ถือ "มังสะวิรัติ" จะได้บุญหรือไม่อย่างไร ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย manymoons123, 14 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. manymoons123

    manymoons123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +416
    กระผมงดบริโภคเนื้อสัตว์ถือมังสะวิรัติมานานพอสมควรแล้ว

    ไม่ทราบว่าจะได้บุญหรือไม่อย่างไรครับ ?

    ขอท่านผู้รู้เมตตาแนะนำด้วยครับ
     
  2. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ลองดูนี่ซิ เห็นแล้ว คิดว่าเจ้าของกระทู้คงไม่อยากกินเนื้อสัตว์
    เพราะสงสารสัตว์เขาเหล่านั้น ที่ต้องถูกทุบตี ถูกฆ่าอย่างทารุณ
    เพื่อเอาเนื้อ หนัง มาสังเวยความอร่อยลิ้นของมนุษย์


    https://www.facebook.com/video.php?v=10153006083344277&set=vb.11871609276&type=2&theater
     
  3. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ก่อนอื่นต้องตอบตามตรงก่อนครับว่า บุญ อยู่ที่เจตนา ถ้าตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์เพราะ รักษา
    ศีลตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้อ ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิ
    ยามิ แบบนี้มีผลคือบุญที่เราได้รักษาศีลข้อที่ 1 แต่เว้นจากการกินเนื้อได้แล้วควรเว้นการ
    เบียดเบียนโดยเจตนาทุกกรณีด้วย ไม่ใช่ว่าไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยุงกัดแล้วตบ หมาเห่าไล่เตะ
    แบบนี้ถือว่าใช้ไม่ได้

    แต่ถ้าการไม่กินเนื้อสัตว์ของเราไม่กินเพราะคิดว่า "ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ ก็เป็นการส่งเสริมการ
    ฆ่าสัตว์ ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์ คนก็จะได้ไม่เบียดเบียนฆ่าสัตว์อีกต่อไป" ถ้าคิดแบบนี้ บุญ
    อาจเกิดน้อย เพราะการเข้าใจผิดต่อสัจธรรมความจริง

    ถ้าถามว่าผิดตรงไหน ก็ต้องตอบแบบตามตรงว่า คุณอย่าลืมว่าทุกชีวิตมีกรรมเป็นของๆตน
    เคยทำกรรมชั่วอย่างไรไว้ก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น อย่างแน่นอน ชีวิตสัตว์ก็เหมือนกัน
    ที่ต้องมาถูกพ่อค้าฆ่าเอาเนื้อมาขาย ถ้าเรามองเผินๆเราก็อาจจะคิดไปว่าการที่เราไปซื้อ
    เนื้อสัตว์ที่พ่อค้าเขาฆ่า ก็แสดงว่าว่าเราไปส่งเสริมให้สัตว์ต้องถูกฆ่าตาย แต่อย่าลืมว่า สัตว์
    แต่ละชีวิตที่ถูกฆ่านั้น ต้องมีกรรมชนิดนั้นมาก่อนแน่นอน ถ้าหากเราจะมองอย่างสัจธรรม
    ความจริงที่ถูกต้องแล้ว ต้องมองอย่างคนเข้าใจในกฏของกรรมด้วย

    แน่นอนล่ะถ้าเราไปสั่งพ่อค้าเนื้อว่าจะเอาปลาตัวนี้ หรือว่าไก่ตัวนี้ ที่กำลังมีชีวิตอยู่นั้น แล้ว
    พ่อค้าเอาไม้ทุบหัวสัตว์ตุ๊บ แบบนี้ แน่นอนเรามีเจตนาสั่งให้ฆ่าชีวิตสัตว์ เราได้ทำบาป
    ไปแล้วเห็นๆ แต่ถ้าอยู่ๆคุณไปตลาดไปซื้อเนื้อสัตว์ที่เขาได้ฆ่าไว้ก่อนแล้วโดยไม่ได้
    เจาะจงว่าจะเอามาขายให้แต่คุณคนเดียวเพราะคุณสั่งเอาไว้ แบบนี้ถึงเราไปกินเนื้อ
    สัตว์ที่ตายแล้วนั้นเราก็ไม่ได้ได้บาปได้กรรมอะไรกับพ่อค้าสัตว์นั้นด้วย เจตนาของเราคือ
    ไปซื้อเนื้อสัตว์ ถ้ามองในด้านธรรมะ ก็จะพูดว่าไปซื้อซากศพเกือบเน่า มาปรุงอาหาร
    ซึ่งข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทรงห้ามว่า "อย่ากินเนื้อนะ เพราะจะเป็นการทำร้ายสัตว์
    ทางอ้อม" ตามที่คนส่วนใหญ่ที่ไม่กินเนื้อสัตว์เข้าใจกัน ซึ่งก็ไม่ตรงกับสัจธรรมความจริง
    สักเท่าไร

    ความจริงแล้วเราก็รู้ๆกันอยู่ว่า อบายภูมิทั้ง 4 มีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
    เป็นดินแดนที่มีไว้ลงโทษแก่ดวงจิตที่ทำชั่วเอาไว้ เมื่อสมัยตอนเป็นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน
    ต่างจำนวนมากที่คุณเห็นเขาถูกฆ่าถูกทารุณอย่างโหดร้ายโดยสัตว์นรกในร่างมนุษย์ นี้ก็
    เหมือนกัน ถ้ามองเผินๆแบบคนไม่เข้าใจกฏของกรรมก็ดูเหมือนคนเอาเปรียบสัตว์
    แต่เราอย่าลืมว่าโลกนี้เป็นโลกของ การสร้างกรรมและชดใช้กรรมไปในตัว ดังนั้นเหล่า
    สัตว์เดรัจฉานที่คุณเห็นถูกทำร้ายหรือถูกฆ่าเหล่านั้น เขาก็กำลังได้รับโทษของเขาอยู่
    เพราะเขายังอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 อยู่ ซึ่งมาเทียบกับภูมิมนุษย์ของเราไม่ได้เลย ดังนั้นแล้ว
    การไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราเป็นคนใจบุญสามารถช่วยไม่ให้สัตว์ต้องถูกฆ่าน้อยลง
    แต่ที่สัตว์ต้องถุกฆ่าถูกทารุณนั้น ย่อมเป็นกรรมของสัตว์และผู้ที่ฆ่าที่มีกรรมเกี่ยวเนื่อง
    ทำนองนั้นกันมาตั้งแต่อดีตเอง วงล้อกรรมนี้ไม่เคยปรานีผู้ใด ถึงเวลาได้ชดใช้ก็ต้องใช้กัน
    ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม เราต้องแยกกรณีนี้ให้ออก

    แต่ถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์และไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วย เพราะเราเห็นคุณค่าธรรมะ
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสอนไว้ด้วยดีแล้ว คือ ศีลข้อที่ 1 อย่างนี้เราได้
    บุญจากการรักษาศีลข้อที่ 1 เต็มๆ อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

    บุญอยู่ที่เจตนา เจตนาดีก็เป็นบุญ แต่จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับเจตนาที่เราทำว่าเพราะอะไร?เพื่ออะไร?

    ศีลธรรมข้อที่ 1 ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ
    ข้าพเจ้าของดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ โดยเจตนาทุกอย่าง

    ถ้าคุณไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยเจตนาอันดีนี้ ผมก็ขออนุโมทนาสาธุ ในความดีของคุณด้วยครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2015
  4. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    การไม่ทานเนื้อสัตว์นั้นก็ดีครับพระพุทธองค์ท่านไม่ได้ห้ามไว้ก็แล้วแต่แต่ละคน แต่ก็เป็นการดีครับส่วนได้บุญหรือไม่ตัองเข้าใจบุญบารมีและบุญทาน บุญบารมีนั้นได้จากการรักษาศีลทำสมาธิรักษาจิตไม่เบียดเบียนใครส่วนบุญทานนั้นได้จากการทำบุญหรือให้ทานการไม่กินเนื้อสัตว์นั้นโดยปกติคนที่มีศีลเค้าจะไม่ไปสั่งให้คนขายฆ่าแล้วซื้อหรือฆ่าเองเด็ดขาดเค้าแค่ซื้อซากสัตว์มาทำให้สุกแล้วกินก็แค่นั้นก็พิจารณาเองว่ากินมังสะวิรัชแล้วได้บุญรึเปล่าสาธุ
     
  5. alkuwaiti

    alkuwaiti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,257
    ถ้ากินเฉยๆไม่คิดอะไรไม่ได้บุญครับ แต่ถ้ากินแล้วคิดว่าเพื่อลดละการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ลงได้บ้างไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อมแบบนี้ได้บุญครับ มันเป็นเรื่องของเทคนิคเล็กๆน้อยๆ โดยใช้ใจและเจตนาของเราเป็นตัวสร้างบุญ

    ก็เหมือนกับการกรวดน้ำ การที่เรารินน้ำใส่ภาชนะแล้วเทที่โคนต้นไม้มันก็จะเป็นแค่การรดน้ำต้นไม้เฉยๆ แต่ถ้าเราพูดอุทิศส่วนกุศลด้วยมันก็จะกลายเป็นการกรวดน้ำกลายเป็นบุญ ปัตติทานมัย ทันที หลักการเดียวกันกับที่ จขกท.กำลังทำอยู่นั่นแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2015
  6. manymoons123

    manymoons123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +416
    คือผมไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่จำความได้ อยู่ชั้นอนุบาล
    บอกไม่ถูกครับ คือรู้สึกว่าคาว กินแล้วรู้สึกอยากอาเจียน
    พอโตขึ้น ก็หัดกินเนื้อสัตว์ เพราะอยากเหมือนคนอื่นเขา
    แต่กินไปสักช่วงหนึ่ง ก็งดเนื้อสัตว์เหมือนเดิม
    นี่ก็หลายปีแล้วที่ถือมังสะวิรัติ ใจก็สงสารเพื่อนสัตว์หน่ะครับ
    รู้สึกบอกไม่ถูกครับ
     
  7. wondam

    wondam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +488
    ดีมากๆ เลยครับ แบบนี้เป็นการสงสารที่แท้จริง ไม่ใช่สงสารแต่ก็ยังกินเนื้อเขาอยู่ ส่วนตัวเราก็กินเนื้อสัตว์นะ แต่ขอชื่นชมคุณที่งดได้ (นี่เป็นความเห็นส่วนตัว เรียกว่าข้อคิดเห็น อาจจะผิดหรือถูกก็ได้ ต่างกับข้อเท็จจริง ที่ต้องเป็นความจริงเท่านั้น ไม่อยากเถียงกับใคร ปัญหาโลกแตก)
     
  8. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ขึ้นอยู่กับว่า คิดอะไร
    คิดถึง กุศล ย่อมได้กุศล
     
  9. rukmac

    rukmac เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +377
    ผมกินมังฯ มาหลายปี คิดว่ากินเพื่อละเว้นบาปเท่านั้น ถ้าอยากได้บุญด้วยก็ต้องช่วยชีวิตเค้าทางใดทางหนึ่ง วิธีกินมังฯหรือเจให้ได้บุญ ง่ายที่สุดพาเพื่อนฝูงๆไปเลี้ยงอาหารเจหรือมังฯ แบบนี้ได้บุญแน่
     
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    กินอะไรก็ไม่ได้บุญ แต่จะได้ตรงมีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ แต่การกินมังสวิรัตหรือกินเจก็เป็นอุบายในการเตือนถึงศีลของตนเองที่ดีอย่างหนึ่ง เหมือนพระที่ต้องสวดบทพิจารณาอาหารก่อนกิน ก็เพื่อเตือนตนเองถึงเป้าหมายของความเป็นสมณะ
     
  11. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    เอาตามพรพุทธเจ้าตรัสไว้ดีกว่านะครับ

    ศีลนี่พื้นฐานของบุญ ของความดี

    อยากได้บุญยิ่งๆขึ้นไปอีกก็ต้องบุญเกิดจากการภาวนา

    บุญกริยาวัตถุ๑๐

    ๑. ทานมัย คือการทำบุญด้วยการให้ทาน
    ๒. ศีลมัย คือการทำบุญด้วยการรักษาศีล สำรวมกาย วาจา ให้เรียบร้อย
    ๓. ภาวนามัย คือการทำบุญด้วยการอบรมจิตใจ เช่นสวดมนต์ ทำสมาธิ
    ๔. อปจายนมัย คือการอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม ผู้มีพระคุณ เป็นต้น
    ๕. เวยยาวัจมัย คือการช่วยเหลือผู้อื่นในงานที่ชอบ
    ๖. ปัตตานุโมทนามัย คือการอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำไว้ดีแล้ว คือเห็นดีเห็นชอบด้วย
    ๗. ธัมมัสสวนมัย คือการฟังธรรม การอ่านหนังสือธรรมะ
    ๘. ธัมมเทสนามัย คือการแสดงธรรม
    ๙. ปัตติทานมัย คือการแผ่ส่วนบุญกุศลให้แก่ผู้อื่น
    ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คือการทำความเห็น ปรับความเห็นของตนให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรม เช่นการโยนิโสมนสิการ การพิจารณาธรรม

    ในเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนาที่คนเราปฏิบัติกันอยู่นั้น ทานได้แก่การให้คือเครื่องละงับความโลภ รักษาศีลเป็นเครื่องระงับความโกรธ ภาวนาเป็นเครื่องระงับความหลง

    การปฏิบัติเพียงให้ทานรักษาศีล เพียง๒อย่างนี้เป็นบุญที่มีกำลังน้อย ให้สำเร็จเพียงมรรคผลเบื้องต่ำเท่านั้น คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีเท่านั้น ถ้าเจริญภาวนาไปด้วยก็จะมีกำลังมาก ให้สำเร็จถึงมรรคผลคือพระอรหันตผล แต่ถ้าทำทาน รักษาศีล ทำภาวนา ทำด้วยตัณหาก็เป็นบุญที่มีกำลังน้อย ถ้าไม่ทำด้วยตัณหาก็มีกำลังมากให้สำเร็จมรรคผลได้

    เชื่อลุงเตอะ ลุงแก่แว้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2015
  12. pukub

    pukub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2014
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +219
    ไม่ได้บุญจากการกินเจครับ
    แต่จะได้บุญจากการที่จิตมีเมตตา สงสาร ปราถนาดีต่อสัตว์ และเพื่อนมนุษย์

    จขกท กินเจ เพราะมีความรู้สึกสงสารสัตว์
    บุญที่ได้ จะได้มาจากความรู้สึกสงสาร
    มันคือการภาวนาเมตตาจิต อย่างหนึ่ง
    เป็น พรหมวิหาร 4 แบบไม่รู้ตัวนั้นเอง

    ไม่ใช่ว่าจะได้บุญ เพราะกินแต่ผัก ผลไม้ หรืออย่างไร
    เพราะว่าทุกวันนี้ วัว ควาย ลิง นก หนู มด ม้า แพะ แกะ ไก่ ช้าง สัตว์มีกีบทุกชนิด
    กินผักผลไม้เยอะกว่ามนุษย์มากนัก
    หากจะวัดบุญ กันตรงที่ ปริมาณของการกินผัก ผลไม้ละก็
    คงไม่มีมนุษย์คนไหนสู้สัตว์มีกีบได้เลย แม้แต่ หนึ่งใน 10 ส่วน
    ปานนี้ วัว ควาย คงอยู่เต็มสวรรค์ (พระท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้)

    แต่สัตว์พวกนี้ กินแล้วไม่ได้เจริญเมตตา มันก็กินไปงั้น ๆ
    มันคงไม่ได้กินเพราะว่า สงสารตัวมันเอง หรือเพื่อนสัตว์กีบด้วยกัน

    ในทางกลับกัน คนที่กินเนื้อ พยายามกินให้หมดจาน
    ไม่ให้เหลือ (แม้ไม่อร่อย) เพราะคิดว่าสัตว์ตัวนี้
    ต้องตายไปแล้วเพื่อเป็นอาหาร ทำให้เราได้มีกิน
    เราจะไม่กินแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
    เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่สัตว์ตัวนั้น
    แบบนี้ก็เป็นการเจริญเมตตาแบบหนึ่งเหมือนกัน
    ได้บุญเหมือนกัน (ตราบใดที่เราไม่ได้เป็นผู้ฆ่าเอง หรือสั่งให้ฆ่า หรือเราไม่มีส่วนรับรู้ในการตายของสัตว์นั้น)

    เพราะฉะนั้น ถ้า จขกท กินเจแล้วรู้สึกดี ก็กินต่อไปเถอะครับ
    แต่ก็อย่าไปพยายาม โน้มน้าวคนอื่น ให้กินเจตามจนเกินงามนะครับ
    เพราะแต่ละคนก็มีความเชื่อส่วนตัว ในรายละเอียดบางอย่าง
    ที่สำคัญ อย่าหลงผิดจนคิดว่า การกินเจเป็นของวิเศษจนเห็นคนอื่นที่ไม่ได้กินเจ เป็นบาปหมด
    เห็นตัวเองดี เป็นผู้วิเศษอยู่คนเดียว นะครับ
    เพราะถ้าเป็นแบบนี้ จิตเราจะมีอคติ แทนที่จะได้บุญมาก ก็กลายเป็นบุญแบบมีตำหนิ

    เพราะสุดท้ายที่ปลายทางแล้ว
    อาหารทุกอย่างก็เป็น ของสกปรกหมดครับ
    เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีพเฉย ๆ
    ไม่ได้เป็นของที่ต้องไปยึดติด ใส่ใจอะไรให้มาก
    เข้าไปในท้อง ออกมาก็ไม่สะอาดสักอย่างครับ
    เพราะฉะนั้น พระเวลากิน เลยต้องกินแบบไม่ให้มีความรู้สึกว่าอยาก
    เหตุเพราะอร่อย หรือ เพราะทำให้สุขภาพดี หรือ เพราะมีคุณค่าทางจิตใจ แต่ใด ๆ
    แต่กินเพื่อให้สังขารมันดำรงอยู่ เพื่อทำกิจต่าง ๆ ต่อไปได้เฉย ๆ


     
  13. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    โมทนากับจขกท และท่านอื่นที่ละเว้นเนื้อสัตว์ได้ ผมเคยไม่ทานเนื้อสัตว์หลายปี เวลาไปไหนหากินอาหารมัง อาหารเจยากมาก รู้สีกทุกข์กับสังขารเวลาหิว พอหันมาทานเนื้อสัตว์กลับรู้สีกง่ายกับการใช้ชีวิตและการทำงาน เลยทานเนื้อสัตว์มาตลอดได้ทานเจบ้าง มังบ้างตามโอกาส สบายดีครับ
     
  14. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เหตุที่ทำให้เราไม่ทานเนื้อสัตว์นั่นจะเป็นตัวบ่งบอกเองว่าเราได้บุญหรือไม่
    ถ้าเหตุเกิดเพราะเมตตา กรุณา เอื้อเฝื้อ เสียสละ เป็นไปในทางกุศลช่วยเหลือเกื้อกูล ย่อมได้บุญทั้งสิ้น
    ถ้าเหตุเกิดเพราะทำตามเขา ทำตามประเพณีย์ หรือโดนบังคับ เจตนาดีๆ ความเมตตา กรุณา เอื้อเฝื้อ เสียสละ ไม่ปรากฏ ไม่เข้าข่ายกุศล เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเป็นธรรมดา ย่อมไม่ได้บุญใด กลับกัน ถ้ามีความคิดไม่ดี หรือมีจิตอกุศลร่วมด้วย บุญไม่ได้ แถมได้บาปไปแทนอีก
     
  15. manymoons123

    manymoons123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +416
    ขอบพระคุณท่านผู้รู้ ทุกท่านที่เมตตา ชี้แนะมานะครับ
     
  16. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    ท่านมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก เพิ่มขึ้นหรือไม่

    ถ้ามีก็ถือว่าบุญได้เกิดแล้ว

    ถ้าไม่ก็กำหนดความเป็นมิตรเมตตาไปยังผู้อื่น

    จะกินหรือไม่กินก็เอาตามที่ท่านสบายใจเถิด ขอให้ตั้งจิตไว้ในความเมตตาเป็นมิตรต่อผู้อื่น
     
  17. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    เท่าที่ฟังญาติธรรมมา จะได้เมตตาบารมี และทานบารมีนะค่ะ ไม่ได้พูดถึงบุญ
    บารมีมีผลต่อการปฎิบัติภาวนาเหมือนกันนะค่ะ (คนมักคิดถึงบุญ แต่ไม่ได้คิดถึงบารมี)
    แต่ไม่ได้หมายความว่า คนปฎิบัติภาวนาแล้วไม่งดเนื้อสัตว์จะปฎิบัติได้ไม่ดี (ญาติธรรมเก่งๆ ที่รู้จัก ทานปกติค่ะ)

    ผลพลอยได้คือ อยู่ง่าย กินง่าย กินน้อย เมื่อก่อนดิฉันเป็นคนเลือกทานมากจนแม่รำคาญ ทุกวันนี้แม่บอกว่า ทำไมไม่กินแบบนี้(มังสะ) มาตอนอยู่กับแม่ ไม่บ่น กินอะไรก็ได้ เร็ว ง่าย เวลาหิวอะไรก็ต้องกินเลือกไม่ได้ และกินน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเหลือแค่ 2 มื้อ

    ถ้าในส่วนของกรรมปาณา เคยได้ยินเหมือนกันว่า ถ้าคนทำผิดข้อนี้มากๆ ควรงดเว้นเนื้อสัตว์ (กรรมก็จะเจ็บป่วยเยอะ) จะพอช่วยได้ ดิฉันเองแรกๆ ยอมรับว่า กินเพื่อสุขภาพ และพอมาทราบว่า การเว้นเนื้อสัตว์ช่วยบรรเทากรรมข้อนี้ได้ ทำให้ดิฉันเริ่มกินมาเรื่อยๆ จากเขี่ยออกและเป็นมังกินไข่ได้ 3 ปีแล้ว (ตั้งแต่เด็กก็ไม่ค่อยกินค่ะ ไม่ทราบเหตุผลตัวเองเหมือนกัน ปลายิ่งกินไม่ได้เลยเพราะที่ตลาดทุบหัวให้เห็นต่อหน้า)

    ถ้าฝากก็คงต้องกินแบบง่ายๆ ไม่เคร่งนักเพราะคนใกล้ตัวอึดอัดได้ อย่างดิฉันเอง พอไม่กินก็ได้กลิ่นไม่ได้ ไม่อยากเห็น ทำให้ไม่ค่อยอยากเข้าสังคม อันนี้ไม่ค่อยดีนักค่ะ
     
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ตั้งใจอ่านจะเห็นอรรถชัดเจน

    " เป็นเรื่องเข้าใจเฉพาะบุคคล "

    "ท่านสอนแก่ผู้ติดขัดในภาวะนั้น จึงให้ความกระจ่างในภาวะนั้น ยังผลให้ผุ้นั้นพ้นได้ แต่ไม่สามารถนำไปพิจารณาใช้กับ ผู้อื่นได้ทั้งหมดฯ เพราะสภาวะธรรม และฐานะธรรมแตกต่างกัน"


    ( หากไม่คิดพิจารณาให้กว้างขวาง และศึกษามามากจริงๆ ทั้ง ชาดก พระสูตรต่างๆ จะไม่มีทางรู้ตามเราได้ ให้เวลาตนเองหน่อย อย่าพึ่งรีบร้อน ค่อยๆพิจารณา )


    " ข้อคิดบางที ผู้ใหญ่ท่านอยากให้หายคลายสิ้นสงสัย ท่านก็วางหมากไว้ให้ลูกหลานที่เดินตามมา มาเดินเล่นต่อให้จบกระดาน "

    อุปมาเสมือนผู้มีปัญญารู้ทางเดินแล้ว ทำทางดีแล้ว เกรงผู้อื่นจะเดินตามทางไม่ทัน ก็หว่านโปรยเมล็ดกล้าพืชพันธุ์เอาไว้ เพียงพอให้รู้ แต่ถ้าตามมาช้ามาก ต้นไม้มันโตขวางทาง หญ้ารก ก็ถากถางฟันไปให้เป็นทาง จะได้เดินสะดวก

    เราพึงอธิบายแก้ไขตามหลักธรรมไว้ดังนี้ พอสมควรแก่เหตุ (ยังมีอีกมากในพระสูตรอื่นๆ)


    " ขณะกำลังจะลงมือฆ่า และลงมือฆ่าสัตว์แต่ละครั้ง รู้สึกอย่างไร? สัตว์ที่กำลังจะตายรู้สึกอย่างไร? และผลจากการกินเป็นอย่างไร? สัตว์อธิษฐาน สาปแช่ง หรือคิดอะไรก่อนตาย

    "โปรดพิจารณา หากสงสัยก็ไปศึกษาเพิ่มเติม จนกว่าจะเกิดปัญญารอบรู้จริงๆ"

    การตอบปัญหาของเรา " เรื่อง การกินเจ มังสวิรัติ หรือไม่กิน อย่างไหนจะดีกว่า ที่ชัดเจน กว้างขวาง และหายคลายสงสัยที่สุดในกาลนี้ ( ไม่ขออวดว่ารู้ดีที่สุด เพราะยิ่งกว่านี้ก็มีแต่ยังไม่เอามาเปิดเผย หรือผู้มีปัญญาทำให้ปรากฎ )"

    "ตามสภาวะธรรม ของเรา" ผู้ไม่รู้จริง ไม่พึงแก้

    ๐ ความแตกต่างให้นำไปคิดพิจารณา เมื่อสัมผัส เมื่อล่วงรู้ เมื่อปัญญาธิคุณมาก ย่อมสอดส่องไปถึงเหล่าเวไนยสัตว์อย่างกว้างขวาง ล่วงรู้การเกิดและดับของสรรพสัตว์ การ เกิด ขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสรรพสัตว์ทั้งมวล เมื่อมีผู้นำสัตว์มาฆ่าและปรุงถวาย พระผู้นั้นย่อมรู้ทุกๆลำดับขั้นตอนและอาการ จะฉันได้ไหม? สัตว์นั้น ถ้าท่านจะประสงค์ฉัน ภาวะจิตท่านย่อมโปรดแก่สัตว์นั้นโดยฐานะ เมื่อสัตว์นั้นล่วงรู้ว่าเนื้อตน เป็นประโยชน์แก่การเลี้ยงชีพของพระผู้นี้ สัตว์นั้นจะได้บุญหรือได้บาป สัตว์นั้นจะดีใจหรือเสียใจ นี่ฐานะคือพระผู้ทรงอภิญญาสมบูรณ์

    แต่หากเป็นพระผู้ไม่รู้ ไม่ทรงอภิญญา ก็จะสามารถฉันได้ตามปกติ เพราะตนก็ไม่รู้ ว่าใครทำ ใครตี ใครฆ่า เพื่อตน หรือเพื่อใครก็ไม่อาจทราบได้ ๐

    นี่คือ ความชัดเจน ชัดแจ้ง ที่เราอธิบาย

    เปรียบเทียบ แก้ไข ตักเตือน ชี้แจง ตามหลัก "อภิชาติบุตร" บุตรที่เกิดในธรรม


    "สัตว์ติรัจฉาน สำเร็จมรรคผลไม่ได้" อย่าไปเอา สัตว์ในน้ำ ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพราหมณ์ อาบน้ำในแม่น้ำคงคา มารวมกันจะไขว้เขว มันคนละกรณี นั่นสอน ว่าพิธีกรรมนั้นแบบนั้นมันไม่ถูก ไม่งั้นกุ้งหอยปูปลาคงเอวังฯ หมด(คิดตาม)

    พึงแก้ เรื่อง ฐานะอันมิใช่ฐานะ ของสัตว์อย่างละเอียดอ่อน สัตว์ติรัจฉานย่อมไม่มีทางบรรลุมรรคผลได้

    สัตว์สูงก็ตามต่ำก็ตาม ย่อมเกิดโดยกรรม มาเพื่อเสวยผลกรรมของตนเองที่ทำไว้ และเพื่อบำเพ็ญภาวะของตนเอง สามารถบำเพ็ญตนให้มีโพธิจิตเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ได้ แต่ไม่สามารถบรรคุณธรรมอันสูงได้ หากไปพิจารณาตามกัน ว่าช้างม้าวัวควาย มันกินแต่ผักแต่หญ้า มันคงสำเร็จธรรมก่อน นั่นไม่ถูก เพราะไม่ ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมดให้ถ่องแท้ มีผลเสียแก่ผู้รับฟังและปฎิบัติตามในภายหลัง ทำให้หลุดออกจากกระแสธรรม

    ให้ความรู้เรื่อง การกินเนื้อสัตว์

    ชาติหนึ่ง พระเตมีย์ สละตนออกจากราชสมบัติ กินแต่ใบไม้ มันยิ่งกว่ากินเจ เรื่องนี้ ตราบใดก็ตาม ที่ยังไม่เข้าใจคำว่า * มหาวัฎรปฏิบัติ * ก็ย่อมยากที่จะเข้าใจ ถึงการบำเพ็ญบารมี ที่เราไม่ได้เฝ้าด้วยสายตา หรือกล้องวงจรปิด ก่อนที่พระมหาบุรุษจะสำเร็จธรรม ท่านทำกิจใดบ้าง และทำยังไง ทำขนาดไหน มันยิ่งกว่านักวิจัย

    เห็นพูดเรื่องไม่ทานเนื้อสัตว์ เรื่องการถือศีล จากการทานเนื้อ ผู้เยาว์ จึงอยากอธิบายพอสังเขป อย่างเป็นกลางๆ โดยไม่ประสงค์ให้ขัดทรรศนะคติของผู้ใด มันเป็นเรื่องของผลของการอธิษฐานจิต ด้วยสัจจะอันตั้งมั่นว่าจะไม่เบียดเบียน สังหารฆ่าชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงด้วยตนเอง หรือวานให้คนอื่นกระทำเพื่อตน หรือส่งเสริมให้มีการฆ่าเพื่อมาตน พึงได้มาซึ่งอาหารเลี้ยงชีพ อย่างตามมีตามได้ แต่ไม่ใช่ว่าได้รับอะไรมา ก็กินหมดทุกๆอย่างๆ เหมือนกับการที่ไม่ต้องกังวลว่า อาหารใดๆที่ได้ใส่บาตรไปแล้ว ซึ่งประเคนแล้ว เพื่อกุศล ผลบุญก็พึงได้ตั้งแต่คิดจะให้แล้ว(ก่อน ,ขณะ หลัง) จะประสาอะไรกับตอนท่านฉันแล้ว หรือไม่ฉันบิณฑบาตรนั้น

    ตอนที่ท่านฉันหรือจะฉันหรือหลังฉันท่านก็มีการพิจารณา ซึ่งธาตุอยู่ อะไรๆก็สักแต่ว่าเป็นธาตุ และถ้าต้องอิ่มอย่างฝืนทนต้องฉันไป หรืออิ่มอย่างไม่ตั้งใจจะฉัน ท่านผู้เจริญแล้ว ท่านก็จะพิจารณาอันบิณฑบาตรนั่นเอง ว่าจะฉันหรือไม่ฉันดี หรือ ฉันไปเพื่ออะไรหรือไม่เพื่ออะไร มันเป็น มรรคผลของท่านเอง เมื่ออาหารนั้นได้ประกอบมาซึ่ง อาชีวะบริสุทธิ์ อันผู้มีปกติขอดังนี้แล้วซึ่งด้วยฐานะ ก็ไม่ใช่หน้าที่เราไปพิจารณาแทนท่าน

    ผลของการฉันหรือทาน หรือการถือศีลอดมีอยู่ ไม่ว่าบรรพชิต นักบวชใดๆ ตลอดจนฆราวาส มีอยู่ แต่ผลของมัน อาจแตกต่างกันไป ตามแนวทางของบารมีธรรม บุคคลผู้หนึ่ง ในชาติหนึ่งๆ อาจสามารถ บำเพ็ญบารมีตนได้หลายอย่าง ในคราเดียวกัน หรือ อย่างสองอย่าง หรือไม่ก็อย่างเดียว ในปัจจุบันกาลสมัยนี้ ยิ่งมีสิ่งล่อใจมาก หากหลุดออกจากวงอโคจรนั้นได้ สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว ย่อมมีผลดีมาก ไม่ว่าจะทำกิจใด ไม่ใช่แค่ เรื่องอาหารการกินเพียงเท่านั้น การกิน การอยู่ การหลับ การนอน การเดิน ทุกๆอย่างที่ เคลื่อนไหวก็ดี อยู่กับที่นิ่งๆก็ดี ไม่ว่าในอริยาบทใดๆ จะเป็นกรรมที่ให้ดำ ให้ขาว หรือไม่ให้ดำ ไม่ให้ขาวก็ดี ล้วนมีผลอยู่ ด้วยกันทั้งนั้น อากัปกิริยาใดๆ อันจะไม่ให้บังเกิดอะไร มาทดแทน หรือ ว่างเลย เพราะก่อนจะมีอะไรสักอย่าง หรือไม่มีอะไรสักอย่าง มันต้องมีอะไรอยู่ จึงเรียกความว่าง หรือไม่ว่าง ( ที่เหลือจากนี้ ก็ไปหาความเข้าใจกันเอง ถึงสัจธรรมที่มีอยู่ )

    ผลของการไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็ง่ายสำหรับวิญญานต่างๆ สัตว์บางชนิด บ้างก็อธิษฐานยอมที่จะเกิด เป็นสัตว์ที่ต้องมีอายุสั้น ตายเร็วๆ เพื่อการพ้นชาติได้อย่างรวดเร็วในผลกรรม จะได้ไปเกิด คือสิ้นผลกรรม นั้นแล้ว เพื่อไปเกิดในภพภูมิอื่น เราท่านเองไม่ว่าใครๆ ล้วนย่อมต้องเวียนว่ายในสังสารวัฎร ต้องพานพบประสบพบเจอกันมากมาย บ้างก็คิดดี บางก็คิดไม่ดี ก่อกรรมเวียนกรรม ต่อกันและกันซึ่งแล้วซึ่งเล่า หลายภพหลายชาติ ไม่รู้จบจนกว่าจะได้อมตะธรรม เหมือนความตั้งใจก่อน ขณะปฏิบัติและหลังปฏิบัติ ซึ่งด้วยเจตนา ๓ ต้องเป็นไปในทางเดียวกันจึงจะเกิดผล นั้นคือ ความรู้สึกตัว ความมีสติ จะทำการใดๆ ก็ตามหากนำ เจตนา๓ มาจับ ในกิจทุกอย่างที่จะพึงทำ ไม่ว่าอะไร ที่จะทำ มันผูกพัน ต่อเนื่องกันไปหมด

    ซึ่งในธรรมทั้งหลายฯ เป็นขั้นเป็นตอน เหมือนเดินขึ้นลงบันใด หรือเปิดประตูที่ซ้อนกันหลายบาน ด้วยการไขลูกบิด แม่กุญแจ ฯลฯ แล้วแต่บุญใคร สั่งสมมาดี มันก็ไปเร็ว มาช้าก็ไปช้า จะไปลัดหน้าลัดหลังกันไม่ได้ คือใครทำบุญมาอย่างไร แต่กาลก่อน ประสงค์อย่างใดจะต้องได้อย่างนั้น แสวงหาอะไร ย่อมได้อย่างนั้น ในสักวัน ไม่ชาติภพใดก็ตาม แม้ไม่อยากจะได้ ไม่มีปัญญาจะได้ก็ต้องได้

    การไม่ทานหรือทานซึ่งเนื้อสัตว์ ก็ควรเป็นไปตามกำลังศรัทธา ตามบารมีธรรม ตามอุปนิสัยรสนิยม ของตน พระเทวทัตเองท่านก็ไม่ใช่ต้นบัญญัติแรกในโลกธาตุนี้ หรือโลกธาตุไหนๆ ที่ห้ามโดยปราถนา ห้ามไม่ให้ทานเนื้อสัตว์ การที่ท่านทำไป เจตนาท่านก็เพื่อหวังจะข่มบารมีธรรมของพระพุทธองค์(อนันตริยกรรม)

    เพื่อแสดงตนหวังจะเอาชนะ ด้วยการที่ว่าเคร่งครัดกว่า หลายต่อหลายวิธีการ เพื่อ ลาภ สักการะ สรรเสริญ เพื่อความเป็นใหญ่ ฯลฯ(หาข้อมูลหรือภูมิรู้เอาเอง) ด้วยเป็นบุพกรรมที่ตามกันมาหลายภพหลายชาติ ไม่ใช่ว่า พระเทวทัต จะเกิดมาเพื่อ เสนอข้อบัญญัติ ๕ ประการ เพียงเท่านั้น สรุป ก็ถูกปกิเสธไป ไม่ทรงอนุญาติ อ้างข้ออ้าง จนทำให้เกิด สังฆเภท ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่า เรายังไม่มีญานที่หยั่งรู้ได้ถึง ใน ภัทรกัปป์ ก่อน ๆ

    สรุป เดี๋ยวค่อยว่าต่อ ใครอยากกินอะไร แบบไหน เลือกได้ก็เลือก เลือกไม่ได้ ก็ไม่ต้องเลือก หรือเลือกจะอด ครึ่งๆ กลางๆ ข้างๆ คูๆ อย่างไรก็แล้วแต่ อาหารที่ปราณีตกว่านี้ ก็ยังมีอยู่ หรืออาหารทิพย์ ทั้งหลาย ฯ พวกเทพ พรหม เทวา ไงล่ะ ! ไม่เคยกิน ไม่เคยเห็น หรือยังระลึกชาติ เห็นตามไม่ได้ ก็ไม่ใช่ ปัญหาอะไร ที่จะมาถกเถียงกัน เพียงแต่ว่า เราอยากรู้จากผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กัน จนได้มาพบมาเจอ มาพูดคุย มาเจอะเจอกัน

    ซึ่งสามารถเจอได้ทั้งในทุกๆที่ ทุกๆเวลา ทุกๆสถานที่ ทั้งในพยัญชนะ อรรถ ฯลฯ ในสภาวะทั้งหลาย ซึ่งคงอยู่ในอย่างว่าแต่ ในองค์กัลยาณมิตรเลย แม้แต่เจ้ากรรม นายเวรที่มีความอาฆาตแค้นต่อกันและกัน มันยังมารวมสุมหัวกัน คอยแทะคอยแกะเกา รบกวนซึ่งบาทากันและกันแม้แต่ในสารพัดเว็บสารพัดบอร์ด กระทู้ คอมเม้น สื่อสารสนเทศ ฯลฯ

    สำหรับผู้มีภูมิรู้ เรื่องธาตุ (เหล็กไหล) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นของทิพย์วิเศษ เคยเห็นเหล็กไหลกิน อาหารคาวไหม? หรือ เรื่องกลิ่นตัวมนุษย์ที่เหม็นสาปดั่งหมาเน่าก็มิปาน นั่นแหละที่ทำให้ห่างไกลชาวทิพย์ คนบางคนหลายคนทั้งชาติ วาสนาที่จะได้พานพบ แทบไม่มีเลย ที่จะสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้ ได้เจอเจอ พวกสัมภเวสี ผีน้อยต่างๆนานา คือเจอแต่ของธรรมดา ไม่เจอของวิเศษ คนที่สัมผัสกลิ่นอยู่เป็นนิจ มีชิวหาคานะวิญญานฯ บริบูรณ์ เขาจะได้กลิ่นสาป แม้ตนเอง

    อย่าว่าแต่ ผู้อื่น หรือบุคคลอื่นเลย ด้วย ทิพยโสตต่างๆ ที่ได้มาจาก สามัญผลของการปฏิบัติ ที่สั่งสมมาหลายภพหลายชาติ คนบางคนเดินยังไม่ทันเข้าถึงตลาดสด เจอกลิ่นเนื้อ กลิ่นเลือด ของสัตว์เข้า ก็เหมือนเจอกำแพงกั้น ให้เดินต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะกายเขา รับไม่ได้ บางท่านกินเนื้อสัตว์แล้วป่วยก็มี เพราะกรรม และบารมีสร้างมาแตกต่างกัน ผิวพรรณ กลิ่นตัว ฯลฯ ที่ยืนยัน สำหรับผู้ได้ครอบครอง ธาตุกายสิทธิ์ อันแท้จริง จะไม่สามารถ อดทนหรือกินเนื้อสัตว์ได้ หากฝืนกิน จะเป็นฝีหัวฝีต่างๆหัวฝีระลอกเป็นต้น ฯ

    ฉนั้นผู้ที่ คิดว่าได้ฝังธาตุ มีธาตุกายสิทธิ์ในครอบครอง แล้วยังฝืนกินของคาวอยู่ ก็ต้องเผชิญเหตุนี้ โดยไม่มีทางหนีพ้น ยกเว้น จะมีกลิ่นของการบำเพ็ญศีลอันบริสุทธิ์ ครอบคลุมอยู่ คนบางคนเกิดมาไม่รู้ว่าตนเอง ไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ ก็เลยตามเลยปล่อยจนหน้าตา ผิวพรรณเละเทะ ดำเมี่ยง ฝ้าขึ้นเต็มหน้า ถ้าอยากเลิก อยากหยุด ไม่ใช่ว่าเราจักกินให้สวยให้งาม แต่กินให้โรคาพยาธิรังควาญน้อย นี่สำหรับผู้ยังสติ ส่วนผู้ไม่มีสติ กินทะลุโลกต่อไป

    ถ้าเจตนาก่อนกิน ได้นึกถึงเลือดถึงเนื้อเขาบ้าง ว่าเราได้อุทิศ ผลบุญฯต่างๆให้ด้วยใจบริสุทธิ์ โดยหวังให้พ้นทุกข์ ก็อนุโมทนาบุญฯให้เขาไป อธิษฐานก็ได้ว่า ขอให้เลือดและเนื้อเหล่านั้น ของเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จงส่งผลเฉพาะแก่การเจริญในธรรม ไม่ใช่กินเพื่อมีเรี่ยวแรงเพื่อไปทำบาป สร้างกรรมต่อ นี่ผลบุญฯก็มากแล้ว ว่าด้วยพิจารณา เขาคงไม่ยินดีนักหรอกที่ตอนขณะ ถูกเชือด ถูกทุบด้วยของแข็ง ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด ด้วยน้ำมือ ผู้ค้าชีวิตผู้อื่น (ค้าไม่เป็นธรรม)

    ยิ่งรวมกันมาก เหมือน กับภาพสัตว์นรก ถูกต้อนให้เดินเรียงคิว ไปทรมานตามกรรมตามเวรที่ได้สร้างไว้ เสียงร้องโหยหวน ความเจ็บปวดทุกข์ทนทรมาน ตายทีละตัวหรือหลายตัว เรียงร้องขอชีวิต สาปแช่ง ความแค้น การสาปแช่ง หลั่งสารโน้นนี้ที่เป็นพิษออกมา ของสรรพสัตว์ ที่ถูกกระทำ ทั้ง สับ ต้ม ย่าง ปิ๊ง อร่อยนักแลฯ ไม่ต้องทำหรอก แค่คิด หรือมีจิตยินดี สนุกสนานตามที่ผู้อื่นลงมือกระทำการเบียดเบียด ก็เป็นผลเสีย ซึ่งให้แก่ผลกรรมแล้ว คือ ความเบาบางของจิต จะมากน้อย ก็เป็นไปตามขันธ์ของสรรพสิ่งนั้นๆ ตามสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ไม่ใช่ว่า ปรสิต ไส้เดือน เจ็บปวดแบบไหน ช้างหรือ ได้โนเสาร์ตัวใหญ่ๆมันจะเจ็บแบบนั้นด้วย บางตัวคลั่งสนุก ชื่นชอบความเจ็บปวดเสียด้วยซ้ำไป

    มนุษย์ บ้างก็เรียก ว่าโรคจิต ประเภทซาดิส อะไรนั่น บางโลกก็มี บางโลกธาตุก็ไม่มี อะไรที่เรายังไม่เคยเห็นก็อย่าไปคิดว่าไม่มี หรือมี สรุปแต่เหตุ อวิชชาและตัณหาทั้งหลาย มันจึงทำให้ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เรา ท่าน ฉัน เธอ ฯลฯ หลงอยู่เนี่ย จึงได้ผุดได้เกิดอยู่เสมอๆ

    ถึงคราวจำเป็น ต้องกิน หรือถึงคราวสละ ไม่ต้องกิน ก็กินให้มีแนวทาง ไม่ใช่กินอิ่มแต่ท้อง กินเพราะแค่อยากกิน ลิ้นกับลำไส้ น้ำย่อย มันเหม็นคาว ต่อให้กินของหอมหวานมากขนาดไหนไป จะอ๊วกออกมาทางปาก หรือจะผ่าออกกลางท้อง หรือจะโผล่ออกมาทางทวารใด ก็กลายเป็นของเน่าเสีย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ( ยกเว้นอาหารอันเป็นทิพย์)

    ผู้เยาว์มีอยู่สี่ทางเพื่อให้ปฏิบัติ 1. กินหรือไม่กินเพื่อดำรงชีพเพื่อการโปรดเวไนยสัตว์ 2.กินหรือไม่กินเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อตนเอง 3.กินหรือไม่กินเพื่อตนเองและผู้อื่น 4.กินหรือไม่กินเพื่อยังประโยชน์เพื่อตนเองและผู้อื่น อย่างที่ 4 นี้ประเสริฐที่สุด โปรดจง ไตร่ตรองตาม ให้เห็นจริง อ้างจาก ( *ฉ* ...สูตร )

    ผู้มีปัญญาเมื่อไตร่ตรองตามแล้ว จะเห็นและเข้าใจอรรถอย่างชัดแจ้งและแท้จริง

    ขออนุโมทนาบุญฯ
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    บุญ กุศลกรรม

    จขกท สร้าง กุศลกรรม อะไรบ้างหรือป่าวครับ ก็ย่อมได้รับผลบุญตามนั้น
     
  20. manymoons123

    manymoons123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +416
    ผมไม่ได้สร้างบุญกุศล มากมายอะไรครับ

    ได้ทำไปบ้าง ก็ยังถือว่าเล็กน้อยมาก ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...