เรื่องเด่น การที่เราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์นั้นต้องมีปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง ยอมรับความเป็นจริงของร่างกาย

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    17,433
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,336
    ค่าพลัง:
    +26,093
    IMG_4306.jpeg

    เรื่องของทิพจักขุญาณนั้นเป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติเท่านั้น และแถมมาแล้วก็มักจะจัดการไม่ถูก สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก

    ที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "ของแถมในการปฏิบัติ" ก็เพราะว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ตาม ถ้าวิสัยเดิมมาทางด้านวิชชาสาม อภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณสี่ ถ้าจิตสงบลงได้ระดับเมื่อไร ทิพจักขุญาณจะเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องไปดิ้นไปรน ดังที่เคยเปรียบเทียบไว้ว่า ซื้อรถเมื่อไรก็ได้ล้อมาด้วย ไม่มีใครที่ซื้อรถแล้วต้องตะเกียกตะกายไปหาล้อเพิ่มขึ้น แต่ด้วยความที่ท่านทั้งหลายนั้น ต้องบอกว่าสติปัญญาน้อย จึงจัดการกับทิพจักขุญาณไม่ค่อยจะถูก

    แม้กระทั่งลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง เท่าที่กระผม/อาตมภาพสัมผัสมาด้วยตัวเอง ก็นำเอาทิพจักขุญาณไปใช้ผิดเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาดพอ ท่านถึงได้สอนมโนมยิทธิให้ แต่ปรากฏว่าที่ฉลาดพอนั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็ออกทะเล กู่ไม่กลับ เพราะเมื่อเกิดทิพจักขุญาณขึ้นแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่าง ๆ จะตามมาด้วย

    ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ก็เคยพลาดอยู่ถึง ๓ ปี กลายเป็น "ขี้ข้าชาวบ้าน" แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นฆราวาส แต่ก็ถือว่าเป็นขี้ข้าชาวบ้านเขา เพราะว่าใครถามอะไรก็บอกเขาหมด แล้วพอได้รับคำชมเชยมาก็ "ตูดกระดก" ลอยทั้งตัว ก็เลยกลายเป็นขี้ข้าของชาวบ้านเขาด้วยความเต็มใจของตัวเอง เพราะว่าอยากได้คำชมอีก..!

    จนกระทั่งได้สติขึ้นมา เพราะพินิจพิจารณาแล้วว่า การที่เราจะหลุดพ้นจากกองทุกข์นั้น ไม่ใช่เรื่องของอภิญญาสมาบัติ แต่เป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องรู้แจ้งเห็นจริง และยอมรับสภาพความเป็นจริงของร่างกายของเรา และตลอดจนกระทั่งร่างกายคนอื่น วัตถุธาตุอื่น ๆ และยอมรับความจริงในโลกนี้ด้วย เมื่อเห็นจริงแล้วก็ปลดการยึดมั่นถือมั่นออก จึงสามารถที่จะหลุดพ้นไปได้

    ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องระลึกชาติได้ ไม่มีข้อไหนบอกว่าต้องรู้ว่าคนตายแล้วไปไหน ? คนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ? ไม่จำเป็นต้องรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต มีอย่างเดียวก็คือปฏิบัติตามสายสุกขวิปัสสโก เพื่อเข้าถึงความสิ้นกิเลส

    แต่เท่าที่พบมาก็คือจัดการกับทิพจักขุญาณไม่ถูก ได้มาแล้วก็ "เฟื่อง" คำว่า เฟื่อง ในที่นี้ ที่อาตมภาพเป็นก็คืออาการเดียวกัน "คะนอง" ใช้ทิพจักขุญาณในด้านที่ไม่ถูกต้อง ขาดปัญญา แยกแยะไม่ออกว่าปัจจุบันเราเป็นอะไร จึงไปเอาอดีตเป็นเครื่องยึด รู้แล้วแทนที่จะเข็ดว่า เราเกิดมาทุกข์ยากนับชาติไม่ถ้วน กลับรู้แล้วไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่า ๆ คนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา

    บุคคลที่กำลังปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ แทนที่จะเร่งรีบ เพื่อที่ตัวเองจะได้ขึ้นสู่ฝั่ง พ้นจากภาระต่าง ๆ ไปเข้าสู่เขตแดนที่ปลอดภัย เรากลับไปกอดคอคนโน้นไว้ ฉุดรั้งคนนี้ไว้ด้วยความสัมพันธ์เก่า ๆ ท้ายที่สุดก็จมตายกันทั้งพรวน แล้วการที่เราใช้ทิพจักขุญาณผิด ไม่ได้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง ก็สร้างความเสียหายให้กับครูบาอาจารย์อย่างมาก จนกระทั่งกลายเป็นวลีที่กึ่งดูถูก กึ่งเยาะเย้ยว่า "อย่ามโน"..!

    ...วันนี้ที่บอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายให้ชัดเจน ก็เพราะว่าบางคนที่ได้ทิพจักขุญาณแล้ว มีสิทธิ์ที่จะหลงทาง ต้องรู้จักระมัดระวัง รู้อะไรไม่ใช่พูดได้ทั้งหมด บุคคลที่รู้จริงต้องรู้ว่าสิ่งที่เรารู้นั้น พูดได้เท่าไร บางเรื่องรู้มา ๑๐๐ พูดได้แค่ ๒ แค่ ๓ จะอกแตกตาย..! แต่ก็ต้องกัดฟันทนไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะไปละเมิดกฎของกรรมโดยไม่รู้ตัว
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...