กระทู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการปรามาส ผมรวบรวมมาให้หมดเเล้วในกระทู้นี้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 2 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    เห็นคนเป็นอาการปรามาสกันเยอะ บางคนก็รู้วิธีเเก้บางคนก็ไม่รู้ วันนี้ผมนําเอากระทู้ปรามาสต่าง ๆ มารวมกันเป็นกระทู้เดียวให้ทุกคนอ่านเเล้วครับ เชิญได้เลยครับ อนุโมทนา ผมว่าน่าจะมีอีกเเต่ผมยังไม่พบ ถ้าใครมีกระทู้อีกก็มา post ต่อในนี้ได้เลยนะครับ อีกหน่อยคนอื่น ๆ จะได้มาอ่านรวบยอดให้รุ้เท่าทันตัวเอง เเละวิธีเเก้ไปได้เลยในตัว

    ฝากอันนี้ให้ไปฟังกันด้วยครับ เข้าไปตาม link แล้ว download มาฟังได้เลยครับ อนุโมทนาครับ

    เรื่องการห้ามจิตคิดชั่ว

    http://palungjit.org/threads/เรื่องการห้ามจิตคิดชั่ว.5532/

    สาเหตุที่ใจคิดปรามาส พระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์

    ถาม : ยิ่งนับถือสิ่งใดมาก ๆ นับถือครูบาอาจารย์องค์ไหนมาก ๆ ใจบางทีมันจะแวบ อคติบ้างอะไรบ้าง
    ตอบ : นี่ ตัวนี้ชัดเลย ให้ขอขมาพระรัตนตรัยประจำ ๆ พอกำลังใจของเราถึงตรงจุดนี้มา เขารู้ว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เราล่วงเกินหรือปรามาสพระรัตนตรัย ด้วยกายด้วยวาจา หรือด้วยใจ ไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง

    บางคนภาวนาไม่ได้ เลย หลับตาลงเมื่อไร นึกถึงภาพที่ตัวเองลบหลู่ครูบาอาจารย์หรือทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้น มาสร้างภาพให้ปรากฏขึ้นมาชัด ๆ เลยก็มี เรา เองให้คิดเสียว่าอันนี้เป็นการชักนำจากสิ่งภายนอก ด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเขาชักนำให้เป็นไป ไม่ใช่ความผิดของเรา

    แต่ถึงไม่ใช่ความผิดของเราก็เถอะ ในเมื่อเราเป็นคนคิด เป็นคนพูด เป็นคนทำ เราก็ตั้งใจที่จะขอขมา ให้ตั้งใจอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ เจ้าพวกนี้มันทนคนหน้าด้านไม่ได้ พอถึงเวลา เราตั้งใจขอขมาบ่อย ๆ ตั้งใจทำบ่อย ๆ เขารู้ว่าเขาทำอย่างนี้อยู่ เราไม่กระเทือน เขาก็เลิก

    สนทนา กับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔



    ไม่มีเจตนาที่จะด่าพระ


    ถาม : บางทีเวลานั่งรถ เราก็นึกถึงครูบาอาจารย์ แต่บางทีมันก็มีที่เรานึกถึงคำหยาบคายอะไรก็ไม่รู้

    เราก็คิดว่าอย่า ทำ ๆ ไม่รู้ว่าจะหาวิธีแก้ไขอย่างไรให้มันสงบ ?

    ตอบ : ลักษณะอย่างนี้เป็นกำลังใจของคนที่กำลังก้าวเข้าไปหาความดี คราวนี้ "เขา" รู้ว่า ถ้าเราก้าวลึกไปกว่านั้นเราจะพ้นมือเขา เขาก็พยายามขัดขวางเราด้วยวิธีการต่าง ๆ อันนี้เรียกว่ากิเลสมาร คือ เขากระตุ้นให้เราคิดไม่ดี พูดไม่ดี แล้วทำไม่ดี ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ

    ถ้า มันมาอย่างนี้ เราก็ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็ดึงอารมณ์เข้ามาสู่การภาวนาใหม่ ถ้าหากว่ารั้งแล้วมันไม่มาก็ตามดูมัน ว่ามันจะมีปัญญาไปถึงไหน เอ็งคิดได้แต่ข้าจะไม่พูด ข้าจะไม่ทำ อย่างน้อย ๆ ก็เอาชนะมันให้ได้ ๒ ใน ๓ หลังจากนั้นก็ตั้งใจกราบขอขมาพระบ่อย ๆ

    เขา ตั้งใจจะกวนเราให้ขุ่นว่า ทั้ง ๆ ที่เราตั้งใจจะทำดีแท้ ๆ แต่ทำไมไปคิดแต่ในทางชั่ว ถ้าเราไปหงุดหงิดจะเข้าทางมันเลย แต่ถ้าเราทำไม่รู้ไม่ชี้ เอ็งจะเป็นก็เป็นไป ข้าก็จะขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ภาวนาได้ก็ภาวนาไป ภาวนาไม่ได้ก็ดูว่ามันจะไปได้สักเท่าไร ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ เขาเห็นเราไม่หวั่นไหว เขาก็จะถอยไปเอง

    ถาม : เป็นบ่อยมาก
    ตอบ : เป็นทุกคน

    ถาม : บางทีด่าคำหยาบคาย คำผวนบ้าง ด่าหลวงพ่อบ้าง บางทีก็แปลกใจว่าทำไมเราเป็นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ตัว
    ตอบ : ขอให้รู้ไว้เลยว่าจริง ๆ ไม่ใช่เรา มัน เป็นการกระตุ้นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลต่าง ๆ ที่เราเคยทำมา มันรวมกันเพื่อที่จะรั้งให้เราอยู่แค่นี้ ต้องคิดว่า เอ็งมีปัญญาทำไป ข้าก็จะทำของข้า

    ถาม : เราก็เลยกลัวว่าจะเป็นบาป
    ตอบ : นั่นเป็นแค่มโนกรรม ถ้าหากว่าปากไม่ได้พูด กายไม่ได้ทำ นี่ก็ผิดน้อย

    พระ ครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ถาม-ตอบ ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วัน ศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๒


    www.watthakhanun.com

    __________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2024
  2. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    เวลาปฏิบัติธรรมชอบมี จิตคิดอกุศลจะทำอย่างไร ?

    ถาม : แล้วอย่างการปฏิบัติ อย่างเรารู้สึกตัวเองระยะหลังนี่บางทีเวลาจับพระนี่ เราจะรู้สึกว่าอกุศลจิตเข้ามาบ่อยมาก เป็นเพราะว่านั่นคือจิตลึก ๆ ของเราที่.....?

    ตอบ : อันนั้นเรียก มารดลใจ ก็ ได้ มาร ๕ ประเภทเขาพยายามขวางเราอยู่ตลอดเวลา เวลาไหนที่เราทำความดีใกล้จะถึงจุดที่เราต้องการ เขาจะพยายามเบี่ยงความสนใจเราไปสนใจอย่างอื่นแทน ดึงไปหา รัก โลภ โกรธ หลงแทน ดึงให้รู้สึกปรามาสพระรัตนตรัยแทน ถ้าหากว่าเราปรามาสพระรัตนตรัยปุ๊บเขาก็สบายใจแล้ว

    เพราะ ว่าบุคคลที่ปรามาสพระรัตนตรัย เข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าหลุดมือเขาไม่ได้ เรายังตกอยู่ในอำนาจเขาต่อไป เพราะฉะนั้นเขาพยายามที่จะทำให้เราเบนไปจากจุดที่เรากำลังจะเข้าถึง ถึงได้เคยบอกกับโยมหลายคนว่า ตอนที่ฟุ้งซ่านมาก ๆ ตอนนั้นเรากำลังใกล้ความดีที่สุด เขาก็เลยพยายามจะดึงให้เราฟุ้งซ่านเพื่อที่เราพ้นจากจุดนั้นไป

    ถ้า เราตั้งสติซักนิด ทบทวนย้อนหลังสักนิดหนึ่งว่าเราทำอะไรถึงมาถึงจุดนี้ จะสังเกตได้ว่าก่อนฟุ้งซ่านเราต้องกำลังใจดีมากเลย เพราะฉะนั้นทบทวนย้อนหลังไปซิว่าตอนที่ดี ๆ เพราะอะไรแล้วเราทำแบบนั้นต่อไปมันจะเข้าถึงได้ง่ายมาก เพราะมันเหมือนกับว่าเราอยู่ปากประตูแล้ว แต่เขาเบี่ยงเราไปให้เดินไปทางอื่นแทน

    เพราะฉะนั้นถึงเป็นการดลใจของ มารก็จริง แต่เราก็ปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจเหมือนกัน ถึง เขาจะดลใจให้ทำ แต่เราก็ทำไปแล้วด้วยตัวของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องขอขมาพระรัตนตรัยอยู่ทุกครั้งที่เราจะทำความดี ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานอะไรก็ตามตั้งใจขอขมาพระซะก่อน มันจะตัดกรรมตัวนี้ไป เจ้าพวกนี้มันจะแกล้งอยู่ตลอดเวลาเป็นการทดสอบของเขาอย่างหนึ่ง หน้าที่ของเขาที่ทำอย่างนั้น หน้าที่ของเราคือหนีเขาให้พ้น ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง ไม่ต้องไปเป็นศัตรูกับใครหรอก

    ถาม : แล้วจะบาปหนักหรือเปล่า เวลาหนูกราบพระทีไรจะรู้สึกได้เลยว่า เหมือนมีความรู้สึกว่าจะปฏิบัติไม่ดีหรือเหมือนกับหนูจะเอาเท้าขึ้นมาซึ่ง ........(ไม่ชัด).............

    ตอบ : นั่นน่ะ ลักษณะอาการมันไม่ได้หนัก ไม่ได้หนาอะไรหรอก มันเป็นอาการที่เขาจะทำให้เราเป็นอย่างนั้น ก็บอกแล้วให้ตั้งใจขอขมาพระ พวก นี้มันสู้ลูกตื๊อไม่ได้หรอก เขาทำให้เราคิดอย่างนั้นได้ ปรามาสอยา่งนั้นได้ เราก็ตั้งใจขอขมาไปเรื่อย พอเรารู้ทันเขา ๆ ก็เลิก รู้ว่าวิธีนี้เล่นงานเราไม่ได้แล้ว เล่นท่าไหนก็ขอขมาตะบันลาดอย่างเดียว โทษก็ไม่เกิดขึ้นเขาก็เลิกไปเอง

    แต่ว่ามันก็ยุ่ง ๆ ทำให้เรากลุ้มใจอยู่ระยะหนึ่งเหมือนกัน พอรู้เราก็เลิกกลุ้มซะ เอ็งมีหน้าที่แกล้งก็แกล้งไป ข้ามีหน้าที่ขอขมาข้าก็ขอของข้ามันก็จบ ถ้าไม่เข้าถึงความดีเขาไม่แกล้งเราหรอกเสียเวลาเปล่า เขากลัวว่าเราจะหลุดมือเขา ๆ ก็เลยพยายามแกล้งเพื่อจะดึงเรากลับ แสดงว่าเริ่มเข้าถึงจุดของความดี ทบทวนไปว่าก่อนหน้านี้ทำยังไง แล้วก็ย้ำจุดนั้นบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ ย้ำแล้วย้ำอีกอย่าไปเบื่อ พอเราย้ำมาก ๆ เข้าเดี๋ยวมันก็เป็นของเราไปเอง พิมพ์ที่พระพูดลงไปหมด (หัวเราะ) เคยคุยกับเพื่อนไปแล้วก็พิมพ์ไป ซักพักหนึ่งมาดูปรากฏว่าที่เราพูดกันพิมพ์ลงไปหมดเลย (หัวเราะ)



    สนทนา กับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    เพราะอย่างนี้เราจึง ควรขอขมาพระรัตนตรัยบ่อยๆ
    เพราะอย่างนี้เราจึงควรขอขมาพระรัตนตรัยบ่อยๆ การขอขมาพระรัตนตรัย

    เรา ไม่รู้ว่า ในอดีต ทั้งในอดีตชาติที่ล่วงมาหลายภพชาติ จนถึงปัจจุบัน เราได้เคยปรามาส ล่วงเกินพระรัตนตรัย พระธรรม พระอริยเจ้าผู้ทรงคุณธรรมสูง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไว้บ้างหรือไม่

    เราได้เวียนว่ายตายเกิดมา หลายชาติจนนับไม่ถ้วน และไม่รู้ว่าเคยได้ล่วงเกินปรามาสใครไปบ้างหรือไม่

    เพราะ กรรม การกระทำที่ทำแล้วต่อพระอริยเจ้า ผู้มีคุณธรรมสูง ถ้าเป็นกรรมดี ย่อมส่งผลดีมหาศาลและรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นกรรมชั่ว ย่อมให้ผลเป็นความทุกข์มากและยาวนาน ผลจากเศษกรรมที่อาจได้รับในชาติปัจจุบัน เช่น การศึกษาไม่ก้าวหน้า เรียนไม่รู้เรื่อง ความรู้ไม่เข้าหัว การทำมาหากินเป็นไปด้วยความยากลำบาก งานไม่ก้าวหน้า ตกงาน ครอบครัวแตกแยก ถูกข่มเหง หรือ ทุกข์จนอยากฆ่าตัวตาย หาทางออกในชีวิตไม่ได้

    ดังนั้นเราจึงควรขอขมาพระรัตนตรัยบ่อยๆเพื่อ ให้จิตของเราได้ขอขมาท่าน และคลายจากกรรมที่ไม่ดี การทำบารมีใหม่ จะง่ายขึ้น ไม่ติดขัดทั้งทางโลกทางธรรม

    //////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    คน ที่ปรามาสพระรัตนตรัย ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ การขอขมาฯ ด้วยใจ ควรกระทำต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ หรือหน้าเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสามารถทำได้ แต่เมื่อขอขมาแล้วต้องไม่ละเมิดอีก

    ดร.สนอง วรอุไร
    กัลยาณธรรม ..คำถาม-คำตอบ ดร. สนอง ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2015
  3. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    การห้ามจิตคิดชั่วเป็น ไปไม่ได้ ต้องห้ามจิตไม่ให้คิดคล้อยตาม

    โดยท่านจิตโต (บ้านตลิ่งชัน)







    การ เจริญพระกรรมฐานในช่วงนี้ .............. สิ่งที่พระท่านแนะนำมา ก็ต้องการให้เธอทุกคน ตั้งใจที่จะรักษาใจตน มากกว่าไปพะวงที่จะไปรักษาใจใคร นักปฏิบัติก็ใช้อิทธิบาทสี่ เรียกว่ามีใจพึงพอใจ ฉันทะ..พอใจ วิริยะ...คือความขยันขันแข็ง ที่จะทำให้เกิดผลในสิ่งที่ตนตั้งมั่น จิตใจก็ใจจดใจจ่อ พยายามใคร่ครวญในสิ่งที่ตนปฏิบัติเสมอว่าถูกหรือว่าผิด สิ่งนี้ควรจะต้องมีกับเธอทุกคนอยู่แล้ว เพราะว่าบุคคลใดที่มีอิทธิบาทสี่ บุคคลนั้นก็สามารถจะถึงผลของความสำเร็จในการปฏิบัติได้

    แต่เรามี อีกคำคำหนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับอิทธิบาทสี่ โดยเฉพาะคำว่า "เอาใจใส่" ถามว่า "ใจจดใจจ่อแล้ว ยังต้องเอาใจใส่ด้วยรึ?" คำว่าใจจดใจจ่อ มันไม่ยอมให้สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำคลาดเคลื่อนไปจากจิต แต่การที่เราเอาใจใส่ มันหมายถึงว่าเราตั้งใจดูแลรักษาใจเรา อุปมา เหมือนกับเธอเอาใจใส่ใครคนใดคนหนึ่ง คอยดูแลว่าเค้าต้องการอะไร แต่ไม่ใช่ว่าเราจะนั่งใจจดใจจ่อจ้องมองดูว่าบุคคลผู้นั้นต้องการอะไร .....เขาต้องการน้ำมั้ย เขาต้องการอาหารมั้ย เขาต้องการพัดลมมั้ย...เพราะร้อน เขาต้องการของเย็นมั้ย ต้องการสิ่งโน้นสิ่งนี้ เราก็คอยตั้ง นั่งหน้า..มอง...จ้องมอง...เพ่งมองอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เรียกว่า "ใจจดใจจ่อ" ไม่ยอมไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าคำคำว่า "เอาใจใส่" ก็คือว่า คอยดู แต่มันก็ยังทำกิจของตนอยู่ มันเป็นธรรมชาติ ที่ไม่ได้นั่งใจจดใจจ่อขนาดนั้น คำว่า "เอาใจใส่" ภาษาบาลีเค้าหมายความว่ากระไร? ....."โยมนสิการ" น่ะนะ ... ถ้าจำไม่ผิด

    องค์ สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสแนะนำพระภิกษุไว้ ว่าเธอทั้งหลาย จงมีใจที่จะ "เอาใจใส่" ดูแลในการปฏิบัติของตน ประดุจดัง ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ได้ดูแลในอุทร คือลูกของตนฉันนั้น .... ฟังแล้วยังงงมั้ย?

    ยก ตัวอย่างง่าย ๆ ก็แล้วกันนะว่า ใจเราคิดอะไรเรารู้ ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเรา เวลานี้อารมณ์เป็นสุขหรือเป็นทุกข์เราก็รู้ ใครก็ไม่รู้ดีเท่าเรา เราคิดเรื่องอะไรที่ใจเราเป็นทุกข์เราก็ทราบ ใครก็ไม่สามารถมารู้ในสิ่งที่เราคิดอยู่ แต่เราจะแก้ไขใจเราไม่ให้มันคิด ไม่ให้มันพูด ไม่ให้มันมีอารมณ์ที่เป็นทุกข์เราจะทำยังไง ก็บุคคลที่มีอิทธิบาทสี่ เขาก็จะไม่ปล่อยใจของเขานั้นไปในทางอื่นเลย เรียกว่าใจจดใจจ่อตั้งมั่น แสวงหาความสงบให้จิตของตนสงบอยู่เนือง ๆ เป็นปกติ พยายามที่จะไม่คิดวุ่นวายในเรื่องของใคร ไม่สนจริยาของใคร ไม่เพ่งโทษใคร ไม่เอาเรื่องของใครมาคิดให้วุ่นวายใจ คิดแต่เรื่องของตนอย่างเดียว ทำกิจของตนที่ต้องทำ เพราะใจของตนยังไม่ถึงที่สุด ก็ยังต้องปฏิบัติอยู่ ก็จะทำสิ่งนี้สิ่งเดียวเป็นอารมณ์เดียว

    แต่ถ้าเราเอาใจใส่ มันก็หมายถึงว่า คอยดูแลว่าใจของเราเวลานี้ มันคิดดีก็ไม่เป็นไร คิดดีก็ปล่อยให้เขาคิดไป คิดแล้วเขามีความสุขก็ไม่เป็นไร ยังไม่สร้างโทษ แต่ถ้าเขาคิดไม่ดี เราต้องเริ่มที่จะคอยพูดคอยอธิบายให้เราเองนั่นแหละ ไม่ใช่ใครหรอก เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังคิดอยู่น่ะมันสร้างใจให้เราเป็นโทษเป็นทุกข์ ทำให้เราไม่สบายใจ ควรคิดซะใหม่ ทีนี้ถ้ามันคิดไม่ได้ในเวลานั้นทำยังไง ....... ก็ทุกข์ใจต่อไป

    เอาล่ะ! ... เรื่องนี้ก็พักไว้ ก็จะไม่ขอพูดต่อล่ะนะ เพราะว่าทุกคนต้องรู้ตนอยู่แล้วว่า พึงต้องทำอะไรเพื่อรักษาใจตนให้เป็นสุข ใครเขาจะมาเตือนมาบอกนั้นเป็นเรื่องที่ยาก โอกาสที่เขาจะมาพูดเตือนเรานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะเวลาวันนึงคืนนึง เราอยู่กับตัวเรามากกว่าที่จะไปอยู่กับใคร ใครเขาจะมีเวลามาคอยตักเตือนเราจ้ำจี้จ้ำไชเราตลอดเวลา มันเป็นไปได้ยากมาก เวลาของเรามันมีอยู่มากกับตัวตน เราถึงต้องพยายามทำใจของเราทุกขณะที่คอยระมัดระวังใจตนเองไม่ให้คิดชั่ว แต่เราก็รู้ว่าการคิดชั่วเราห้ามมันไม่ได้ แต่การห้ามคิดชั่วคืออย่าคิดต่อไป อย่าเห็นว่าสิ่งที่มันคิดชั่วนั่นน่ะเป็นของดี พูดอย่างนี้เข้าใจมั้ย

    คือ เราน่ะ มันคิดชั่วน่ะมันมีแน่นอน ถูกมั้ย? มันต้องคิด มันต้องพลาดคิดแน่นอน มันคิดดีตลอดทั้งวันน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก โอกาสที่มันไปคิดเรื่องอื่นที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์น่ะมันมีแน่นอน เราจะห้ามไม่ให้มันไม่เกิดขึ้นเลย มันต้องเกิดขึ้นไม่ได้ ทุกขณะจิตมันจะต้องคิดดีอย่างเดียว ถ้ามันเริ่มคิดไม่ดี เอ็งจะต้องถูกขัง!!! ... หมายถึงว่าถูกกดเอาไว้ด้วยสมาธิ ไม่ยอมให้ปล่อยใจไปเรื่องอื่นเลย นี่ก็เป็นการฝืนความเป็นจริงไป ถามว่าดีมั้ยที่ทำอย่างนี้ ก็ดี แต่มันยังดีไม่หมด

    แต่ที่พระ พุทธเจ้าทรงตรัสว่าอย่าคิดชั่วนั้นหมายความว่า ความคิดมันห้ามไม่ได้ แต่เราอย่าเอาความคิดที่มันคิดชั่วน่ะ คิดต่อไป อย่าไปปรุงแต่งมันต่อไป อุปมาเหมือนดั่งว่า เค้าพูดไม่ดี ก็อย่าไปยินดีกับเขา อย่าไปคล้อยตามเขา ถ้าเราไปคล้อยตามในสิ่งที่เขาพูดไม่ดี ทำไม่ดี เท่ากับเราโมทนากับเขา เขาไปนรกเราก็ไปนรกด้วย ......พอเข้าใจมั้ย

    งั้นสิ่งใดก็ตามที่มัน เกิดขึ้นในใจเราทั้งดีและชั่วมันต้องเกิดแน่นอน เธอไม่มีทางที่จะไปบังคับให้มันเอาแต่ดีอย่างเดียว ที่มันจะคิดชั่วมันจะคิดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีร่างกาย สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตราบใดที่ร่างกายยังมีอยู่ อารมณ์ใจของเธอก็จะมีที่เป็นไปทางดีและทางชั่วตลอดเวลา แต่ผู้ปฏิบัติเนี่ย เขาไม่คล้อยตามอารมณ์ใจที่คิดชั่ว ไม่ปรุงแต่งตามมันไป รู้ทันทีว่าเวลานี้ใจมันเริ่มคิดไม่ดี เขาก็เริ่มแก้ไขใจของเขาทันที ไม่ยอมที่จะปรุงแต่งคิดตามมันไปว่า เออ!!! จริงว่ะ ถูกว่ะ ใช่ว่ะ คิดไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ๆ จนไม่รู้มันจะไปจบเอาตรงไหน นอกจากสร้างความทุกข์ให้กับใจแล้ว ก็ยังสร้างความทุกข์ให้กับใจคนอื่นที่อยู่ใกล้ตัวเราไปด้วย

    หนัก เข้ามันก็จะกลายเป็น "โทสะ" แสดงส่งออกมาทางวาจาแล้วก็การกระทำ มันก็กลายเป็นกรรม เค้าเรียกว่า "วจีกรรม" "กายกรรม" ส่วนมโนกรรมน่ะเกิดแล้ว มันเกิดที่ใจของเราแล้ว ใครไม่รู้หรอก แต่เราน่ะรู้แล้วว่าเกิดขึ้นแล้ว เป็นมโนกรรมคือกรรมชั่วที่เกิดขึ้นในใจของเราที่เราไม่ยอมหยุดความคิด ไม่ยอมตักเตือน อุปมาเหมือนกับพ่อแม่เลี้ยงลูก ถ้าลูกทำชั่ว เออ!! ดีลูก แถมยังช่วยลูกทำมันต่ออีก ทำอย่างนี้สิลูก ทำอย่างนี้สิลูก หาช่องหาทางให้ลูกเสร็จ แต่ถ้าลูกกำลังทำความชั่ว เราบอก... ไม่ได้ หยุดนะลูก อย่าทำอย่างนี้นะไม่ดี อย่าทำอย่างนั้นนะไม่ถูก อย่างนี้แหละเค้าเรียกว่า ห้ามใจคิดชั่ว ที่ทรงตรัสว่า อย่าคิดชั่ว ไม่ใช่ความคิดมันเกิดมาไม่ได้ แต่มันเกิดแล้ว เราอย่าคิดมันต่อไป มันปรุงแต่งเกิดขึ้นเพราะสังขารเราแปรปรวน มันปรุงแต่งขึ้นเพราะกรรม .... มันเกิดแน่ มันจะปรุงแต่งเพราะด้วยเหตุอะไรที่ความรู้ยังไม่ครบก็ได้ แต่ไม่ว่ามันจะเกิดการปรุงแต่งขึ้นในความคิดของเธอด้วยเหตุอันใดก็ตาม พระพุทธเจ้าสอนให้เรานั้นหยุดยั้งมันเสีย อย่าคิดตามต่อไป

    นี่คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สอนให้เราหยุดที่จะคล้อยตามไป ให้สักแต่ว่ารู้อยู่ว่า นี่มันเกิดแล้ว สิ่งนี้มันเกิดความคิดแบบนี้ เราต้องแก้ไข เราต้องพูดอธิบายภายในใจตนว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ ไม่ควรคิดอย่างนี้ คิดอย่างนี้ไม่ถูก ลองนิ่ง ๆ สิ ลองคิดใหม่สิ เราก็ฝึกใจที่จะหยุดใจให้มันหยุดนิ่ง ๆ เดี๋ยวมันก็คิดใหม่ เออ!!.....คิดอย่างนี้ใช้ได้ คิดอย่างนี้ไม่ทุกข์ใจ เราก็ทำด้วยการเอาอกเอาใจเอาใจใส่ลงไป พยายามดูแลรักษาใจของตนตลอดเวลา แต่ไม่ถึงขั้นใจจดใจจ่อว่า มึงคิดชั่วไม่ได้ วันนี้ทั้งวันมึงห้ามคิดชั่วนะ มึงโผล่มาเมื่อไหร่ล่ะก็ ....ตาย!!!! จิตตาย

    หมายความว่าไง เราตายก่อนจิตแน่นอนนะ ... เครียด เครียดจนหน้าไม่มีแววของคนที่มีสายตามองให้ชุ่มชื่นใจเลย เพราะมัวแต่นิ่งสงบใจตนหน้าก็จะแข็งทื่อเหมือนสากกะเบือ อยู่ในครัวเห็นมั้ย สากกะเบือมันเป็นยังไง มันแข็งทื่อไปอย่างงั้น ไม่รู้รสรู้ชาติอะไรเลย เพราะมันต้องกดใจตนเอง กดให้นิ่ง กดให้สงบ กดไม่ให้มันเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมาในใจเราเลย จริง ๆ แล้วมันเป็นวิธีเบื้องต้น แต่ทำผิดจังหวะไปหน่อย เค้าต้องทำตอนที่จิตมันรู้ตัวว่า นี่มันคิดชั่วแล้วอย่าคิดต่อไปนะ อย่าคิดต่อไป หาทางแก้ไข ทำความเข้าใจเสียใหม่ พอทำความเข้าใจเสียใหม่ เราก็หยุดใจนิ่งเพื่อหาความเข้าใจใหม่ว่า เราควรจะเข้าใจยังไง เราควรจะคิดยังไงดีที่ทำให้ใจของเรามันมีความสุขได้ พอมันหยุดใจได้มันคิดได้ปั๊บ อีตอนนี้ล่ะนะหน้ามันก็เบิกบาน จิตใจมันก็กลับมาเบิกบานใหม่ ชุ่มชื่นใจใหม่แทนที่หน้าแข็งทื่อเหมือนสากกะเบือก็ไม่มี อันนั้นจะทรงตัวทั้งวันทั้งคืนก็ไป...ทึ่มทื่อไปอย่างนั้น หาความสุขได้มั้ย? ไม่ได้ แล้วก็เครียดกับตัวเอง ไม่ได้เครียดกับใครเลย นี่คือการปฏิบัติเหมือนกันนะ เธอทั้งหลาย

    จำไว้ว่า คำว่า "อย่าคิดชั่ว" เนี่ย ไม่ใช่ว่ามันไม่เกิด .... มันเกิด แต่ไม่ใช่ว่าเราปล่อยให้มันเกิดแล้วคิดตามมันไป เราต้องหยุดไม่ให้มันคิดต่อไป โดยการที่เราไม่ปรุงแต่งตามมันนั่นเอง ไม่เชื่อมันแล้ว ไม่คล้อยตามมันไปแล้ว ไม่คล้อยตามด้วย แถมยังจะบอกว่าเดินทางนี้สิ คิดอย่างนี้สิ ทำใจให้เป็นแบบนี้สิ พระท่านสอนเราว่าอะไร คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านบอกว่ายังไง เอามาขัดจิตขัดใจเรา

    ยากมั้ย? เอาใหม่นะ...เรามาปฏิบัติกันให้ตรงทางซะหน่อย อย่าห้ามจิตคิดชั่ว มันห้ามไม่ได้ แต่ห้ามใจคิดชั่วต่อไป เราห้ามได้ อย่างนี้เข้าใจมั้ย ห้ามไม่ให้มันคิดชั่วเนี่ยเราห้ามไม่ได้ เราต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ตราบใดที่สังขารร่างกายมันมี กรรมมันมี มันต้องเกิดขึ้นแน่นอน ห้ามไม่ได้ แต่เราสามารถจะห้ามไม่ให้เราตามมันไปได้ ตามความคิดที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเวลานั้น ปรุงแต่งต่อได้ ยินดีไปกับมันได้ เราห้ามตรงนี้ได้

    ถ้าเราสามารถห้ามมันได้ตอนนี้ล่ะก็ สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน แล้วมันก็ดับ .... จบมั้ย? จบ!!! อารมณ์นั้นจบ ความวุ่นวายในขณะนั้นจบสิ้น ถ้าจบด้วยปัญญา จบสนิท ถ้าจบด้วยกำลังสมาธิ ไม่แนบเนียน มันจบแค่ปากไม่พูด การกระทำไม่เกิด จบแค่นั้นนะ แต่ข้างในเนี่ยมันจะหนัก มันจะเป็นอารมณ์ที่มันยังหนักยังกดอยู่ ภายนอกคุณจะไปอยู่กับใครหรือแสดงท่าทีอาการยังไงก็ตาม แต่รู้ตัวเองว่ายังหนัก ข้างในยังหนักไม่อยากจะพูดกับใครไม่อยากจะวุ่นวายกับใคร มันจะไปยังงั้นเลย เพราะเราจะเริ่มเข้าสมาธิแล้ว ช่วยตัวเองด้วยการทำสมาธิแล้ว ภาวนาหนักขึ้นจ ับลมหายใจมากขึ้น จับภาพพระมากขึ้น จับอะไรต่อมิอะไรที่เป็นการกระทำมาในการก่อน เพื่อไม่ให้ไอ้สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาอีก พอมันโผล่แวบ โมโหอีกกดอีก ทำจนเหนื่อยก็ไม่สำเร็จ เสียเวลาไปแล้วครึ่งค่อนวัน ไม่สามารถพิชิตใจของตนได้เลย ... จริงมั้ย? มันเป็นอย่างนั้นถูกมั้ย? เราทำไม่ถูก

    งั้นการปฏิบัติที่ถูก เราต้องยอมรับนับถือความเป็นจริงก่อนว่า ความคิดเนี่ยเราห้ามมันไม่ได้ คิดดีเราก็ไม่ได้ห้าม ใช่มั้ย? เพราะบางทีมันก็คิดของมันไปเอง ในทางที่ดี อยู่ ๆ มันก็คิดเรื่องสบายใจของมันขึ้นมา เรายังปล่อยได้ คิดตามต่อไปก็ได้ ปล่อยให้มันคิดไปธรรมดาก็ได้ แต่ไม่มีใครเค้าปล่อยกันให้เป็นอย่างนั้น ถ้าคิดดีก็คิดส่งเสริมให้มันดียิ่งขึ้นไป ถ้าเค้าเริ่มนึกถึงพระได้ เริ่มเลยทีนี้ เอาคำสั่งสอนของพระเข้ามาสอนเขา เอาให้เขาเห็นพระจับจิตจับใจให้ได้ .... ทำเลย!!! ถ้าเค้านึกถึงความตายได้ คิดต่อไปเลย สอนเค้าต่อไป อย่าให้เค้าเพียงแค่คิดแค่นั้นแล้วก็จบลงไปเฉย ๆ

    อย่าง บางเวลามันคิดไม่ดี ก็รีบคิดว่า นี่!!! มันคิดไม่ดี มันเกิดแล้ว ไม่ต้องไปหนักใจมัน มันไม่ดีไม่เป็นไร แต่เราจะไม่คิดตามมันไป ไม่เอามันมาเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่จะคล้อยตาม ยินดีตามมันไป กลับดึงใจมันกลับมาว่า ไม่ได้!!! เอ็งคิดอย่างนี้ไม่ถูก ลองตั้งสตินึกนับหนึ่งกันใหม่สิ แล้วเริ่มต้นคิดใหม่สิว่า ไอ้ที่คิดมันถูกหรือไม่ถูก สงบใจลงไปใหม่สิ แบบนี้แหละนะ เค้าเรียกว่า จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ... เหมือนมั้ย? เอาให้เหมือนให้ได้

    แต่ จะเรียกว่าอะไรก็ช่างเถอะนะ เรื่องของตำรา เราเป็นนักปฏิบัติไม่ใช่นักเกาะตำรา เอาความจริงเข้าว่า เป็นความจริงที่ปรากฏกับเธอทุกคนเช่นนี้หรือเปล่า เป็นมั้ย? .... เป็น!!! งั้นเป็นเธอต้องยอมรับนับถือก่อนว่า ไม่มีใคร ทำให้ใจของตนน่ะคิดดีได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีใครทำให้อารมณ์ใจของท่าน สามารถจะแช่มชื่นได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนได้ ตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ เป็นไปไม่ได้!!! ไม่ได้ก็คือไม่ได้ นะ...อย่าฝืน

    ในเมื่อเป็นความ จริงที่ไม่สามารถทำให้มันเป็นตามใจเราได้ ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ ... ยอมรับมั้ย? ต้องยอมรับมันก่อนนะว่า เราไม่สามารถที่จะทำสิ่งนี้ ให้มันดีได้ตลอดเวลา ให้มันมีอารมณ์โปร่งได้ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ร่างกายมีอยู่ ไม่มีทาง!!! เราจึงมีหน้าที่เพียงแค่ว่า ไม่คล้อยตาม อันนี้แหละสำคัญ ที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชี้ให้เราได้เห็นว่าจงอย่าได้ปรุงแต่ง ภาษาพระเรียก "ปรุงแต่ง" หมายความว่า คิดตาม ยินดี คล้อยตามมันไป

    ท่านผู้รู้มีสติดีมากจน ถึงขึ้นบริสุทธิ์แล้ว คิดไปดีก็ไม่ปรุงแต่งตาม คิดไปไม่ดีก็ไม่ปรุงแต่งตาม คือไม่ไปทั้งยินดีและยินร้ายทั้งสองอย่าง เพราะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่มีสาระที่จะต้องไปตามอะไรกับมัน มันเป็นเรื่องของร่างกาย เราต้องการเพียงแค่พ้นจากร่างกายนี้ไป อยู่ยังไง? ก็อยู่อย่างเฉย ๆ รู้ความจริงมันคืออะไรก็ปล่อยมันไป พระท่านมักจะพูดว่า "เกิดแล้วก็ดับ" ไม่มีอะไร กว่าจะพูดคำนี้ได้นี่ ก็ล่อมาหลายอสงไขยนะ

    งั้น วันนี้ขอเน้นเรื่องเดียว เพราะนับแต่นี้เป็นต้นไป ปีนี้ เธอจะต้องผจญกับอารมณ์ที่กระทบมากขึ้น กว่าที่เคยผ่านมา ขอยืนยันว่าเธอทุกคนจะต้องผ่านสิ่งเหล่า ๆ นี้ กำลังใจของเธอต้องหนักแน่นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าในปีก่อน ๆ ปีนี้เธอต้องหนักแน่นกว่าเดิม ต้องฉลาดกว่าเดิม ถ้าเธอแย่กว่าเดิมล่ะก็ .... แย่กว่าเดิมแล้วเป็นยังไง? เสร็จ!!!! นะ เสร็จแน่ ๆ ฉันไม่ได้พยากรณ์นะ แต่เป็นการคิดเอาเอง ... คิดเอาเอง นึกเอาเอง คิดเอา อย่าเพิ่งเชื่อนะ เพราะนี่เป็นเรื่องของการนึกเอาเอง คิดเอาเองนะ

    ก็ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มันจะมีแต่ความวุ่นวายรุกเร้าเข้ามาในใจของทุกคน มันเป็นกระแสของความเร่าร้อน จะเกิดขึ้น หุนหันพลันแล่นโดยเฉียบพลัน ความคิดแปรปรวนไปในทางลบมากกว่าทางบวก คือทางดีน่ะไม่ค่อยคิด มันจะไปในทางไม่ค่อยจะดีมากกว่า เธอต้องเตรียมใจได้แล้วว่า ถ้าเราไม่โง่เราก็สู้ได้ แต่ถ้าเราโง่เราก็จะเดือดร้อน

    ที่โง่ก็ เพราะอะไร โง่เพราะต้องเข่นใจตัวเองนั้นมันเหนื่อย ก็โมโหกับความเป็นใจของตัวเอง ว่าทำไมเราทำไม่ได้ ทำไมอีกแล้ว ทำไมอีกแล้ว แล้วเราก็จะเครียด ถูกมั้ย เครียดกับใจเราในการปฏิบัตินั่นเอง งั้นขอย้ำนะ เธอกลับไปคิดทำใหม่ มองถึงความเป็นจริงให้เห็นชัดเจนเสียก่อนว่า จิตยังอยู่กับกาย ไม่มีวันที่จำทำให้จิตดวงนี้ดีได้ตลอดเวลา คิดดีได้ตลอดเวลา จำแต่สิ่งดี ๆ ได้ตลอดเวลา มีอารมณ์เป็นสุขได้ตลอดเวลา อย่าไปหวัง สิ้นหวังแล้วนะ ไม่ต้องหวัง ถ้าร่างกายยังมีอยู่ไม่ต้องหวัง

    แล้ว ยิ่งร่างกายมันช่วงนี้ด้วยนะ กระแสที่มีความวุ่นวายรุนแรงเกิดขึ้นยิ่งจะทำให้จิตของเธอเนี่ยกระสับ กระส่ายมากกว่าเดิม กรรมก็แรง ในเวลาเดียวกัน บุญก็แรง ยกตัวอย่างว่าสมัยหลวงพ่อน่ะ ถ้าเธอเคยอ่านหนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ก่อนที่ ... สมัยที่ท่านยังศึกษาอยู่ยังไม่จบกิจ ที่ท่านปฏิบัติที่วัดโพธิ์กระมัง ...ถ้าจำไม่ผิดน่ะนะ เวลาจะได้ดีขึ้นมา มันจะต้องมีอะไรกระทบแรงมาก ทุกครั้งเวลาท่านได้ดี แต่ละคราวเนี่ยมันจะต้องมีเรื่องราวอะไรแรง ๆ มาหาท่าน โหมเข้ามาโหมเข้ามา แต่ว่าท่านมีความมั่นคงในการปฏิบัติ ใช่มั้ย? ครูบาอาจารย์สอนอย่างไรท่านก็เคร่งครัดในการปฏิบัติอย่างนั้น ท่านไม่เคยทิ้งสมาธิ ไม่เคยทิ้งในการควบคุมใจของท่าน งั้นโอกาสที่ท่านจะได้ขัดเกลาจิตใจของท่านไปในทางที่ดีน่ะ มีสูง

    มี กระทบก็แรงขึ้น แรง ๆ รอบตัวท่านนะไม่มีใครเป็นมิตร มีแต่วาจากล่าวจาบจ้วงตลอดเวลา ประทุษร้ายท่านอย่างนั้น ประทุษร้ายท่านอย่างนี้ ไม่มีวาจาดีให้ท่านได้ยินได้ฟังเลย ท่านอยู่โดดเดี่ยวอยู่องค์เดียว ในสถานที่ที่ทุกคนน่ะห้อมล้อมด้วยการคิดแบบจะปองร้ายท่าน คิดร้ายท่าน กล่าววาจาจาบจ้วงท่าน ตำหนิติเตียนท่านตลอด ขับไล่ท่านทำทุกอย่างเลยแหละ

    แต่ สิ่งที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับท่านกลับเป็นผลดีให้ท่านน่ะ หนักแน่น แล้วก็ชนะกับบุคคลเหล่า ๆ นั้น จนท่านไม่หวั่นไหวและสั่นสะเทือนกับสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นจะทำอะไรท่านเลย นี่ครูบาอาจารย์ของเราก็เจอแบบนี้มานะ กว่าจะได้อะไร มันก็มีเรื่องเข้ามาให้ท่านต้องรบกวนจิตใจอย่างแรง ท่านถึงจะเกิดมรรคเกิดผล เราทุกคนก็ไม่อยากเจอแบบท่านหรอกนะ เพียงแต่จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า สมัยนี้เริ่มแล้วนะ มันเริ่มแบบลักษณะคล้าย ๆ อย่างนี้ แล้วเธอจะต้องถูกกระทบในรอบตัวที่เธอคาดไม่ถึง คนที่ไม่เคยกระทบเธอเลยนั่นแหละ จะมากระทบตัวเธอเอง คนที่ดีกับเธอมานานแสนนาน ก็จะมีวาจากระทบใจเธอได้อย่างง่ายดาย จนเธอคาดคิดไม่ถึงว่า อะไรกันนี่ ....

    กลัวหรือยัง (หัวเราะ) เริ่มกลัวหรือยัง ... ขู่มีขู่ (หัวเราะ) มีขู่เล็ก ๆ ....

    แต่ ไม่สำคัญหรอก เราลูกพระ ถูกมั้ย? เราก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน ใช่มั้ย? หลวงพ่อท่านก็มีสิบนิ้ว เราก็มีสิบนิ้วเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าท่านทำได้แล้วเราทำไม่ได้ เราก็ต้องทำได้ใช่มั้ย? เราลูกท่านเราต้องทำได้ ลูกพระต้องทำได้ ไม่ว่าจะเจอในเรื่องอะไรเราก็ต้องทำได้ เพราะเรามีวิชาความรู้ เราไม่ใช่สิ้นเนื้อประดาตัวที่ไหน ความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอนเรามา ครบถ้วนสมบูรณ์ดี ยังมีอยู่ พระธรรมคำสั่งสอนที่ทำให้ใจของเราพ้นจากทุกข์ ยังมีอยู่ เพียงแต่เรานำสิ่งที่พระท่านสอนเรา เอามาประคับประคองเอาใจใส่กับตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมหน่อย แล้วพยายามทำความเข้าใจว่า เราห้ามในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ ตราบใดที่เรามีกาย คนอื่นมีร่างกาย จะหลีกเลี่ยงในสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับเราไม่ได้เลย จงยอมรับมันเถิดว่า มันต้องเกิดและมันต้องมี

    เรามีวิธีปฏิบัติเพียงอย่างเดียวว่า เราไม่คล้อยตาม เข้าใจคำว่าไม่คล้อยตามมั้ย? ไม่คิดตามต่อ ไม่คิดต่อไป รู้นะว่าเราเริ่มคิดไม่ดีแล้ว เริ่มร้อนแล้วนะ ตอนนี้กำลังเดือดแล้วนะ ปุบปับ ๆ ๆ นะ ... มึงนะ... ยอ ๆ ไว้ นะ เอาเชือกร้อยจมูกมันไว้ ยอ ๆ ๆ .... ตัวอะไรวะ เออนั่นล่ะ ควายล่ะ ...ยอ ๆ ๆ เอาไว้ ..หยุด ๆ หยุดก่อนโยม หยุดเสียก่อน จิตกลับมาคิดเสียใหม่ก่อน อย่าไหลไปตามมัน อย่าปล่อยให้มันไปแล้วเราทุกข์ไปกับมัน นั่นไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนให้ รู้จักมัน แล้วรู้จักหยุดมัน รู้จักที่จะไม่คล้อยตามมันไป

    วันนี้เอาแค่นี้พอมั้ย? เนอะ เอาเรื่องเดียวก็พอเนอะ เออ...แค่นี้ก็แย่แล้วเนอะ (หัวเราะ) แค่นี้ก็หนักเหมือนกันนะ ปฏิบัตินี่ใช่มั้ย เอาเรื่องนะ ระวังอะไรไม่เท่ากับระวังใจเราคิดชั่วนี่ใช่มั้ย แต่เราห้ามจิตคิดชั่วไม่ได้ แต่เราห้ามใจไม่ให้มันคิดต่อไปล่ะก็ได้ ...เออ...ห้ามตรงนี้นะ ห้ามที่อย่าให้มันคิดต่อไป มันคิดน่ะไม่แปลก กรรมมันพาให้เราคิดได้ สังขารแปรปรวนทำให้เราคิดได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วไม่ให้สิ่งนี้ปรากฏมีในใจเราเลย นั่นล่ะไม่ใช่คนแล้ว ทำไม่ได้หรอก นะ .. พระอรหันต์ท่านก็ไม่ทำแบบนั้นนะ ...เออ..

    ก็ขอ ให้ทุกคนนะจงตั้งใจจะยากเย็นเข็ญใจเพียงใดมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเราต้องการดี ใช่มั้ย? สุขมันอยู่ที่เรา ทุกข์ก็อยู่ที่เรา โง่ก็เรา ฉลาดก็เรา ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ แล้วก็ไม่มีใครทำให้เราเป็นสุข ไม่มีใครทำให้เราเป็นคนโง่ แล้วก็ไม่มีใครทำให้เราเป็นคนฉลาด จะสุขจะทุกข์ จะโง่หรือจะฉลาด มันอยู่ที่เรานั่นแหละตั้งใจทำ ถ้าเราไม่ตั้งใจทำดี ใครก็ไม่สามารถจะช่วยให้เราดีขึ้นมาได้ มันคือความจริง มันไม่เกี่ยวกับว่า ไม่เมตตาแล้วรึ ไม่รักแล้วหรือ ไม่สงสารแล้วหรือ มันคนละเรื่อง ถูกมั้ย เหมือนอย่างที่พูดว่า เราไม่มีไม่ใช่ไม่มี เราไม่ทำ!!! ไม่มีแต่ใจมันอยากทำถูกมั้ย? แต่มันไม่มี จะทำยังไง คนมีเขาก็ได้ทำมันก็ตรงไปตรงมาใช่มั้ย

    ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่รัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากสงเคราะห์ ไม่ใช่ไม่เมตตา ขาดแล้วซึ่งความเมตตา แต่เราไม่สามารถที่จะทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นมาได้ ทุกคนก็ต้องกระทำสิ่งนี้ด้วยใจของตนวันยังค่ำ สิ่งเดียวที่เธอต้องเตือนตนไว้เสมอ เวลาน้อยไม่คอยท่า กาลเวลาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันไม่สามารถเลื่อนกลับมาได้ จะดีจะชั่วยังไง จะให้สะสมเอาไว้ กรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จงอย่าให้เกิดกรรมต่อไป หยุดกรรมเสีย หยุดการกระทำที่สร้างเวรสร้างกรรมซะ หยุดความคิดที่จะสืบเนื่องต่อไปให้มันเป็นทุกข์เป็นโทษ เค้าเรียกว่า "มโนกรรม"

    มโนกรรมเนี่ยหนักที่สุด วจีกรรมคือวาจาที่เป็นโทษยังไม่เท่าไหร่ กายกรรมคือการกระทำทางกายที่เป็นโทษก็ยังไม่หนักเท่าไร แต่มโนคือใจเราที่คิดชั่วและคิดจะทำให้มันเกิดความชั่วต่อไป หนักที่สุด เพราะมันจะลงนรกก็ไอ้ตรงนี้แหละ ใช่มั้ย? ลงนรกก็ไอ้ตรงนี้แหละ จิตคิดปั๊บ ไปแล้ว เหมือนเรายินดีเขาทำความชั่ว ไปแล้ว!!! เดินไปกับเขาแล้ว เขาน่ะคิดแล้ว ทำแล้ว ...ชั่ว ลงนรกแล้ว เดินลงไปแล้วข้างล่าง เราน่ะจะไปยินดีกับสิ่งที่เขาคิดชั่วทำชั่ว เออ ๆ ดีว่ะ ๆ นั่นแหละไปกับเค้าแล้ว ไปแล้ว

    งั้นอย่าไปกับเค้านะ อย่าเดินตามเขา อย่าสนใจในสิ่งที่เขาทำไม่ดี เอาใจเรานั่นแหละตั้งมั่นเอาไว้เสมอ ขอฝากเอาไว้เพียงเท่านี้แหละนะ ๚ะ





    จากที่มา: คำสอนท่านจิตโต (บ้านตลิ่งชัน)

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1.193074/
     
  4. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    การปรามาสพระรัตนตรัย

    ถาม : .......................

    ตอบ : การที่เราล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ตัวอย่าง ดูแค่สุปปพุทธกุฏฐิ ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า แล้วท่านเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์ก็เลยไปลองใจ การลองใจของพระอินทร์ ท่านไปแสดงให้เห็นชัดเลยว่า ท่านเป็นพระอินทร์ ท่านบอกว่าสุปปพุทธะ ถ้าเธอพูดตามเราว่า เราจะบันดาลให้เธอหายจากโรคเรื้อนและจะให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีด้วย สุปปพุทธะแกเป็นขอทาน ลำบากมานานนี่ เป็นโรคเรื้อนด้วย แกก็สนใจ ก็ถามว่าจะให้พูดว่าอย่างไรล่ะ ? บอกว่าพูดแค่ว่า พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แค่นี้แหละพอ สุปปพุทธะไล่เตลิดเลย อัปเปหิ พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป ขึ้นชื่อด้วยการปรามาสพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจของเราโดยเจตนาจะไม่มีอีกแล้ว พระอินทร์ท่านถึงได้โมทนา เพราะมั่นใจว่าเป็นพระโสดาบันแน่ พูดแค่นี้ถือว่าเป็นโทษแล้ว คนยิ่งใจละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นโทษเท่านั้น

    อย่างว่าพระนางปชา บดี โคตมี ก่อน ที่ท่านจะปรินิพพานท่านก็ไปทูลลาพระพุทธเจ้า พระนางปชาบดีนิพพานอายุ ๑๒๐ ปี พระพุทธเจ้าอายุ ๘๐ นะ ท่านบอกว่า ท่านเองอบรมเลี้ยงดูพระพุทธเจ้ามาก็จริง แต่ว่าในช่วงที่ท่านปรารถนาความเป็นภิกษุณี พระพุทธเจ้าตรัสห้ามแล้ว ท่านก็ยังทูลขอพระพุทธเจ้าห้ามถึง ๓ ครั้งไม่ให้บวช ท่านก็ยังตื๊อเดินทางตามไป เพื่อตื๊อจะบวชอีก อันนี้เป็นโทษ ดังนั้นท่านกราบขอขมา ก่อนที่จะนิพพานท่านอยากไปแบบบริสุทธิ์จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวให้อภัยว่าไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองกัน

    ขนาดตื๊อ ทำความดี ยังเป็นโทษเลย คนยิ่งจิตละเอียดมากเท่าไรจะยิ่งมองเห็นโทษชัดเท่านั้น ดังนั้นส่วนที่เราทำๆ ไป ปัจจุบันนี้อาจจะเห็นว่าไม่เป็นโทษ แต่ถ้าเราก้าวไปสู่จุดที่ละเอียดกว่านี้ เราจะเห็นชัดเลยว่ามันเป็นโทษอยู่ ถ้าถามว่าดีไหม ? อืม...มันดี แต่มันดีไม่หมด มันถูกไหม ? ถูก แต่มันถูกไม่หมด ก็เลยยังมีส่วนผิดอยู่

    คราวนี้คนที่จิตละเอียด ส่วนผิดแม้แต่เล็กน้อยเขาถือว่าผิดมาก ในเมื่อผิดมากก็ต้องมีการขอขมาพระรัตนตรัย พระนางปชาบดีโคตรมี ท่านนิพพานตอนอายุ ๑๒๐ ปี พระพุทธเจ้าปรินิพพานอายุ ๘๐ ปี ลองหักกลบลบล้างเท่าไร ๔๐ ปี ท่านนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี เพราะฉะนั้นอายุต้องห่างกัน ๔๑ ปี ในเมื่อห่างกัน ๔๑ ปี ท่านเป็นน้า แล้วแม่พระพุทธเจ้าคลอดพระพุทธเจ้าตอนอายุเท่าไร ตีเสียว่าอย่างไม่มีก็ต้อง ๔๒ ปีใช่ไหม เพราะต้องท้อง ๑๐ เดือน ก็สงสัยว่าทำไมแก่ปานนั้น

    ปราก ฎว่าไปอ่านเจอในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ กล่าวว่า ปกติมารดาของพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะทรงครรภ์พระโพธิสัตว์เมื่ออายุประมาณ ๕๐-๗๐ ปี เรื่องของบุญนะ อายุมากขนาดนั้น ท่านไม่แก่ สาวพริ้งอยู่เป็นปกติ เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะว่า ถ้าหากทรงครรภ์พระ โพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ถือว่าบุคคลอื่นๆ ไม่สมควรที่จะมาตีเสมอด้วยการที่เกิดในครรภ์นั้นอีก ก็เลยจะต้องตายภายใน ๗ วันทุกคน

    เมื่อเป็นดังนั้นก็ให้อยู่นานหน่อย อายุ ๖๐-๗๐ ปีก็อยู่ได้ ถึงเวลาคลอดแล้วค่อยตาย ของเราขี้สงสัย สงสัยมานานถ้าค้นไม่เจอไม่เลิก บังเอิญค้นเจอ พวกเราไม่ค่อยขี้สงสัยหรือสงสัยก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย

    ถาม : ถ้าในสมัยอายุเป็นหมื่นๆ ปี ?

    ตอบ: ก็คงจะช่วงนั้นแหละ อาจจะประมาณ ๕,๐๐๐-๗,๐๐๐ ปี




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    [​IMG] <table style="table-layout: fixed;" width="100%" border="0"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_1066" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>คำขอขมาพระรัตนตรัย



    นะ โม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

    (ถ้าหลายคนว่า.....ขะมะตุ โน ภันเต, ฯลฯ....
    ขะมะตุ โน ภันเต , อุกาสะ ขะมามะ ภันเต ฯ )


    หาก ข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยทางกายหรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่
    พระ นิพพานด้วยเทอญ ฯ

    จากหนังสือสวดมนต์แปล
    วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี



    ถาม: การขอขมาพระรัตนตรัย

    ตอบ: การขอขมาพระรัตนตรัย เป็นการปลดใจเราเองจากกรรมอันนั้น พระรัตนตรัยไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเราอยู่แล้ว เพียงแต่เรารู้สึกเบากายเบาใจว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดีที่ควรแล้ว ในเมื่อจิตมันปลดออกจากตัวนั้นก็สามารถที่จะไปต่อได้ ก็หมายความว่ามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้ ถ้าตราบใดที่ยังปลดมันไม่ออก แคะมันไม่ออกก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2015
  5. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,356
    อนุโมทนาสาธุครับ

    ควรขอขมาพระรัตนตรัยบ่อยๆครับ กันไว้ดีกว่าแก้ ที่แน่ๆทำแล้วสบายใจครับ
     
  6. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    อนุโมทนา...สาธุ
    โดนใจมากๆเลยครับ จิตมันชอบคิดปรามาสจริงๆ

    ตอนแรกก็นึกว่า ทำไมเราคิดไปอย่างนั้น หรือกล่าวปรามาศในใจได้อย่างไร
    ไม่รู้จะลังเลสงสัย ทำไม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว
    ตัวเราทั้งเคารพและศรัทธา สุดหัวใจ
    ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันคือมาร...
     
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ดีเเล้วครับคุณ su37berkut ยังไงก่อนนอนก็ไปสวดบทขอขมาพระรัตนตรัย ไปไหว้ขอขอมาพระุพุทธรูปที่บ้านนะครับด้วยความไม่ประมาท เจริญในธรรมครับ
     
  8. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    มีัอีกอันเข้ามาเพิ่มเติมครับ ใครไปเจอกระทู้อะไรเกี่ยวกับการปรามาส นํามาโพสไว้ในกระทู้นี้้ด้วยกันก็ดีครับ คนที่กําลังเจอกับปัญหานี้อยู่จะได้รู้ทางเเก้ได้ครับ อนุโมทนาครับ

    เหตุที่ต้องขอขมาพระรัตนตรัย<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start --> <script type="text/javascript"><!-- google_ad_client = "pub-2576485761337625"; /* 250x250, created 31/01/09 */ google_ad_slot = "7252767143"; google_ad_width = 250; google_ad_height = 250; //--> </script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></script><script src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></script><script>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</script><ins style="display: inline-table; border: medium none; height: 250px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 250px;"><ins style="display: block; border: medium none; height: 250px; margin: 0pt; padding: 0pt; position: relative; visibility: visible; width: 250px;"><iframe allowtransparency="true" hspace="0" id="google_ads_frame1" marginheight="0" marginwidth="0" name="google_ads_frame" src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=7252767143&w=250&lmt=1265417812&flash=9.0.124&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff61%2F%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%2595%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A2-158166.html&dt=1265417819502&correlator=1265417819559&frm=0&ga_vid=1543894967.1264735631&ga_sid=1265412157&ga_hid=941276466&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=-480&u_his=3&u_java=0&u_h=450&u_w=600&u_ah=428&u_aw=600&u_cd=24&u_nplug=10&u_nmime=25&biw=587&bih=314&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Farchive%2Ff-61-p-3.html&fu=0&ifi=1&dtd=560&xpc=SwSvK23GOA&p=http%3A//palungjit.org" style="left: 0pt; position: absolute; top: 0pt;" vspace="0" width="250" frameborder="0" height="250" scrolling="no"></iframe></ins></ins>
    ถาม: แล้วการขอขมาพระรัตนตรัยล่ะค่ะ ?

    ตอบ: การขอขมาพระรัตนตรัยนี่ พอเราทำความดีไปถึงระดับ หนึ่ง ไม่ต้องมากหรอก แค่อุปจารสมาธิเท่านั้นตั้งใจทำจริงๆ มารเขารู้ว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เขาก็พยายามที่จะหลอกล่อเราทุกวิถีทาง ให้เราหลงผิดเป็นชอบ มีการปรามาสพระรัตนตรัยบ้างอะไรบ้าง

    คราวนี้ถ้าหากว่าใครเป็นดังนั้น เขาให้ตั้งใจขอขมาพระ เพราะว่าการปรามาสพระรัตนตรัยนี่ แปลว่าเราไม่เคารพจริง ถ้าเราไม่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง เราจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ก็ให้ตั้งใจไว้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปแล้ว ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง เจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ข้าพเจ้าขอกล่าวขอขมากรรมนั้นต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าขอได้โปรด เมตตาอดโทษแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    ตั้งใจอย่างนี้แม้ว่าสิ่งนั้นเราไม่ได้เจตนาทำจะเป็นการดลอกดลใจของกิเลสมาร หรือตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมใดๆ ชักนำก็ตาม ถ้าเราเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เรื่องเหล่านี้ เราไม่ทำอยู่แล้ว แต่เนื่องจากว่ามีการชักนำจากกิเลสมารหรือว่าตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมดลบันดาลให้เป็นไปก็ตาม ถึงไม่ใช่การกระทำของเรา เราก็เต็มใจขอขมา พยายามตื้อไว้บ่อยๆ เจ้าพวกนี้มันกลัวคนหน้าด้าน ถ้าตื้อบ่อยๆ สู้ไม่ได้มันถอยไปเอง ให้ขอขมาทุกครั้งเวลาจะสวดมนต์ ไหว้พระ หรือว่าจะทำกรรมฐานอะไรให้ตั้งใจทำไว้ก่อน เพื่อกรรมส่วนนี้จะได้ขาดลง ไม่อย่างงั้นมันจะขวางอยู่เข้าไม่ถึงกระแสพระนิพพาน

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2015
  9. ศุภกร เต็มคำขวัญ

    ศุภกร เต็มคำขวัญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,107
    อนุโมทนาครับ

    ขอเสริมด้วยอีกสักนิดนะครับ...
    อย่างที่เราได้อ่านไปแล้ว
    เราห้ามจิตนี้ไม่ให้คิดอกุศลไม่ได้
    เพราะจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้จริง
    เวลามันมีเหตุ มันก็จะคิดขึ้นมาของมันเอง
    ถ้าหมดเหตุมันก็เลิกคิดไปเอง บังคับไม่ได้
    เป็นไปตามเหตุปัจจัยล้วนๆ สั่งมันไม่ได้สักอย่าง

    ตรงนี้แหละครับ...
    ถ้าจับจุดได้จะเห็น"จุดอ่อน"ของกิเลสอย่างชัดเจนทีเดียว
    ก็เพราะมันบอกว่า...
    "เธอสั่งฉันไม่ได้หรอก"
    อันนี้มันแสดงถึงอนัตตลักษณะของตัวมันนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น
    ขอขมาพระรัตนตรัยเป็นประจำทุกวันเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่งอยู่แล้ว
    (เราขอขมากันทุกทำวัตรเย็นอยู่แล้ว)
    แต่อย่างไรก็ตาม
    ไม่ใช่ว่าขอขมาแล้วจะไม่สามารถคิดปรามาสได้อีก
    มันพร้อมจะปรามาสได้ทุกเมื่อที่เราขาดสติ
    (ยกเว้นผู้ที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป)

    หากพลาดพลั้งปรามาส ลบหลู่ ดูหมิ่นไป
    จะทำให้จิตเศร้าหมอง เป็นเรื่องปกติ
    บางคนอาจถึงกรรมเครียดทั้งวันทั้งคืน
    จิตใจวนเวียนอยู่แต่การกระทำที่จบไปแล้วในอดีต
    คิดทบทวนไปทบทวนมาอยู่อย่างนั้น (ฟุ้งซ่าน)
    กลายเป็นการทำอกุศลหลายๆครั้งไปเลย
    คือ...ตอนที่จิตปรามาสไป
    ตอนนั้นจิตทำอกุศลกรรมครั้งที่ 1
    หลังจากนั้นรู้สึกตัว สำนึกผิด
    ก็เท่ากับจิตที่ทำอกุศลกรรมนั้นมันดับไปแล้ว
    เกิดเป็นจิตที่ทำกุศลกรรมใหม่ขึ้นมา คือ "รู้สึกตัวและสำนึกผิด"
    แต่ทั้งนี้กรรมนั้นยังมีอยู่
    จะหนักจะเบาก็ขึ้นอยู่กับ"เจตนา"ในการกระทำกรรมนั้นๆ
    แต่คนทั่วไปเมื่อทำอกุศลไปแล้ว
    ชอบหวนกลับไปคิดถึงการกระทำอกุศลในอดีตนั้น
    ทำให้จิตเศร้าหมองเป็นครั้งที่ 2
    เป็นการสร้างอกุศลกรรมเป็นครั้งที่ 2
    และถ้าอย่างไม่รู้สึกตัว แล้วยังฟุ้งซ่านอยู่อีก
    ก็ยิ่งเพิ่มพูนอกุศลในจิตใจให้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

    หน้าที่ของเราอย่างเดียวคือ
    หมั่นทำเหตุแห่งกุศลเนืองๆ
    ได้แก่ การเจริญสติ สัมปชัญญะนั่นเอง
    และคราวใดที่เผลอปรามาสแล้ว
    อย่าไปคิดมาก ยิ่งคิดมากยิ่งอกุศลหนักกว่าเดิม
    ถ้าต้องการจะคิด...
    ให้คิดในเชิงกระตุ้นปัญญาในการปล่อยวางกรรมเก่านั้นว่า

    "จิตมันบาปของมัน เราไม่บาป เรื่องของแก ไม่เกี่ยวกับเรา"

    หรือ

    "เธอแสดงจุดอ่อนของเธอออกมาแล้ว เธอบังคับไม่ได้หรอก เธอไม่ใช่เราหรอก"

    ฯลฯ
     
  10. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    อนุโมทนา สาธุ วันนี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วผมก็นั่งๆไปแล้วมันก็ผุดเป็นรูปชัดเจน ไม่ชัดบ้าง เดี๋ยวก็เห็นเป็นแสงสีนั้นสีนี้ บางที่ปฏิบัติก็คิดไม่ดีบ้างอะไรกันนักกันหนา แล้วสุดท้ายยั่งไปนั่งมาได้ กฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจะมาเป็นร้อยภาพ ก็ช่างจะดับให้หมด สาธุ
     
  11. everybody

    everybody เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +892
    อนุโมทนาสาธุๆๆ
    โดนใจผมมากเลยครับ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ครับ เกิดขึ้นมาทีนี่เหงื่อตกเลย
    T-T
     
  12. tong5959

    tong5959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,056
    ค่าพลัง:
    +6,082
  13. ผงธุลี

    ผงธุลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +2,494
    สาธุ อนุโมทนาบุญครับ

    ความคิดแบบนี้เป็นเหมือนกันครับ จะได้พบวิธีแก้ไขจิตตนเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 999.jpg
      999.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.1 KB
      เปิดดู:
      169
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    เพิ่มเติมครับ อ่านต่อได้เลยครับทุกท่าน อนุโมทนาครับ

    "มาร 5 อย่าง"

    ผู้ถาม
    เวลาปฏิบัติพระกรรมฐาน พอจิตเริ่มสงบสงัดความแค้นก็เกิดขึ้นทันที แล้วก็แก้ไม่ตกสักที ของหลวงพ่อแก้แค้นให้หน่อยเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ
    อ้อ... นี่ไปแค้นใคร เอาชื่อมาให้ฉัน ฉันจะฝังดินให้

    ผู้ถาม
    (หัวเราะ) พอจิตไม่สงบก็ไม่แค้น พอสมาธิสงบ แหม...มันก็แค้น!

    หลวงพ่อ
    เรื่องนี้ดีมาก ที่ญาติโยมถาม ถามดี...การเจริญพระกรรมฐานต้องพิจารณาถึง "มาร 5 อย่าง" ให้มาก

    ผู้ถาม
    เป็นไงครับหลวงพ่อ มาร 5 อย่าง...?

    หลวงพ่อ
    มารแปลว่า ผู้ฆ่า ใช่ไหม....มาร 5 อย่าง คือ...

    1. กิเลสมาร

    2. มัจจุราช

    3. อภิสังขารมาร

    4. เทวปุตตมาร

    5. ขันธมาร

    มาร แปลว่า ผู้ฆ่าความดี พระพุทธเจ้าท่านบอกมี 5 อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความสำคัญๆ ก็คือ "กิเลสมาร" กับ "ขันธมาร" รบกวนเราเรื่อย

    ขันธมาร หมายความว่า เวลาจะทำความดี ปฏิบัติพระกรรมฐาน ทำสมาธิจิตหรือทำบุญทำทาน ไอ้ความป่วยไข้ไม่สบายมันเข้ามาขวาง อย่างนี้เรียกว่า "ขันธมาร"

    อย่างที่โยมถามมาเมื่อกี้นี้เป็น "กิเลสมาร" ตัวนี้สำคัญ ต้องถือว่าคนนี้เป็นคนที่น่าชมมาก คนดีนะคนนี้ เพราะอะไร...เพราะยามปกติไม่โกรธใช่ไหม...แสดงว่าอารมณ์หยาบหมดไป ไอ้กิเสลหยาบที่โกรธหมดไป

    ทีนี้เวลาที่ทำจิตละเอียด เกิดความแค้นขึ้นมา กระตุ้นขึ้นมา ตัวนี้ไอ้กิเลสที่เป็น "อนุสัย" ตัวละเอียด อย่างนี้ถือว่า เขาชนะมากแล้วนะคนนี้ อย่างนี้ถือว่าชนะหยาบต่อสู้กันละเอียดแล้ว ถ้าต่อสู้กับละเอียดชนะก็จะเด็ดขาดเลย วิธีทำแบบนี้ก็เคยมีมาด้วยกันทุกคนนะ ฉันก็เคยเจอมา

    ผู้ถาม
    หลวงพ่อก็เคยมีเหมือนกันเหรอครับ...?

    หลวงพ่อ
    มี...ทุกอย่างที่ถามมามีทุกอย่าง

    ผู้ถาม
    อ้อ...มีครบ เลยนะ

    หลวงพ่อ
    มีครบถ้วน...เพราะเลวมีครบถ้วน!

    ผู้ถาม
    เป็นพระมีเลวเหมือนกันหรือครับ...?

    หลวงพ่อ
    เลว...ถ้า พระไม่เลว บวชอยู่ไม่ได้

    ผู้ถาม
    เอ๊ะ! เป็นยังไงครับหลวงพ่อ...?

    หลวงพ่อ
    ถ้าพระดีเขาไม่ต้องบวช ไปนิพพานเลย

    ผู้ถาม
    อ้อ...

    หลวงพ่อ
    เป็นอรหันต์ใช่ไหม...?

    ผู้ถาม
    ครับ....

    หลวงพ่อ
    ฉันมันเป็นกังหันนี่ หมุนดะ...แต่ว่าเมื่อกี้ถามว่ายังไงนะ วิธีแก้ใช่
    ไหม...?

    ผู้ถาม
    ครับวิธีแก้

    หลวงพ่อ
    ถ้ารู้สึกตัวมา ถ้าอารมณ์ระงับก็ถอยหลังคิดว่า อารมณ์จิตอย่างนี้ไม่น่าจะมีกับเรา เพราะว่าตามปกติเราก็ให้อภัยอยู่แล้ว ทำไมเวลาจิตสงบสงัดจะต้องมาคิดอย่างนี้ ให้คิดว่าอันนี้ไม่ควรอารมณ์อย่างนี้ ให้คิดแค่นี้ว่าอันนี้ไม่ควร อารมณ์อย่างนี้มันจะมีไม่นานนัก ถ้าเวลาเลิกจิตสบายแล้วก็คิดว่า อันนี้มันผิดไปแล้ว ไม่ควรจะทำให้เศร้าหมองแบบนี้ ความดีที่มีอยู่จะคุ้มครองไม่ได้ เมื่อเวลาตาย ถ้าเวลาตายจิตเศร้าหมองแบบนี้ เราต้องลงอบายภูมิ 2-3 ครั้งมันจะหาย ค่อยๆ เรื่อยๆ ไปไม่ช้ามันจะหาย
    อันนี้ดีมาก ต้องขอชม คนนี้กิเลสหยาบเฉพาะโทสะ ผ่านไปแล้ว อันนี้น่าต้องคิด

    ผู้ถาม
    ควรแก่การอนุโมทนาเป็น อย่างยิ่ง

    หลวงพ่อ
    ใช่...ควรแก่การรับ "ทาน"

    ผู้ถาม
    เอ๊ะ....!

    หลวงพ่อ
    อ้าว...พระ "ให้" ไม่มี...มีแต่ "ขอ" อย่างเดียว

    ผู้ถาม
    อ๋อ....

    บทความเกี่ยว เนื่อง "คิดปรามาสพระรัตนะตรัย"


    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 5

    http://www.praruttanatri.com/member/htm/m5y.html

    มาร

    "มาร" แปลว่า ผู้ฆ่า มีกิเลสมาร เทวปุตตมาร ขันธมาร

    กิเลสมาร คือ อารมณ์ชั่ว อารมณ์ ที่เป็นอกุศลเข้า มันเศร้าหมอง ที่เราจะชนะมัน มันก็หาทางแกล้งไม่ให้ชนะมัน ถึงเวลาอารมณ์มันเผลอมันเป็นอย่างนั้นนะ ใช่ไหม ค่อยๆ ข่มนะ ไอ้ตัวมารมันจะเข้ามาตัดทอนความดีเรา คิดอยากจะด่าพระอยากจะด่าเจ้า อยากจะด่าพระพุทธเจ้า อันนี้เรารู้สึกตัวก็ข่มใจ นี่มารเข้าแทรกจิตน่ะ แสดงว่าจิตละเอียดลง ถ้ามาถึงจุดนี้แสดงว่าจิตละเอียด เราจะเริ่มชนะมันใช่ไหม มันจะเอาลงนรกไม่ได้ มาหาทางแกล้งให้เราเผลอ ก็เป็นกันหลายคน จะสังเกตได้ว่าเวลาที่เราจับอารมณ์ใจละเอียดขึ้น จะดีขึ้นน่ะ โดยเฉพาะชนะจิตได้ หมายความว่า อารมณ์มันสูงไป มันดึงลงไม่ได้ คือถึงที่สุดแล้ว

    ขันธมาร คือ ร่างกาย เวลาที่เราจะทำความดีให้ เกิดขึ้น มันจะป่วยไข้ไม่สบาย ปวดโน่นเจ็บนี่ มันหาทางกลั่นแกล้งเรื่อย

    พระท่านบอกว่า อกุศลเก่า ตัวอกุศลเดิม ไอ้ตัวอกุศลนี่มันจะดึงเราลงนรกให้ได้ ความดีนี่เขาจะต้องดึงขึ้นสูงให้ได้ ก็แย่งกัน พอเข้าช่วงกลางมันทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ เหลืออย่างเดียว หาทางด่าพระถึงจะลงนรกได้ ในเมื่อเรารู้สึกขึ้นมา เราก็ขออภัยพระใช่ไหม หลวงพ่อเคยเป็น เป็นเอา 3 ปีทั้งๆ ที่เป็นพระนี่แหละ ก็นึกว่าเป็นแต่ฉัน ที่ไหนได้ บานเลย

    เรารู้สึกตัวเมื่อไหร่ก็ขอขมาพระเมื่อ นั้นนะ เมื่อเวลามันเข้าสิง เราก็เคลิ้มไปตามมันเป็นเรื่องของมัน แต่ว่าถ้าเราชนะตัวนี้ได้แล้ว มันดึงเราลงนรกไม่ได้แน่นอน นี่น่ะมันช่วงสุดท้ายนะ ถือว่าเป็นอันดับสุดท้าย เราเรียกอะไร "เทกระเป๋า" สงครามเทกระเป๋า ใช่ไหม
    ......................................................
    คัดลอกมาจาก : หนังสือ "พ่อสอนลูก" คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทราราม (ท่าซุง)อุทัยธานี โดยคุณปาริชาต แสงหิรัญ ชมรมวิชชุเวทย์ธรรมปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2014
  15. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    การขอขมาพระรัตนตรัย

    เรา ไม่รู้ว่า ในอดีต ทั้งในอดีตชาติที่ล่วงมาหลายภพชาติ จนถึงปัจจุบัน เราได้เคยปรามาส ล่วงเกินพระรัตนตรัย พระธรรม พระอริยเจ้าผู้ทรง

    คุณธรรม สูง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไว้บ้างหรือไม่

    เราได้เวียนว่ายตาย เกิด มาหลายชาติจนนับไม่ถ้วน และไม่รู้ว่าเคยได้ล่วงเกินปรามาสใครไปบ้างหรือไม่

    เพราะ กรรม การกระทำที่ทำแล้วต่อพระอริยเจ้า ผู้มีคุณธรรมสูง ถ้าเป็นกรรมดี ย่อมส่งผลดีมหาศาลและรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นกรรมชั่ว ย่อมให้ผลเป็น

    ความ ทุกข์มากและยาวนาน ผลจากเศษกรรมที่อาจได้รับในชาติปัจจุบัน เช่น การศึกษาไม่ก้าวหน้า เรียนไม่รู้เรื่อง ความรู้ไม่เข้าหัว การทำมาหากินเป็นไปด้วย

    ความยากลำบาก งานไม่ก้าวหน้า ตกงาน ครอบครัวแตกแยก ถูกข่มเหง หรือ ทุกข์จนอยากฆ่าตัวตาย หาทางออกในชีวิตไม่ได้

    ดัง นั้นเราจึงควรขอขมาพระรัตนตรัยบ่อยๆเพื่อให้จิตของเราได้ขอขมา ท่าน และคลายจากกรรมที่ไม่ดี การทำบารมีใหม่ จะง่ายขึ้น ไม่ติดขัดทั้งทางโลกทาง

    ธรรม



    คน ที่ปรามาสพระรัตนตรัย ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จ การขอขมาฯ ด้วยใจ ควรกระทำต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ หรือหน้าเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสามารถทำ

    ได้ แต่เมื่อขอขมาแล้วต้องไม่ละเมิดอีก

    ดร.สนอง วรอุไร
    กัลยาณ ธรรม ..คำถาม-คำตอบ ดร. สนอง ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร

    ผู้ ถาม
    เรื่องพระอริยเจ้าก็มีอยู่นิด คือว่าการปรามาสพระอริยเจ้าด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม โมโหด้วยความตั้งใจก็ตาม อยากเรียนถามว่า จะมีกรรมมากไหมครับ?

    หลวง พ่อ
    ก็ลงนรก! ด้วยเจตนาก็ตาม ไม่ เจตนาก็ตาม ลงเหมือนกัน!

    ผู้ ถาม
    ไม่ต้องสอบสวนหรือครับ?

    หลวงพ่อ
    ไม่ต้องสอบ สบาย...ก็ไม่ยากก็ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าเสียซิ ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็พระพุทธรูป

    จาก พระ อริยะบุคคล - PaLungJit.com







    คำ ขอขมาพระรัตนตรัย
    (ขอ ขมาต่อพระพุทธรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า)

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะฯ (ว่า 3 จบ)

    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    วันทามิ ธัมมัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    วันทามิ สังฆัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะ เม ภันเต[/FONT]

    หาก ข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธ เจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และ พระ

    อริยสงฆ์ ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยทางกาย หรือวาจาก็ดี และด้วยเจต นา หรือ ไม่เจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ

    เจ้า ทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษ ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้

    เป็น ต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ด้วยเทอญ


    ที่มาจาก www.dhammakid.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2010
  16. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ทำดีแล้ว แต่ทำไมกลับรู้สึกว่าแย่ลง แถมชอบคิดปรามาสครูบาอาจารย์ ?

    ถาม : .............เราทำดีขึ้น แต่มันแย่ลงทุกที ?

    ตอบ : มันเป็นเรื่องปกติ มันมีอยู่สองประการด้วยกัน ประการแรกการปฏิบัติที่เรารู้สึกว่าตัวเราเองแย่ลงไปทุกทีนั้น เกิดจากว่าเราทำดีขึ้น พอทำดีขึ้น กำลังใจละเอียดขึ้น พอเห็นสิ่งที่ไม่ดีมากขึ้นก็เลยคิดว่าตัวเองแย่ลง

    ส่วนประการที่สองเป็นเรื่องของกิเลส มารดลใจ เขาพยายามดึงเราให้ห่างจากจุดความดีตรงนั้น ก็เลยใช้สารพัดวิธีที่จะมาหลอกล่อ เพื่อที่จะให้เราหลงผิดแล้วตามเขาไปให้ได้ คือบางคนจริตนิสัย ค่อนข้างที่จะใจร้อนหน่อย ในเมื่อทำดีไม่ได้อย่างใจซักที ประชดชั่วมันไปเลยก็มี อย่างนั้นก็สมใจเขา เพราะเขาต้องการให้เราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

    ถาม : ยิ่งนับถือสิ่งใดมากๆ นับถือครูบาอาจารย์องค์ไหนมากๆ ใจบางทีมันจะแวบ อคติบ้างอะไรบ้าง

    ตอบ : นี่ตัวนี้ชัดเลย ให้ขอขมาพระรัตนตรัยประจำๆ พอกำลังใจของเราถึงตรงจุดนี้มา เขารู้ว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เราล่วงเกินหรือปรามาสพระรัตนตรัย ด้วยกายด้วยวาจา หรือด้วยใจ ไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง บางคนภาวนาไม่ได้เลย หลับตาลงเมื่อไร นึกถึงภาพที่ตัวเองลบหลู่ครูบาอาจารย์หรือทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้น มาสร้างภาพให้ปรากฎขึ้นมาชัดๆ เลยก็มี

    เราเองให้คิดเสียว่าอันนี้เป็นการชักนำจากสิ่งภาย นอก ด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมเขาชักนำให้เป็นไป ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่ถึงไม่ใช่ความผิดของเราก็เถอะ ในเมื่อเราเป็นคนคิด เป็นคนพูด เป็นคนทำ เราก็ตั้งใจที่จะขอขมา ให้ตั้งใจอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เจ้าพวกนี้มันทนคนหน้าด้านไม่ได้ พอถึงเวลา เราตั้งใจขอขมาบ่อยๆ ตั้งใจทำบ่อยๆ เขารู้ว่าเขาทำอย่างนี้อยู่ เราไม่กระเทือน เขาก็เลิก

    ถาม : พอจะเริ่มเย็นลงจะมีตัวสอบจิตอยู่คนหนึ่งที่ทำงาน พอเริ่มจะพูดด้วยหรืออะไรด้วยนี่ มาแบบเดิม อันเดิม เดิมๆ เลย ก็รู้อยู่แล้วว่ามันซ้ำๆ ก็คิดว่าช่างมัน มาบ่อยๆ จะได้ชิน มันไม่ชินนะ แต่ก็ไม่ว่าอะไรมันก็นิ่งๆ อยู่ซักพัก

    ตอบ : สังเกตใจตัวเองว่า อารมณ์กระทบที่มันเกิดขึ้นนั้นมันช้าลงหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราสังเกตเราเห็นว่าช้าลง ถือว่าเป็นที่น่าพอใจแล้วนะ ถ้าช้าลงนี่เราชนะนะ เพราะว่ามันกำเริบได้ช้า บางทีเราผ่านพ้นจากตรงนั้นไปแล้ว ไปคิดทบทวนใหม่ ตัวนี้มันเป็นจิตสังขารของเราไปปรุงแต่งเอง อันนี้ถือว่าเราไปเสียท่าเขา

    ถ้าหากว่าแล้วๆ กันไป ลับหลังจากตรงนั้น กองมันทิ้งมันเอาไว้เลย เราก็ไม่แพ้เขา แต่ถ้าหากว่าเราเอามาคิดทบทวนใหม่ ตัวนี้จะเป็นจิตสังขารที่เอามาปรุงแต่งเข้ามา พาให้ฟุ้งซ่าน พาให้รัก โลภ โกรธ หลง เอง เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ต้องรักษาใจเราให้ ดี ให้มันอยู่กับการภาวนา อยู่กับสติเฉพาะหน้าแล้วมันจะไม่เป็น

    ถาม : ช่วงปฏิบัติมากๆ อัตตามันโตขึ้น แล้วหนูก็เห็น รู้ด้วยนะว่าเป็นอย่างนี้นะตัวเรา

    ตอบ : ตีหัวมันซิ (หัวเราะ)

    ถาม : ตียังไงล่ะ ?

    ตอบ : เห็นชัดก็ทุบมันให้ตายเลย มันเป็นอยู่ แต่ให้เรามี สติรู้อยู่เสมอว่า ไม่ว่าตัวเราหรือตัวเขา มันก็ประกอบไปด้วยอาการไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเช่นกัน ไม่ว่าเราจะยึดถือมั่นหมาย หรือแบ่งแยกขนาดไหนก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราก็ยึดถือเป็นปกติ เราจะคิดเบียดเบียนเขาด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจหรือไม่ ? เขาก็ทุกข์อย่างนั้นของเขาอยู่แล้ว เราเองจะยกตัวของเราให้สูงขึ้นกว่าเขาหรือไม่? จะดูถูกเหยียดหยามเขาหรือไม่ ? จะเห็นว่าเขาเสมอเราหรือไม่? จะเห็นว่าเขาดีกว่าเราหรือไม่ ? เขาก็เกิดแก่เจ็บตายตามปกติของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อปกติธรรมของสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นเช่นนั้นเราก็อย่าเป็นทุกข์โทษเวรภัยกับผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ของเรา แล้วคิดตรงจุดนี้เสร็จก็แผ่เมตตาต่อให้อภัยเขาไป ให้อภัยเขาไม่พอ ต้องให้อภัยเราด้วยตัวเรามันคิดเอง มันยกตัวเองขึ้นเรื่อย ต้องคอยระวังๆ ไว้

    ถาม : วิธีแก้ที่สะดวก ตัวเองคืออาจยังมองไม่เห็น แต่เห็นชัดๆ เลยนี่ โทสะ กับราคะ เป็นเยอะ

    ตอบ : เป็นเยอะนี่มันเกิดจากการรับสิ่งต่างๆ เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยขาดสติ การป้องกันตัวเอง ตาเห็น ไม่พอใจ ฟังให้ดีนะ หูได้ยิน ไม่พอใจ จมูกได้กลิ่น ไม่พอใจ ลิ้นได้รส ไม่พอใจ กายสัมผัส ไม่พอใจ สังเกตไหมว่า มัน ไม่พอใจทั้งนั้นเลย มันไม่พอใจนี่ โบราณเขาใช้คำว่า ไม่ถูกใจ ความจริงถูก เข้าไปปังเบ้อเร่อแล้วมันถึงใจไปเลยล่ะ

    เมื่อมันเข้าถึงใจมันก็เป็นอันตรายกับเราได้ ถ้าเราเห็นสักแต่ว่าเห็น อย่าไปรับรู้มันเข้ามา อย่าเอาไปนึกคิดปรุงแต่งต่อ อย่าไปทำความพอใจ ไม่พอใจกับมัน วางกำลังให้เป็นกลาง ๆ หูได้ยิน จมูกได้ิกลิ่น หรือลิ้นได้รส กายสัมผัส ก็ลักษณะเดียวกันถ้าเราหยุดมันอยู่แค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้โดยระวังไม่ให้มันเข้ามาในใจได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะทำอันตรายเราไม่ได้

    ถาม : แล้ววางใจเป็นกลางๆ เป็นยังไง ?

    ตอบ : อยู่กับการภาวนาดีที่สุด คือเราเองถ้าหากว่ายังปล่อยวางไม่ได้ ต้องมีเครื่องป้องกันตัวเอง คือใส่เกราะไว้วิธีใส่เกราะของเราก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการภาวนา อยู่กับสติเฉพาะหน้า ถ้าหากว่าตราบใดที่เรารู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ รัก โลภ โกรธ หลง เหล่านี้กินเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นเผลอเมื่อไหร่ หลุดจากลมหายใจเมื่อไร เขาก็ทำอันตรายได้เมื่อนั้น ใส่เกราะไว้ ไม่นั้นเดี๋ยวมันฟันเละ

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกันยายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2023
  17. ปราบจราจล

    ปราบจราจล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +220
    อนุโมทนาครับ ขอขมาเช้าเย็นได้ยิ่งดี กันไว้ก่อน

    เราเป็นผู้มีกิเลสอยู่ความพลั้งเผลอ ความประมาทพาดพลั้ง เกิดขึ้นได้่แน่

    กันไว้ดีกว่า บรรเทาอกุศลกรรม ยั้บยั้งความชั่ว

    การขอขมาเป็นการกระทำที่ดี ขอนุโมทนาครับ

    แล้วผู้ที่ไห้คำแนะนาท่านก็เป็นพระด้วย ขอไห้เชื่อพระเถอะครับ
     
  18. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,463
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    มาฟังอันนี้ด้วยก็ได้ครับ เข้าไปตาม link แล้ว download มาฟังได้เลยครับ อนุโมทนาครับ

    อุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติ คือการปรามาส

    http://palungjit.org/threads/อุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติ-คือการปรามาส.3704/

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
    อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ
    (ว่า 3 จบ)

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ทวรัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
    อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2015
  19. potaetae

    potaetae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +41
    อนุโมทนาบุญนะครับ

    กำลังประสบปัญหาอยู่พอดีเลย

    ขอบคุณมากจริงๆ

    สาธุ
     
  20. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    ขออนุโมทนากับคุณวิญญาณนิพพานเป็นอย่างยิ่งค่ะ กระทู้นี้ดีมาก อ่านจบแล้วมีความเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...