ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมเข้าใจว่า อัดเอาแสงสว่างที่เป็นลูกแก้วนี้เอาไว้แล้วปั่นอยู่ภายใน จนเกิดกำลังขึ้น...
    ที่ผ่านมาอาวุธพวกจักรและตรี ยังไม่เห็นครับ...
    เห็นแต่ดอกบัวที่เป็นแก้วผลึก ...เห็นตัวเองนั่งอยู่บนดอกบัวที่เป็นแก้วผลึก แล้วมีดอกบัวที่ใหญ่กว่าซ้อนลงไปเรื่อยๆ ซ้อนอยู่ 9 ชั้น เหมือนเป็นรูปฉัตร แล้วผมนั่งอยู่ที่ดอกบัวบนสุดที่อยู่ยอดฉัตร...
    ส่วนลูกกลมๆสว่างจ้านี้อยู่ที่กลางฝ่ามือเวลานั่งสมาธิ ถ้าพนมมือสวดมนต์ก็จะอยู่ระหว่างฝ่ามือ และเป็นตำแหน่ง แถวๆลิ้นปี่...คือที่มือก็มีลูกกลมๆสว่างๆ ที่ดาก ก็มีดอกบัวอยู่แบบนี้แหละครับ...

    เฮ้อ......ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำหรอกครับ...มันเกิดขึ้นเอง...ผมก็รู้เห็นแบบนี้...แต่ไม่เข้าใจอะไรกับสิ่งที่รู้ที่เห็นหรอกครับ...
    งง...ง...
     
  2. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ถ้าป๋าRaming ยังมีอาการปวดข้อ ปวดเข่าอยู่ แนะนำให้กิน Collagen Type II
    Collagenมีหลายชนิด Type II จะไปช่วยเสริม ซ่อมแซมกระดูกอ่อน
    ที่เคยกินอยู่เป็น COLLA FLEX ของ Unicity ญาติหลายๆคน ต่างวัยกินแล้วได้ผลดีเพราะข้อต่อมันมีสารประกอบนี้โดยตรงอยู่แล้ว
    ดูแลร่างกายมันหน่อย เดี๋ยงงอนประท้วงเอาได้นะครับ
    ปล. ไม่ได้เป็นผู้ขายเน้อ
     
  3. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    นอกจากคอลลาเจนแล้ว (ช่วยเพิ่มคอลลาเจนทำให้กระดูกไม่เบียดกันมาก) ยังมีสารสกัดจากขมิ้น (สกัดในรูปแบบไฟโตโซม ทำให้ดูดซึมได้ดีกว่าทั่วไป 10 เท่า )..สกัดเอาเคอคูมินช่วยลดอาการข้ออักเสธ เหมาะกับคนปวดข้อ
    และที่มาแรงแซงทางโค้งคือ กระชายสดคั้นเอาน้ำ(ด้วยวิธีตำ) กินผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเช้าเย็น (จากเฟส)ทำให้มวลกระดูกหนาแน่นเพิ่มขึ้น ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2015
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ใช่คับตามตำแหน่งที่ลิ้นปี่
    แม้ว่าจะเกิดจากต้นพลังงานแบบไหนก็ตาม
    ถ้าทำจนเห็นว่าเป็นแก้วใสลอยอยู่
    นอกร่างกายห่างลิ้นปี่ประมานหนึ่งฟุต
    ก็จะพร้อมใช้งานได้แล้วครับ
    และจะเกิดเป็นอาวุธในลำดับต่อมาได้ครับ
    และก็จะขึ้นตามมาที่มือทั้งสองข้างได้
    เป็นปกตินั่นหละครับ
    ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้งานอย่างไร
    และใช้ทำอะไรครับ
     
  5. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ไม่ถือว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายเพราะสวนนี้ยังมีมะพร้าวอ่อนเช่นข้าพเจ้าอยู่เจ้าค่ะ

    ตอนก่อนจะรู้จักวัดท่าซุงอย่าว่าแต่ถึง ๕ ชาติเลย ย้อนแค่ครั้งละชาติเท่านั้น แถมมันย้อนเองเพราะย้อนไม่เป็นค่ะ ๕๕๕
    เพียงแต่ใช้เวลานานกว่าแบบรีวิวและจะเน้นเป็นเรื่อง ๆ มากกว่าค่ะ ส่วนใหญ่ก็เรื่องที่เกี่ยวพันในชาตินี้ที่เราตั้งใจตัดสัมพันธ์อะไรที่มันรก ๆ ใจ มันก็เลยย้อนไปในอดีตด้วย เปรียบเสมือนฝุ่นเม็ดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หากเราตั้งใจตัดแล้วแม้ในยามปกติคิดว่ามันไม่มีแล้ว แต่ในสมาธิเจ้าฝุ่นเล็ก ๆ นี่แหละมันขยายความและย้อนอดีตให้เราตัด ถ้าเรายังตัดไม่ได้ก็ถือว่าไม่ผ่านและเจ้าฝุ่นนี้มันก็ยังคงทำหน้าที่ขยายความสืบสาวไปเรื่อย ๆ เป็นมหากาพย์จนกว่าเราจะตัดได้ (อธิบายเป็นภาษาธรรมไม่ถูกนะคะ บอกได้แต่กริยา) แต่ละเรื่องที่ย้อนก็ประมาณนี้ค่ะ

    ก็มีบ้างที่มันย้อนไปในช่วงที่เรารุ่งเรืองเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่สงสัยจะเป็นฝีมือท่านเทพบุตร(มาร)หรือเปล่าไม่รู้กะให้เราหลงฝันใฝ่ เชอะแค่แต่ละเรื่องข้างต้นก็เบื่อหน่ายจะตายอยู่แล้วเพราะมันมีแต่ความทุกข์

    จนกระทั่งเห็นรีวิว ๑๐๐ กว่าชาตินี้แหละที่ตอกย้ำให้เห็นว่าการเกิดแต่ละชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน คนสวยหล่อหรือขี้เหร่มีอำนาจราชศักดิ์หรือเป็นยาจกขอทาน ก็ล้วนทุกข์ทั้งสิ้น


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2015
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    รับแซ่บ ส่วนตัวก็ไม่ได้อะไรนะเรื่อง
    ย้อนๆอด่งอดีตอะไรเนี่ย
    แบบว่า ลองทำดูเฉยๆ เพื่อมีใครถามจะได้มีเรื่องไว้เขียนบ้าง
    และก็ไม่ได้ละเอียดเลยนะในเรื่องการย้อนเนี่ย แต่มันจะมี
    ช่วงที่ฝึกกสิณเนี่ยหละ บางทีจับพลัดจับพูล มันย้อนไปถึง
    ยุคได้โนเสาร์เลยนะ ๕๕๕ นึกแล้วขำๆ ไปเห็นเจ้าตัว T-Rex
    จะว่าไป แววตามันก็น่ารักเลยนะ เห็นสายตามันประมาณว่า
    เหมือนๆมันรู้จักกับเราดี.. ยังแอบคิดขำๆว่า
    ที่ย้อนๆไปถึงสมัยนั้น ตัวเองเป็นตัวอะไรมาก่อนหรือเปล่าว๊า ๕๕๕๕
    บางครั้งก็ไป ดาวอะไรก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จัก ที่แปลกๆและไปขำเค้า
    ก็คือตอนไปอีก ๓ ทวีปนั้นหละนึกว่าพวกงิ้ว.๕๕๕
    เอ่อ มีบางทีไปเจอเทพฝรั่งก็มีครั้งหนึ่งนะ
    ตรงนี้บอกตามตรงว่าหลงทางเพราะโดนดูด ๕๕๕
    แล้วจะไปขอ ขี่ม้า เพกาซัส ของแม่นาง ออโรล่า ด้วยนะ
    บอกตามตรงว่าน่ารักผุดๆ(ม้านะ)
    แต่ว่านางหวง ๕๕๕
    ดีนะบิดานางไม่มาด้วย ไม่งั้นซวยแน่เลย..
    เรื่องแบบนี้ ต้องประมาณว่ามีคนพูดคนถามถึงค่อยนึกออก
    เพราะปกติก็จะไม่ค่อยสนใจเท่าไร ถือว่าเป็นโหมดบันเทิงรูปแบบหนึ่ง
    เอาไว้เล่าพอขำๆ
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขอบคุณสำหรับทุกความห่วงใยครับ...
    อาการมีมาแต่ครั้งยังหนุ่มๆ...ผมไปหาหมอ อาจารย์แพทย์ที่โรงพยาบาล รักษาแล้วแต่ก็ไม่ทราบสาเหตุ...ทั้งเรื่องอาการปวดข้อ และ เรื่องของหมอนรองกระดูกร้าว...อาหารเสริมก็เคยทานมาหลายประการด้วยกันครับ...
    จนมาพบครูบาอาจารย์ ท่านก็ไม่รักษาให้...บอกแต่เพียงว่าให้มันมีอะไรเจ็บๆปวดๆบ้างก็ดีนะ..

    ที่มาขอเรียนวิชาจากคุณนพฯ ก็ด้วยหวังว่าจะเอาไปใช้รักษาอวัยวะภายในเหล่านี้นี่เอง อาจจะได้ใช้ผนวกกับวิชาปราณแต่โบราณที่เคยฝึกฝนมา อาจจะพอประคับประคองสังขารเสื่อมๆนี้ไปได้...
    แม้ไม่ได้หวงแหนหรือกังวลกับร่างกายนี้มานานแล้ว แต่เมื่อมันยังคงอยู่ก็ต้องดูแลกันไปตามสมควร...
    ประกอบกับความตั้งใจ ที่จะกลับไปฝึกฝนตนเองอีกครั้ง ในวัยชรา ภายหลังหมดภาระกิจทางโลก ความตั้งใจที่จะไปฝึกอย่างจริงจังเหมือนเมื่อครั้งในวัยหนุ่ม แต่จะทำให้ตลอดทั้ง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน...จึงยังคงต้องประคับประคองสังขารนี้ไปก่อน...ยังซ่าส์มากไม่ได้...เอาไว้ให้สิ้นสุดความตั้งใจในวัยชราแล้ว ก็ค่อยเลิกลากับมัน...

    แต่ก็อีกแหละนะครับ...ถ้าไม่ฝึกจนบาดเจ็บมาขนาดนี้ ความคิดที่จะทำเก้าอี้สวดมนต์ หรืออุปกรณ์บรรเทาความเจ็บปวดในการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ฯลฯ คงไม่เกิดขึ้น
    ผมยังคงคิดแต่ว่า ความเจ็บปวดในการฝึกกรรมฐานนี้ เป็นการทดสอบความอดทนอดกลั้น อยู่แบบนั้น...ทั้งๆที่ พระท่านก็สอนแล้วว่า ให้ฝึกที่ใจ สำเร็จก็ที่ใจ แล้วท่านก็ไม่ได้สอนว่า ต้องทรมานร่างกายให้บาดเจ็บพิกล พิการ ในการฝึก...แต่สมัยก่อนผมยังโง่มากนี่ครับ..ทำไงได้...ตายเป็นตาย..พิการก็ช่างมัน เพราะพิการยังไงเสียก็ต้องตายอีกนั่นแหละ...ลุยมันไปสุดลิ่มทิ่มประตู...555+...พิการแล้วเกิดไม่ตายขึ้นมา...ตานี้ล่ะ..เจ๊กอั๊ก...หุหุหุ...
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ถ้า ป๋า มิงค์
    จะรักษาตัวเอง กรณีป๋า มิงค์ ต้องใช้เครื่องเชื่อมโยงครับ
    คือ ถ้าใช้การจับพระเครื่องไว้ในมือ หรือมีพระเครื่องแล้วพนมมือ
    หรือใช้การนั่งสมาธิแบบพิธีการแบบลืมตา
    หรือการใช้จิตในการเชื่อม ระยะเวลาที่จิตจะเข้าสู่โหมดวิญญานธาตุ
    หรือว่าโหมดที่เห็นเป็นเส้นสายออกจากร่างกายจะไม่เพียงพอเท่ากับ
    การที่ ป๋า มิงค์ หารูปสมเด็จองค์ปฐมสีทอง
    รุ่น ๑ หรือ รุ่น ๒ ก็ได้ครับที่เป็นพระห้อยคอครับ หรือรูปหลวงปู่ดู่
    แล้วมองที่รูปท่านด้วยตาเปล่าก่อนครับ พอภาพในรูปเริ่มขยับ
    ไปทางขวามือเราพร้อมกับรูปเริ่มๆจะพลิกไปมาได้เล็กน้อย
    ก็ให้มองต่อไปอยู่อย่างนั้น จิตถึงจะข้ามเข้าสู่โหมด
    วิญญานธาตุได้ครับ ย้ำว่าลืมตาทำนะครับ
    เพราะพลังงานที่เชื่อมกับทั้ง ๒ ท่านจะมีความหนา
    แน่นในระดับเพียงพอที่จะรักษาตัวเราเองได้ แต่ต้องคิดๆไว้ก่อน
    ว่าจะรักษาอาการอะไรนะครับ เนื่องจากว่ารัศมีของ
    พลังงานที่ออกจากตัวเราจะมีความกว้างและความหนาแน่น
    เพียงพอที่จะรักษาตัวเองได้ครับ

    ให้ทำให้ได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าครั้งละ ๒ นาทีต่อวันก็พอนะครับ
    ระยะเวลามากกว่านี้สำหรับการรักษาก็จะได้ผลเท่าๆกันครับ..
    แต่ว่าให้ทำทุกๆวันนะครับ
    กรณีที่ทำได้ถึง ๑๕ นาทีมีโอกาสที่จะปรากฏพระธาตุเสด็จได้ด้วยครับ
    ...

    ปล.ท่านว่ามาประมาณนี้ครับ.แบบนี้ส่วนตัวเคยทำแล้วครับ
    แต่ว่าทำประมาณ ๑๐ถึง๒๐ วินาทีก็หายหน้าอกร้อนแล้วครับ
    แต่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยเท่าไรครับ..
    เป็นกรณีที่เลยขั้นการเหยียบหญ้าและกำหนดให้พลังงานส่วนเกินออกครับ
    แต่ปกติทำไม่ถึงนาทีก็เริ่มขี้เกียจแล้วครับ.๕๕๕.
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขอบคุณมากครับ...
    เคยจับพระสมเด็จองค์ปฐม รุ่นแรก ทำอยู่เหมือนกันครับ แต่ภาพที่ปรากฎจะกลับกลายเป็น สมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องนิพพาน นั่งห้อยพระบาท อยู่ในกลางตัวตลอดครับ...
    กับอีกทีก็จะคลุมตัวไว้ทั้งหมด...

    สำหรับหลวงปู่ดู่ จะมีกระแสพลังจากหลวงปู่มาถึงตัวค่อนข้างแรงอยู่ครับ ภาพท่านก็มาปรากฎอยู่ที่ข้างหน้าเป็นปกติ...

    มาเมื่อเช้าที่เห็นดวงสว่างๆในองค์สมเด็จโตอีกที แล้วแสงสว่างนั้นมาปกคลุมร่างกายไว้ทั้งหมด เวลานั้นก็สบายดีครับ จิตสงบ และหนักแน่นเยือกเย็นดี ครูบาอาจารย์ท่านก็มา... แต่พอถอยกลับออกมา อาการเจ็บก็ยังคงเหมือนเดิม...

    อีกองค์หนึ่งที่ผมมีใจรักท่านมาตั้งแต่เด็กคือ หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ทุกวันนี้แขวนแล้วอุ่นใจ นั่งสมาธิก็จะเห็นท่านอยู่ตรงหน้าบ้าง หรือถ้าเห็นหลวงปู่ดู่ ก็จะเห็นหลวงพ่อทวด อยู่ด้านหลัง...

    ถ้าจะลองวิธีที่คุณนพฯว่านั้น แต่เป็นหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ จะให้ผลได้เหมือนกันไหมครับ...

    ช่วง2-3วันที่มีอาการเจ็บนี้ เวลาสวดมนต์ทำสมาธิ จะมีเหมือนกระแสไฟฟ้าสถิตย์วิ่งอยู่ตามตัวตามแขน แปล็บๆอยู่จนรู้สึกได้ วิ่งมารวมกันที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง ระหว่างฝ่ามือก็จะเป็นลูกสว่างๆกลมๆนี่แหละครับ...บางทีก็มีเหมือนพายุหมุนๆอยู่ข้างในลูกกลมๆ...แต่ก็เหมือนเดิมครับ..ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่า มันคืออะไร? เพียงแต่ว่า มันจะไม่เหนื่อย ไม่ต้องบังคับมากเหมือนตอนที่หัดปั่นนิมิตน้ำช่วงแรกๆ...ช่วงนี้ทำไปก็นิ่งๆครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2015
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คือทริคที่ผมบอกไปมันมีเหตุผลทางกิริยาอย่างนี้ครับ...
    การที่บอกให้ลืมตาทำนั้นก็เพื่อ อย่าพึ่งน้อมองค์พระเข้ามาในกาย หรือว่าครอบกายเราครับ
    หรืออย่าพึ่งทำแบบให้มีท่านมาปรากฏอยู่ข้างหน้าเราครับ คือไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ
    แต่นั้นจะเป็นลักษณะของการที่มีกระแสท่านมาคลุมจิตคลุมกายเราครับ
    มันจะเหมาะในเรื่องของการป้องกัน
    และการโน้มนำตัวจิตเราให้เข้าถึงพระรัตนตรัยครับ
    อย่างหนึ่งอย่างใดนั้นหละครับ ก็คนที่มาทางสายวิชาพิเศษที่มีสัมผัสดีๆทั้งหลาย
    ที่รักษาตัวเองไม่เป็นก็เพราะยังไม่รู้แบบที่ผมแนะนำ ป๋า มิงค์ ไปนั้นหละครับ
    เค้าก็เลยจะโน้มจิตให้ยอมรับตามความเป็นจริงไป ยอมรับสภาพการป่วยของตัวเอง
    เอาไว้เป็นหลักในการพิจารณาตัดร่างกาย แต่ส่วนตัวผมคิดว่า มันจะย้อนมาขวาง
    ความสงบ รบกวนการปฏิบัติของเรามากกว่าครับ คนที่ร่างกายป่วยๆจริงๆ
    จะมีซักกี่คนครับ ที่จะโน้มมาตัดร่างกาย และขณะที่ร่างกายป่วยนั้น
    ความสามารถในการรับรู้จะยังเป็นปกติครับ ขนาดหมอกรอฟัน จี๊ดๆๆๆๆๆ
    ยังสดุ้ง ยังเสียวในเวลานั้น แล้วถ้าร่างกายเจ็บป่วยอย่าลืมว่ามันจะส่งผล
    ต่อตัวจิตด้วย เพราะว่ามันยังอาศัยกันอยู่ครับ พอเข้าใจนะครับ...
    เรื่องนี้ถ้าไม่เคยมีประสบการณ์แบบส่วนตัวมาก่อน ไม่ได้ข้างบนช่วยมาก่อน
    ส่วนตัวเชื่อว่า หลายๆคนจะไม่มีทางรักษาตัวเองได้แบบนี้ อย่างมาก
    ก็ใช้แต่การทำสมาธิเพื่อชลอ หรือยับยั้งไปชั่วคราวเท่านั้นครับ..
    และบอกตามตรงว่า ถ้าจะไปพูดแบบนี้ให้เค้าฟังเป็นอะไรที่
    เค้าจะยอมรับได้ยากด้วยครับ เผลอๆจะขำเราเอาได้.
    ถ้าไม่ใช่กระทู้แบบนี้ หรือว่าสนิทกันพอตัวแล้ว
    ปกติจะไม่พูดให้ใครฟังครับ...
    และกรณีแบบ ป๋า มิงค์นั้น ใช้สำหรับการอาราธนาพระไว้คุ้มกาย
    จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถือว่าทำได้นะดีครับ แต่ว่าาาาาาาาาาาาามัน

    จะไม่ได้ผลทางด้านในการรักษาครับ เพราะว่าการที่จะทำให้ตัวจิตเข้าสู่
    โหมดวิญญานธาตุได้นั้น คือการพลิกให้ตัวจิตให้ข้ามธาตุ ๔ ที่ปกคลุมร่างกายเราไว้
    และก็มีความจำเป็นอย่างมากๆๆๆๆ ที่จะต้องมี
    เส้นทางสำหรับการเดินทาง หรือการลำเลียงพลังงานส่วนเกินที่ตกค้าง
    อยู่ในร่างกายเพื่อให้พลังงานส่วนเกินตรงนี้ ออกไปข้างนอกพ้นร่างกายเราได้ไงครับ
    การที่อาราธนาครอบตัวหรือดึงท่านเข้ามาในกายหรืออยู่ข้างหน้า
    มันจะทำให้เรา ขาดเส้นทางการเดินทางออกไปภายนอก
    ของพวกพลังงานส่วนเกินที่มันตกค้างอยู่ในร่างกายนั่นเองครับ

    เส้นทางในที่นี้ก็คือ อากาศธาตุภายนอกนั้นเอง ตัวจิตก็จะทำหน้าที่ส่งพลังงาน
    ส่วนเกินออกไปตามเส้นทางนั้นๆ พอเดินทางได้ระยะหนึ่งพลังงานพวกนี้ก็จะหาย
    ไปเอง ส่วนภาพพระก็เสมือนเป็นการที่เราตั้ง พิกัดปลายทางเอาไว้
    สำหรับเป็นเสมือนตัวที่ช่วยดึงให้พลังงานส่วนเกินรู้ว่าจะต้องมีการเดินทางครับ.....

    ไอ้อาการที่เราจับได้ ว่าเหมือนมีไฟฟ้าแป๊บๆ บางที่คล้ายๆเข็มเล็กๆวิ่งไปมาตาม
    ร่างกายถ้าเป็นจุดๆเป็นกลุ่มแต่ต้องมีอาการตึงๆผิวร่วมด้วย
    แสดงว่าร่างกายมันกำลังปรับธาตุตัวเองอยู่ครับ ส่วนถ้ามีอาการแป๊บๆแล้วเราไป
    โดนเหล็กแล้วไฟซ๊อตและผิวส่วนนั้นไม่ตึงแสดงว่า
    ร่างกายตรงนั้นมันมีพลังงานตกค้างครับกรณีบางคนเผลอคิดว่า
    ตัวเองมีพลังงานวิเศษ ซึ่งถือว่าอันตรายมากๆครับ..
    แยกกันเหมือนที่เล่าให้ฟังนะครับเพื่อเป็นหลักสังเกตุนะครับ..
    ส่วนการที่มันกลายเป็นพลังงานคล้ายๆลม
    ที่เรารับรู้สัมผัสได้ที่มารวมที่บนฝ่ามือ หรือวิ่งๆวนๆบนฝ่ามือเรานั้น นั่นเป็นลักษณะ
    ของการรวมพลังงานนั่นเองครับ..ซึ่งไม่ว่าเราจะฝึกกรรมฐามที่เกี่ยวกับพลังงานอะไร
    ก็ตาม ก่อนที่มันจะสามารถผลิกพลังงานจากภายในออกไปใช้งานภายนอกได้
    คือการเรียกพลังงานออกมา ใช้งานในสภาวะลืมตาปกติได้นั่นหละครับ...
    มันจะต้องเกิดการรวมพลังงานอย่างนี้ก่อนเป็นพื้นฐานอยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะพลังงาน
    ร้อน พลังงานเย็นบางคนเรียกหยินหยางหรือพลังงานจักรวาลและพลังงาน
    จาก กสิณทั้ง ๑๐ กองก็จะต้องขึ้นมาแบบนี้ก่อนเป็นเบสิคเอนจิเนียริ่งครับ..
    เราถึงจะมาฝึกเพิ่มความหนาแน่นของมวลพลังงาน พวกนี้ก็ฝึกต่อโดยทำมือคล้ายๆ
    ปิรามิด และก็จะใช้สมาธิฝึกเพิ่มความหนาแน่น เราฝึกจนพยายามกดมือเค้าหา
    กันไม่ได้ เพราะพลังงานจะเหมือนๆลูกพลาสติกที่มีน้ำอยู่ข้างในนั้นหละครับ
    เป็นพื้นฐาน แล้วก็ค่อยๆฝึกขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ จนมีก้อนพลังงานหมุนรอบตัว
    เราได้นั้นหละครับ ที่พระป่าท่านใช้กสิณไฟ ป้องกันความหนาวก็หลักการเดียว
    กันที่ผมพูดนี่หละครับ..ปกติถ้าไม่ขี้เกียจก็จะทำอยู่ครับ แต่ทำในกรณีที่
    มันร้อนมากๆ ถึงจะปั่นกสิณลมมาคลุมร่างกายครับ เพราะว่าอากาศบ้าน
    เรามันมีอยู่ ๒ ฤดูครับตอนนี้ คือร้อน กับ ร้อนหาชิบไม่เจอ ๕๕๕๕

    แล้วถึง มาถึงขั้นตอน ในการหนุนพลังงานโดยมีฐานอยู่ที่ต่ำแหน่งร่างกาย
    ตรงจุดหนึ่งและฝึกส่งพลังงานออกจากตรงนี้(ถ้ารู้และเข้าใจต่ำแหน่งนี้ ต่อไป
    เราก็จะสามารถส่งผ่านพลังงานผ่านอากาศได้ เพราะพวกนี้มันไม่ขึ้นอยู่
    กับมิติและเวลา เป็นที่มาในการส่งพลังงานแบบออนไลท์นั้นหละครับ
    แต่จุดตรงนี้ยังขอไม่สงวนไม่พูดออกสื่อครับ)

    และส่งพลังงานได้คล้ายๆแท่งหินใสๆที่มีปลายหลายเหลี่ยมได้แล้วก็ถือว่าส่งได้
    และ พอหนุนได้ ส่งได้ การดูดพลังงานจะเป็นเรื่องไม่ยากครับ.แต่ว่าเมื่อส่งได้แล้ว
    ใช้ได้แล้ว และดูดได้แล้ว มันจะต้องมีการตัดการเชื่อมต่อพลังงานด้วยครับ
    ไม่งั้นมันก็จะดูดพลังงานเราอยู่ตลอดเวลา หรือทำให้พลังงานเราไปเชื่อม
    กับปลายทางที่เราส่งตลอดเวลาจะทำให้เราเหนื่อย..เลยจำเป็นต้องสร้างตัวตัด
    ตรงนี้ครับ..โดยทั่วๆไปจะตัดด้วยการเป่าโดยการกำกับด้วยคาถาสั้นๆบางบท
    แห๋มๆ ตรงนี้อ่านก่อนนะครับ พูดๆไปเหมือนๆคล้ายหมอผีเลยแฮะ ๕๕๕๕ นั่นหละครับ

    แต่ว่าในลักษณะพลังงานที่มันผลิกขึ้นมาภายนอกบนฝ่่ามือได้นั้น เราก็จะใช้พลังงาน
    ที่มันขึ้นมาบนฝ่ามือนั้นหละครับเป็นตัวตัด เริ่มต้นมันจะเป็นการดึงพลังงานส่วนเกิน
    จากวัตถุหรือจากตำแหน่งอื่นๆก่อน แต่ถ้าพลังงานเราขึ้นมาทางที่เป็นลูกแก้วโดยนัยยะ
    แล้วก็คือ เป็นการดึงพลังงานส่วนเกินต่างๆขึ้นไป ให้ทางท่านที่มาทางสายพระโพธิสัตว์
    หรือทางสายมหายานท่านเคลียร์ครับ...หน้าที่เราก็คือสร้างพลังงานที่มีลูกแก้ววางบน
    ใบบัวที่มีคล้ายๆจักรให้มันใสให้ได้ก่อน..ในตอนใช้งานในขั้นตอนการดึงด้วยฝ่ามือ
    เจ้าลูกแก้วบนจักร จะหมุนวนด้านซ้ายแบบอัตโนมัติ ที่หลายคนอ่านเจอตามตำราว่า
    เอาไว้ปราบมาร โดยทางปฏิบัติใช้งานจริงๆก็จะเป็นแบบนี้นั่นเองครับ และก็กำหนดจุด
    ให้ดึงผ่านร่างกายเราออกทางกระโหลกศรีษะส่วนหน้า หรือทางระหว่างคิ้วขึ้นไปข้างบน
    โดยที่ไม่ต้องสนใจ เด่วพอดึงถึงวาระที่หมุนๆซ้ายมันจะตัดของมันได้เองครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ พอจะเข้าเพิ่มขึ้นนะครับ..
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สาธุ....
    ....
    ขอบคุณพ่อปู่ฤษี หมอผีรูปหล่อ ขอรับ...
    อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำ...ทำให้เข้าใจถึงเรื่องราวผ่านๆมาที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไร...
    ผมว่าท่าทางการทำมือประกอบในการฝึกพลังนี้ มีส่วนสำคัญเหมือนกันนะครับ แต่ผมก็ไม่กล้าทำอยู่ดี รู้สึกจะเขินๆชอบกล พาลไปคิดว่า จะไปเหมือนนินจานารุโตะเข้าไปทุกที แต่เท่าที่สังเกตๆดู มันมีผลจริงๆนะครับ...
    แม้แต่ตอนพนมมือสวดมนต์อยู่นั้น ลูกแก้วมีอยู่ที่ฝ่ามือ มือมันก็จะโก่งๆพองๆออก จนปลายนิ้วชนกันแต่อุ้งมือ ไม่แตะกันแล้ว


    ตรงลิ้นปี่ก็เหมือนมีพลังมาอัดแน่นอยู่ด้วยครับ
    คำสวดก็ดี เมตตาจิต และกระแสแปร๊บๆ นี่ก็วิ่งไปรวมกันที่ลูกแก้วนี่อีกแหละครับ
    ผมควรจะปล่อยพลังเหล่านี้ไปที่ครูบาอาจารย์ ตามที่เราเห็นอยู่ข้างหน้าหรือเปล่าครับ?


    อาการที่จับโลหะ เช่นเวลาจะจับลูกบิดเปิดประตู หรือจะเปิดประตูรถ อันนี้เป็นบ่อยคือเป็นกระแสไฟฟ้าสถิตย์วิ่งไปกระทบพร้อมมีเสียงดังเปรี๊ยะ ขนาดว่าคนรอบๆข้างได้ยิน และเห็นกระแสไฟวิ่งจากมือไปที่โลหะ...ผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะอากาศแห้งและผิวหนังเราเสียดสีกับอากาศ ก็คงจะไม่มีอะไร...ลูกน้องเห็นก็ตกใจ ถามว่าเจ็บไม๊...อืม..ก็เจ็บสิวะ...เขาก็ร้อง..อ้าว..ก็ไม่เห็นพี่ร้อง นึกว่าไม่เจ็บ...ถถถถ...เป็นผู้ชายต้องมีใจอดทน...กี่ครั้งกี่หนทนเจ็บเอาไว้...

    ตอนหลังผมเปิดประตูรถก็จะมีผ้ากันไว้ เวลาปิดก็ผลักส่วนที่เป็นกระจก ถ้าไม่เป็นโลหะก็ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าเผลอมาทีไร โดนสปาร์ก ก็เจ็บนิ้วทุกที...นึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ไฟฟ้า แล้วสักวันนึงจะโดนฟ้าผ่าเพราะเป็นสื่อไฟฟ้าอะไรประมาณนี้ครับ..ไม่นึกว่าเป็นพลังส่วนเกิน...


    ถ้าทำมือไว้ โดยให้ปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งแตะถึงกันเท่านั้น ช่องว่างตรงนี้จะเหมือนใบไม้ กระแสที่วิ่งตามตัวมาที่มือ จะทำให้ฝ่ามือทั้งสองร้อนระอุขึ้น โดยมีลูกแก้วเป็นจุดสุดท้ายของพลังทั้งหลาย ....อืม..มีใครเขาทำกันไหมครับ...ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไปทำไมน่ะครับ เพียงแต่ว่ามือมันขยับไปแบบนั้นเอง...จะถามนี่ผมยังงงๆไม่รู้จะถามว่าอะไรดีเลยครับ...งง...
    ขอไปชงกาแฟกินแก้งง ก่อนครับ...


    ปล. ผมไม่เห็นด้วยเลยกับการฝึกแบบอดอาหาร30วันหรือทรมานร่างกายเพื่อจะให้บรรลุน่ะครับ แต่ก็พูดไม่ออก เพราะครูบาอาจารย์หลายท่านยังนิยมทำอยู่ ผมเองก็ลองจนได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้...กว่าจะเข้าใจ แล้วก็ไม่เอาอีกแล้วเหมือนกัน...
     
  12. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    อั๊ย หยา

    นี่มันอาการเดียว กะหนู เลยนี่ค่ะ

    ตอนที่ เหรียญ ๑๐ บาทเพื่อน ตก (เมื่อปีก่อน) ดีใจ คิด อิ๊บ เอาไว้

    พอเก็บปุ๊บ ก็ไฟช๊อต แปล๊บๆๆ เจ็บ จริงเลย

    ก็เลย ซึม เนียน ตัดใจไป เรียกเพื่อน ว่าตู่ ตังค์นายตก เราเก็บให้นะ
    พอ เก็บใหม่ เพื่อจุดประสงค์ ที่ต่างจากเดิม ไฟ ก็ไม่ช๊อต แล้ว

    ตอนแรกก็ว่ามือผิว แห้ง เลย ทาโลชั่น (กินหมูสามชั้นด้วยเพื่อความเต่งตึง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2015
  13. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ผมจะมาขอนุญาต พี่นพ และ พี่ๆที่ถามคำถามและแลกเปลี่ยนความรู้กับพี่นพนะครับ...ในห้องอภิญญา ชื่อว่า กสินกองไหนฝึกง่ายสุดหนอ และในห้องนี้ หลุมดำนี้

    ผมจะขออนุญาตปริ๊นคำถาม คำตอบ ของแต่ละท่านมาเย็บเล่มเป็นหนังสือคู่มือการปฏิบัติ (ผมจะเก็บเอาไว้อ่านคนเดียวไม่เปิดให้ใครทราบเพราะจริตแต่ละท่านไม่เหมือนกันเดี๋ยวจะมาสบประมาททำให้ผมหัวเสียป่าว ๆ และอีกอย่างไม่อยากให้คนอื่นมานั่งปรามาสพี่นพ และท่านอื่่นๆ ด้วย )

    ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติมาก และก็กลัวว่าหากวันใดวันหนึ่งเวปนี้ล่มแล้ว ข้อความดี ๆ เหล่านี้จะหายไป และอีกอย่างไม่อยากให้พี่นพต้องมานั่งเสียเวลาเป็นวันๆพิมพ์คำตอบให้ใหม่ ผมจะลองรวบรวมและลองฝึกไปเรื่อย ๆ แม้ว่าอุคนิมิตรยังไม่ขึ้นมาก็ตาม 5555+

    จึงต้องมาขออนุญาตพี่ ๆ ทุกท่าน คนแรกเลยคือพี่นพ คนที่สองพี่ระมิงค์ คนที่สามพี่รุ้งดาว คนที่สี่คุณ dowlong และอีกหลายท่านที่ผมไม่ได้เอ่ยชื่อนะครับ หากท่านใดไม่อนุญาต ผมจะไม่ปริ๊นแล้วเอามาเย็บเล่มครับ (รบกวนอินบ๊อคมาด้วยนะครับ ) ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าเลยนะครับ ตำราไม่มีชื่อและไม่อ้างอิงท่านใดแต่จะพิมพ์ยกเครดิตให้ ผู้ถามตอบ...อยากทำเล่มมานานแล้วครับ ^__^ :cool:
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบ ส่วนตัวคิดว่า การตั้งใจอดอาหารย่อมส่งผลให้ประสบความสำเร็จยากครับ
    ยกเว้นตัวจิตจะพัฒนา ไปตามลำดับ คือ งดเนื้อแล้วทานเนื้อไม่ได้
    และมาเป็นการทานพืชผัก และพัฒนามาเป็นการเปลี่ยนแปลงพลังงาน
    และการเผาผลาญพลังงานจากภายในส่งออกไปภายนอกได้ และพัฒนา
    ระบบการรับพลังงานจากภายนอกเพื่อมาแทนระบบเผาผลาญอาหารต่างๆจากการ
    ที่ต้องรับประทาน ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะไม่ทานอาหารเลยก็ไม่ว่ากันครับ..
    แต่ถ้ายังไม่มีความสามารถถึงตรงนี้ต้องเข้าใจว่า
    ตัวจิตมันยังต้องอาศัยร่างกายนี้อยู่ยังใช้ระบบการเผาผลาญ
    ตามระบบทั่วๆไปครับ.. การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ไม่ว่าทางจิตหรือทางกายที่มากเกินไปย่อมให้ประสบความสำเร็จอยาก..
    เพราะว่ามันขาดในเรื่องของความสมดุลย์ทางธรรมชาติ ระหว่างกายกับจิตครับ
    ยกเว้นการควบคุม ฝึกควบคุม อายตนะต่างๆ ไม่ว่า ทางตา หู จมูก ลิ้น
    กาย จิต สามารถสร้างสติทางธรรม เพื่อเป็นตัวหนุนในการเดินปัญญา
    ตลอดจนความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆได้ครับ...
    และส่วนมากนะครับ ถ้าหากตัวจิตเรามันยังระลึกถึงเรื่องการฝึก
    อดอาหารเพื่อการบรรลุธรรมอยู่นะครับ แสดงว่าตัวจิตนั้นๆ
    เมื่อในอดีตเคยปฏิเสธคำสอน ลบหลู่ ปรามาส คำสอน
    ขององค์พุทธฯ พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    มาก่อนในอดีตชาติแน่นอนครับ..
    ปล.ประมาณนี้ครับ....








     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อนุญาติครับ และก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง..ถ้ามีเวลาทำเลยนะครับ
    เพราะไม่แน่ใจว่า ปีหน้าจะว่างมาตอบหรือเปล่า...
    และพอรวบรวมเสร็จแล้ว จะขอด้วยเพราะตั้งใจว่าจะทำเป็นเล่ม
    ส่งโรงพิมพ์..คิดว่าตอนนี้ยังมั่นใจว่าไม่มีใครที่จะอธิบาย
    ในลักษณะที่ส่วนตัวได้เคยเขียนไว้ได้..
    และจะมีบางส่วน ที่จะให้ไป ก๊อบข้อความ
    ในบางกระทู้ ที่เกี่ยวกับ วิชาเดินธาตุโบราณ เดินธาตุแบบในดง
    และเดินธาตุแบบพระสังราชมีชื่อในอดีต..เพราะพอเข้าใจ
    ได้แล้วในระดับหนึ่ง ถึงเทคนิคพื้นฐานที่ท่านได้สอนไว้
    ว่าทำไม วิชาเดินธาตุโบราณตั้งตั้ง ๔ ธาตุ วิชาเดินธาตุสายสมเด็จมีชื่อ
    ต้องต้องตั้งกสิณถึง ๑๐ กอง ทำไม ถึงต้อง ตั้ง กสิณกองนั้น
    กองนี้ กสิณสีนั้น สีนี้ไว้ตรงตำแหน่งนี้ ตำแหน่งนั้น..๕๕๕
    นี่ต้องขอบคุณ กลุ่มบุคคล ที่พยายามยกตำรามาทับถม
    ข้าพเจ้าในอดีตเลยนะครับ ไม่งั้น
    คงไม่คิดจะไปรู้ และไปพิสูจน์แน่นอน ๕๕๕.
    และเพราะตอนนี้ส่วนตัวไม่สดวกในการรวบรวม
    และตั้งใจว่า จะเขียนออกเป็นแนวฉบับการ์ตูน
    ๔ สีเพื่อให้คนอ่านได้ง่ายๆ เข้าถึงได้ ไม่ว่าระดับไหน...
    และอีกเรื่องก็จะจะลบกวนไป
    ก๊อบปี๊ คำบรรยาย ในเวป อินทราพงษ์ ตามลิงค์นี้


    ประสบการณ์และเรื่องเล่าต่าง ๆ - หน้า 4 - www.indraphong.com - Powered by Discuz!

    สมัครสมาชิกก่อนนะ
    ในห้องประสบการณ์เรื่องเล่าที่เวบบอร์ดด้วยนะครับ
    ซึ่งเขียนไว้เป็นตอนๆมีประมาณ ๒๕ ตอนตั้งแต่สมัยเริ่มฝึกสมาธิใหม่ๆ
    เมื่อซัก ๓ ถึง ๔ ปีก่อน จะได้เอามารวมกับปัจจุบัน..
    แล้วเด่วค่อยมาจัดระเบียบ มาเกาข้อความให้เป็นระบบ

    แยกเป็นส่วนๆดี ออกมาในฉบับการ์ตูน ๔ สีมีภาพประกอบ
    ค่อยว่ากันอีกที....

    ประมาณนี้นะ...ครับ...
     
  16. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731


    บังเอิญมาก พี่เพิ่งคิดๆอยู่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงหน้านี้ แต่ดีแล้วล่ะพี่จะขอด้วยถ้าเย็บเล่มเสร็จ เอาให้ละเอียดเลยเด้อ :cool::cool::cool:
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    รวบรวมเสร็จเมื่อไร ขอรบกวนเป็นไฟล์ ดีกว่าครับ..จะขอเก็บไว้ทบทวนในบางสิ่งที่ยังไม่เข้าใจครับ..
    บางส่วนผมมีก็อปเก็บไว้อ่านเหมือนกัน...

    สำหรับบางอย่างที่ผมไม่ฝึกก็จะมีเหตุผลส่วนตัวบางประการ เช่นว่า ใจผมยังมีข้อที่ชั่วร้ายอยู่ คือ ผมยังสามารถฆ่าคนได้ ถ้าเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ผมยังยอมลงอเวจีมหานรกได้...ดังนั้นบางส่วนผมไม่ฝึกจะปลอดภัยกับพ่อแม่พี่น้องมากกว่า...
    บางส่วนที่ต้องเชื่อมต่อถึงกันแล้วมีผลต่อกรรมในภาคหน้าจากภพภูมิท่านนั้นๆ ซึ่งไม่ได้เป็นไปในทางแห่งการหลุดพ้นแล้ว ก็จะระงับไว้ในระดับนึงเท่านั้นครับ...
    ผมจะฝึกเอาไว้เท่าที่กำลังตัวเองจะพึงทำได้ อาจเท่าที่พอจะใช้รักษาตัวเอง และคนในครอบครัว หรือคนที่เรารักและรักเรา เท่านั้นเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2015
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    การดึงพลังออกมาไว้ภายนอก อย่างที่คุณนพฯกล่าวไว้ ใช้รักษาร่างกายได้นั้น...
    เมื่อวานลองทำดูได้สักพักหนึ่ง อาการปวดเอว ที่ปวดจนเหมือนเอวจะขาดนั้น ก็หายไปได้...โดยผมเองก็ยังสังเกตไม่ออกว่า ทำไมการดึงพลังไปรวมไว้ภายนอกร่างกายที่รูปกลมๆสว่างๆนี้แล้ว ทำให้หายจากอาการบาดเจ็บได้อย่างไร? แต่เอาว่าหายก็ดีแล้วนิ...
    จะลองทำอย่างนี้ต่อไปดูครับ...ไม่ได้หวังว่าพระธาตุจะเสด็จมาหาหรอกครับ..เอาแค่เท่าที่มีไม่เสด็จหนี นี่ก็ดีใจพอสมควรแล้วครับ....

    ส่วนเรื่องการฝึกในสายฤทธิ์นี้ ผมก็แนะนำว่า ควรฝึกเอาไว้บ้างครับ...
    เพราะลำพังจะมาเจริญสติอย่างเดียว ไปเจอพวกที่มีวิชาเขาทำเอาให้ หรือภพภูมิเกเรที่มารังแกเอา บางครั้งเจ็บป่วยหนัก บางครั้งถึงชีวิต การเจริญสติอย่างเดียว เอาไม่อยู่ครับ...ในชีวิตการฝึกฝนของผมก็เห็นมามากรายด้วยกัน...จะบอกว่าแผ่เมตตา ทำใจให้ว่าง ทำอุเบกขารมณ์เอาไว้ หรือสุดท้ายจะบอกว่าแล้วแต่กฎของกรรมก็ตาม...

    กฎของกรรมนี้ ก็น่าจะถูกต้องอยู่ กรรมคือตนไม่ฝึกฝน เมื่อไม่ฝึกฝนตนให้ดีพอแล้ว เมื่อมีภัยย่อมรักษาตัวเองและคนรอบข้างไว้ให้พ้นภัยไม่ได้ นี่คือกรรมของการไม่ฝึกครับ...

    ส่วนท่านที่จะขอบารมีครูบาอาจารย์มาคุ้มครองโดยหวังว่าไม่จำเป็นต้องฝึกก็ได้นั้น อาจจะเข้าใจบางประการคลาดเคลื่อน ...
    ครูบาอาจารย์ท่านจะสามารถคุ้มครองได้ ตัวเราต้องฝึกมาในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ปวกเปียกป้อแป้แล้วจะให้ท่านคุ้มครอง ท่านก็ช่วยเต็มกำลังของท่านแล้ว แต่เรามันไม่เอาไหนเอง ก็ไม่รอดเหมือนกัน...ลักษณะแบบนี้น่าจะไปคล้ายกับที่คุณนพฯแนะนำให้ฝึกไปเชื่อมต่อกับกระแสครูบาอาจารย์ แต่อธิบายกันคนละแบบเท่านั้นเอง...คือถ้าเชื่อมกระแสครูบาอาจารย์ไม่ได้ ท่านจะส่งผ่านพลังมาคุ้มครองเราได้ยังไง...เครื่องรับมันใช้การไม่ได้ เครื่องส่ง แม้กำลังส่งสูงขนาดไหน ก็ไม่มีผลนะครับ...

    เพียงแต่ว่าถ้ามุ่งฝึกเอาแต่กำลังทางฤทธิ์เสียแล้ว เวลาจะมาเจริญสติ มันจะมีอาการหน่วงอยู่มาก กว่าจะเจริญสติให้เป็นมหาสติได้ จะกินแรงกินเวลาไปมาก ความแตกฉานทางปัญญาจะน้อยลง...การวางกำลังของทั้งสติและสมาธิ ให้สมดุลย์กันพอดีนั้น ต้องหากันเอาเองครับ...ช่วยกันไม่ได้เลย มีแต่ต้องฝึกกันไป รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบากันเอาเองดู...พอมันได้ที่ของมันก็จะรู้ของมันเอง รู้แล้วก็ไม่สามารถจะไปอธิบายบอกใครได้อีกเหมือนกัน...

    การฝึกในระยะเริ่มต้นใหม่ ก็ยึดกันไปก่อนนะครับ ยึดเอาไว้แต่ให้รู้ในใจว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากกันเหมือนชาติก่อนๆที่ผ่านๆมา...แต่ว่าให้ถึงระยะเวลาอันควรก่อนก็พร้อมที่จะปล่อย...เหมือนที่หลวงพ่อชาท่านอุปมากับการซื้อกล้วยกลับมากินที่บ้าน เปลือกมันกินไม่ได้ แต่เราก็ต้องหิ้วมาด้วย มาถึงบ้านแล้วก็ปอกเปลือกทิ้ง กินเอาแต่เนื้อมัน...แต่หากจะกินกล้วยแล้วไม่เอาเปลือกกล้วยติดมาด้วย มันจะหิ้วมาไม่ได้สะดวก มีสกปรกบ้าง หรือบางครั้งยังไม่สุกดีบ้าง ก็ต้องหิ้วมาก่อน สุกแล้วก็ค่อยปอกเปลือกกิน แล้วโยนเปลือกทิ้งไป...ดังนั้นจึงยังคงต้องยึดอยู่บ้าง แต่ก็อย่าให้มันมั่น...ถือเอาไว้บ้าง แต่ก็อย่าให้มันมั่น...เอาที่มันกลางๆ พอดีๆนี่แหละครับนะ...ทำๆกันไปก่อน...อย่าพึ่งใจร้อนกันไปครับ...ไม่ถึงเวลาดิ้นรนขวนขวายอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ดี...เพียรทำไป ถึงเวลามันก็เห็นดอกออกผลเองครับ...ใจเย็นๆ ค่อยๆฝึกกันไป...
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    แล้วอันนี้ไม่ทราบว่าเพื่ออะไร มีคนบอกให้จ้องรูปหลวงพ่อปานตรงสามจุดค่ะ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpPanSilluette.jpg
      LpPanSilluette.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.1 KB
      เปิดดู:
      473
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      47
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เห็นด้วยถ้าทำเป็นไฟล์นะครับ..และก็เห็นด้วยกับ ป๋า มิงค์ ใน #Rep 497
    ส่วนรูป ลป. ก็แล้วแต่ชอบนะครับ ถ้าจะฝึกสร้างทิยพจักขุ หรือฝึกกสิณพระ
    ก็ใช้รูปนี้ขึ้นเป็นอุคนิมิตรได้ ถ้าฝึกแบบหลับตาภาพอุคคหนิมิตจะออกสีเทา
    ซีดๆหน่อยและก็จะเห็นเป็น ลป. อย่างในรูปชัดเจน
    ถ้าฝึกแบบลืมตาแล้วละภาพไปมองในอากาศจะออกภาพจะออกสีเทาหน้าตา
    อะไรชัดเจน แต่ทั้งหลับตาและลืมตาภาพจะยังติดกรอบมาด้วยนะครับ...
    พวกนี้ควรทำได้ภายในเวลาไม่เกิน ๑๐ นาทีนะครับ
    ส่วนถ้ามาทางสายพลังงาน แล้วมองภาพ
    ภาพนี้จะส่งเสริมตรงที่ จะดึงพลังงานส่วนด้านหน้า
    ตรงจุดเหนือสะดือ ๑ นิ้ว ที่เกี่ยวกับสัมผัสภายใน
    กับแนวพลังงานด้านหลังในตำแหน่งที่ตรงกับ
    จุดเหนือสะดือประมาณ ๑ นิ้วให้มาเกี่ยวรวมกัน
    กลายเป็นเอกลักษณะพลังงานที่ส่งผลเกี่ยวกับ
    การรักษาคล้ายๆ กระแสของ ท่านพ่อปูชีฯ และในแนวพลังงาน
    ทางด้านแนวกระดูกสันหลังหรือด้านหลัง จะวิ่งขึ้นไปรวม

    กับแนวพลังงานด้านหน้าจากจุดเหนือระหว่างคิ้ว
    แล้วเชื่อมขึ้นไปข้างบน แต่ถ้าไปจับกระแสพลังงาน
    จะเหมือนกับบริเวณที่คอด้านหน้าหายไป แต่นัยยะคือ
    ลักษณะของกระแสพลังงานตรงจุดเหนือสะดือ ๑ นิ้วนั้น
    จะเกี่ยวโยงผูกกับเรื่องของการทำบุญ ทำทาน แม้ว่าจะมี
    เมตตาออกจากกลางลิ้นปี่หรือหน้าอกได้มากก็ตาม
    ที่พูดคือลักษณะของภาพที่แสดงออกในเรื่องของลักษณะพลังงาน

    แต่ถ้าจะให้แนะนำสำหรับทั่วๆไป
    ถ้าไม่เอาไว้ฝึกกสิณพระแบบลืมตาและหลับตาก็
    ควรจะใช้เพื่อสำหรับฝึกเรื่องพลังงาน ควรใช้ฝึกเรื่องเกี่ยวกับ
    กระแสเมตตาที่ออกจากภายในไปภายนอกจะดีกว่าครับ
    เพราะว่า กระแสเมตตาของท่านค่อนข้างกว้างงงงงงงงงงงงงงมากกกกกกกกกกกก
    คือ มนุษย์ปกติทั่วไปอย่างเราๆถ้าเปรียบเทียบนะ ฐานเริ่มต้นของกระแสเมตตา
    ที่ออกจากร่างกายมันจะยังมีขอบเขตหมายถึงจุดหมุนประกำปั่นเรา
    อย่างมากนะครับก่อนที่จะขยายไปภายนอก
    แต่ว่า ของ ลป. ท่านเนี่ยจุดหมุนเริ่มต้นจะเกินช่วงกายเรา
    ซึ่งถ้าฝึกตรงนี้จะช่วยดึง
    ช่วยหนุนในเรื่องการสร้างกระแสเมตตาจากภายในกายเราออกไปภายนอกได้ดี
    เป็นข้อเสนอแนะส่วนตัวนะครับ

    ปล.ประมาณนี้ครับ..ค่อยๆอ่านนะครับ ไม่งั้นจะงง ๕๕๕.
     

แชร์หน้านี้

Loading...