การสวดมนต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก"

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 16 ตุลาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    [​IMG]
    [​IMG]

    <TABLE width="90%"><TBODY><TR><TD class=smalltext>บังเอิญไปช่วงนี้กำลังง่วนกับการศึกษาธรรมอยู่ครับ ก็เลยได้พบกับบทความนี้ ซึ่งผมยอมรับว่าเป็น "เพชรเม็ดงาม" ที่เราไม่เคยได้ใส่ใจกันอย่างจริงจัง ทั้ง ๆ ที่เรานับถือศาสนาพุทธ บางท่านประกาศตัวเป็นพุทธมามกะ ก็ยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง.. [​IMG]

    ดังนั้นวันนี้ผมจึงได้คัดลอกเนื้อหาการแสดงธรรมของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จโต พรหมรังสี วัดโฆษิตาราม เกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ ดังนี้มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    อานิสงส์ของการสวดมนต์
    เทศนาโดย ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
    ดังปรากฎในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

    *****************************

    ครั้นพลบค่ำท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต พร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังฯ มายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกานั่งพับเพียบเรียบร้อย

    กันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา

    เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “เรื่องอานิสงส์ของการสวดมนต์”ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ

    โต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการสวดมนต์มีประโยชน์น้อยและเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่องความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึง

    คุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษเช่นไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วย

    ความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฎในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่าโอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ
    1.เมื่อฟังธรรม
    2.เมื่อแสดงธรรม
    3.เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
    4.เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
    5.เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

    การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายต่างพากันมาเข้าเฝ้า

    พระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมเป็น 2 เวลา นั่นคือตอนเช้าและตอนเย็น การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวด

    มนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ
    1.กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
    2 วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ
    3.ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย

    ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนที่สูงยิ่งซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดทีเดียว อาตมาภาพขอ

    รับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน การสวดมนต์นี้ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดังพอสมควร ย่อมก่อให้

    เกิดประโยชน์แก่จิตตนและประโยชน์แก่จิตอื่น
    * ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือเสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้า

    มาในจิตใจของผู้สวด
    * ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดจะพลอยให้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียงเหล่า

    พรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมายเมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถ

    กล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดาทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม

    ดูก่อน...ท่านเจ้าพระยาและอุบาสกอุบาสิกาในที่นี้การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี

    ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดี จะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล...
    ความมหัศจรรย์ของการสวดมนต์

    อาตมา...ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ด้วยตัวของอาตมาเองในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้

    ชายแดนของประเทศเขมร ในสมัยนั้นเต็มไปด้วยความทุรกันดารและความอดอยาก เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์และภูติผีวิญญาณตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถาและเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมาก

    มายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยาม ในตอนนั้นอาตมาได้เดินธุดงค์ไปเพียงลำพังในช่วงเวลานั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนต์คาถาอาคมใดเลย นอกจากคำว่า "พุทธัง สะระณัง

    คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" ซึ่งมีความหมายว่า "ข้าพเจ้าขอยึดมั่นพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง" อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใดก็จะ

    กล่าวเพียงแต่คำนี้ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมาเอง อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยามในดงพญาไฟ ขณะนั้นในหมู่บ้านนั้นมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย

    อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านมีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้ เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น
    อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

    มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ "นายผล" นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่าเขาเป็นผู้ฝึกเวทย์

    มนต์คาถาอาคม เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้าและมักจะทดสอบเวทย์มนต์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ เขาเล่าให้อาตมาฟังว่า เขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้า

    มาทำร้ายอาตมาทุกคืนแต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้นจะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่ นายผลก็ได้ทำคุณไสย

    ใส่อาตมาถึง 7 วันเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนูหรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ปล่อยมาก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้

    เลย วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาเวทย์มนต์คาถาหรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก เพราะถ้า

    หากว่าไม่มีของดีแล้วไซร้ ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมาจึงกลับมายังที่เขาซึ่งเป็นผู้กระทำไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้ อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้

    นายผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมาจึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนต์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำลายได้ อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า "พุทธัง สะ

    ระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย อย่าได้มีเวรแก่กัน

    และกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

    นายผลเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า "ข้าแต่ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอร้องให้ท่าน ในวันนี้ก่อนที่ท่านจะจำวัดจงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ ข้าพเจ้า

    ต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนต์ของท่านเช่นนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่านหรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนต์คาถาในภูติผีปีศาจของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าขอรับรองว่าจะไม่ทำอันตรายแก่

    ท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น" อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป ครั้นถึงเวลาพลบ

    ค่ำอาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนต์ตามที่ได้ปฏิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนและหลับไป อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อปรากฎว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก ขึ้นมา จึงจุดเทียนและ

    พบตะขาบใหญ่ยาวเท่ากับขาของอาตมากำลังเลื้อย เข้ามาอยู่ใกล้ตัวของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงกับหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึงกล่าวคำสวดมนต์ "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง
    สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ" ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำ

    วัดนอนเป็นปกติ

    ในวันรุ่งขึ้นนายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่าเมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกุฏิที่ท่านพำนักอยู่ อาตมาบอกว่าอาตมาได้ตื่นมาและตกใจจึงได้สวดมนต์ภาวนาตะขาบ

    ตัวนั้นก็ได้อันตรธานหายไป นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่าบัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่าอำนาจเวทมนต์คาถาและคุณไสยใด ๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ก็เพราะอำนาจแห่งการสวด
    มนต์ภาวนาของท่าน เป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ ที่อาตมาได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนต์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนต์จริง

    ดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน

    ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นั้นเมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า "อานิสงส์ของการสวดมนต์ช่างมีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มีนาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...