร้างเวรสร้างกรรมพอแรงแล้วน้อ หลวงพ่อถึงได้มาทางนี้”

    ว่าแล้วก็เอาหอกสามง่ามจี้หน้าอกหลวงพ่อไว้ เกิดควันฉุยไหม้เสื้อผ้า แต่ไม่รู้สึกเจ็บ

    ทหารยามหลายคนในที่นั้นต่างก็ใช้หอกสามง่ามจี้หน้าอกร่างวิญญาณทุกร่าง เข้าใจว่าคงเป็นการประทับตราที่หน้าอกก่อนให้ผ่านเข้าไปในศาลาพันห้อง ตรงประตูทางเข้าชั้นใน

    หลวงพ่อได้พบครูบาอาจารย์เก่าๆ หลายท่านที่มรณภาพไปนานแล้ว ถูกควบคุมตัวมาเพื่อชำระโทษ ได้แต่มองหน้ากัน ทักทายกันไม่ได้ เพราะพูดไม่ออก ปากเป็นใบ้

    จ่ายมบาล นำตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ศาลาพันห้อง ร่างวิญญาณเข้าไปแออัดยัดเยียดมองสุดลูกหูลูกตา พญายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นประธานเอึ้อมมือไปแตะที่กองสมุดบัญชีเล่มใหญ่บันทึกประวัติคดีมนุษย์แต่ละคน เพียงแต่เอามือแตะเข้าที่ปกสมุดเล่มใหญ่เท่านั้น สมุดก็เปิดปั้บๆ ขึ้นเองอย่างรวดเร็ว พอถึงรายชื่อของใคร สมุดก็หยุดให้พญายมบาลอ่าน

    พญายมบาลบอกว่า มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์คำพูดทุกคำมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติ

    ถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทาน ตัวหนังสือจะปรากฏเด่นเป็นพิเศษขึ้นในสมุดของยมโลก (สงสัยจะคล้ายเครื่องโทรพิมพ์ในโลกมนุษย์เรา)

    ๐ สระขุมนรก

    เมื่อยมบาลเปิดดูบัญชีแล้วก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายว่า

    “เฮ้ย...พวกเจ้าทำไมเนื้อตัวสกปรกแท้เว้ย โน่น...สระน้ำอยู่โน่น พวกเจ้ารีบพากันออกไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาพบข้า รีบออกไปเร็วๆ ข้าเหม็นจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

    ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็ก้มลงมองสำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า ร่างวิญญาณของแต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ เต็มไปด้วยอุจจาระส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว ไม่รู้ว่าอุจจาระนี้มาเปรอะเปื้อนได้อย่างไร

    ต่างก็พากันวิ่งชุลมุนออกจากห้องตรงไปยังสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงก็วิ่งตามไปด้วย สระน้ำนั้นกว้างใหญ่น้ำใสกระจ่างเหมือนกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม

    ทุกคนต่างพากันกระโดดลงไปในสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงกระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำนั้นร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันที

    หลวงพ่อคำคะนิงตกใจบังเกิดความปวดร้อนอย่างแสนสาหัสต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไปความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    แต่ร่างวิญญาณคนอื่นๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำแล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้พรึบขึ้นแดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ คล้ายกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่ได้ตายไปในทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสนส่งเสีนงร้องโอดโอยโหยหวลอยู่ในสระน้ำเป็นภาพที่สยดสยองเหลือที่จะกล่าว

    หลวงปู่คำคะนิงรู้ได้ในบัดดลว่า ที่แท้สระน้ำนี้เป็น “ขุมนรก” ขุมแรกสำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม

    ๐ เศษกรรม

    หลวงปู่คำคะนิงกลับเข้าไปในศาลาพันห้องใจคอไม่ดี รู้แน่แก่ใจแล้วว่า ที่นี่เป็นด่านเมืองนรกซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านจะต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อตะกี้นี้ ทั้งนี้เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้ส่ำสัตว์ใดต้องลำบากเลย แม้แต่มดตัวแดงแมงตัวน้อยก็ไม่เคยทำให้มันตกตาย ถึงอาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนา เพราะไม่เห็น แต่เมื่อไม่มีเจตนาย่อมไม่ถือเป็นบาป เมื่อเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพญายมแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมว่า

    ตบะธรรมของหลวงพ่อแก่กล้า ที่มาเมืองนรกนี้เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูในบัญชีแล้ว บารมีของหลวงพ่อยังมากอยู่ ยังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ สมควรที่หลวงพ่อจะกลับคืนสู่ร่างเดิมในโลกมนุษย์ ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับ

    หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกดีใจที่ไม่ถูกพิพากษาตัดสิน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระพุทธองค์ยิ่งขึ้นว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อาตมาบำเพ็ญภาวนาที่อยู่ในธรรม กินในธรรมตลอดมา จะมาตกนรกได้อย่างไร

    ๐ ชมนรกก่อนกลับ

    เมื่อออกมาจากศาลาพันห้องแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่า จะกลับถ้ำคูหาสวรรค์บนโลกมนุษย์เลยก็เป็นการกลับมือเปล่า ควรจะเที่ยวดูชมเมืองนรกให้เป็นกำไรหูตาประดับสติปัญญาเสียหน่อยก็ดี เมืองนรกนี้มันมีอะไรบ้าง

    คิดแล้วก็เดินไป พวกจ่ายมบาลทั้งหลายก็เปิดทางอำนวยความสะดวกให้ นิมนต์เลยๆ พระคุณเจ้า อยากดูชมอะไรนิมนต์ตามสบาย

    หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า พวกจ่ายมบาลนี้ก็เหมือนเสมียน ทำงานในที่ว่าการอำเภอหรือศาลากลาง รวมทั้งเป็นผู้คุมนักโทษในเรือนจำด้วยทำนองนั้นแหละ พวกเขามีจำนวนมาก ทำงานกันว้าวุ่นไม่ได้หยุดหย่อน

    เดินไปก็เห็นที่คุมขังชั่วคราวเรียงรายสุดสายตา ห้องคุมขังเป็นเหล็ก ก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่คุมขังชั่วคราวรอการตัดสิน ยังไม่ใช่นรกขุมสำคัญๆ

    ๐ กรรมกาเม

    เดินไปเห็นห้องๆ หนึ่ง มีนักโทษชายหญิงสองคน

    ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้แก้ผ้าเปลือยกายโดยตลอด ยืนเหยียบอยู่บนเหล็กแหลมแดงๆ เผาไฟเสียบทะลุฝาเท้า ปากอ้ากว้างมีเหล็กเผาไฟแดงเสียบตรึงไว้ในลักษณะคล้ายเอาปากคาบไว้ เบื้องบนศีรษะมีเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ เสียบตรึงกลางกระหม่อมไว้ รอบๆ ข้างมีเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ ทิ่มแทงร่างกาย

    ใบหน้าของหนุ่มสาวทั้งสองบิดเบี้ยว นัยน์ตาเหลือกถลน ส่งเสียงร้องครวญครางอ้อแอ้ บอกถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์สุดประมาณ กระดิกติงตัวไม่ได้ เพราะเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ ตรึงร่างกายไว้แน่นทุกด้าน จะขาดใจตายก็ไม่ตาย

    เพราะการลงโทษในเมืองนรกไม่มีตาย จะมีก็แค่วิสัญญีภาพไปชั่ววูบเดียว แล้วก็ฟื้นขึ้นมารับการทรมานอีกต่อไป หรือร่างกายแหลกสลายไปด้วยอานุภาพของไฟนรก แต่ชั่วพริบตาต่อมาก็จะเกิดร่างใหญ่ขึ้นมาทดแทน เพื่อรับการทรมานต่อไปซ้ำๆ ซากๆ นับพันนับหมื่นปี

    หลวงปู่คำคะนิงได้ถามจ่ายมบาลดูว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้ทำผิดสถานใด ถึงต้องมารับโทษหนักหนาสาโหดในเมืองนรกเช่นนี้

    จ่ายมบาลกล่าวตอบให้ทราบว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้สมัยยังมีชีวิตอยู่โลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ ฝ่ายหญิงชอบนอกใจผัว คบชู้สู่ชายไม่เลือก ไม่นับถือศาสนาใดๆ ไม่เชื่อถือในศีลธรรมคุณงามความดีใดๆ มีความเชื่ออยู่แต่ว่าเกิดมาเพื่อกิน เพื่อถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อสืบพันธุ์ประเวณี และเพื่อนอน เท่านั้น อย่างอื่นไม่สำคัญ ชาตินี้ต้องหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว ตายแล้วก็หมดกันไม่มีชาติหน้า ไม่ต้องใช้เวรใช้กรรมใดๆ

    หญิงสาวผู้นี้เป็นมะเร็งในมดลูกตายเมื่ออายุ 40 ปี เมื่อตายแล้วก็มาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินจากพญายมบาลขั้นสุดท้าย แต่ก่อนตัดสินต้องจำจองทรมานแบบนี้ไว้ก่อน

    ฝ่ายชายหนุ่ม เมื่อชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ตลบตะแลงปลิ้นปล้อน นักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง หลอกลวงพร่าพรหมจารีผู้หญิงและปลิ้นปล้อนเอาทรัพย์ เป็นคนไม่มีศีลธรรม ไม่นับถือศาสนาใดๆ

    ถือคติว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อขับถ่าย เพื่อเสพกามารมณ์ และเพื่อนอน ตายแล้วก็สูญ ไม่มีชาติหน้าไม่มีนรก สวรรค์ ก่อกรรมใดไว้ ไม่ต้องใช้กรรม เมื่อถูกสามีของหญิงคนหนึ่งแทงตาย จึงมาที่ศาลาพันห้องนี้เพื่อรอการพิพากษาตัดสินขั้นสุดท้ายจากพญายมบาล

    หลวงปู่คำคะนิงได้ฟังแล้วก็บังเกิดสลดสังเวช โธ่เอ๋ย กรรมของสัตว์หนอ เพราะความโง่ความหลงผิด ความจองหอง หยิ่งทะนง อวดดื้อถือดีแท้ๆ ของมนุษย์ เมื่อตายแล้วจึงต้องมารับกรรม เช่นนี้

    ขนาดยังอยู่ในระหว่างรอการตัดสินก็ถกจองจำหนักหนาสาโหดถึงเพียงนี้มิทราบว่า หากได้รับการตัดสินจากยมบาลแล้ว จะได้รับโทษทัณฑ์สถานหนักสักเพียงไหน

    หลวงปู่คำคะนิงจึงถามจ่ายมบาลว่า อยากจะสนทนากับหนุ่มสาวทั้งสองที่ถูกจองจำลงโทษนี้จะได้ไหม จ่ายมบาลตอบว่า สำหรับพระคุณเจ้าแล้ว อนุญาตให้ซักถามได้ เมื่อจ่ายมบาลกล่าวอนุญาตแล้ว ทันใด เครื่องจองจำเหล็กแหลมเผาไฟแดงๆ เหล่านั้นก็หลุดออกจากร่างหนุ่มสาวทั้งสองหายวับไป หนุ่มสาวทั้งสองร่างสั่นเทาๆ เหมือนลูกนกตกน้ำ สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพรากอาบหน้าพากันทรุดกายลงกราบเท้าหลวงปู่คำคะนิงอย่างสำนึกในพระคุณ ที่ช่วยให้หลุดจากเครื่องจำจองทรมานอันทารุณหฤโหด

    “หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยดิฉันด้วย”

    หญิงสาวร้องวิงวอนเสียงสั่นระริก สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร หลวงปู่คำคะนิงถามว่า

    “สีกาจะให้อาตมาภาพช่วยอย่างไร”

    หญิงสาวฟูมฟายน้ำตากล่าวว่า

    “ดิฉันยังมีลูกที่จะต้องเลี้ยงดูอายุยังน้อย อยากกลับไปเกิดในโลกมนุษย์อีก หลวงพ่อได้โปรดช่วยให้ดิฉันกลับไปเข้าร่างเดิมที่ยังไม่ได้เผาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

    “สีกาตายแล้วยังจำชาติที่แล้วสมัยเป็นมนุษย์ได้ดีอยู่หรือ”

    “ยังจำได้ดีทุกอย่าง เหมือนนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นจำตัวเองได้ จำลูกได้ จำญาติพี่น้องมิตรสหายได้หมด แต่พูดจากับพวกเขาไม่ได้ เวลาจะไปไหนต้องมีผู้คุมคอยควบคุมตัวไป ก่อนที่ยังไม่ตายนั้น ดิฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าความตายไม่ใช่การสิ้นสูญ”

    “แท้ที่จริงตายแล้วเรายังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นอีกชีวิตหนึ่งคือร่างวิญญาณ ยังจำความเดิมได้ทุกอย่าง”

    “อาตมาภาพอยากจะช่วยแต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของท่านพญายมบาล อาตมาภาพจะช่วยสีกาได้อย่างเดียวคือ เมื่อกลับเมืองมนุษย์แล้วจะแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้”

    หลวงปู่คำคะนิงกล่าวฉันท์เมตตา หญิงสาวรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจกลับไปเข้าร่างเดิมในโลกมนุษย์ได้อีก ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญโศกเศร้าน่าสังเวช หลวงปู่จึงเอ่ยถามชายหนุ่มบ้างว่า

    “โยมจะให้อาตมาภาพช่วยอะไรได้บ้าง”

    ร่างวิญญาณของชายหนุ่มผู้ถูกแทงตาย เพราะเป็นชู้กับเมียผู้อื่น คลานเข้ามากราบลงบนหลังเท้าหลวงปู่คำคะนิงแล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า

    “กระผมผิดไปแล้วพระคุณเจ้า กว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นคนชั่วช้าก่อกรรมทำเวรกับคนอื่นไว้มาก ก็มารู้เอาเมื่อตายแล้ว กระผมไม่ขออะไรมาก ขอให้พระคุณเจ้าแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้กระผมบ้าง เพื่อที่กระผมจะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในยามทุกข์”

    “ได้...อาตมาจะแผ่ส่วนกุศลมาให้”

    จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินต่อไป จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า ในกรงเหล็กที่เป็นแถวแนวยาวเหยียดนี้ คุมขังพวกนักโทษที่รอการตัดสินทั้งนั้น บ้างก็เคยฆ่าพ่อตีแม่ บ้างก็ปล้น ฆ่า ลักขโมย หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ต้มชาวบ้าน ฉุดคร่าอนาจาร

    บ้างที่เป็นหญิงสาวก็เกี้ยวพาราสีพระสงฆ์องค์เจ้า หลอกลวงพระสงฆ์องค์เจ้าให้สึกหาลาเพศมาเป็นผัวแห่งตน และที่ทำให้พระต้องปาราชิกก็มี บ้างก็แย่งผัวเขา วางยาพิษเมียหลวง คดีโทษต่างๆ นับไม่ถ้วน

    เพราะมนุษย์ชายหญิงทุกวันนี้พากันไม่เชื่อในบุญในบาป ทำการทุกสิ่งทุกอย่างตามอำเภอไม่มียับยั้งบันยะบันบัง คำนึงถึงศีลธรรมอันดีงาม คนเหล่านี้เมื่อตายแล้ว จึงต้องพากันหลั่งไหลมาสู่ศาลาพันห้องแน่นขนัดทุกวัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    Nock nock!! มาเล่าต่อได้แล้วค่ะ เมรีนั่งรอเหงือกแห้งแล้วจ้า xx
     
  3. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ๐ หมู่สัตว์ร้องทุกข์

    หลวงปู่คำคะนิงออกเดินดูชมต่อไป รู้สึกว่าเดินตัวเบาหวิว เท้าไม่แตะพื้น เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เบาและนุ่มนวล สบายอย่างยิ่ง มาถึงที่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงหมู่สัตว์อื้ออึงระงมเซ็งแซร่ไปหมด เสียงเป็ด ไก่ สุนัข วัว ควาย หมู ม้า ช้าง พวกสัตว์เหล่านี้กำลังส่งเสียงรำร้องเป็นภาษามนุษย์ กล่าวโทษโจทก์ฟ้องร้องต่อจ่ายมบาลว่า พวกมนุษย์ทำร้ายและทรมานพวกมันอย่างไรบ้าง

    มีช้างสารเชือกหนึ่งยืนแกว่งหัวอันใหญ่โตไปมา มันร้องทุกข์เป็นภาษามนุษย์ว่า มนุษย์ใจดำอำมหิตมาก เอาตะขอเหล็กสับหัวมันจนเลือดไหลได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส

    นอกจากนั้น มนุษย์ยังเอาปลอกใส่ขามัน ทำให้เดินไม่สะดวก แล้วยังเอาบ้านเมืองขึ้นไปปลูกใส่หลังมัน (หมายถึงเอากูบใส่หลังช้าง) มันเรียกร้องให้จ่ายมบาลไปเอาตัวมนุษย์คนนั้นมาลงโทษให้จงได้

    หลวงปู่คำคะนิงได้ฟังแล้วก็สลดใจ เพิ่มพูนความเชื่อมั่นในกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นแฟ้นว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายตายแล้วต้องเกิดอีก บาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง

    จิตวิญญาณเป็นธาตุเดิมแท้ ส่วนร่างมนุษย์ ร่างสัตว์ต่างๆ นั้น เป็นเพียงพาหนะ หรือหุ่นสรีระยนตร์สำหรับใหิจตวิญญาณเข้าสิงสู่ในแต่ละภพชาติเท่านั้น เช่น ชาติก่อนเกิดเป็นช้าง ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดา หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามอำนาจบุญกรรมนำแต่ง เมื่อเรามารู้ความจริงเสียแล้วเช่นนี้ ก็ควรจะนำความรู้นี้ กลับไปเที่ยวบอกกล่าวสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลาย ให้รู้ความจริง จะได้เลิกเบียดเบียนกดขี่ข่มเหง ทำทารุณสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ช้าง ม้า เป็นต้น

    ๐ นางงามนางแบบ

    หลวงปู่คำคะนิงเดินเที่ยวชมเมืองนรกต่อไป เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง สว่างไสวรุ่งเรืองดุจแสงฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ เป็นยกพื้นเวทีกว้างคล้ายสะพานทอดยาวโค้งลงไปในสระน้ำอันกว้างใหญ่ สระน้ำนั้นลุกไหม้เป็นเปลวไฟแดงฉานโชติช่วง น่าสะพรึงกลัว ก็รู้ว่าเป็นขุมนรก

    บนสะพานนั้นมีหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามจำนวนมาก พากันเดินออกจากเวทีมีม่านผืนใหญ่มหึมา หญิงสาวเหล่านั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม เดินนวยนาดลงจากเวที ทอดแขนทอดขามาตามสะพาน

    จ่ายมบาลอธิบายว่า มนุษย์ผู้หญิงเหล่านี้เป็นพวกนางงามนางแบบ กำลังเดินโชว์ร่างกายและเสื้อผ้า หลวงปู่คำคะนิงยืนงุนงงประหลาดใจยิ่ง

    นางงาม นางแบบ เสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยงามฉูดฉาดสะดุดตาเหล่านั้น เดินเรียงรายตามกันออกไปยืนอยู่กลางสะพาน แล้วเยื้องกรายเปลื้องเสื้อผ้าออกก่อน เหลือแต่ร่างเปลือยล่อนจ้อนอุจาดนัยน์ตา แต่ละนางร่างสวยงามด้วยส่วนสัดปานนางฟ้า

    จากนั้นก็มีนกอินทรีตัวใหญ่บินมาจากไหนไม่รู้ นัยน์ตานกอินทรีแดงฉานพวยพุ่งออกมาเป็นเปลวไฟ มันบินมาตรงหน้าหญิงสาวแต่ละนางที่ยืนเปลือยกายอยู่

    แล้วใช้จะงอยปากอันคมกริบจิกเข้าที่หน้าผากหญิงสาว กระชากทีเดียว หนังศีรษะและเส้นผมก็ลอกออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กลายเป็นหนังทั้งแผ่น หญิงสาวนางนั้นส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

    เมื่อนกอินทรีจิกลอกเอาหนังออกไป ก็เหลือแต่ร่างที่แดงฉานไปด้วยเลือด น่าขยะแขยงชวนขนพองสยองเกล้า จะมองหาความงามเมื่อตะกี้นี้ไม่พบเลย นกอินทรีได้จิกกินนัยน์ตาทั้งสองข้างก่อน แล้วจึงจิกเอาเนื้อแดงๆ ออกมาเผยให้เห็นอวัยวะภายใน คือ ตับไตไส้พุง น่าขยะแขยง ไม่สวย ไม่งาม

    จากนั้นนกอินทรีจิกกินตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น เหลือแต่ร่างโครงกระดูกจะหาความสวยงามไม่ได้เลย กลายเป็นร่างโครงกระดูกยืนสั่นสะท้านอยู่

    ฝ่ายหญิงสาวคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น ก็มีความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พากันกระโดดหนีลงไปในสระนรกที่เป็นเปลวไฟลุกโชติช่วงแดงฉานนั้น ก็ถูกเปลวไฟนรกลุกเผาไหม้ ส่งเสียงร้องกรีดแหลมระเบ็งเซ็งแซร่ด้วยความเจ็บปวด

    แต่แล้วก็มีเหล็กคล้ายหอกเผาไฟแดงๆ แทงทะลุร่างหญิงสาวเหล่านั้นส่งขึ้นมาจากขุมไฟนรก ร่างที่ไหม้เหลือแต่กระดูกขาวโพลนก็กลับกลายเป็นร่างหญิงสาวสวยงามเหมือนเดิม มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่เหมือนเดิมทุกอย่าง

    ต่อจากนั้นก็ถูกนกอินทรีโผบินเข้าจิกกระชากเสึ้อผ้าออกเหลือแต่กายเปลือยล่อนจ้อน แล้วจิกหนังลอกออกทั้งแผ่น จิกกินเนื้อ กินตับไตไส้พงเหมือนที่กระทำกับหญิงสาวคนแรก

    ส่วนหญิงสาวคนอื่นๆ มีความหวาดกลวัส่งเสียงหวีดร้องวุ่นวายระเบ็งเซ็งแซร่นั้นจะวิ่งหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีหอกเผาไฟแดงๆ แทงขึ้นมาจากขุมนรกเพลิง จี้สกัดหน้าหลังไว้รอบข้างไปหมด

    หลวงปู่คำคะนิงสลดสังเวชเป็นที่ยิ่ง ไม่ทราบว่าหญิงสาวเหล่านั้นมีความผิดสถานใด ถึงต้องมาถูกกระทำลงโทษอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึงปานนี้

    จ่ายมบาลล่วงรู้วาระจิตได้ตอบว่า หญิงสาวเหล่านี้สมัยเป็นมนุษย์ชอบประพฤติตนทางอนาจาร คืออวดร่างกายของตนเปลือยร่างต่อสาธารณะ และหลงใหลลุ่มหลงในเสึ้อผ้าอาภรณ์เครื่องตกแต่งประดับกายอย่างไม่ลืมหูลืมตา สามารถกระทำชั่วได้ในทุกสิ่งเพื่อแสวงหาเงินมาซึ้อเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับตัวเองอวดคนอื่น

    เป็นผู้หญิงประเภทฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้จักศาสนาคำสั่งสอนของศาสดาองค์ใด ไม่เชื่อในคุณธรรมความดีใดๆ ไม่ละอายแก่ใจ เชื่อแต่ว่าเกิดมาชาตินี้ชาติเดียว ต้องแสวงหาความสุขสนุกสถานให้เต็มที่ กิน ถ่าย เสพกามและนอนเท่านั้น อย่างอื่นไม่คิด ชาติหน้าไม่มี บาปบุญไม่มี นรกไม่มี

    ดังนั้น เมื่อหญิงสาวเหล่านี้ตายแล้วจึงต้องมาเสวยกรรมอยูในนรกเช่นนี้

    ๐ มนุษย์นรก

    หลวงปู่คำคะนิงเที่ยวดูชมต่อไป พวกจ่ายมบาลหรือผู้คุมนักโทษในแดนต่างๆ แสดงกิริยานอบน้อม นิมนต์ให้หลวงปู่คำคะนิงได้ดูชมสะดวกใจ ได้พบเห็นสัตว์นรกรูปร่างแปลกๆ น่าเกลียดน่าขยะแขยง สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อถึงคราวอานุภาพของ “ศีลห้า” ที่เคยสะสมไว้หลายแสนหลายล้านชาติติดตามมาส่งผลให้ถึงในนรก

    สัตว์นรกเหล่านี้ก็จะได้รับผลบุญของศีลห้า นั่นคือร่างกายจะเปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรก เปลี่ยนภูมิไปเกิดในโลกมนุษย์ทันที สัตว์นรกที่ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์นี้ จะเกิดเป็นมนุษย์ที่มีสภาวะจิตดุร้าย เหี้ยมอำมหิตเป็นส่วนมาก มีน้อยที่จะมีจิตใจสำนึกผิดมีเมตตากรุณา

    เมื่อสัตว์นรกเหล่านี้มาเกิดเป็นมนุษย์ แม้ผลบุญจะอำนวยให้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์อัครฐานบ้าง เกิดในตระกูลร่ำรวยมหาเศรษฐีบ้าง เกิดในตระกูลปานกลางบ้าง ตระกูลต่ำบ้าง แต่จิตใจวิญญาณก็จะเหี้ยมอำมหิตอยู่เหมือนเดิม

    วิญญาณสัตว์นรกที่ไปเกิดเป็นมนุษย์เหล่านี้แหละที่ไปสร้างความเดือดร้อนให้สังคมมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และก็จะมีอยู่สืบไปจนกว่าโลกจะแตกสลาย มันเป็นไปตามกฎของสังสารวัฏ เป็นเวรกรรมของสัตว์โลกที่จะต้องเผชิญกับความชั่วร้าย พวกจ่ายมบาล อธิบายให้หลวงปู่คำคะนิงฟัง
     
  4. may uk

    may uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +178
    รวดเร็ดทันใจอย่างนี้เมรีขอให้ถูกตัวตรงๆติดกันสองงวดไปเลยสาธุ..เพี้ยง :) xx
     
  5. moonoiija

    moonoiija เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2014
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +198
  6. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    น่าติดตามมากๆ นำมาลงเรื่อยๆนะครับ
     
  7. pokpok111

    pokpok111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2011
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +4,734
    ๐ ศีลห้าสู่สวรรค์

    หลวงปู่คำคะนิงท่องเที่ยวต่อไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง จ่ายมบาลบอกว่า ตรงนี้เป็นชุมทางไปสู่สวรรค์ชั้นต่างๆ เส้นทางเป็นสายรุ้งพุ่งจากพื้นเป็นวงโค้งขึ้นไปในอากาศนั้น

    เป็นเส้นทางสาหรับผู้เจริญวิปัสสนาได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เมื่อตายแล้วต้องขึ้นเส้นทางนี้ไปสู่สวรรค์เบื้องสูงสำหรับอริยบุคคลชั้นโสดาบัน

    ที่เป็นอู่ทอง อู่แก้วคล้ายบุษบกมีสายชักขึ้นและชักลงจากพื้นดินขึ้นไปในอากาศนั้น เป็นอู่ยนตร์สำหรับผู้ที่จะไปสวรรค์ตามกำลังบุญวาสนาที่สร้างสมไว้สมัยเป็นมนุษย์

    อู่ทอง อู่แก้วอันสวยงามรุ่งเรืองนี้ เลื่อนขึ้นเลื่อนลงรับผู้มีบุญวาสนาขึ้นสู่สวรรค์อยู่ตลอดเวลา แสดงว่า แม้จะมีคนบาปหนาไปตกนรกมากมืดฟ้ามัวดิน ขณะเดียวกันก็มีคนดีๆ ไปขึ้นสวรรค์มากเหมือนกัน

    นอกจากอู่ทองคำและอู่แก้วบุษบกแล้ว ยังมีบันไดเงิน บันไดทองและบันไดแก้วแพรวพรายทอดขึ้นสู่ท้องฟ้าไปสวรรค์ เมื่อคนขึ้นไป บันไดวิเศษเหล่านี้ก็จะลอยเลื่อนขึ้นไปจนสุดสายตา

    จ่ายมบาลบอกว่า ผู้ที่จะขึ้นสวรรค์ได้จะต้องถือศีลห้าเคร่งครัดเป็นอย่างน้อย มั่นคงในพระรัตนตรัยไม่คลอนแคลน มีใจบุญสุนทาน เมตตาต่อผู้อื่น

    ผู้คนผู้มีบุญวาสนาที่กำลังรอขึ้นสวรรค์มีทั้งหญิงและชายเป็นเด็กเล็กก็มี หนุ่มสาวก็มี คนเฒ่าคนแก่ก็มี คนเหล่านี้มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอิ่มเอิบเบิกบาน แต่งกายสวยงาม มีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองคล้ายหิ่งห้อยตัวใหญ่

    พวกเขาล้วนได้ผ่านการพิพากษาตัดสินมาจากศาลาพันห้องแล้วจึงมีสิทธิที่จะขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าได้ เมื่อได้รับการตัดสินแล้ว ก็ได้เครื่องทรงเป็นทิพย์ของเทวดาทันที ร่างกายมีอินทรีย์สวยงามผ่องใส

    หลวงปู่คำคะนิงหยุดมองดูอย่างตะลึงลานเพราะเห็นเส้นทางขึ้นสู่สรวงสวรรค์นั้น สวยงามอัศจรรย์สุดพรรณนาเห็นเป็นเส้นแสงสีต่างๆ เป็นเส้นโค้งสวยงามยิ่งกว่าสายรุ้ง

    หลวงปู่คำคะนิงอดแปลกใจไม่ได้ว่า ในขณะที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายหลั่งไหลไปเมืองนรกนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ทำดี มีบุญญาธิการหลั่งไหลไปสวรรค์อยู่มากเหมือนกัน

    แต่เทียบดูแล้วเห็นว่า คนไปสวรรค์ชั้นต่างๆ ยังมีน้อยอยู่นั่นเอง ส่วนคนที่ไปนรกมีมากกว่า

    จ่ายมบาลบอกว่า ผู้ที่จะได้ขึ้นสวรรค์นั้น ยึดถือมั่นคงในการกระทำดีสวามิภักดิ์ต่อศาสนาที่ตนนับถืออย่างแน่นแฟ้น ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องยึดมั่นเคารพอย่างแน่นแฟ้นในพระรัตนตรัยจริงๆ จึงจะได้ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นอมร

    ๐ สัมภเวสี


    ออกจากชุมทางไปสวรรค์แล้วก็มาถึงทางสามแพร่งอันอ้างว้างเยือกเย็น เป็นดินแดนอันแห้งแล้งชวนให้หดหู่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก มีผู้คนทั้งหญิงและชายมากฝ่ายทุกเพศทุกวัย นั่งบ้างยืนบ้าง ที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดินก็มีมาก ทุกคนต่างส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ พร่ำพิไรรำพันต่างๆ นานา ดังระงมไปหมด มิทราบว่าพวกเขามีความทุกข์โศกอันใด

    จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า คนเหล่านี้ล้วนตายโหงมาทั้งนั้น เป็นพวกวิญญาณที่ตายก่อนถึงกำหนดอายุขัย เพราะถูกบาปกรรมหนักตามตัดรอนชีวิต เมื่อตายโหงแล้วก็ไปยังศาลาพันห้อง แต่พญายมบาลไม่อาจตัดสินได้ เพราะพวกนี้ตายก่อนกำหนด จึงขับได้ไล่ส่งให้มาอยู่ตรงชุมทางสามแพร่งนี้ เพื่อให้เที่ยวเร่ร่อนไปในโลกมนุษย์ก่อน รอเวลาจะถูกตัดสินให้ไปผุดเกิด

    พวกผีตายโหงหรือวิญญาณตายโหงนี้ เรียกว่าพวก “สัมภเวสี” คือผู้แสวงหาที่เกิด แต่ยังหาที่เกิดไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รับการพิพากษาตัดสิน

    ดังนั้นก็เที่ยวตระเวนเรื่อยไป เที่ยวหลอกหลอนมนุษย์บ้าง เพื่อแสดงตนขอส่วนบุญ ที่เที่ยวหลอกหลอนด้วยความอาฆาตพยาบาทบ้างก็มีเยอะ แล้วแต่นิสัยดั้งเดิมว่าเป็นพาลมากน้อยเพียงใด

    เมื่อเที่ยวชมแดนศาลาพันห้องหรือยมโลกพอสมควรแล้ว จ่ายมพบาลก็เตือนให้หลวงปู่คำคะนิงรีบกลับคืนสู่ร่างในโลกมนุษย์เสียเถิด เพราะแดนนรกหมกไหม้นั้น ยังมีอีกมากมายเที่ยวไม่จบสิ้นง่ายๆ หรอก

    พอตั้งใจว่าจะกลับก็กลับมาถึงถ้ำคูหาสวรรค์ในโลกมนุษย์โดยเร็ว เมื่อมาถึงถ้ำคูหาสวรรค์ก็เห็นร่างของตัวเองงองุ้มหมอบฟุบอยู่กับอาสนะ ลักษณะของคนที่หมดสิ้นลมหายใจ จึงหยุดพิจารณาดู

    เห็นร่างของตัวเองใสคล้ายแก้วโปร่งแสง แต่ชราภาพหนังเหี่ยวย่น มองเห็นตับไตไส้พุงหมดเห็นเส้นเอ็นทุกเส้น กระดูกทุกชิ้นในร่างกาย เห็นเลือดแดงฉานเอิบอาบอยู่ทุกส่วน

    เมื่อพิจารณาดูสังขารร่างกายของตนเองแล้ว ก็รู้สึกรังเกียจขยะแขยง แถมยังมีกลิ่นเหม็นโดยมาจากร่างนั้นด้วย ก็ยิ่งสะอิดสะเอียน มันเหม็นเหมือนหมาเน่า

    คิดว่า โอ้หนอ...ร่างของคนเรานี้มันเป็นโพรง ที่ขังอวัยวะของเหม็นเน่าสกปรกไว้แท้ๆ คนเรายังมาหลงรักหลงกอดร่างมนุษย์ด้วยกันอยู่ได้

    ยิ่งร่างตัวเองก็ยิ่งรักยิ่งหลงเฝ้าตกแต่งด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆ งามๆ ไม่อยากให้มันแก่เฒ่าง่ายๆ

    นี่เป็นความหลงผิดแท้ๆ หลงผิดคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเราและของเขา ความจริงร่างกายเปรียบเหมือนที่อยู่อาศัยหรือพาหนะชั่วคราวที่จิตวิญญาณอาศัยเท่านั้น

    เราที่แท้จริงก็คือจิตวิญญาณที่ยังหลงยึดอยู่ในโลภะ โทสะ โมหะ ร่างความเป็นมนุษย์นี้สกปรก สู้ร่างที่เป็นกายทิพย์ไม่ได้ เพราะกายทิพย์ที่จิตวิญญาณอาศัยไปเที่ยวชมแดนยมโลกนี้เป็นกายทิพย์ที่โปร่งใส มีรัศมีเรืองรองดุจประกายดาว คิดจะไปไหนมาไหนก็ไปได้รวดเร็วดังใจนึก อยากรู้อยากเห็นอะไรก็สามารถรู้ได้รวดเร็วไม่ติดขัด

    เมื่อพิจารณาดูซากร่างความเป็นมนุษย์ของตนแล้ว. ทำให้ไม่อยากกลับเข้าสู่ร่างเดิมที่นอนฟุบอยู่ เพราะมีกลิ่นเหม็นเน่าน่ารังเกียจขยะแขยงเหลือทน แต่แล้วก็มาคิดได้ว่า เรายังสร้างสมบุญบารมีในโลกยังไม่เพียงพอ จะทิ้งร่างมนุษย์ไปยังไม่ได้ แม้แต่พญายมบาลยังไล่ให้เรากลับมาสร้างบุญบารมีเพิ่มเติมเลย

    ฉะนั้นถึงแม้ร่างกายจะแก่ชราคร่ำคร่า มีกลิ่นเหม็นเน่าสกปรกโสโครกก็ตามเถอะ เราจำเป็นต้องฝืนใจกลับเข้าสิงสู่อยู่ในร่างนี้อีกต่อไป เพื่อประพฤติพรตพรหมจรรย์ ปฏิบัติธรรมสร้างสมความดีสืบต่อไป

    เพียงนึกเท่านี้ก็รู้สึกวูบหวิวไปชั่วขณะจิต คล้ายจะหมดสติไปชั่ววูบ มารู้สึกตัวในชั่วขณะจิตต่อมาก็พบว่า จิตได้เข้าสิงร่างเดิมแล้วและเคลื่อนไหวได้

    เมื่อตายแล้วฟื้น ญาติโยมทายกทายิกาทั้งหลายก็ดีอกดีใจกันใหญ่ หลั่งไหลมาฟังเทศน์ฟังธรรม หลวงปู่คำคะนิงก็เล่าให้ฟังว่า มรณภาพแล้วไปไหนบ้าง

    ขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อเถิดว่า บาปบุญมีจริง

    เวลามีชีวิตอยู่ นรก สวรรค์อยู่ในอกในใจ แต่เวลาตายไปแล้ว จิตวิญญาณก็พาไปพบสวรรค์จริงๆ นรกจริงๆ อีกภพภูมิต่างหาก ตายไปแล้วยังจดจำตัวเองได้หมดทุกอย่าง

    ฉะนั้นขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายอย่าได้ประมาทอย่าได้ประพฤติชั่วผิดศีลธรรมเลย เพราะถ้าประพฤติผิดศีลธรรม ทำแต่กรรมชั่วแล้ว จะไปถูกลงโทษในแดนนรกจริงๆ เพราะหลวงปู่ไปเห็นมาแล้ว

    ขอให้ทุกคนเร่งรีบทำความดี ประพฤติอยู่ในศีล กินในธรรมเร็วๆ เข้าจะได้ไปสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อเราตายไปแล้ว อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะความตายอาจจู่โจมมากะทันหันเมื่อไรก็ได้ ขณะมีชีวิตอยู่จงรีบเร่งให้ทาน ปฏิบัติในศีล และเจริญภาวนาเสียเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้ทำเพราะเกิดตายกะทันหันเสียก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...