วิชชามโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นการสอนคนให้ติดนิมิตใช่หรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผู้มีจิตอันตั้งมั่น, 6 กันยายน 2005.

  1. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +283
    ผู้ที่ยังไม่มีกิเลสที่ประณีตย่อมไม่เห็นนิพพานที่แท้จริง จะยังคงเห็นนิพพานเป็นเขตแดน อนุโมทนา
     
  2. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    เจ้าของกระทู้ถามว่ามโนมยิทธิเป็นการสอนคนให้ตินิมิตรหรือไม่ ผมขออณุญาติตอบดังนี้นะครับ

    ไม่เป็นการติดนิมิตรครับ เพราะมโนมยิทธิตามที่หลวงพ่อสอนต้องใช้นิมิตรเป็นพื้นฐาน เมื่อจำเป็นต้องใช้เราก็ต้องใช้ อุปมาเหมือนมีดอกไม้สวยจับใจ ถ้าคุณมามัวแต่หลงไหลมันก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่ถึงคราวเราต้องใช้ประโยชน์เราเด็ดไปไหว้พระไหว้ครู มันก็ถูกต้องตามวาระและโอกาสของมัน หรืออย่างไฟฟ้ามันมีโทษช๊อตคนตายได้ แต่เราก็ต้องใช้มันหุงหาอาหารให้แสงสว่างนิมิตรก็เหมือนกันคือมีคุณและมีโทษ

    คำถามของคุณเหมือนกับถามว่า "ไฟฟ้ามันเป็นอันตรายกับคนโดนช๊อตเข้าไปล่ะก็ตายแน่ แล้วเราเอามาหุงข้าวกันมันจะมีอันตรายไหม" ทุก ๆ อย่างมันมีคุณและมีโทษของมันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรแน่นอน แม้แต่องค์กสิณที่เราเพ่งมันก็เปลี่ยนรูปเปลี่ยนสีของมันไปได้ เกิดขึ้นได้ หายไปก็ได้

    นินิตรควรจะละทิ้งเสีย เมื่อคุณปฏิบัติทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับมัน เช่นอาณาปาณสติ เพราะในตอนนั้นจิตมีหน้าที่จับลมหายใจเท่านั้น ไม่ใช่จับนิมิตร ถ้าไปจับนิมิตรถือว่าใช้ไม่ได้ เมื่อเกิดนิมิตรในอาณาปาณสติ ให้วางอุเบกขาเสีย ไม่ไปสนใจกับมัน

    นิมิตรควรตั้งมั่นเป็นอารมภ์ เมื่อคุณฝึกด้านกสิณ หรือด้านอื่น ๆ ที่ต้องใช้นิมิตรเป็นพื้นฐาน วิชากสิณทั้ง 10 กองนี้พระพุทธเจ้าท่านก็สอนมา มันจะเป็นของเลวไปไม่ได้หรอก นอกจากว่าเราไม่ได้ใช้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าเกิดนิมิตรในกสิณแล้ว ถือว่าเป็นของดี

    หลวงปู่มั่นท่านก็สอนถูกแล้ว หลวงพ่อฤษีลิงดำท่านก็ไม่ได้สอนผิด แต่ความเข้าใจของเราเองที่คิดว่าของฉันถูกอยู่อย่างเดียว นี่มันไม่ได้เรื่องเลย ขนาดใบไม้ในกำมือเดียวกันแค่มันคนละใบกันเท่านั้น เรายังต้องมานั่งถกเถียงกัน ถ้าวันหนึ่งเราไปเจอใบใม้นอกกำมือเข้า เขาคงกลายเป็ยสิ่งชั่วร้ายในสายตาพากเราไปเลยหรือเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2008
  3. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ภาพที่เห็นจริง สิ่งที่เห็นไม่จริง ก็คือ
    ท่านหมายถึงนิพพาน คือ ภาพน่ะถูก แต่ไอ้ที่เห็นหน่ะ เป็นพุทธนิมิตร
    เป็นบารมีพระพุทธเจ้าท่านมาปรากฎแสดงให้เห็น

    มโนมยิทธิ มีครึ่งกำลัง เข้าอุปาจารแล้ววิปัสนา ก็สามารถทำได้
    กับมโนมยิทธิแบบเต็มกำลัง ต้องเข้าถึงฌาน 4 แล้วกายใน(จิต) จะถอนออกมา เหมือนชักใส้หญ้าออกจากปล้อง ฉันนั้น

    มีบาทเหมือนกัน คือ จับภาพพระ ภาวนา นะมะพะทะ(ความจริงภาวนาอย่างอื่นก็ได้ พุท โธ ยังได้เลย) เป็นกสินอันจะทำให้เกิดทิพจักขุญาณ

    นิมิต มีหลายอย่าง
    นิมิต หมายถึง ดวงกสิน อย่างหนึ่ง เป็นองค์พิจารณาให้จิตรวมเป็นสมาธิ
    นิมิต หมายถึง ภาพที่ปรากฎ อย่างหนึ่ง เป็นภาพที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเข้าถึงอุปาจารสมาธิ
    นิมิต หมายถึง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ อย่างหนึ่ง เป็นเครื่องบอกให้ทราบ อาจจริงก็ได้ เท็จก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตตั้งมั่นหรือไม่ หรือมารหลอก

    ฯลฯ เท่าที่คิดได้ก็มีแค่นี้

    มโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง หลวงพ่อท่านให้ทำนิมิต ที่หมายถึงดวงกสิน เพื่อทำให้จิตสามารถเห็นนิมิต ที่หมายถึงภาพในขณะจิตเป็นอุปาจารสมาธิ หลวงพ่อให้เลิกภาวนาแล้วฟังคำแนะนำ เพื่อน้อมจิตให้อ่อนโยน เข้าสู่โคตรภูญานชั่วขณะ จิตใจจะได้ใสสะอาด สามารถติดต่อกับพระได้ ก็เพื่อขอบารมีพระให้แสดงนิมิตร ภาพสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ รวมถึง นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน ซึ่งหากจิตตั้งมั่นดี มีวิปัสนาญานดี ภาพจะชัดเจน แจ่มใส สามารถพยากรณ์ได้ ตามความเป็นจริงทุกประการ

    จากนั้นก็สอนไม่ให้ยึดติด สอนวิปัสนา สอนให้เห็นตามความเป็นจริงว่า นรกมีรองรับคนเลว สวรรค์มีรองรับคนดี พรหมมีรองรับคนที่ได้ฌาน นิพพานมีรองรับพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ธรรมคำสั่งสอนใดๆ ของพระพุทธเจ้ามีจริง เกิดการละสังโยชน์ 3 คราวนี้ก็เป็นพระโสดาบันได้เลย

    สุขวิปัสโก ยากมาก เพราะไม่เห็นจริง ต้องอาศัยเชื่อตามล้วนๆ ตามเหตุปัจจัย ข้อนี้ทำคนหลงมามากแล้ว

    อย่างอื่น ยากยิ่งกว่า เพราะการทำฌานให้เกิด เพื่อพิสูจน์ธรรมะนั้น ยากกว่าการอาศัยความเชื่อ ยิ่งถ้าเป็นปฏิสัมภิทปัตโตแล้ว ยิ่งยากที่สุด หากไม่เคยทำบารมีไว้ก่อนแล้ว ไม่ได้ง่ายๆ เพราะต้องได้ฌานสมาบัติ 8 กรรมฐาน 40 กอง คล่องในพระไตรปิฎก ต้องแตกฉานทุกภาษา แม้ภาษาสัตว์ ย่อธรรมได้ไม่ผิด ขยายธรรมได้ไม่เพี้ยน หรือที่เรียกว่าเทศน์ได้อัศจรรย์

    คุณคิดดูละกัน สร้างบั๊งไฟ กับยานอวกาศ อันไหนทำยากกว่ากัน อันไหนจะมีเยอะกว่ากัน คิดสิคิดสิคิด

    แล้วอย่าคิดว่าการทำฌานให้เกิด ไม่ใช่ทางบรรลุธรรม พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเตวิชโชนะครับ คือระลึกชาติหนหลังได้เป็นอันมาก รู้วาระสัตว์เกิด ว่ามาจากไหน ตายแล้วไปไหน เพราะกรรมอะไร และสุดท้ายก็ลงที่รู้วิธีดับทุกข์ จนเป็นพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์บริบูรณ์ขึ้นมา ก็ได้สัพพัญญูตญาณ คือ รู้ได้สารพัดทุกสิ่งอย่าง


    อื่นๆ หลายท่านตอบไว้ดีแล้วครับ
    ขอบคุณ จขกท. ที่ถาม
    ขอบคุณ ทุกท่าน ที่ตอบเป็นประโยชน์
    ขออนุโมทนาใน กาเลนะ ธรรมะ สวณัง เอตัม มังคละ มุตตมัง
     
  4. LNS@BDZ

    LNS@BDZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +1,585
    ในฐานที่ผมมีความเข้าใจด้านนี้ และมีประสบการณ์มาพอสมควร ก็ขออนุญาตแยกตอบเป็นข้อๆ เลยนะครับ

    1.ที่คุณบอกว่า การที่มนุษย์เราซึ่งยังไม่สามารถละกิเลสได้จะสามารถถอดจิตแล้วไปนิพพานขึ้นไปหาพระพุทธเจ้าได้ ทั้งที่พระนิพพานก็มีอธิบายไว้อย่างละเอียดว่าเป็นดินแดนที่ผู้มีกิเลสมิอาจล่วงไป จริงๆแล้ว การฝึกของจริง หลวงพ่อท่านแนะนำให้ตัดกิเลสบางตัวก่อนชั่วขณะนั้น เช่น สีลัพพตปรามาส และวิจิกิจฉา ท่านจะให้รับไตรสรณาคมน์และสมาทานศีลด้วยความเคารพก่อนการฝึกทุกครั้ง เพื่อให้มีการรักษาศีลอย่างมั่นคงในเวลานั้น และไม่มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย แล้วเวลาฝึกที่หลวงพ่อให้ครูฝึกแนะนำการตัดกิเลสเป็นวิปัสสนาญาณ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของการเกิดเป็นมนุษย์ และการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ตรงนี้ก็เป็นการตัดสักกายทิฏฐิ คือการเห็นว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา กิเลสทั้ง 3 อย่างที่ยกมานี้ เป็นสังโยชน์ 3 อย่างที่ต้องตัดเป็นอันดับแรกเพื่อเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ดังนั้น จิตในขณะที่พบพระนิพพาน จึงเป็นโคตรภูญาณอย่างอ่อน เริ่มเข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้ว จึงสามารถสัมผัสและเห็นพระนิพพานได้เป็นเบื้องต้น ดังนั้นเลยจึงกล่าวได้ว่า คนที่ฝึกแล้วเข้าถึงพระนิพพานได้นั้น อย่างน้อยสังโยชน์ต้องเบาบางลงบ้างแล้ว จึงไม่ใช่ว่าคนมีกิเลสจะเข้าไปดูนิพพานได้ด้วยการฝึกทุกคนไป

    2.ที่คุณบอกมาว่า ถ้ายังงั้นคนที่ถอดจิตถอดวิญญาณได้ก็คงบรรลุอรหันต์หมดทุกคน เพราะสามารถไปนิพพานได้ คงไม่ต้องเพ่งพิจารณาทำวิปัสสนาให้เมื่อยตุ้ม เพราะเพียงแค่ทำจิตให้ติดนิมิตก็ได้บรรลุอรหันต์ จริงๆแล้ว ผู้ที่ถอดจิตถอดวิญญาณได้ ถ้านับตามทางพระพุทธศาสนา คืออย่างน้อยที่สุดต้องได้จตุตถฌาน หลวงพ่อกล่าวไว้ว่าสมาธิเปรียบเสมือนแรงจับอาวุธ วิปัสสนาเปรียบเสมือนอาวุธ ต้องมีทั้งสองอย่างคู่กัน จริงๆ แล้ว คนที่ทำสมาธิจนถอดจิตถอดวิญญาณได้นั้น ก็ไม่ต้องทำวิปัสสนานานๆ ให้เมื่อยตุ้ม กำลังจิตของจำพวกนั้นดีมาก จับอารมณ์วิปัสสนาวันสองวันก็บรรลุพระอรหันต์แล้ว

    3.ที่คุณบอกมาอีกว่า การที่ทำสมาธิถอดจิตได้แล้วไปท่องนรกสววรค์ล้วนเป็นเรื่องของการติดนิมิตทั้งนั้น เรื่องของการถอดจิตนั้น จริงๆ เป็น 1 ในวิชชา 8 เรียกว่า "มโนมยิทธิ" ซึ่งพระอรหันต์หลายๆ ท่านก็ทำได้ ถ้าจะว่ามโนมยิทธิเป็นเรื่องการยึดติดนั้น พระอรหันต์ไม่มีการยึดติดแล้ว จะด่วนสรุปว่ามโนมยิทธิเป็นการยึดติดนั้น ก็ไม่ใช่วิสัยที่ปุถุชนจะด่วนสรุปได้ครับ

    4.แล้วก็ที่คุณบอกมาอีกว่า ปุถุชนคนธรรมดา ถ้ายังเสพกามคุณ 5 อยู่ มิอาจทำจิตให้เป็นฌานได้เลย อย่างมากก็ได้แค่ขั้นอุปจาระ สามารถถอดจิตถอดวิญญาณได้เท่านั้น จริงๆ แล้ว ฌานเป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ ครับ ไม่เกี่ยวข้องกับทางกายภาพใดๆ ทั้งสิ้น มีหลายๆ ท่านในบอร์ดนี้ที่ยังเป็นฆราวาส เสวยกามคุณอยู่ ได้ฌานสมาบัติก็เยอะนะครับ

    5.ผมเองก็อยากทำความเข้าใจนิดนึง ว่าหลวงพ่อท่านนำมโนมยิทธิมาสอน จริงๆ ก็มีจุดประสงค์เพื่อกันความคิดมิจฉาทิฏฐิในลูกศิษย์ของท่าน ท่านรู้อัธยาศัยของลูกศิษย์ท่านดีว่าต้องเห็นกับตาถึงจะเชื่อ จึงนำ"ความรู้พิเศษ"นี้มาสอน แล้วท่านก็รู้ดีว่าคนที่เข้ามาหาท่าน มาฝึกกับท่าน ส่วนใหญ่เป็นพวกอยากรู้อยากเห็นไปหมด ถ้าจะเอากรรมฐานใดกรรมฐานหนึ่งในกรรมฐาน 40 หรือจะเอาในมหาสติปัฏฐานสูตรมาสอน ท่านเห็นว่ากว่าจะได้รู้ได้เห็นก็เป็นเวลานาน ดีไม่ดีลูกศิษย์ท่านจะเบื่อ ทิ้งกรรมฐานซะก่อน ก็ไม่ได้ผล ท่านเลย"หลอก"ให้เจริญกรรมฐาน โดยสอน"ความรู้พิเศษ"นี้ พอเห็นผลทันตา ก็ตั้งใจเจริญกรรมฐานจนประสบผลสำเร็จไปหลายคนแล้ว จริงๆ วิธีการแบบนี้ ใช้มาตั้งแต่รุ่นครูบาอาจารย์สมัย ร.5-ร.6 แล้ว คืออยากทำอะไร ก็สอนตรงนั้น เช่น อยากหนังเหนียว คงกระพันชาตรี ก็ให้คาถาพวกหัวใจต่างๆ ไปภาวนา คนที่ภาวนาก็ได้ฌานโดยไม่รู้ตัว เพราะครูบาอาจารย์ท่านก็ให้ภาวนาทุกวัน เป็นการรักษาฌานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แถมหนังเหนียว คงกระพันชาตรีอีกตะหาก จากตรงนี้มีอยู่ไม่กี่ท่านที่ได้"อภิญญา"เป็นที่เลื่องลือ แต่นึกไม่ถึงว่าเป็นอภิญญา ที่รู้จักกันดีท่านหนึ่งคือเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระองค์ท่านมีตำนานหลายอย่างที่เป็นที่เลื่องลือ เช่น หายตัวลงไปอยู่ในโหลแก้ว ตรงนี้ถ้าไม่ใช่อภิญญา พระองค์ก็ทำไม่ได้ ก็ยกตัวอย่างมาเท่านี้ก็เพียงพอ

    ก็ฝากไว้ว่า ถ้าจะวิจารณ์อะไร ก็ศึกษาให้ดีก่อนทุกแง่มุม ไม่ใช่มองมุมเดียวแล้วมาพูด การมองด้านเดียว แล้วมาบอกคนว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เหมือนตาบอดคลำช้าง บอกว่าช้างเป็นกำแพง เป็นพู่กัน อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มาเถียงกันกะคนอื่น จะได้ผลเสียมากกว่าผลดี ก็ฝากตรงนี้ไว้ด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...