กัมมัฏฐาน ๕ เป็นที่ตั้งของกาม

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย paang, 19 ธันวาคม 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]


    อุปัชฌาย์ท่านสอน เกสา โลมา นขา ทันตา
    ตะโจ ปัญูจกกรรมฐานเป็นที่ตั้งของกาม กามพาหนุน
    อยู่ ทุกข์ก็เกิดขึ้นที่นี่ สมุทัยก็เกิดขึ้นที่นี่ ความเจ็บแข้ง เจ็บขา
    เจ็บหลัง เจ็บเอว เวลามันเจ็บเราไม่ชอบ แต่ก็ยังชอบมันอยู่
    ถ้าไม่รู้เท่ามันเสียเปรียบมันไม่ใช่น้อย พวกเราตายเพราะ
    กามมาแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นับปี นับเดือน นับวัน นับภพ
    นับชาติไม่ได้ ตายก็เพราะกาม เกิดก็เพราะกาม ทุกข์ก็
    เพราะ กาม นี้

    ความโกรธ ความเกลียด เกิดมาจากใจ มีใจมันก็เกิด
    ความหลงก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีใจมันจะเกิดมาได้อย่างไร
    ถ้าไม่มีใจมันไม่เกิด พวกความโลภ ความโกรธ ความ
    ถูก ความผิดก็เหมือนกัน มันเกิดก็เพราะใจนี้แหละ

    ต้องกำหนดเข้ามาหาใจตัวต้นเหตุของมัน ถ้าเราไป
    แก้ที่ปลายเหตุไม่ได้ ยิ่งแก้ยิ่งเดือดร้อน การต่อสู้กิเลส
    เป็นสงครามอันใหญ่ ความพอใจไม่พอใจก็อันนี้เต็มโลกอยู่

    รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราให้ดี ๆ ต้อง
    พิจารณาให้รอบคอบ ต้องน้อมเข้ามาหากายนี้ น้อมเข้ามา
    หาใจนี้ พระธรรมทั้งหลายท่านยกใจขึ้นเป็นหัวหน้า เป็น
    มรรคาวรณ์สัคคาวรณ์ มันเกิดขึ้นมาในนี้ทั้งสิ้น

    ชำระใจให้บริสุทธิ์ รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไว้ให้
    ดี รักษาศีลก็รักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรานี้แหละ
    รักษาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้ไว้ ไปรักษาอย่างอื่นไม่เป็นศีล

    ขันธ์ทั้ง ๕ ธาตุทั้ง ๔ มันเป็นกองทุกข์ พิจารณา
    อันนี้ให้ชำนิชำนาญเข้าไป ท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านว่า กามนี้
    อย่าไปอัศจรรย์ สัตว์ทั้งหลายเขาเสพกามกันอยู่เต็มโลก
    ก็ไม่เห็นวิเศษไปไหน มีแต่เพิ่มความทุกข์ มีแต่ ศีล สมาธิ
    ปัญญา เท่านั้นที่น่าอัศจรรย์ เวลาทำสมาธิทำใจให้สงบมัน
    ก็ละได้

    สัตว์ทั้งหลายเกิดก็เพราะกาม ตายก็เพราะกาม โกรธ
    โลภ หลง เกลียดชัง ก็เพราะกาม ให้พิจารณาให้รู้แจ้งเห็น
    ตามสภาพความเป็นจริงของมัน มันก็ค่อยถอนออกจากจิต
    ที่สำคัญมั่นหมายนี้

    ให้รักษาอินทรีย์สังวร รักษาศีลก็รักษา ตา หู จมูก
    ปาก ตีน มือ ของเรา นี้แหละ ความพอใจความไม่พอใจเกิด
    ขึ้นในปัจจุบัน นำออกให้มันหมดเป็นวินัยอันหนึ่ง

    ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูก
    ต้องสัมผัส ยินดีพอใจก็ตาม ไม่ยินดีพอใจก็ตาม เกิดขึ้นใน
    ปัจจุบันให้นำออกเสีย จึงใช้ได้เป็นวินัย คือการนำความ-
    ผิด ความยินดีออกจากจิตจากใจ

    อันนี้วินัย คือการนำ มรรคาวรณ์สัคคาวรณ์ ออก
    จากจิตจากใจของตน ทำใจของตนให้บริสุทธิ์ พระ-
    ธรรมวินัยท่านแสดงบัญญัติ ชี้สู่กายสู่ใจของเราทั้งสิ้น
    พวกมรรคาวรณ์สัคคาวรณ์เป็นทางกั้นมรรคผล
    นิพพาน นำออกให้หมดอย่าให้มันหมักอยุ่ในใจ

    ให้มีสติ สัมปชัญญะ ถ้ามีสตินำความผิดออกจาก
    กายจากใจของตนได้ ถ้าไม่มีสติ มันก็หลงไปเรื่อย ๆ ลืมไป
    เรื่อย ๆ ถ้ามีสัมปชัญญะก็ตั้งอยู่ในสังวร กามทั้งหลาย
    มี รูป เสียง กลิ่น รส ธรรมารมณ์ เขาผ่านไปผ่านมาตาม
    ธรรมชาติ ของ เขา

    ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ใช่กามารมณ์ กามารมณ์
    ไม่ใช่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย กามารมณ์ต่างหาก อย่าไปถือ
    ตามสัญญาไม่รู้เท่าสังขาร ถ้าไม่รู้เท่าสังขารมันเป็น
    ทุกข์ ต้องมีสติสัมปชัญูญูะ สติเป็นวินัยอย่างหนึ่ง
    สำคัญ...


    ที่มา http://loungpu.th.gs/
     

แชร์หน้านี้

Loading...