ท่องคาถาให้เป็นณาน นี่ยังไงคับผมงง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บอลมานพ, 28 กันยายน 2015.

  1. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    กราบ กราบ กราบ....
     
  2. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    มาๆๆๆๆ เอาง่ายๆนะเท่าที่พี่พอเข้าใจและเอาภาษาโลกๆธรรมดาๆเขาพูดกัน
    ... คำตอบคือ
    ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ถ่าย ดูรูปหรือคุยกับเพื่อน ฯลฯ ก็ท่องคาถาอยู่ในใจตลอดไง
    บางคืนท่องแม้แต่ในฝันและตื่นนอนมาปุ๊ปในใจเขาก็สวดเองเลยทีนี้ สวดจนไม่สนอะไรรอบข้างสวดจนจิตนิ่งๆๆๆ(ซึ่งจะนิ่งไปเองเราไม่ต้องไปบังคับ)
    นี่แหละจ๊ะสั้นๆนะ
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    คงจะหมายถึงให้ภาวนาจนกระทั่งจิตสงบเข้าฌานไปเอง

    เพียงแต่ในหนังสือสมถะกรรมฐานได้เขียนไว้ว่า
    ผู้ปฏิบัตด้วยการสวดมนตร์นั้นอย่างมากจิตจะสงบได้ถึงอุปจารสมาธิเท่านั้น
    ถ้าจะให้ถึงฌานคงต้องพึ่งกรรมฐานอย่างอื่นด้วย

    คำพูดที่ว่า ภาวนาให้เป็นฌานนั้น เป็นคำพูดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ท่านพูดถึงยายคนหนึ่งสวดคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
    โดยภาวนาให้เป็นฌานไปเลย ก็คงจะหมายถึงภาวนาทุกอิริยาบถจนกระทั่งจิตนิ่งสงบเข้าฌานไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2015
  4. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    กราบขอบพระคุณค่ะ ถ้าเช่นนั้น..หมายความว่านอกจากทำอานาปานุสสติแล้ว ดิฉันสามารถบริกรรมอะไรก็ได้ที่ถูกกับจริต ในระหว่างใช้ชีวิตประจำวันใช่มั้ยคะ แล้วอย่างเวลาสวดมนต์บทยาวๆแค่เราดำรงสติเฉพาะหน้าอยู่กับคำสวดทีละตัวสะกด..ทีละตัวสะกด..เรื่อยไป..ก้อได้เช่นกันใช่มั้ยคะ ช่วงที่ตั้งใจสวดมนต์จริงๆต่อเนื่องทุกวัน แม้ขณะทำงานอื่น ไม่ได้บริกรรมอะไร ก้อรู้สึกว่าจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ดี แต่ข้อเสียของดิฉันคือความใจเร็วและทะยานอยาก จึงอยากไปสู่จุดหมายเร็วๆ สนใจผลลัพธ์มากกว่าวิธีการ ซึ่งดิฉันก้อเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมของฆราวาสที่ยังใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้ถือศีล๘ที่วัด ก้อควรลดละความฟุ้งเฟ้อในหลายๆเรื่องด้วย เช่น การสะสมสิ่งของพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า แม้จะไม่ได้สมาทานศีล๘ ก้อควรจะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้สันโดษมากขึ้น
     
  5. LetItGo

    LetItGo สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +22




    ครับ จะใช้การสวดมนต์ระหว่างวัน
    และลดความฟุ้งเฟ้อในชีวิตลง
    อย่างที่กล่าวข้างต้นก็ได้ครับ

    แต่ถ้ามีจริตใจเร็วอยู่บ้างแล้ว
    จิตจะค่อนไปในทางหงุดหงิดเบาๆ ได้ง่าย
    และมักจะคาดหวังผลเร็วไปในตัวด้วย
    การใช้เพ่งระหว่างคำแต่ละคำ
    เบื้องต้นอาจทำให้จิตรวมนิ่งได้ดี
    แต่จิตจะไม่เห็น "อารมณ์"
    มันเหมือนเราฝึกข่มจิตด้วยความชำนาญ
    โดยใช้วิธีเพ่งเบาๆ ตามเสียงสวดมนต์
    ทำให้รวมได้เร็วขึ้น

    อยากแนะนำให้ลองรู้ลมระหว่างวันบ่อยๆ ไปด้วย
    แต่ให้เพียงรู้สบายๆ ไม่ได้รู้เพื่อรีดจิตให้สงบครับ


    เรื่องคาถาในการบริกรรมมีผลในสองทางครับ

    1.ถ้าจะเอาความสงบจากการบริกรรม
    จนจิตสามารถรวมเป็นอุปจาระจนถึงอัปปนา
    ใช้บริกรรมสั้นๆ อะไรก็ได้ ที่จิตชอบและเคล้าเคลียได้ง่าย
    บางท่านอาจใช้ พุทโธ, สัมมาอะระหัง, นะโมพุทธายะ ฯลฯ
    แต่ถ้าจริตชอบปรุงแต่งมาก หรือเป็นคนอารมณ์สุดโต่ง ใจร้อน
    อย่าใช้บริกรรม ที่ส่งผลให้สุดโต่งทางอารมณ์
    เช่่น ตายแน่ๆ หรือถ้อยคำที่ส่งผลกับจิตใต้สำนึก
    บางท่านอาจมองว่า มันมีค่าเหมือนกัน
    แต่ถ้าทำจริงๆ แล้วคำเหล่านั้นไปจี้กับจิตใต้สำนึก
    ทำอย่างไรก็ลงสู่ความสงบได้ยาก
    โบราณจารย์ท่านเลยมักเอาคำบริกรรม
    ที่ปรุงให้จิตเบา เบิกบานได้ง่าย
    เช่นคำที่เกี่ยวของกับพุทธคุณ
    เช่น อิติปิโส, พุทโธ, ธัมโม, สังโฆ, อะระหัง ฯลฯ
    แต่ถ้าจิตไม่ได้สุดโต่ง ก็ใช้คำอะไรก็ได้ครับ

    ครั้งนึง หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเคยเล่าว่า
    ท่านบริกรรมแล้วพุทโธกลายเป็น ประยูรๆ (ชื่อสาวคนนึง)
    พอตั้งบริกรรมใหม่ มันก็เปลี่ยนเป็นประยูรๆ ทุกที
    จนสุดท้ายเอาประยูรเป็นคำบริกรรม จิตก็ลงได้เช่นกัน
    (แต่เอาไว้เฉพาะบางบุคคลเท่านั้น)

    2.แต่ถ้าจะเอาฤทธิ์หรือผลจากคำบริกรรม
    อันนี้ คำบริกรรมหรือคาถาแต่ละตัวจะให้ผลแตกต่างกันแน่

    เพราะฤทธิ์ เกิดจากอุปาทานคือความยึดมั่น
    พวกนี้ต้องใช้เฉพาะตามเจ้าของวิชา
    คาถาบางคาถา มันมีพลังงานเฉพาะ
    ที่คนแต่ละกลุ่มใส่อุปาทานลงไป
    พอเราไปเอามาบริกรรมในระดับสมาธิที่สูงขึ้นหน่อย
    มันจะส่งผลตามที่อุปาทานนั้นๆ มีอยู่จริงๆ ได้

    ยกเว้น บางคาถาก็ต้องมีการยกขันธ์ครู ตามหลักวิชาด้วย
    ซึ่งแบบหลังนี้ ส่วนใหญ่จะมีเจ้าของคาถา
    อาจพวกเทวดาหรือเปรตบางพวก ควบคุมสิทธิ์ของมนต์เหล่านี้แทนอีกที
    ถ้าไม่ยกขันธ์ครูบูชา ก็จะใช้งานไม่ได้

    ในแบบที่จะบริกรรมเพื่อเอาฤทธิ์นั้น
    คนส่วนใหญ่ที่จะใช้ด้านนี้ จะเข้าสมาธิตามที่ถนัด
    เช่นอานาปานสติแบบที่คุณกล่าวมา
    เข้าให้ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ จนจิตมันเต็ม
    และออกจากสมาธิมาแค่อุปจารเบาๆ
    และกำหนดบริกรรมขึ้นมา มันก็จะส่งผลครับ

    แต่เตือนว่าแบบที่ 2 นี้ ยุ่งยากและลำบาก
    รวมถ้าคนที่เคยเล่นได้ผลมาจริงๆ
    จะรู้ว่าเกิดอันตรายแทรกอารมณ์ได้หลายทาง

    ความเห็นส่วนตัว แนะนำว่า
    ทำความสงบด้วยอานาปานสติ (ที่ถูกต้องตามหลักพุทธ) ให้ชำนาญ
    พอจิตรวมลงสู่ความสงบมากจริงๆ แค่ลองถอยมาตั้งจิตอธิษฐานเรื่องโลก
    มันก็ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติเห็นได้บ้างแล้ว
    โดยอาจไม่จำเป็นต้องไปจำคาถาให้เหนื่อยครับ
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คิดไม่ตกจากฌานหรอกครับ ...
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    กระทู้นี้ คุณ LetItGo อธิบายไว้ดีแล้วครับ..
    ส่วนตัวขอแทรกในระดับการใช้งานบางวิธีแล้วกันนะครับ....
    คาถาบทนี้แรกๆอาจจะต้องท่องๆไปก่อนครับ..
    พอจิตเริ่มถอยมาชินกับระดับอุปจารสมาธิหรือระดับที่จิตมีความเป็นทิพย์นั้น....
    เราจะสามารถใช้ผลของคาถาได้อยู่ ๒ กรณีครับ...
    ๑.กำหนดใช้เฉพาะตนเอง และ
    ๒.กำหนดทำให้บุคคลอื่นๆครับ....
    วิธีการที่ ๑. การกำหนดใช้เฉพาะบุคคลคือ เมือจิตมีความเป็นทิพย์และจิตสามารถ
    ผลิกเข้าสู่อรูปฌานได้แล้ว ตัวจิตจะมีความสามารถในการสร้างตัวคาถาเป็น
    อักษรให้ลอยอยู่กลางอากาศได้เรียกว่าการขึ้นรูปแต่ว่า
    ต้องเป็นอักษรขอมตามแบบนะครับ...
    ให้ใช้จิตซึ่งเราสามารถใช้จุดเหนือระหว่างคิ้วในการสร้างได้ครับ..
    ให้เขียนอักษระให้ครบทุกตัวอักษรโดยเรียงทีละบรรทัดให้ครบ..
    หลังจากนั้นให้กลางมือออกรอบๆศรีษะเราให้กำหนดให้ตัวอักษร
    ทั้งหมดวิ่งผ่านระหว่างกลางมือเรา และเราก็ใช้มือทั้งสองที่กางออกนั้น
    ค่อยๆรูดจากศรีษะเราลงไปจนถึงเท้าเราครับ แต่หลักสำคัญก็คือ เมื่อมือถึงเท้า
    แล้วนั้น เราต้องรอให้บทคาถาไหลลงมาครบทุกบรรทัดก่อนครับ..
    หลังจากนั้นค่อยลากจากเท้าเราขึ้นมาถึงศรีษะอีกครั้งหนึ่งครับ...
    แล้วหงายมือให้ฝ่ามือชี้ขึ้นไปท้องฟ้า เป็นอันเสร็จครับ....
    หมายเหตุ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ที่เท้าเราจะรั่วครับ..จะโดนฝ่ายกำลังจิตต่ำที่พื้น
    ผ่านเข้ามาได้และจะเกาะอยู่บริเวณหน่องเราได้ครับ..หรือโดนฝ่ายที่เค้า
    เจนตาไม่ดีจะทำร้ายเรา จะส่งอะไรก็ตามผ่านมาทางดินครับ......
    วิธีที่ ๒. การเขียนยันต์กลางอากาศครับ หลักการสร้างรูปก็คล้ายๆกัน..
    เพียงแต่ว่า เราใช้นิ้วชี้ ใช้ไม้เท้า หรือ ใช้ตาเหนือระหว่างคิ้ว หรืออุปกรณ์
    อะไรก็ได้สุดแล้วแต่จะถนัด ในการเขียนยันต์ แล้วตั้งไว้กลางอากาศ..
    เพียงแต่วิธีเราต้องดึงตัวยันต์ให้รูดเข้ามารวมกัน ที่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้
    (นิ้วไม่แตะกันห่างกันประมาณ ๑ ซม.)
    กรณีใช้นิ้วเขียน กรณีใช้อุปกรณ์
    ก็ให้มารวมกันที่ปลายอุปกรณ์นั้นๆ เช่น มีดหมอ ไม้เท้า อะไรก็สุดแล้วแต่
    หลังจากนั้นถ้าใช้มือจะต้องใช้คาถาอีกบทมี ๕ พยางค์(คิดว่าคนที่ทำได้จะ
    ทราบว่าจะต้องกล่าวว่าอะไรครับ)กล่าวเพื่อตัดคาถา ไปยังเป้าหมาย
    ถ้าเป็นการเป่าผ่านมือจะต้องรักษาลมหายใจเพื่อเป่าให้ต่อเนื่องครับ
    ส่วนถ้าใช้มีดหมอ(มีดหมอดีๆจะทำให้เรามีความสามารถทางด้านนี้ได้ครับ)
    หรือไม้เท้าก็ให้เหวี่ยงชี้ไปยังเป้าหมาย แล้วก็ค่อยๆเป่า(กรณีผ่านนิ้ว)
    หรือค่อยไล่จากศรีษะเป้าหมายจนถึงเท้า
    และก็ย้อนจากเท้าขึ้นมาบนศรีษะ.(กรณีใช้อุปกรณ์)
    และก็ค่อยเป่าตัดผ่านมือ หรือ เป่าตัดที่ปลายอุปกรณ์เป็นอันเสร็จครับ.....

    ข้อควรระวัง..เวลาเขียนคาถา ถ้าลืมอักษระตัวใดๆก็ตาม ให้เลิกทำทันที
    อย่าค้างไว้ครับ เพราะว่า กำลังของพระคาถาจะดึงพลังงานในร่างกายเรา
    ทันที จะส่งผลให้เราเหนื่อยมากๆ อาจถึงขั้นสลบได้ครับ....
    เพราะฉนั้นควรเขียนอักษระจนคล่อง
    บนกระดาษหรืออะไรก็ตามก่อนที่จะเริ่มเขียนหรือใช้วิธีที่ ๒ นี้ครับ....

    วิธีที่ ๑ เหมาะเอาไว้สำหรับป้องกันภัยทุกรูปแบบครับ
    จากสิ่งที่เราคาดไม่ถึง หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้ครับ....
    วิธีที่ ๒ เอาไว้สำหรับกรณีเขียนครอบบุคคลที่โดนวิญญานแทรก
    หรือผ่านตำหนักทรงมา(หลังจากที่เราช่วยแล้วนะครับ)
    หรือเอาไว้เขียนสำหรับบุคคลที่สัมผัสภายในดี
    แต่ว่าภูมิต้านทานภายนอกหรือกำลังจิตยังไม่ดีพอ และที่สำคัญก็คือเอาไว้
    ป้องกันกลุ่มที่บำเพ็ญสายอสูรกาย ที่มักหลอกคนอื่นๆว่า ฝึกแล้วจะมีฤิทธิ์
    มีความสามารถพิเศษอะไรต่างๆ หลอกให้เรารับขันธ์ต่างๆนาๆ
    หลอกเราว่าเราเป็นระดับโน้นนี่นั้น เป็นคนสำคัญโน้นนั้นนี่ทั้งหลาย
    แต่ขาดการสร้างสติและเดินปัญญาครับ..วิธีที่ ๒ ถ้าทำได้รับรองว่า
    ได้ผลชงักครับ เพราะกำลังสนับสนุนเบื้องหลังของพระคาถาต่างกัน
    มากๆครับ....


    ที่เขียนมาแค่เล่าให้ฟังนะครับ..แต่วิธีนี้ใช้ได้สำหรับกรณีเฉพาะ
    แต่ว่ายังไม่ทางหลุดพ้นนะครับ..จะหลุดพ้นได้ต้องมาเดินปัญญา
    อ่านของคุณ LetItGo ดูครับเขียนไว้คลอบคลุมแล้วครับ...
     
  8. เพียงเงา

    เพียงเงา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +37
    !!!!!!!
     
  9. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    คบคนเช่นไร จะเป็นคนเช่นนั้น (พุทธ)

    ตอบ ภาวนา "อิติปิ โส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตัง โสอิ อิโสตัง พุทธะ ปิติอิ" เพียงแค่นี้แล แบบวนไป วนมา วนมา วนไป ได้ทุกอริยาบถ ตอนจิตไม่มีงานทำ ไม่ต้องนำสิ่งใดมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องคำนึงถึงฌาน ญาณใดๆ ทั้งสิ้น จิตคิดถึงแต่คำภาวนา ยิ่งใส่ความยึดมั่น ถือถือมากเท่าใด ผลดีๆ จะปรากฏมากเท่านั้น นี้คือการคบมหาบัณฑิตทางมโนทวาร (จิต หรือใจ) แปลว่า ในคำภาวนา มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเอง จิตเราจะได้ซึมซับรับทราบ ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว แลพธรรมอื่นๆ ที่เหมาะสมกับตนเองอีกมหาศาล มีกำลังสามารถนำพาเราเข้านิพานได้เลยจ้า... คนมีอภิญญาฝั่งโลกุตรธรรมรู้เรื่องนี้จ้า....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 เมษายน 2016
  10. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อารัย คือ เคมีสมาธิอะ555 ชอบแต่ขำ
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จะรุ้ไหมนั้น. โพสไปตั้งนานแล้ว

    สงสัย มีใครสักคน. กำลังเตรียมตัวสอบ เลยโยงดักไว้เปนทุน ตัดตอนต่อบุพผา
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,459
    เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย และ ไม่ยาก

    แต่สามารถเริ่มทำและคุ้นเคยได้ ด้วยการทำบ่อยๆจนชิน ในชีวิตประจำวัน


    จนกว่า จะเป็นเหมือนอาหารที่ต้องทานทุกวัน ,
    นึกถึงได้บ่อยและมีความสุข คล้ายกับนึกถึงคนที่เรารัก แต่ผลของการนึกคิด
    ถึงบทคาถา จะเป็นความสุขสงบที่ไม่ย้อนกลับมาเร่าร้อน สั่งสมรวมตัวคล้าย
    น้ำในเขื่อนได้

    นานไป ยิ่งคุ้นเคยและชิน เหมือนกับอากาศ หรือลมหายใจที่ขาดไม่ได้
    จนเป็นเนื้อเดียวกับบทสวดหรือคาถา
    จะพบกับพลานุภาพของบทสวดหรือคาถานั้นๆ


     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,459
    คนที่เรารักนั้น แม้นึกเพียงชื่อ เรามีความรู้สึกมากมายและรายละเอียดรวมในนั้น

    บทสวด หรือ พระคาถาที่เราสวดจนรวมเป็นเนื้อเดียวกับจิตใจได้

    ก็คล้ายกัน


    พระคาถาหรือบทสวดที่สวดจนรวมเป็นเนื้อเดียวได้

    แค่เรานึกถึงชื่อบทสวด กำลังของบทสวดก็เหมือนน้ำในเขื่อน
    ที่พร้อมถูกปลดปล่อยออกมาสู่เครื่ืองจักรที่มองไม่เห็นและแปร
    สภาพพลังงานเป็นพลังงานรูปแบบต่างๆตามประสงค์


     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,459
    หากจะอธิบาย โดยอิงหลักวิชาที่พระท่านสอน

    องค์ของฌาณ คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข และ เอกัคคตา


    การหยิบยกคำสวดใดๆก็ตาม มานึก คิด จากหยาบๆ ไปจนถึงพิจารณารายละเอียด
    เป็นอาการของวิตก และวิจาร

    เมื่อนึก คิด ถึง คำและบทสวดนั้นๆ จนชิน ไม่มีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือรำคาญ
    ที่ต้องพยายามคิดนึก แต่กลับสนุกและมีกำลังทีจะนึกคิดได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะยืน เดิน
    นั่น นอน ทำอะไรในชีวิตประจำวัน นี่คือ ลักษณะบางประการของปิติ
    ( บางครั้ง แค่คิดนึก ก็รู้สึกขนลุก ตัวพองใหญ่ ตัวเบาลอย มีแสงที่มีกำลังสว่างทั้งภายใน
    และภายนอก เป็นต้น จนไม่สนใจหรือลืมอาการเหน็ดเหนือย เมื่อยล้าทางกาย )


    เมื่อคิดนึกถึงคำหรือบทสวดแล้วมีสุขหลั่งออกมาจากภายใน มีความละเอียดสุขุมกว่า
    อาการของปิติทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น บางคนอาจมีภาพนิิมิตภายในให้ใจใช้เป็นเครื่องมือทางจิตให้อาศัยเกาะ เข้าไปสู่ความสุขสงบยิ่งขึ้น เช่นภาพพระ ภาพดวงนิมิตสีต่างๆ

    เมื่อคิดนึกถึงคำหรือบทสวดแล้วจิตใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกับบทสวด บทสวดนั้นเป็นสื่อพลังงานด้านใด ยามที่กระดิกใจคิดนึก สิ่งนั้นก็บังเกิดได้ด้วยอานุภาพบทสวด ตามขอบเขตของพลังงานการฝึกปรือที่สั่งสม และเหตุ-ปัจจัยภายนอกที่เอื้ออำนวยหรือต่อต้าน


    นี่คือ ลักษณะการสวดจนเป็นฌาณ

    ฌาณที่สูงขึ้น องค์ของฌาณที่หยาบๆ ก็จะจางคลายลง

    เช่นฌาณสอง ลักษณะการคิดนึกพิจารณา คอยประคองคำสวดก็จะน้อยลงจางลง มีเพียงอาการปิติ สุขและเอกัคคตา

    ฌาณสาม มีอาการเป็นสุขภายในกับบทสวด หรือ นิิมิตแสงสีต่างๆที่เกิดจากบทสวด อยู่ภายใน

    ฌาณสี่ จิตใจรวมเป็นเนื้อเดียวกับบทสวด ผลที่เห็นได้ในระดับนี้ เช่นแค่กระดิกจิตรู้สึกต้องการอะไร โดยไม่ต้องคิดแบบใช้คลื่นสมองหยาบๆ ก็ทำให้เป็นไปหรือเกิดขึ้นได้ตามกำลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 เมษายน 2016
  15. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    นอนไม่หลับ รู้สึกกลัวและไม่ปลอดภัย เป็นตลอด จิตจะเรียกแต่ แม่ ๆๆๆ ถ้าจิตอยากเรียก แม่ ตลอดจนหลับ ไม่ต้องบริกรรมตามหลัก ก้อได้รึเปล่าคะ เช่น พุทโธ หรือ สัมปะจิตฉามิ หรืออื่นๆ พอเรียกแม่ไปเรื่อยๆจนหลับ จะรู้สึกปลอดภัยค่ะ จริงๆคำบริกรรมจะเป็นอะไรก้อได้ ขอแค่เป็นคำที่ดีงาม เคยฟังพระเทศน์ไว้น่ะค่ะ ในชีวิตประจำวันพอมีอะไรกระทบจิต ให้ตกใจ จิตจะเรียกแม่ โดยอัติโนมัติค่ะ
     
  16. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    1.
    2.
    ก็ได้ทั้งสองแบบจะ ขึ้นชื่อว่าสมถะวิธี ยังไงก็ทำเพื่อให้จิตสงบ หรือเข้าสู่อารมณ์ฌาน แบบแรกเป็นพุทธานุสสติ แบบหลังเป็นอานาปานุสสติ แต่พื้นฐานจริงๆ
    ก็คือเราต้องวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง ให้ได้ซะก่อน จิตจึงรวมแล้วสู่โหมดความว่าง เมื่อเป็นฌานแล้ว จะภาวนาหรือไม่ภาวนาคาถาได้ทั้งนั้น

    ในการภาวนาคาถาให้จิตเข้าสู่ความสงบนั้น จะใช้คาถานี้ หรือ "อิติปิโสเท่าอายุ หรืออิติปิโสถอยหลัง" ก็ได้ครับ แล้วแต่ว่าเราศรัทธาและชอบพุทธคาถาไหนเป็นพิเศษ
     
  19. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ก็ทำสมาธิในขณะที่ท่องซิคคับ...ท่าน
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +70,459
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    วิธีฝึกทรงอารมณ์ ให้บุญรวมตัวกันทุก ๆวัน


    " เมื่อตื่นใหม่ๆ ให้ภาวนาหรือรู้ลมหายใจเข้าออก ๓ นาทีก็พอ
    เอาจริงๆ ก่อนจะหลับนึกถึงคำภาวนาสัก ๓ นาทีก็พอ
    ตื่นใหม่ๆ ภาวนาว่า "พุทโธ" พร้อมกับรู้ลมหายใจเข้าออก ๑๐ ครั้ง ก่อนจะหลับหายใจเข้าหายใจออกแล้วภาวนา "พุทโธ" ๑๐ ครั้ง เอาแค่นี้วันละ ๒๐ แต่เอาให้มันจริง...
    เมื่อหัวถึงหมอนแล้วนะ เวลาจะนอน เพียงแค่นี้ถ้าจะตายจากความเป็นคน บุญต่างๆ จะเข้ารวมตัวกัน ทุกขเวทนาจะมีมากขนาดไหนก็ตาม ก่อนจะตาย ท่านจะเห็นเทวดา เห็นนางฟ้า เห็นพรหม "



    จาก หนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๓๕ ฉบับที่ ๓๖๔ ประจำเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔ หน้าที่ ๘๐ โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี




    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...