อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC04886.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC04886.jpg" border="0" alt=" photo DSC04886.jpg"/></a>
<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC04889.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC04889.jpg" border="0" alt=" photo DSC04889.jpg"/></a>
<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC04890.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC04890.jpg" border="0" alt=" photo DSC04890.jpg"/></a>

 

ภาพที่หาชมได้ยาก


พระพุทธชินสีห์ประดับพระรัศมีทองคำลงยาราชาวดี และผ้าทรงสะพักตาด ซึ่งจะมีการประดับในวันพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน


พระรัศมีทองคำลงยาราชาวดีพระพุทธชินสีห์ สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายเป็นพระพุทธบูชาแด่พระพุทธชินสีห์เมื่อปี 2394 พระรัศมีทองคำลงยาใช้สำหรับหุ้มพระเกศ เปรียบเสมือนเครื่องประดับยศ จะใช้เฉพาะพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินปีละหนึ่งครั้ง สำหรับองค์เดิมอยู่ในสภาพชำรุด

"สำหรับการบูรณะพระรัศมีทองคำลงยา เป็นการสร้างองค์ใหม่ให้เหมือนของเดิมทุกประการ แต่มีความแข็งแรงคงทน และมีน้ำหนักทองคำประมาณ 4 กิโลกรัม หนักกว่าองค์เดิมที่อยู่ในสภาพชำรุดและเปราะบาง มีน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม ส่วนองค์เดิมจัดเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป"



- ลงยาราชาวดี คือการลงยาที่เครื่องประดับและทองคำ
ด้วยการใช้สีที่มี "สีฟ้า" ในการลงด้วย
สีฟ้าเป็นสีที่สงวนสำหรับเจ้านายชั้นสูง
จึงเรียกว่า "ลงยาราชาวดี"
หากไม่มีสีฟ้าประกอบในชิ้นงานจะเรียกว่า
"การลงยา, ทองลงยา" นั่นเอง


ขอบคุณภาพจากคุณ Aksorn Pichai และ ผศ.ดร.พระมหาฉัตรชัย สุฉตฺตชโย​

 

น้อมกราบพระรัตนตรัย
สวัสดีพี่ปู พี่วรรณ และทุกๆท่าน​

​

 

เหรียญพระชัยหลังช้าง อีกหนึ่งสุดยอดของดีราคาถูกที่สมเด็จพระญาณสังวรฯเสด็จร่วมพิธีด้วยพร้อมด้วยสุดยอดพระคณาจารย์แห่งยุคที่พร้อมด้วยวิชชาและวิมุติอีกหลายองค์ รวมทั้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีก็ร่วมอธิษฐานจิตด้วย


พระชัยหลังช้างเป็นพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่๑ ที่ทรงเชิญไปในราชการศึกสงครามแล้วทรงได้ชัยชนะทุกครั้ง ย่อมเป็นคติให้ทุกท่านมีชัยเหนืออุปสรรคปัญหา ความขัดสนทั้งปวง ตลอดจนมีชัยเหนือกิเลสตัณหาเครื่องร้อยรัดทั้งปวงครับ​

 

พัดแฉกงาพิเศษประดับพลอย เป็นพัดยศพิเศษที่ใช้ถวายแด่
“เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต” เพียงบางพระองค์เท่านั้น


พัดแฉกงาพิเศษประดับพลอย

มีลักษณะเป็นพัดแฉกทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ทำด้วยงาแกะตลอดทั้งเล่ม
พื้นพัดสลักเป็นลายโปร่งอย่างประณีตประดับพลอย
พัดยศสมณศักดิ์เล่มนี้เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (บุญศรี บุรณศิริ)
ต้นสกุลบุรณศิริ สร้างขึ้นเพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
เพื่อพระราชทานแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค) ให้ทรงถือเป็นพัดยศประจำพระองค์

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้ถวายพัดแฉกงาพิเศษประดับพลอยเล่มนี้
แด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค)
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต พ.ศ.๒๔๓๖

ครั้นเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สิ้นพระชนม์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
โปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
(หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า
และได้ถวายพัดแฉกงาเล่มนี้เป็นพัดยศให้ทรงถือสืบต่อมาตลอดพระชนมายุ

และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
โปรดเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต)
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต พ.ศ.๒๔๙๓

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ ในคราวที่สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เจริญพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา
พระองค์ยังได้รับพระราชทานพัดแฉกงาพิเศษประดับพลอย
เหล่านี้นับว่าพระองค์ได้รับการถวายพระเกียรติยศ
ที่สมเด็จพระสังฆราช (ซึ่งมิใช่พระราชวงศ์)
จะพึงได้รับอย่างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทีเดียว

ฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่า พัดแฉกงาพิเศษประดับพลอยเล่มนี้
นับเป็นศิลปวัตถุอันล้ำค่าชิ้นหนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เป็นพัดยศพิเศษที่ใช้ถวายแด่สมเด็จพระราชาคณะ
ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เพียงบางพระองค์เท่านั้น
โดยใช้เฉพาะในวันงานพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
และในวันงานรับพระกฐินหลวง เพียง ๒ งานเท่านั้น



ขอขอบคุณเจ้าของภาพ และข้อมูลจากเว็บธรรมจักร​

 

ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 15 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
supatorn*

ธรรมะสวัสดีและราตรีสวัสดิ์ทุกๆท่านค่ะ
ท่านปูตื่นหรือยังคะ เที่ยงคืนแล้วว

 

มาแล้วคร๊าบบ ช่วงนี้อากาศทางนี้มีครบ3ฤดูเลยเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนแถมมีฝนตกอีก รักษาสุขภาพกันนะคร๊าบบ

 

<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DaTa/man_04_115-1-1.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DaTa/man_04_115-1-1.jpg" border="0" alt=" photo man_04_115-1-1.jpg"/></a>

 

เหรียญปรกเก้าท้าวเวสสุวรรณ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม


หลวงพ่อพูล เป็นศิษย์หลวงพ่อเงิน เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม ที่ขึ้นชื่อมากองค์หนึ่ง สมัยที่หลวงพ่อยังอยู่จะมีผู้คนไปกราบไหว้ขอความช่วยเหลือจากท่านมากทีเดียว ทั้งนักร้องนักแสดงก็ขึ้นกับท่านมาก สมัยหนึ่งท่านได้ออกลูกอมหนุมานครองเมือง ด้วยพิมพ์ทรงที่งดงาม และหลวงพ่อท่านเข้าถึงหัวใจแห่งวิชา ทำให้มีประสบการณ์มากมายส่งผลให้ชื่อเสียงของท่านยิ่งโด่งดังมีผู้คนหลั่งไหลไปกราบท่านมากทีเดียวครับ​

 

<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/0_2.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/0_2.jpg" border="0" alt=" photo 0_2.jpg"/></a>

พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลที่ 9 ครับ

 

เมื่อวานได้ไปกราบพระพุทธชินสีห์และพระศพสมเด็จพระญาณสังวรฯ มาครับไปตั้งแต่เช้านึกว่ายังไม่ค่อยมีคน ที่ไหนได้ศรัทธาญาติโยมมาไหว้พระทำบุญกันแต่เช้ามากมายทีเดียว น่าอนุโมทนากับทุกท่านที่ทุกวันนี้คนไทยก็ยังยึดมั่นในพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมคำสอนเป็นเครื่องยึดเหนียวจิตใจกันครับ

เดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆเป็นการถ่ายซ่อมภาพทียังไม่ค่อยถูกใจ จนมาถึงวิหารพระศาสดาเห็นเปิดอยู่จึงเดินเข้าไป เห็นกำลังบูรณะปิดทองใหม่ โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีง่ายๆยิ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ด้วย จึงรีบทำบุญไป

ในอดีตท่านเมณฑกเศรษฐีเป็นคนยากจนมีทองคำเปลวอยูุ่แผ่นนึงท่านได้นำไปถวายเป็นพุทธบูชาด้วยความศรัทธา เป็นปฐมเหตุให้ภพชาติต่อๆมาท่านเป็นมหาเศรษฐีใหญ่มีทรัพย์นับประมาณมิได้(ท่านเมณฑกเศรษฐีเป็นปู่ของนางวิสาขา)​

 

เหรียญพระพุทธชินราช พระนามย่อ ญสส.


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ มีเมตตาประทานอนุญาตให้จัดสร้าง

พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ วิหารพระพุทธชินราชโดยพระคณาจารย์ที่ขึ้นชื่อแห่งยุครวม ๘๔รูป​

 

พระพุทธชินราช


สมเด็จพระมหกษัตริยาธิราชเจ้า เกือบจะทุกพระองค์เสด็จทรงนมัสการและถวายเครื่องสักการบูชาสมโภชเป็นราชประเพณี มานับแต่โบราณกาลดังปรากฏในพระราชดำรัส สรรเสริญ พระพุทธชินราช ของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๔ ความตอนหนึ่งว่า

"...ก็แล พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา ๓ พระองค์นี้ เป็นพระพุทธปฏิมากรดีล้ำเลิศ ประกอบไปด้วย พระพุทธลักษณะอันประเสริฐ มีสิริเทพยดาอภิบาลรักษา ย่อมเป็นที่สักการบูชานับถือมาแต่โบราณกาล แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเก่า ที่ได้มีพระเดชานุภาพมโหฬาร ปรากฏในแผ่นดินที่ทรงนับถือ ทำสักการบูชามาหลายพระองค์..."

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯทรงนมัสการพระพุทธชินราชเมืองพิษณุโลก ครั้งแรก เมื่อวันที่๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ ทรงสรงพระสุหร่าย ทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์ถวาย เฉกเช่น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ ถวายพระพุทธชินราชเป็นพุทธบูชาเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๖๙

ในครั้งนั้นได้ทรงถวายพัดรัตนาภรณ์ (พระปรมาภิไธย ภปร) และ ต้นไม้ทอง-เงิน ทรงจุดดอกไม้ไฟถวาย สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเปลื้องผ้าทรงสะพักถวาย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะพราหมณ์หลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ ออกแว่นเวียนเทียนสมโภช ถวายพระพุทธชินราชเป็นพุทธบูชา ตามราชประเพณีและเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธชินราชทุกครั้ง นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๑ ถึง ๒๕๒๕ จำนวน ๑๓ ครั้ง และ เสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ทรงนมัสการพระพุทธชินราช ทรงเวียนเทียนประทักษิณา พระวิหารพระพุทธชินราชถ้วน ๓ รอบ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๑๖ เวลา ๑๔.๑๕ น.​

 

อกเลา (นมอกเลา) วิหารพระพุทธชินราช


อกเลา หมายถึง แท่งไม้หรือส่วนที่ทำเป็นแนวยาว เพื่อใช้เป็นตัวประกบระหว่างบานประตูสมัยก่อน และจะมีตัวกลางไม้ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนในทางตะแคงกั้นอยู่กึ่งกลาง ตัวสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนนี้ โบราณเรียก "นมเลา" หรือ "นมอกเลา" ปัจจุบันเรียกกร่อนเพี้ยนกลายเป็นอกเลาเสียหมดแล้ว หน้าที่ของนมอกเลา คือตัวกั้นไม่ให้คนภายนอกงัดแงะไม้คานที่พาดปิดประตูด้านในได้สะดวก นิยมทำตามบ้านเรือนไทยโบราณ บ้านชนชั้นสูง หรือ ตามวัดและวัง

นมอกเลา ที่วิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก นั้น ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาที่โปรดให้ทำบานประตูวิหารโดยการ "ประดับมุก" ซึ่งนับเป็นบานประตูประดับมุกที่งดงามที่สุดในประเทศไทย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงขนาดตรัสถึงนมอกเลาที่นี่ในคราวเสด็จนมัสการพระพุทธชินราชว่า "นี่แหละ ของวิเศษมีอยู่ที่นี่" สาเหตุที่ตรัสเช่นนี้ นอกจากความงดงามแห่งศิลปะที่ยากจะหาใครเสมอเหมือนแล้ว ยังเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า "นมอกเลา" นี้ คนโบราณนิยมอาราธนานำผ้าขาวบางมาวางทาบแล้วซับด้วยหมึก เพื่อนำติดตัวไปออกศึกสงคราม หรือเป็นเครื่องรางชั้นสูงในหมู่ประชาชนทั่วไป

นมอกเลา หน้าวิหาร จะถูกประดับมุกเป็นรูปหนุมานแบกบุษบก และภายในบุษบกประดิษฐานด้วย "อุณาโลม" หมายถึง พระโลมาระหว่างพระขนง หรือขนระหว่างคิ้วขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นหนึ่งในลักษณะของมหาบุรุษ ตามคัมภีร์มหาปุริสลักษณะ ที่ส่งผลให้ทวีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลมากยิ่งขึ้น ที่ทำเป็นรูปหนุมานนั้น สื่อถึงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่เป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ ซึ่งได้แก่พระราม บัญชาให้หนุมานทหารเอกทูนแท่นบุษบกมีอุณาโลมมาถวายองค์พระพุทธชินราช เข้าใจว่าคงจะทรงซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดและองค์พระ ตลอดจนถวายพระอุณาโลมไปด้วยในคราวเดียวกัน

การประดับมุกบานประตูวิหารพระพุทธชินราช เป็นฝีมือช่างหลวงชั้นครู สมัยอยุธยาตอนปลาย โดยบรมราชโองการของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปรากฏคำจารึกที่บานประตูด้านขวามือว่า "ให้ช่าง ๑๓๐ คน เขียนลายประดับมุกที่บานประตูเมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ พ.ศ.๒๒๙๙ ลงมือประดับมุกเมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ รวมเป็นเวลา ๕ เดือน ๒๐ วัน จึงแล้วเสร็จ"

งานประดับมุกเป็นประณีตศิลป์ชั้นสูงโดยใช้มุก อันได้แก่ เปลือกหอยทะเล เช่น หอยอูด หอยนมสาว นำมาเจียระไนเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งจะเกิดประกายเลื่อมพราย และติดลงบนรัก ที่ต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก

ลายนมอกเลา วิหารพระพุทธชินราช ได้รับความนิยมอัญเชิญมาประดับบนวัตถุมงคลต่างๆ อาทิ ใต้ฐานพระพุทธชินราชอินโดจีน ตามเหรียญพระพุทธชินราชหลังอกเลาประเภทต่างๆ หรือตามฐานผ้าทิพย์ก็มีปรากฏให้เห็น นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างความศรัทธาและความภาคภูมิใจให้กับชาวพิษณุโลก และชาวไทยทั่วประเทศครับผม



ที่มา:โดย ราม วัชรประดิษฐ์ข่าวสด ขอบคุณเจ้าของภาพด้วยครับ​

 

<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/kumsand.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/kumsand.jpg" border="0" alt=" photo kumsand.jpg"/></a>
<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/_1_244.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/_1_244.jpg" border="0" alt=" photo _1_244.jpg"/></a>

 

<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/11-3.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/11-3.jpg" border="0" alt=" photo 11-3.jpg"/></a>

 

<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC05870.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC05870.jpg" border="0" alt=" photo DSC05870.jpg"/></a>
<a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/DSC05874.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/DSC05874.jpg" border="0" alt=" photo DSC05874.jpg"/></a>

 

วันที่ ๑๑ พ.ย. ครบรอบวันละสังขาร ปีที่ ๖๖ หลวงปู่มั่น​

 

​