ท่านว่าระดับธรรมของท่าน สูงหรือไม่ เพราะอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Jan2014, 18 พฤษภาคม 2014.

  1. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    กระทู้นี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างกำลังใจในการปฏิบัติ หรือ ว่าปฏิบัติมาแล้วไม่ได้ผล เลยซาวเสียงหาแนวร่วมช่วยแก้ไข ? ผมก็นักปฏิบัติเช่นกันครับ อันว่าธรรมที่อยู่ในใจผมนั้นมันสูงส่งคือ ตั้งเป้าว่าจะไปให้ถึงพระนิพพานเป็นแน่ แต่สังขารอันเลวทรามนี้ก็ยังต้อง กิน ต้องถ่าย ต้องปวด เป็นธรรมดา อารมณ์ที่เกิดขึ้นจึงไปหลอกจิตว่าทำไม่ได้ ไปไม่ถึงเพราะเราไม่ไหว 55+ อันนี้ละซิครับ ถ้าเชื่อมันก็ซวยกันเลย ต้องทำความเข้าใจว่า จิต กับ ร่างกายนั้น คนละส่วน ทำงานคนละอย่าง ร่างกายมันเจ็บมันปวด มันเป็นธรรมชาติครับ อะไรที่เป็นส่วนประกอบด้วยธาตุ 4 ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งไหนเลยที่จะไม่กระทบกัน และเสื่อมสลายไป แต่อารมณ์จิตเราที่ตั้งเป้าอย่าหลงเอาไปรวมกับการกระทบ จิตต้องทรงกำลังใจไว้ เช่น จะทรงสมถะก็ทรงไว้ ให้ได้ จะรักษาศีลก็ตั้งใจรักษาศีลให้ได้ อย่าเอาไปรวมกับอาการของร่างกาย ที่กล่าวมาไม่ใช่จะมาบอกให้ทรงฌาณละเวทนาไปเลย ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ......เพียงแต่แนะนำว่า ถ้าร่างกายไม่ไหวก็กำหนดซิครับ ค่อยๆฝึก ให้มันรับไหว เช่น นั่งสมาธิ กำหนดวันและเวลาตรงกันทุกวัน , รักษาศีลก็กำหนดวันครับว่าจะรักษา 7 วันบ้าง หรือ รักษาเฉพาะวันพระให้ร่างกายมันปรับให้ตรงกับกำลังใจ สำคัญที่สุดคือ การทำต่อเนื่องสม่ำเสมอนะครับ ผมเชื่อว่า เท่านี้การท้อแท้ในการปฏิบัติธรรม ก็จะค่อยๆกลับมามีกำลังใจครับ // ตั้งใจจริง // ทำจริง //ได้ผลแน่นอนครับ // ( ผิดพลาดประการใดขอประทานอภัยด้วยครับท่านเจ้าของกระทู้ )
     
  2. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +143
    อนุโมทนา
    กระทู้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้พิจารณาเล่นกันเฉยๆ
    พิจารณาว่า เราเห็นว่าธรรมเราเป็นอย่างไร
    เห็นแล้ว มีคุณ มีโทษ ในสิ่งที่เห็นหรือไม่
    ถ้ามีคุณ มีอย่างไร
    ถ้ามีโทษ มีอย่างไร
    แค่นั้นแหละครับ
     
  3. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ชื่อประเทศไทยในอดีตที่ถูกปกปิดไว้ให้หายไป .. ชื่อว่าอะไร?
     
  4. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    หลวงปู่ขาวกล่าวว่า .. น่าสงสารคนทุกวันนี้ มั่วแต่เพลิดเพลินตื่นเงา ..

    คำถาม: เงา ในที่นี่หมายถึงอะไร และทำไมถึงได้ชื่อว่า เงา?
     
  5. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สิ่งสมมุติ. เพราะสิ่งสมมุติคือเงาของปรมัตถ์
     
  6. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    เปลือก, ชื่อเรียก ไม่ใช่ลักษณะของ เงา

    การตั้งชื่อเรียกเงาจัดเป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา ก็สามารถทำได้
    อันที่จริง เงา จัดเป็นปรมัตถ์เสียด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2015
  7. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ถ้าคำตอบแบบนี้ ก็สามารถยกตัวอย่างได้แบบนี้ใช่ไหม ..
    น่าสงสาร "คือคนไทย" ที่มัวหลงเพลิดเพลินในอาการของจิต?
     
  8. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - จิตที่ฟึกฝนดีแล้วย่อมไม่ควรส่งไปเที่ยวข้างนอก กับจิตฟุ้งซ่าน ต่างกันใหม หรือคืออันเดียวกัน

    - นำจิตเข้ามาดูภายในจิตเราเอง หมายถึงอย่างไร ทำอย่างไร บอกวิธีการได้หรือเปล่า

    - แล้วท่านจะรู้ว่าหลุดพ้น ท่านในที่นี้คืออะไร จิตหรือว่ามีนามธรรมอันอื่นอีก ที่เรียกว่า ท่าน

    - ให้จิตบำเพ็ญพระอนิจจังพระทุกพระอนัตตา หมายถึงอย่างไร ทำอย่างไร บอกวิธีการได้หรือเปล่า

    สนทนาธรรมนะครับ เราว่ากันในเนื้อหา ไม่เกี่ยวกับบุคคลตัวตนเราเขา แล้วแต่จะร่วมคุยกัน ตอบก็ดีใจไม่ตอบก็ไม่ว่ากัน
     
  9. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    เอาจิตกลับมสู่กายได้ไวดุจกระพริบตา ท่านกล่าวว่าภาวนาชั้นเลิศ ไม่ใช่ไปสร้างภพสร้างชาติต่อ เห็นแต่เกิดดับๆ
     
  10. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    เหมือนนิทาน หมากับเงา ไรแบบนี้ปะ ?
    แบบเห็นสิ่ง (ที่เป็นสมมุติ) โดยคิดไปว่าสิ่งนั้นดีกว่าในสิ่งที่เรามีอยู่เป็นอยู่ ก็ดิ้นรนที่จะหาตะครุบไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบสิ้น
     
  11. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ยกตัวอย่าง เช่น มีคนเกิดมาเป็นนิโกร ผิวดำ ใบหน้าไม่สวยไม่หล่อ
    แต่อยากสวยหล่ออย่างคนฝรั่งเขา .. ก็วิ่งเต้นขวยขวายไปทำศัลยกรรมหน้า
    ไปฉีดยาเปลี่ยนสีผิวทั้งตัวให้ขาว เหมือนฝรั่ง .. แต่อนิจจาก็เป็นได้แค่เกือบเหมือน

    พระพุทธเจ้าท่านเฉลียวฉลาดทรงมองกาลไกล ท่านสอนให้ทำที่เหตุแก้ที่เหตุ .. ไม่ทรงสอนให้แก้ที่ผล !


    มนุษย์ทุกวันนี้วิ่งเต้น ใขว่ขว้าหาสิ่งภายนอก บางคนสมปรารถนา บางคนไม่สมปรารถนา
    บางคนใช้ทางลัดเล่นหวยเล่นลอตเตอรี่ .. มุ่งแต่หามันอย่างเดียวจนไม่ได้ เฉลียวใจเลยว่า
    มันต้องมีเหตุมาก่อน คนที่สร้างเหตุมาก่อนย่อมได้โดยง่าย แต่อนิจจาแทบไม่มีคนสนใจสร้างเหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2015
  12. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - เอาจิตกลับมสู่กายได้ไวดุจกระพริบตา หมายถึงว่าก่อนหน้าที่จะกลับมาสู่กาย จิตไม่ได้อยู่ที่กาย แล้วมันอยู่ที่ใหน มันลอยไปลอยมาอยู่นอกร่างกายหรือไงครับ

    - ไม่ใช่ไปสร้างภพสร้างชาติต่อ ยังไงถือว่าสร้างภพสร้างชาติ อธิบายด้วย

    - เห็นแต่เกิดดับๆ ใครเห็นเกิดดับ เรา หรือจิต หรือนามธรรมอันได เอาชัดๆ

    - อยากเห็นคำอธิบายที่ชัดเจน มีตัวๆ จะๆ ไม่ว่ากันนะครับ สนทนาธรรมเพื่อ ความสุขในธรรมครับ
     
  13. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    แสดงว่าบางคนที่เล่นหวยเล่นลอตเตอรี่ แล้วถูกรางวัลที่ 1 รางวัลใหญ่ ต้องเคยสร้างเหตุปัจจัยไรซักอย่างมาก่อนหนะซิ เผลอๆอาจจะต้องซื้อหลายงวดหลายครั้งถึงจะถูก ด้วยความมานะ พยายาม ไม่ลดละ ? หรือเปล่าหว่า เพราะบางคนอาจจะพยายาม ไม่ลดละ ซื้อมันทุกงวด แบบเดียวกันแต่ไม่ถูก ถูกกินอย่างเดียว

    เหมือนกับคนที่จะอยากสมปรารถนา หรือ ประสบความสำเร็จไร หรือทำธุรกิจกิจการ ซักอย่าง ก็ต้องทำๆๆต้องมีล้มเหลวก่อนซะส่วนมากให้ลองผิดลองถูก กว่าจะสำเร็จ

    คนอยากสวยอยากหล่อแบบทันใจในชาตินี้ ก็ต้องทำศัยกรรม ไม่งั้นก็ทำดี ทำเหตุในชาตินี้แล้วรอผลชาติหน้า ดิงั้น ???
     
  14. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    จิตก็วลอยู่4ฐาน คือกาย. เวทนา. สังขาร สัญญานี้แหล่ะ
    ชนเหล่าใดไม่บริโภคกายคตาสติ. ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมไม่บริโภคอมตะ
    อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ. ท่านให้เอาจิตกลับมาตั้งอยู่ที่กายได้ไวดั่งกระพริบตา. คือเมื่อจิตไปคิดถึงเรื่องอื่นเรื่องใดก็ตามให้มีสติกับมาระลึกอยู่ที่ลมหายใจหรือกายใดกายหนึ่งเห็นการเกิดภายในกาย. การที่จิตนั้นไปคิดถึงสิ่งใดได้สร้างสถานที่เกิดคือภพเมื่อมีความเพลินคิดในเรื่องราวนั้น ได้ก่อชาติขึ้นแล้ว

    ผู้ได้ชื่อว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ
    อานนท์ ! อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา) ในอริยวินัย เป็นอย่างไรเล่า ?
    อานนท์ ! ในกรณีนี้ อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ – ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุเพราะเห็นรูปด้วยตา. ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า “อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้ เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขต) เป็นของหยาบ ๆ (โอฬาริก) เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจฺจ สมุปฺปนฺน); แต่มีสิ่งโน้นซึ่งรำงับและประณีต, กล่าวคือ อุเบกขา” ดังนี้. (เมื่อรู้ชัดอย่างนี้) อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ - ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป, อุเบกขายังคงดำรงอยู่.
    อานนท์ ! อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ - ทั้งเป็นที่ชอบใจ และไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป เร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู่.
    อานนท์ ! นี้แล เราเรียกว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย ในกรณีแห่ง รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ.
    (ในกรณีแห่ง เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสตะ กลิ่นที่รู้แจ้งด้วยฆานะ รสที่รู้แจ้งด้วยชิวหา โผฎฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยผิวกาย และ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ ทรงตรัสอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่อุปมาแห่งความเร็วในการดับแห่งอารมณ์นั้น ๆ, คือ กรณีเสียง เปรียบด้วยความเร็วแห่งการดีดนิ้วมือ, กรณีกลิ่น เปรียบด้วยความเร็วแห่งหยดน้ำตกจากใบบัว, กรณีรส เปรียบด้วยความเร็วแห่งน้ำลายที่ถ่มจากปลายลิ้นของคนแข็งแรง, กรณีโผฏฐัพพะ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการเหยียดแขนพับแขนของคนแข็งแรง, กรณีธรรมารมณ์ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการแห้งของหยดน้ำบนกระทะเหล็ก ที่ร้อนแดงอยู่ตลอดวัน)

    ตั้งจิตในกายคตาสติ เสมือนบุรุษถือผู้หม้อน้ำมัน
    ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนหมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า มีนางงามในชนบทพึงประชุมกัน ก็นางงาม
    ในชนบทนั้น น่าดูอย่างยิ่งในการฟ้อนรำ น่าดูอย่างยิ่งในการขับร้อง หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่านางงามใน
    ชนบทจะฟ้อนรำขับร้อง พึงประชุมกันยิ่งขึ้นกว่าประมาณ ครั้งนั้น บุรุษผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย ปรารถนา
    ความสุข เกลียดทุกข์ พึงมากล่าวกะหมู่มหาชนนั้นอย่างนี้ว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านพึงนำภาชนะน้ำมันอันเต็ม
    เปี่ยมนี้ ไปในระหว่างที่ประชุมใหญ่กับนางงามในชนบท และจักมีบุรุษเงื้อดาบตามบุรุษผู้นำหม้อน้ำมันนั้นไป
    ข้างหลัง ๆ บอกว่า ท่านจักทำน้ำมันนั้นหกแม้หน่อยหนึ่งในที่ใด ศีรษะของท่านจักขาดตกลงไปในที่นั้นทีเดียว”
    ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไร ? บุรุษผู้นั้นจะไม่ใส่ใจภาชนะน้ำมันโน้น
    แล้วพึงประมาทในภายนอกเทียวหรือ
    ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า !
    ภิกษุ ท. ! เราทำอุปมานี้ เพื่อให้เข้าใจเนื้อความนี้ชัดขึ้น เนื้อความในข้อนี้มีอย่างนี้แล คำว่า
    ภาชนะน้ำมันอันเต็มเปี่ยม เป็นชื่อของ กายคตาสติ.
    ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอทั้งหลายพึงทำการศึกษาอย่างนี้ว่า กายคตาสติ จักเป็นของ
    อันเราเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง กระทำไม่หยุด สั่งสมแล้ว ปรารภดี
    แล้ว. ภิกษุ ท. ! เธอทั้งหลายพึงทำการศึกษาอย่างนี้.
    ภิกษุ ท. ! ชนเหล่าใด ไม่บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมไม่บริโภคอมตะ. ภิกษุ ท. !
    ชนเหล่าใด บริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ย่อมบริโภคอมตะ ;
    ภิกษุ ท. ! ชนเหล่าใด ประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ประมาทอมตะ ภิกษุ ท. ! ชนเหล่า
    ใด ไม่ประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า ไม่ประมาทอมตะ ดังนี้ แล.
    มหาวาร. สํ ๑๙ / ๒๒๖-๒๒๗ / ๗๖๓–๗๖๖.
    เอก.อํ ๒๐ / ๕๙ / ๒๓๕,๒๓๙.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2015
  15. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    จะว่าไปพูดถึงจิต เคยได้ยิน พระ คึกฤทธิ์
    พูดทำนองว่า จิตมันจะไปรู้แค่ 4 เรื่อง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร

    แต่ก็งงไปว่า แล้ว วิญญาณ ละจิตไม่รับรู้หรอ หรือว่า เหมารวมว่าคืออันเดียวกัน
    วอนลูก ศิษย์ตอบหน่อย
     
  16. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - เยี่ยมครับท่าน

    - กายคตาสติ มีสติอยู่ที่กายอันไดอันหนึ่ง เพื่อให้ละ ความยินดียินร้ายในโลกเสียได้

    - การมีสติ อยู่กับกาย มีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวอยู่ตลอด เท่านี้ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องก็ถือว่าสุดยอดละครับ

    - การเห็นเกิดดับ ก็คือการเห็นของสัตว์โลก มีสติเพื่อให้เกิดสัมปชัญญะ มีสัมปชัญญะ ก็เพื่อให้เห็น การเกิดดับของ ขันธ์ห้า

    - อะไรคือสัตว์โลก ขันธ์ห้า มิใช่สัตว์โลก ยังมีนามธรรมอันหนึ่ง ทียึดเอาขันธ์ห้าว่าเป็นตัวตน ว่าเป็นเจ้าของ นามธรรมอันนี้ ไม่เกิดไม่แก่ไม่ตาย เที่ยง เป็นอมตะ ก็คือนิพพานธาตุนั้นเอง เราทุกคนก็มีนามธรรมอันนี้อยู่ในตัวเรา การรับรู้ของนามธรรมอันนี้เราเรียกว่า สัมปชัญญะ ถ้าสูงขึ้นไปก็คือญาณนั้นเอง
     
  17. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - ผมก็เคยฟังอยู่ จิตอยู่ใน วิญญาณขันธ์นั้นแหละ ดังนั้นจึงเห็นว่า การพิจารณาขันธ์ห้าไม่เที่ยง ก็รวม ทั่งจิตไม่เที่ยงด้วย

    - พระอาจารย์ท่านไม่เห็นกล่าวถึงตัวสัมปชัญญะเลย หรือมีแต่น้อยไปหรือไม่เน้น

    - ผมเข้าใจอย่างนี้นะครับ ตัวผุ้รู้มีสองตัว คือ ตัวจิต และตัวสัมปชัญญะซึ่งเมื่อสัมปชัญญะมีอย่างต่อเนื่องก็จะเรียกว่าญาณ
    - จะเห็นได้ว่า รู้ได้ด้วยจิต รู้ได้ด้วยญาณ ไม่เหมือนกันนะครับ

    - สติ ก็คือจิต สัมปชัญญะ ก็คือการรู้ของนามธรรมอีกอัน มิใช่จิต
    - การดูกาย และการดูจิต ก็คือต้องดูด้วย สัมปชัญญะ คือดูด้วยตัวนามธรรมอีกอัน มิใช่จิต แน่นอน

    - จิต เจตสิค รูป นิพพาน สี่อย่างนี้ รวมกันได้อย่างไร จิต เจตสิค รูป ก็คือขันธ์ห้า ส่วนนิพพานธาตุ คือนามธรรม ที่เป็นอมตะธาตุ ที่เป็นสัตว์โลก มันคือนามธรรมที่ไปเกี่ยวกับขันธ์ห้า ด้วยเชือกที่เรียกว่า กิเลสสังโยชน์

    - การตัดกิเลสสังโยชน์ ก็โดยการเห็น การพิจารณา ของตัวสัตว์โลก ตัวสัตว์โลกจะตื่นไม่ได้ถ้าไม่มีเทคนิคของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า การสร้างสติ ตามสติปัฏฐานสี่นั้นเอง เมื่อมีสติ ตัวสัตว์โลกก็จะตื่นคือรู้สึกตัว หรือที่เรียกว่า สัมปชัญญะ ตัวจิต เป็นตัวรับข้อมูลการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ป้อนข้อมูลให้ตัวสัตว์โลก เมื่อสัตว์โลกเห็นด้วยตนเองว่า ขันธ์ห้าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ก็จะเกิดการเบื่อหน่าย เกิดการหลุดพ้น เป็นการตัดกิเลสสังโยชน์ เป็นขั้นๆไป

    - เมื่อกิเลสสังโยชน์ ถูกตัดขาดหมด จิต ก็เป็นอิสระ จาก ตัวสัตว์โลก จนเมื่อดับขันธ์ จิตดวงสุดท้ายก็ดับ ไม่มีจิตดวงใหม่เกิดขึ้นอีก เพราะจิตของพระอรหันต์ไม่มีจิตสังขาร คือไมมีการปรุงแต่ง เมื่อดับขันธ์ก็จะเหลือแต่นิพพานธาตุ

    - การทำวิปัสสนา ต้องมีสัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น ถ้าความเห็นอันดับแรกผิด ปฏิบัติให้ตายก็ไม่สำเร็จ
     
  18. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๒.๔๙

    ไม่ใช่ม้าง

    จิตก็คือสติ และก็เป็นสัมปชัญญะได้ด้วย
    เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน เป็นพลังอำนาจของจิต
    ที่จะกระทำการใดๆ ได้หลายรูปแบบ รูปร่าง รูปทรง

    เมื่อมีสติ จิตนั่นแหละสวมบทบาทของสติ
    เมื่อมีสัมปชัญญะ ก็จิตอันนั้นแหละ ที่เปลี่ยนชุด แล้วออกมาใหม่ ๕๕๕
    ส่วนญาน ก็จิตอีกนั่นแหละ ที่อัพเลเวลขึ้นไป และมีไอเท็มใหม่ๆ เพิ่มเติม

    ที่ว่ามีสองตัว ก็มีผู้รู้ กะสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น เนอะ

    จะดูกาย หรือดูจิต ก็ต้องดูด้วยจิตนั่นแหละ
    แต่จะเป็นจิต ที่สวมชุดอะไร ก็ว่ากันไป ตามแต่ละบทบาท
    แต่ละฉากที่จิตปรากฏตัวออกมา เพื่ออะไร รับบทบาทหน้าที่อะไร
    ก็ต้องมีคุณสมบัติตามนั้น ประกอบตามมาให้ครบถ้วน สมบูรณ์

    จิตที่ต่างหน้าที่ภารกิจออกไป ทำให้หลายท่านสับสน งงงวย
    แต่เชื่อเหอะ จิตเค้าไวมากนะ เปลี่ยนชุดไวกว่าซุปเปอร์แมนแยะเชียว ขอบอก ๕๕๕

    ไวมาก จนดูเหมือนว่าจะสามารถแยกร่างออกได้หลายเชียวหละ
    ทำหน้าที่พร้อมๆ กันได้ หลายอย่าง จนเหมือนกะว่ามีหลายอัน
    แว๊บไปแว๊บมา ตาดูไม่ทันหรอกครับ ต้องใช้จิต ดูจิต จึงจะเห็น จิต


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / ค้างคาวปล่อยแสง

    .
     
  19. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เป็นคนมีความคิดความอ่าน
     
  20. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ขอบคุณครับ ที่ให้เกียรติ์มาคุยกับผม

    - คุยกันตามประสาสนทนาธรรมนะครับ ผิดถูกไม่ว่ากัน

    - สัมปชัญญะคือความรู้สึกตัว ผมบอกว่าไม่ใช่จิต
    - ญาณก็ไม่ใช่จิต เช่นรู้ได้ด้วยญาณ

    - ส่วนท่านบอกว่า จิตก็คือ ญาณ จิตก็คือ สัมปชัญญะ เพียงแต่สับไปมาเร็วมาก ท่านเข้าใจเช่นนี้ใช่หรือไม่

    - ผมจะถามท่านว่า ปรมัตถธรรม มี 4 ประเภท คือ จิด เจตสิก รูป และนิพพาน นั้น เมื่อพระอรหันต์ ดับขันธ์ ก็คงเหลือ สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า นิพพานธาตุ แล้วจะถามท่านว่า นิพพานธาตุ ยังคงรับรู้สิ่งต่างๆ หรือไม่ หรือว่า ไม่รับรู้สิ่งไดเลย

    - นิพพานธาตุ ขณะที่อยู่ในร่างเรานี้ มีลักษณะ ไม่รับรู้สิ่งไดเลยหรือเปล่า นิพพานธาตุก็คือ นามธรรมอันหนึ่ง ที่ไม่เกิดไม่ดับ เที่ยง คงที่อยู่ ท่านเคยได้ยินสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า

    ลองมาดูพระสูตรนี้นะครับ

    .... [๖๙๕] คำว่า ความตรัสรู้ ความว่า ย่อมตรัสรู้ด้วยอะไร ย่อมตรัสรู้
    ด้วยจิต ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตหรือ ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีญาณก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคล
    ผู้ไม่มีญาณตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยญาณ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณหรือ
    ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ได้ซิ บุคคลผู้ไม่มีจิตก็ตรัสรู้ไม่ได้ ย่อมตรัสรู้
    ได้ด้วยจิตและญาณ ย่อมตรัสรู้ได้ด้วยจิตและญาณหรือ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้
    ด้วยกามาวจรจิตและญาณซิ ย่อมตรัสรู้ด้วยกามาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยรูปาวจรจิตและญาณไม่ได้ ถ้า
    อย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยอรูปาวจรจิตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณซิ ตรัสรู้
    ด้วยกัมมัสสกตาจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยสัจจานุโลมิกจิต
    และญาณซิ ตรัสรู้ด้วยสัจจานุโลมิกจิตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วย
    จิตที่เป็นอดีตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอดีตและญาณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น
    ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นอนาคตและญาณ
    ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณซิ ตรัสรู้ด้วยจิต
    ที่เป็นปัจจุบันและญาณไม่ได้ (แต่) ตรัสรู้ได้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณ
    ในขณะโลกุตรมรรค ฯ ((จาก))

    - พระสูตร แสดงให้เห็นว่าา ญาณ กับจิต มิใช่สิ่งเดียวกัน

    - จิตก็คือจิต การที่ท่านบอกว่า จิต ก็เปลียนไปเป็น สัมปชัญญะ จิตจะเปลี่ยน ไปเป็นญาณ นับว่าเพิ่งได้ยินนะครับ แน่ใจหรือครับ มี พระสูตร รับรองหรือเปล่าครับ

    - สัมปชัญญะ คือการรู้สึกตัว ท่านคิดว่า เป็นการรู้สึกตัวของใคร ก็คือความรู้สึกตัวของนามธรรมอันหนึ่ง ที่เที่ยง และคงที่

    - เมื่อพระอรหันต์ ดับขันธ์ ท่านยังคงเหลือ นิพพานธาตุ พุทธศาสนา สอนว่า การนิพพาน เป็นบรมสุข มันมิได้หมายถึงการที่ ธาตุอันนี้จะไม่รับรู้สิ่งไดเลย เพียงแต่ ขันธ์ห้าดับไปเท่านั้น
    - ถ้าพิจารณา เมื่อ ธรรมชาติอันนี้ อยู่ในร่างกายเรา มันจะไม่รับรู้สิ่งไดเลยหรือครับ ไม่ใช่นา

    - ผมลองกับตัวเองนี้แหละ อย่างเช่นการทำอานาปานสติ มีสติรู้ลมผ่านเข้าออก ตามด้วยสัมปชัญญะ คือความรู้สึกตัว มันรู้สึกตัวแค่แวบเดียวสั้นมากๆ มันไม่ได้คิดอะไร มันเป็นความรู้สึกตัว อธิบายยากนะ มันไม่ใช่จิต ถ้าเป็นจิตผมรู้ ต่างกัน

    - ศาสนาอื่นมิได้สอนเรื่อง ญาณ เรื่อง สัมปชัญญะ สอนแต่เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ ออกจากร่าง พุทธเราสอน สูงกว่านั้น ทลุไปสู่ สิ่งที่เป็นนามธรรม อันหนึ่ง ที่คงที่ ไม่ใช่จิต จิตเป็นไตรลักษณ์ ต่างจากนามธรรมอันนั้น

    - ถ้าท่านเชื่อว่า จิต ก็คือญาณ จิตก็คือสัมปชัญญะ แล้วนิพพานธาตุ คือจิตด้วยหรือเปล่า

    - ตัวผู้รู้มีสองตัว ครับ คือจิต และ ญาณ

    - คุยกันสนุกๆ นะครับ ห้ามโกรธ และขอบคุณที่คุยด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...