จะทำอย่างไรดีค่ะ ที่จะรับมือกับคนที่ไม่ชอบ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Vtria, 5 ธันวาคม 2015.

  1. Vtria

    Vtria สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    ถามหน่อยได้มั้ยคะว่า ในพระพุทธศาสนา หากมีคนที่รังควานเรา เราควรทำอย่างไรกับเขา แม่ว่าเราหนีเพียงใด ไม่อยากพบเพียงใด ก็จำต้องเจอ เมื่อเจอแล้วเราควรทำอย่างไรค่ะ

    คนที่ชอบพูดอะไรไม่ดีคอดร้ายกับเรา แต่เราต้องเจอ ทำอย่างไรค่ะ


    *องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีคำสอนว่าอย่างไรบ้างค่ะ


    ท่านยอมพวกนั้นหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2015
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถือคติ"แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"

    หรือ"พูดไป2 ไพเบี้ย นิ่งเสีย(ไม่พูด) ตำลึงทอง"
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    นั่งสมาธิ สวดมนตร์ แผ่เมตตา

    ขณะนั่งสมาธิทำใจให้สงบนั้น ให้นึกถึงใบหน้าคนนั้นให้ชัดๆ

    ปรับความรู้สึกตัวเอง ให้คิดกับเขาดีๆ นึกพูดในใจว่าเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง

    เราไม่ได้เกลียดเขา เขาไม่ได้เกลียดเรา

    ถ้ากระแสจิตแก่กล้าพอ บางทีคนๆนั้นพอเจอหน้าเราจะยิ้มและทักด้วย

    ปัญหาสำคัญอยู่ที่ทำยังไงถึงขจัดความเกลียดในใจเราออกไปให้ได้

    *****************

    เมื่อแผ่เมตตาให้เขาสักระยะหนึ่ง(ต้องนึกถึงภาพใบหน้าเขาให้ชัดเจนทุกครั้ง)

    อาจจะผ่านไปสัก ๑๕ วันหรือหนึ่งเดือน

    ให้สังเกตว่าพฤติกรรมที่เขาปฏิบัติเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่

    (อย่าลืมความรู้สึกเกลียดชังในใจเราต้องขจัดออกไปด้วย)

    ถ้าเขาเปลี่ยนท่าทีมาเริ่มจะเป็นมิตรด้วย

    ก็ให้พูดดี ทำดีกับเขา มีของของอะไรก็แบ่งปันกันไป

    มีเรื่องอะไรที่พอจะช่วยกันได้ก็ช่วยกัน

    ทำกับเขาเหมือนเขาเป็นเพื่อนสนิทเราคนหนึ่ง

    พูดกับเขาเหมือนเขาเป็นเพื่อนสนิทเราคนหนึ่ง

    คิดกับเขาเหมือนเขาเป็นเพื่อนสนิทเราคนหนึ่ง



    สิ่งสำคัญคือ ถ้าเราปล่อยวางความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อเขาไม่ได้

    มันจัหนักกว่าเก่า เพราะตัวสมาธินี้จะไปขยายกำลังความรู้สึกนิดคิด

    ของเราให้รุนแรงขึ้นจนเขาสัมผัสได้

    ถ้าหากทำตามวิธีนี้ไม่ได้ ก็อาศัยวิธีต่างคนต่างอยู่(อุเบกขา)
     
  4. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ใช่เลย..แผ่เมตตา สวดเมตตาใหญ่ก้อดีนะ ข้าน้อยเคยทำมาแล้ว
     
  5. Vtria

    Vtria สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5

    มันจะเหมือนเรายอมไปมั้ยตะ หมายถึง เราควรยอมทุกคนที่ทำร้ายเรามั้ยคะ

    เมื่อมีคนมาทำร้ายเรา พุทธศาสนาสอนอย่างไร ให้ยอมไปหรอคะ
     
  6. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    จะดูเหมือนยอมนั้นหละ.. แต่จริงๆ ที่ไม่ตอบโต้เพราะท่านรู้ว่า
    การตอบโต้ที่จะก่อเวรก่อกรรมชัวอีกนั้น กลับมีแต่ผลร้ายเป็นบาปย้อนกลับมา
    ดังนั้น อดใจไว้จึงประเสริฐกว่า
     
  7. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    แล้วถ้าไม่ยอม เรายังมีทางทำอะไรเขาได้ไหมครับ

    สิ่งที่เขาทำกับเรานั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องร้้ายแรงถึงกับชีวิต หรือถึงกับเลือดตกยางออก

    ถ้าเป็นเรื่องทั่วๆไป เช่นทะเลาะกันธรรมดา มีใส่ร้ายบ้าง ว่าร้ายลับหลังบ้าง

    แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องเบาๆที่เรามีโอกาสตั้งหลักได้

    การแผ่เมตตา จะทำให้เขาหันกลับมาเป็นมิตร

    แต่แผ่เมตตาแบบทั่วไป มันธรรมดาเกินไป

    ผมจึงแนะนำให้คุณ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา โดยนึกเห็นหน้าเขาเลย

    วิธีนี้คือการใช้อำนาจจิตกับเขาโดยตรง

    ถ้าคุณนึกเห็นหน้าเขาด้วยความรู้สึกที่ดี

    ต่อไปเขาจะค่อยๆเปลี่ยนท่าทีจากเป็นศัตรูๆ ค่อยๆกลับมาเป็นมิตรกับคุณ

    แต่ถ้าคุณยังปล่อยวางความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อตัวเขาไม่ได้

    แล้วคุณยังปฏิบัติแบบที่ผมว่า ความรู้สึกเกลียดชังที่คุณมีต่อเขา

    จะไปกระตุ้นความรู้สึกของเขาให้ เป็นศัตรูกับคุณมากขึ้น

    #######################

    แต่...ถ้าคุณยังรู้สึกว่า ยังไม่ถึงใจ

    ทำไมเราต้องยอมด้วย อยากจะเอาคืน ให้เขาได้รับทุกข์ทรมานบ้าง

    งั้นก็ต้องเปลี่ยนวิธีใหม่

    โดย สวดมนตร์นั่งสมาธิ ให้ทำใจเป็นกลาง(ปล่อยวางความโกรธเกลียดไปชั่วคราวก่อน)

    แล้วในขณะทำสมาธิ ให้นึกถึงภาพคนๆนั้นเหมือนเดิม

    จากนั้นให้อธิษฐานว่า

    ใครที่คิดร้ายต่อเรา โดยที่เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อน

    ขอให้ความคิดร้ายนั้นๆ และสิ่งร้ายๆ ที่เขาพยายามจะหยิบยื่นให้เรา

    จงคืนกลับไปหาเจ้าของๆมัน

    ขอให้เขาจงแพ้ภัยตนเองไป

    โดยคำอธิษฐานนี้ เราสามารถเรียบเรียงใหม่ได้ตามที่เราชอบ

    แต่จะต้องให้เหมือนกันทุกครั้ง และต้องทำเป็นประจำ

    ต่อไปถ้าคนๆนี้คิดร้ายอะไรต่อเรา หรือทำร้ายอะไรต่อเรา

    เขาจะมีอันเป็นไปเอง โบราณเรียกว่า แพ้ภัยตัว

    แต่ขอเตือนไว้อย่าง วิธีการแบบนี้ใช้สำหรับผู้บริสุทธิ์

    ที่ไม่เคยไปทำร้ายเขาก่อนเท่านั้น

    หากเรื่องนี้ คุณฝ่ายเริ่ม คนที่จะแพ้ภัยตนเองก็คือตัวคุณ

    และบรรดาท่านผู้ปฏิบัติธรรม จะไม่สนับสนุนกับแนวคืดวิธีนี้

    ที่สำคัญ วิธีนี้ ไม่ใช่ธรรมะ แต่เป็นกฏแห่งความยุติธรรม

    อาจจะเรียกว่ามายาศาสตร์ก็ได้

    คำเตือนที่สอง อย่าใช้วิธีนี้พร่ำเพรื่อ เพราะนานไปจะเข้าตนเอง หรือไปโดนกับคนที่คุณรัก

    แทนที่จะเป็นศัตรูของคุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2015
  8. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    หมายเหตุ

    การแผ่เมตตา(หมายถึงการแผ่เมตตาอย่างบริสุทธิ์ใจ)

    พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า คนแผ่เมตตา มีสภาพจิตประดุจน้ำแข็ง

    เพราะจิตใจอ่อนโยน ไม่มีความโกรธอาฆาต

    ส่วนคนที่โกรธเราคิดร้ายต่อเรา พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า

    มีสภาพประดุจถ่านเพลิงที่กำลังลุกโชน

    เมื่อถ่านเพลิงมาเจอกับก้อนน้ำแข็ง

    หนึ่งร้อน หนึ่งเย็น จะเกิดอาการหักล้างกันขึ้น

    และถ้าเรายิ่งแผ่เมตตาไปเรื่อยๆ

    หากฝ่ายตรงข้ามยังขืนคิดร้ายต่อเราอีก

    เขาจะมีอันเป็นไปแพ้ภัยตนเอง

    เหมือนถ่านไฟที่พอเจอกับน้ำแข็งเข้า ถ่านไฟก็ต้องพินาศ

    (อาจมีคนแย้งว่า ถ่านไฟเจอน้ำแข็ง ต้องพินาศทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ

    พระอาจารย์ท่านบอกว่า ไม่ใช่อย่างน้ำ แต่ฝ่ายที่คิดร้ายนั้น

    จะแพ้ภัยตัวเองไป)
     
  9. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ข่มบุคคลที่ควรข่ม ยกย่องบุคคลที่ควรยกย่อง
     
  10. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ความเห็นนี้ ทำให้ผมนึกถึงคนที่เคยรู้จัก

    เวลาที่เขาไม่ชอบใคร เขาจะยกย่องคนนั้น

    ทั้งการพูดจาและแสดงออก

    ยกย่องให้เด่นเหนือคนอื่นๆ

    :cool:
     
  11. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้นะครับ
    เรื่องกรรม คือบุคคลทำกรรมอันใดไว้ผู้นั้นย่อมรับผลของกรรมอันนั้น
    จงยินดีและจงพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เราเคยทำมาแล้วในอดีต
    เมื่อเชื่อว่ากรรมมีจริงผลกรรมมีจริง ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
    เท่านี้ก็จะอยู่อย่างเป็นสุขและจะไม่ปฏิเสธว่าเขาคอยรังควาญ
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สอนเรื่องกฏแห่งกรรม ครับ ใครก่อสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้น

    ส่วนเรื่องปล่อยวางจากอารมณ์ที่เป็น อกุศลกรรม ทั้งหลาย ให้ปฏิบัติ บุญกุศลกรรม ทาน ศีล ภาวนา
    .

    ถ้าจะถามว่าทำอย่างไร ก็แนะนำว่า ให้ไปภาวนา ครับ แล้วจะดีขึ้นเอง ใครคิดไม่ดี เดี่ยวก็จะแพ้ภัยไปเอง
     
  13. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    เราถูกสอนให้เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม
    แต่เราไม่เคยรู้เลยว่ากฏแบบนี้มีกลไกทำงานอย่างไร
    มีเวลาเร็วช้าแค่ไหนกว่าที่ผู้ก่อกรรมจะได้รับผลของมัน
    ใครเป็นผู้บังคับ ใครเป็นผู้รักษา ใครเป็นผู้ดำเนิการ

    กฏบางอย่างแม้จะไม่ใช่กฏ แต่ได้ผลทันทีที่ทำ
    เช่นอย่ทำมือถือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าตกน้ำ เพราะจะเสีย
    กฏแบบนี้ถึงไม่มีใครตั้งไว้เป็นกฏ แต่ล่วงละเมิดแล้วมีผลทันที
    ทำให้ใครก็ไม่กล้าไปล่วงละมิด ต้องคอยระวังตลอดว่า
    อย่าให้เครื่องใช้ไฟฟ้า ตกน้ำ ดดนน้ำ หรือเปียกน้ำ เพราะเห็นผลทันตา

    แต่กฏแห่งกรรม เห็นผลชาติหน้า หรือไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเห็นสักที่
    ถ้าบังเอิญมีผู้ก่อกรรมบางรายเกิดโชคร้ายอะไรสักอย่าง เราก็บอกสาธุ กรรมทันตาเห็น
    แต่นั่นก็๋เป็นส่วนน้อยมากๆ ส่วนมากแล้วผู้สร้างกรรมส่วนใหญ่มักจะลอยนวล

    ถ้าเปรียบเป็นตำรวจกต้องบอว่าทำงานหย่อนประสิทธิภาพมากๆหรือเท่ากับไม่ทำงานเลย
    นี้เองที่ทำให้มนุษย์เราต้องหาทางออกโดยการจัดการปัญหาด้วยตนเอง
    โดยการบัญญัติกฏหมาย กฏกติกาต่างๆออกมา ดีกว่ามานั่งรอกฏแห่งกรรมมาบันดาล
     
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ถ้าเราอยากเห็นผู้ร้ายถูกลงโทษ เราต้องลงมือทำด้วยตนเอง
    การลงมือทำนั่นแหละ คือกฏแห่งกรรมอย่างหนึ่ง
    การยืนมองเฉยก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน
    กรรมที่ว่านี้คือ การปล่อยผู้ร้ายไป
    เมื่อเราเลือกที่จะสร้างกรรมคือการปล่อยผู้ร้ายไป
    เราก็ได้รับผลของกรรมนั้นทันที คือ ผู้ร้ายลอยนวล
    ผู้ร้ายลอยนวลเป็นวิบาก(ผล) แห่งกรรมคือการปล่อยผู้ร้ายไป
     
  15. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ถ้าเราเข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างนี้เราควรรู้ว่า เราอยากได้ผลอย่างไร
    เราต้องลงมือทำอย่างนั้น เราจึงจะได้ผลตามที่เราต้องการ
    กฏแห่งกรรมคือกฏแห่งการกระทำ คือเราต้องลงมือทำเอง
    ไม่ใช่รอให้อะไรมาบันดาล
    อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
     
  16. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    เพิ่มเติมเนื้อหาและที่มาของคำ
    อันนี้อยู่บรรทัดที่ 10 กว่าๆ
    อันนี้อยู่เกือบล่างสุด

     
  17. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    มันยังมีอีกหลักการหนึ่ง แต่ส่วนมากเขาให้ใช้ในสิ่งที่ดี
    ไม่ใช่สำหรับใช้ทำร้ายกัน หลักการนี้พระวัดสามแยกนำมาสอนจากพระไตรปิฎกนั่นเอง

    หลักการนี้เรียกกันว่า การทำสัจจะกิริยา มีปรากฏในเรื่องสุวรร์สามชาดก

    คือพูดเรื่องอะไรก็ได้ที่เป็นความจริง ไม่โกหก แล้วลงท้ายด้วยการอธิษฐานว่า

    ขอให้เป็นนั้น ขอให้เป็นนี้

    ตัวอย่าง เช่น ขณะนี้ ข้าพเจ้า Yostro1310 กำลังเข้ามาสนทนาในว็บพลังจิต

    พร้อมดื่มน้ำ.....ไปด้วย ด้วยอำนาจสัจจะวาจานี้ ขอให้ชีวิตข้าพเจ้าจงมีแต่ความสุข

    ความเจริญ มีเงินทองไหลมาเทมาให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น สาธุ(ว่าสามครั้ง)

    แต่การทำสัจจะกิริยานี้ต้องใช้ในทางที่ดี ไม่ให้ใช้ในทางทำร้ายผู้อื่น

    อย่างกรณีของเจ้าของกระทู้นั้น เมื่อถูกรบกวนอย่างหนัก

    ควรกล่าวสัจจะกิริยาสักอย่างเช่น

    เมื่อเช้านี้ข้าพเจ้าได้ทำบุญใส่บาตรพระไปเก้าองค์(เรื่องอื่นๆก็ได้)
    ด้วยอำนาจสัจจะกิริยานี้ ขอให้คนที่ชื่อ...(เอ่ยชื่อ) เลิกกลั่นแกล้ง
    เลิกให้ร้าย เลิกก่อกวนข้าพเจ้าเสียที่เถิด...สาธุ(ว่าสามครั้ง หรือหลายครั้ง ทำบ่อยๆยิ่งดี)

    ถ้าทำแล้ว(ปฏิบัติต่อเนื่องแล้วหลายวัน) เขายังไม่เลิกตามจองเวรเราอีก
    อาจจะต้องเพิ่มคำที่มีเนื้อหาลงโทษเข้าไปด้วย เช่นหากยังไม่เลิกขอให้แพ้ภัยตนเอง
    หรือได้รับผลที่เคยทำกับเราหนักเป็นสองหรือสามเท่า

    บางทีอาจจะต้องเพิ่มการทำบุญ กรวดน้ำ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ด้วย(เผื่อเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา)
     
  18. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ในพระพุทธศาสนา การทำสัจจะกิริยานี้ มักจะถูกนำมาใช้ในการผูกบทสวดมนตร์มากกว่า

    เพราะมักจะเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    แล้วลงท้ายว่า ด้วยอำนาจสัจจะวาจานี้ ขอให้.......

    ส่วนมากจะเป็นการขอให้คุ้มครอง หรือขอให้ปลอดภัยจากอันตราย

    วิธีตั้งสัจจะกิริยานี้จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของชาวพุทธทั่วไปนัก

    เห็นจะมีแต่อดีตพระเกษม วัดสามแยกเท่านั้น ที่นำมาเผยแผ่แบบจริงๆจังๆเป็นเจ้าแรก

    แถมยังมีตัวอย่างวิธีปฏิบัติอย่างละเอียดด้วย
     
  19. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    หากว่าสนใจ ก็ลองนำไปประยุกต์ใช้ดู
     
  20. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ผมว่า คนที่กำลังบอกว่า การแผ่เมตตาไม่มีผลนี่ต่างหาก
    คือคนที่กำลังบิดเบือนคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กำลังลดทอนอานุภาพ
    ของพระพุทธเจ้าให้เหลือลงเทียบเท่าปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย

    เป็นพวกที่ไม่เชื่อในอานุภาพของพระพุทธเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิแท้ๆ :cool: มีนรกเป็นที่ไป ๑๐๐ %
     

แชร์หน้านี้

Loading...