ความเป็นผู้มีสติ..ในพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สสพอช๑, 5 มกราคม 2016.

  1. สสพอช๑

    สสพอช๑ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +32
    ความเป็นผู้มีสติ..ในพระพุทธศาสนา

    พระพุทธ๑.jpg

    คำว่า เป็นผู้มีสติ ได้แก่
    ๑..เป็นผู้มีสติโดยเหตุ ๔ อย่าง คือ เมื่อเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในกาย ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เมื่อเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานในเวทนาทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เมื่อเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานในจิต ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เมื่อเจริญ
    ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานในธรรมทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ.
    ๒..เป็นผู้มีสติโดยเหตุ ๔อย่างแม้อื่นอีก คือ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเว้นจากความเป็นผู้ไม่มีสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้กระทำธรรมทั้งหลายที่ควรทำด้วยสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้กำจัดธรรมทั้งหลายที่เป็นข้าศึกต่อสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้ไม่หลงลืมธรรมทั้งหลายที่เป็นนิมิตแห่งสติ.
    ๓..เป็นผู้มีสติโดยเหตุ ๔ อย่างแม้อื่นอีก คือ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้อยู่ด้วยสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้คล่องแคล่วด้วยสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้ไม่หวนกลับจากสติ.
    ๔..เป็นผู้มีสติโดยเหตุ ๔ อย่างแม้อื่นอีก คือ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้ระลึกได้ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้สงบ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้ระงับ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมของสัตบุรุษ. ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะ
    พุทธานุสสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะธรรมานุสสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะสังฆานุสสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะสีลานุสสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะจาคานุสสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะเทวตานุสสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะอานาปานัสสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะมรณานุสสติชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะกายคตาสติ ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะอุปสมานุสสติ. ความระลึก ความระลึกถึง ความระลึกเฉพาะ ความระลึก กิริยาที่ระลึก ความทรงจำ ความไม่เลื่อนลอย ความไม่หลงลืม สติ สตินทรีย์ สติพละ สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ เอกายนมรรค ธรรมนี้ เรียกว่า สติ. บุคคลเป็นผู้เข้าใกล้ เข้าชิด เข้าถึง เข้าถึงพร้อม เข้าไปถึง เข้าไปถึงพร้อม ประกอบ
    ด้วยสตินี้ บุคคลนั้นเรียกว่า มีสติ.

    ข้อพิจารณานำมาฝาก
    1.โลกนี้ไม่เที่ยง โลกนี้เป็นทุกข์ โลกนี้เป็นอนัตตา เวลามีอะไรเกิดขึ้นมาให้พิจารณาลงจุดนี้จิตก็จักปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
    2.จงจำไว้ว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎของกรรมไปได้ ในเมื่อเกินวิสัยที่จักช่วยเหลือก็จงปล่อยวางไปมาฝึกฝนจิตใจของตนเองเข้าไว้ ให้ยอมรับกฎของกรรมจะดีกว่า
    3.การตายมีในทั้งสัตว์ คน แม้ในสิ่งของทั่วไปก็พังสลายได้ตามกาล โลกทั้งโลกมีแต่ธรรมดาจงพยายามปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปโดยเห็นธรรมดาของโลกให้มากขึ้นรักษากำลังใจปล่อยวางโดยให้เห็นทุกข์ในอริยสัจให้มากๆ

    ===================

    (กระผมขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าทุกคนนะครับอวยพรให้สำเร็จดังปรารถนาด้วยเทอญ.. หวังใจว่ากระทู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย โมทนาในความดีของโพธิสัตว์ทุกท่านด้วยนะครับ สาธุๆๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2016
  2. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ธรรมที่ท่านนำมากล่าว ถือว่าเป็นธรรมขั้นที่ละเอียด
    การกล่าวด้วยวาจาเสียง ได้ยิน หรือเขียนเป็นตัวให้อ่าน รับรู้
    ได้รู้ ได้เห็น ผู้เข้าไม่ถึง ไตรลักษณ์ในสัจจะ ของธรรมชาติ
    เขาเหล่านั้นจะไม่มีวันเข้าถึง ธรรมแบบนี้ ต้องใช้เวลาสั่งสม
    ขัดเกลา ถึงจะเข้าถึงได้ว่า ธรรมเหล่านี้ มันมีประโยชน์ที่ต้อง
    พึงศึกษา ปฏิบัติ ผู้มีสุตะน้อยย่อมเห็นธรรมเหล่านี้ว่า เป็นธรรม
    ที่อาศัยความเป็นทษฎีตำรามากไป ผู้มีสุตะมากแต่ขาดการปฏิบัติ
    หรือปฏิบัติน้อย ย่อมมองว่าเป็นธรรมที่ ธรรมดา ไม่หวูหวา ฟู่ฟ่า
    แปลกพิศดาร อัศจรรย์อันใด ธรรมเเบบนี้มีไว้ให้ผู้ที่เข้าใจ เข้าถึง
    แล้วเท่านั้นที่จะสามารถไปอยู่ในใจเป็นไตรลักษณ์ มองความเป็น
    สัจจะของธรรมชาติได้
    สิ่งที่ท่านนำมาพิจารณาได้นั้น แสดงว่าท่านเข้าใจ เข้าถึงธรรมแล้ว
    ในระดับมองความเป็นสัจจะธรรมที่เป็น มี อยู่ ได้ อย่างเข้าใจลึกซึ้ง
    ตัวหนังสือสีชมพูเล็กๆด้านล่างที่ท่านกล่าวมา แสดงว่าท่านเข้าใจใน
    สิ่งที่พุทธภูมิทุกท่านต้องกระทำ ว่าต้องมีสิ่งนี้นั้น แสดงได้ว่าท่านต้อง
    เป็นผู้มีความเข้าใจ ในความเป็นพุทธและหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติเข้าถึง
    สิ่งสูงสุดของหัวใจพุทธศาสนา ผมก็ขอ อนุโมทนา สาธุด้วยครับ
    จริงๆหน้าที่ของพุทธภูมิโพธิสัตว มีด้วยกันหลายอย่าง หลายทาง
    หลายแนว ก็แล้วแต่กำลังสุตะ บารมี ของแต่ละท่านว่าจะไปในทิศทางใด
    มีตั้งแต่ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วแต่กำลังว่าจะกระทำสิ่งใด
    ส่วนตัวของผมก็เป็นกำลังใจต่อพุทธภูมิโพธิสัตวทุกท่านครับ
    ท่านย่อมมีหน้าที่ ที่ต้องกระทำ สิ่งที่ผมอยากฝากต่อ พุทธภูมิ
    ทุกท่านที่จะเผยแผ่ธรรม คือ การหาวิธีในธรรม ที่เป็นของง่าย
    พื้นฐาน ที่เป็นเหตุของความเข้าถึงธรรม ในปฐมธรรม ให้ผู้คนเห็น
    ความสำคัญของ คำสั่งสอนว่ามีความสำคัญ มีประโยชน์เช่นไร
    ที่พวกเราต้องเรียนรู้ ศึกษา เข้าใจ อยากให้ทุกท่านช่วยกันคิด
    หาวิธี และเข้าถึงบุคคลทุกหมู่เหล่า ชนชั้น ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น
    ผู้ใหญ่ คนแก่ชรา เข้าไปในใจของเขาเหล่านั้นให้ได้ ว่าเขาเหล่า
    นั้นในทุกชีวิตวัย ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต เขาต้องเป็น และต้องการ
    อะไร ความเป็นพุทธภูมิโพธิสัตวนั้น ต้องเรียนรู้ จากประสบการณ์
    ตนเอง และผู้อื่นในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่าความเป็นพื้นฐานที่ต้อง
    การที่จำเป็นต้องเรียนรู้ ปฏิบัตินั้นมีความสำคัญเพียงใด จงเป็นตัวอย่าง
    ของความดี เป็นผู้มีความประพฤติ ปฏิบัติ สักวันถ้าบุญบารมีของข้าพเจ้า
    มีอยู่จริง ข้าพเจ้าคงมีโอกาศได้นำเอาธรรม ที่แสนง่ายลึกซึ้ง แต่เข้าใจ
    กระทำ ปฏิบัติให้เกิดศรัทธาต่อผู้ปฐมธรรมให้บังเกิด ข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้
    ธรรมที่เป็นอริยสัจ จุดมุ่งหมายของทุกข์นั้นมันสำคัญเพียงไหน ที่บุคคลตั้งแต่
    เกิดจนชรา ที่จำเป็นต้องเรียนรู้ ต้องใช้เวลาให้เขาเหล่านั้นได้สั่งสมสุตะพื้นฐาน
    ให้มองเห็นคุณค่าของธรรมในพุทธศาสนานี้ว่ามันสำคัญแค่ไหน ให้เขาเหล่านั้น
    มองเห็นความสำคัญในหน้าที่ของตน ว่าสิ่งที่มันเป็นนั้นมันมีทุกข์ซ่อนไว้โดยที่เรา
    ไม่อาจเห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นได้ โดยไม่เข้าใจในสัจจะนั้นเลย ในมุมมองของข้าพเจ้า
    มองว่า ทุกคนต้องเรียนรู้ปฐมธรรมไล่ขึ้นมาตั้งแต่ ทาน ศีล สมาธิ จนถึงปัญญาให้จงได้
    สุดท้าย(แต่จริงๆยังมีอีกเยอะ เอาไว้ในโอกาสต่อไป)ข้าพเจ้ามองดูเจ้าของกระทู้ว่า
    มีความเข้าใจลึกซึ้งในถ้อยธรรมที่กล่าวมาแล้วเป็นอย่างดี เพราะมีข้อความพิจารณาฝากไว้
    ให้ด้วย แสดงว่า ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ท่าน จขกท ได้ผ่านเรื่องของ ทาน ศีล
    มาแล้ว ณ.เวลานี้จึงได้กล่าวเหตุปัจจัยของ สติ(มันก็คือขั้นของสมาธิ)ออกมา ฉนั้นขั้นตอน
    ของ จขกท นับแต่นี้ไป ต้องเรียนรู้ขั้นของสมาธิจนจบ ยังเหลืออีกด้านของ ปัญญานั้นแสดง
    อีกว่า ถ้าท่านไม่ปรารถนาพุทธภูมิโพธิสัตว เหมือนบุคคลอื่นเขา ชาติต่อๆไปท่านกำลังเข้า
    ไกล้เหตุปัจจัยของนิพพานในไม่ช้า สาธุครับ
     
  3. สสพอช๑

    สสพอช๑ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +32
    ได้อ่านข้อความของ คุณโซ ..แล้วละครับ (f)

    ๑. ได้อ่านข้อความของคุณโซแล้ว ทั้งความคิดเห็นและคำแนะนำ ..ขอบคุณอีกครั้งครับ
    ๒. หวังใจทั้งหมดนี้จะแปลงเปลี่ยนเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับทุกท่าน ทั้งผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณและผู้หวังความพ้นทุกข์ตามรอยพระพุทธองค์ ..อวยพรให้สมปรารถนาในความตั้งใจอันดีทุกประการ เทอญ
    ๓. แถมนี้เพื่อเสริมกำลังใจอย่างยิ่ง แด่ผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ (กระทู้ >> 6 ตัวอย่างยอดปรมัตถบารมีที่เป็นเหตุให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ) ..เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

    ============ :cool:

    .
     
  4. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    เหตุแห่งทุกข์ที่อยู่ภายในใจ เหมือนก้อนหินที่เราแบกเอาไว้ตั้งแต่เกิดโดยไม่รู้ตัว
    เนื่องจากก้อนหินดังกล่าวติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด จึงทำให้เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว
    เราสามารถวางมันลงได้ คิดไปเองว่าก้อนหินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา
    การมีสติจะทำให้เรารู้จักก้อนหินที่กำลังแบกอยู่ รู้ว่าควรวางสิ่งใด
     
  5. สสพอช๑

    สสพอช๑ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +32
    ผมได้อ่านข้อความแล้วละครับ ..ยินดีเลย (f)

    ขอบคุณครับ คุณจันทร์เจ้า ..ที่แนะนำและชี้แนะ
    ประโยชน์และความดีอันใดที่จะก่อเกิดกับทุกคนทุกฝ่ายกระผมก็ขออนุโมทนาด้วยนะครับ สาธุ -- อวยพรชัยให้คุณจันทร์เจ้า ปรารถนาสิ่งใดอันดีในใจก็ขอให้ประสบความสำเร็จในเร็ววันด้วยนะครับ

    ====== :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...