--->> การอุทิศบุญให้ถึงแน่นอน รวดเร็ว ฉับพลัน <<---

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 10 พฤษภาคม 2007.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    [​IMG]

    การอุทิศบุญให้ถึงแน่นอน รวดเร็ว ฉับพลัน

    โดย พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล​



    พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต พระอริยเจ้าแห่งวัดภูจ้อก้อ จังหวัดมุกดาหาร อุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2529 ในฝ่ายธรรมยุติ หลังจากอุปสมบทมาไม่นานก็เกิดความประทับใจกับประสบการณ์ทางจิตที่ได้รับจากการฝึกเล่นๆ จึงตั้งใจอยู่ปฏิบัติต่อ แล้วไปขออยู่กับหลวงตามหาบัว แต่ท่านได้แนะนำให้ไปอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่หล้าที่วัดภูจ้อก้อ เมื่อไปก็ไม่ได้อยู่กับหลวงปู่หล้า แต่อยู่วัดใกล้ๆ กับหลวงปู่หล้า ได้ฝึกฝนตนเองอย่างอุกฤษเป็นเวลา 5 ปี จึงรู้จักธรรมชาติพอเป็นที่สบายใจ

    ท่านมีประสบการณ์ทางจิตที่โลดโผนพิสดาร แม้เดินจงกรมก็สามารถเดินเหยียบอากาศ เอาผ้าไปพาดไว้บนกิ่งไม้สูง 10 เมตรได้ ทั้งสามารถมองเห็น ภูต ผี ปีศาจ เทวดา นาค ครุฑ ยักษ์ อย่างแจ่มชัดแม้กระทั่งลืมตา มีญาณระลึกชาติย้อนหลังได้มากมายหลายชนิด เป็นพระสงฆ์ที่ใช้เวลาท่องเที่ยวไปในนรกสวรรค์บ่อยที่สุด คล้ายนิทานเรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์โลก เป็นพระสงฆ์รูปเดียวและรูปแรกที่กล้าพูดกล้าเปิดเผยเรื่องราวลี้ลับ โดยไม่สนใจเสียงส่อเสียดจากชาวโลก และเป็นพระที่ไม่สนใจลาภยศชื่อเสียง เป็นพระสงฆ์ที่เทพยดาชั้นสูงต่ำ ตลอดจน ภูต ผี ปีศาจ ให้ความเคารพรักมาก

    วัดของท่านจึงเป็นจุดที่เทพยดา และภูต ผี ปีศาจ เปรต ที่ตกทุกข์ได้ยากทั่วๆ ไปพากันมุ่งไปหา เพื่อขอความช่วยเหลือ และแต่ละวันประชาชนมากหน้าหลายตาทั่วๆ ไป ต่างดั้นด้นข้ามภูเขาผ่านหนทางทุรกันดารไปกราบท่านเพื่อปรึกษาหาทางแก้ไขปัญหาชีวิตต่างๆ เมื่อนำคำสอนที่ท่านแนะนำไปปฏิบัติก็ประสบความสำเร็จที่ตนเองวาดหวังไว้ แต่ท่านไม่อยากดังถ้าไปขอนำประวัติท่านไปลงหนังสือท่านจะไม่ยอมพูดด้วย แต่ท่านจะมีเมตตาในการสอนทั้งวันทั้งคืน ท่านมีเวลาพักผ่อนในแต่ละวันน้อยจริงๆ นอกนั้นหมดไปกับการต้อนรับผู้มาเยือน กลางคืนก็ต้องต้อนรับแก้ไขปัญหาหมู่ชนในโลกทิพย์เป็นส่วนมาก แล้วนั่งพูดๆ ทั้งวัน

    ท่านมีแผ่นซีดีแจกจ่ายให้นำไปฟังแล้วบอกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ตุลาคม 2007
  2. จันทร์ตระการ

    จันทร์ตระการ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +91
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ บทความเยี่ยมจริงๆ เคยมีเพื่อนบอกเรื่องการอุทิศบุญวิธีการคล้ายแบบนี้ ทุกครั้งอย่าลืมอุทิศให้เทวดาที่ประจำตัว พระประจำวันเกิด เจ้ากรรมนายเวร อย่าลืมบอกพยายมราชเป็นพยานในบุญที่ทำด้วย เวลาใกล้ตายท่านจะได้เตือนเราให้จิตสุดท้ายระลึกถึงแต่กุศลที่เคยสร้างเอาไว้
     
  3. tenis

    tenis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    343
    ค่าพลัง:
    +1,228
    ขอความกระจ่างด้วยคะ

    1. มีข้อสงสัยว่า "การเบิกบุญ" คืออะไร ถ้าเทียบกับเงิน การเบิกบุญก็ต้องมีวันหมดใช่หรือเปล่าคะ
    ทางที่ถูกต้อง เราควรเบิกทุกวัน หรือว่าเก็บไว้ใช้เมื่อยามขับขันหรือเปล่าคะ

    2. การเบิกบุญ ในข้อนี้ เหมือนหรือต่างจากการอนุโมทนาบุญคะ

    เพราะตามที่เข้าใจ หากเป็นอนุโมทนาบุญ เปรียบเหมือนเราแจ้งการกระทำบุญให้สัตว์นั้น ๆ อนุโมทนาบุญเอาเอง และเป็นการเพิ่มบุญ เหมือนเราแบ่งปันแสงสว่างนะคะ บอกต่อ ๆ กันไป

    3. สงสัยอีกอย่าง เวลาทำบุญ เราบอกไปว่า ส่วนกุศลที่ทำในอดีต ปัจุบัน ขอให้มีส่วนรวมในกุศลนั้น แต่ทำไมไม่ครอบคลุมบอกถึงอนาคตเลยละคะ
    พอดี พี่สาวเพ่งเสีย ตัวเองเลยบอกคลุ่มไปเลยว่าทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตที่จะกระทำให้เค้ามีส่วนแห่งบุญของเรา (กลัวว่าพอพวกเราหมดอายุขัย ก็คงไม่มีคนระลึกถึงเค้า โอกาสจะทำกุศลก็คงไม่มีนะคะ)

    4. อีกอย่างหนึ่ง ที่ท่านว่า แม้ในขณะที่พึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ตอนนั้นก็ให้บุญได้ ข้อนี้สงสัยว่า เป็นโลกีย์ จิตที่เป็นโลกีย์ก็เป็นคนละดวงกับกุศล แต่เหตุใดจึงถือว่าเป็นกุศลเจ้าคะ

    หากท่านมีโอกาส กรุณาเรียนถามพระอาจารย์ให้ด้วยนะคะ

    ขอบพระคุณมากคะ
     
  4. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 20 สิงหาคม 2005, 15:07:42
    --------------------------------------------------------------------------------

    มีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับมาเล่าให้พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ฟังกันน่ะค่ะ และก็เช่นเคยนะคะ ดิฉันต้องขอความกรุณาทุกท่านได้อ่านด้วยสติและวิจารณญาณด้วยนะคะ ............ขอบพระคุณค่ะ

    สิ่งลี้ลับที่เรา"เปิดบุญ" ให้ "โอนบุญ" ให้ และ "เบิกบุญ" ให้บ่อย ๆ นั้น ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รู้จักบุญคุณนะคะ และไม่ใช่ว่าเค้าจะไม่ช่วยเหลือเรานะคะ

    มีอยู่ครั้งนึงดิฉันนอนอยู่บนห้อง กำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว ก็มีอะไรบางอย่างมากระซิบบอกว่า "ช่วยด้วย ช่วยด้วย เร็วๆ ช่วยหน่อย" ดิฉันก็คิดว่าคงจะหูแว่ว เพราะตามันกำลังจะเคลิ้ม ๆ แล้ว ก็เลยไม่สนใจ สักครู่พัดลมตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในห้อง ซึ่งมันก็มีน้ำหนักพอสมควรไม่ใช่ของเบา ๆ มันล้มลงเฉยเลย ดิฉันจึงสะดุ้งและลืมตา ก็สำรวจแขนขาตัวเอง มันก็ไม่ได้เผลอไปโดนพัดลมนี่นา แล้วมันล้มได้ไง แต่ก็ไม่แปลกใจนานค่ะ เพราะจุดประสงค์คือ "ง่วงมาก" อยากหลับเต็มแก่แล้ว

    พอจับพัดลมขึ้นตั้งและเตรียมจะเอนนอน คราวนี้ชัดเลยค่ะ ปรากฎให้เห็นเต็ม ๆ เลย อึ้งอีกเช่นเคย แต่แค่แป๊บเดียวค่ะแล้วก็หายไป ก็เลยสะบัดหัวแรง ๆ นิดนึงให้รู้ว่ายังมีสติอยู่ ไม่ได้หลับหรือกำลังฝันหรือกำลังละเมออยู่

    เมื่อมีสติรับรู้แล้วว่าไม่ได้หลับหรือละเมอ ก็เลยถอนหายใจลึก ๆ เพื่อเรียกสติ ทำจิตสงบนิ่ง ๆ สักครู่ก็ถามไปว่า "ท่านคือใคร มีสิ่งใดจะให้ข้าช่วยเหลือหรือป่าว" เค้าก็ปรากฎให้เห็นเลยทีนี้ เค้ามีลักษณะหัวโต ๆ ไม่มีแม้แต่เส้นผมเลยสักเส้น มีรอยคล้าย ๆ เส้นเลือดปูดขึ้นมาเป็นสีแดงเต็มไปหมดบริเวณหัว เสื้อผ้าไม่ใส่ ฟันสีดำ ตาโตมาก และแปลกตรงที่รอบ ๆ ตานั้นมีเหมือนขนสีดำเต็มไปหมด เค้าพูดว่า "ท่านไปเตือนน้องท่านหน่อย มันกำลังจะฟ้องนายข้าให้มาจัดการข้า ก็บุญมันยังไม่ถึง จะให้ข้าช่วยมันได้อย่างไร ช่วยข้าหน่อย ข้ากลัว"

    ก็ถามไปว่า "น้องคนไหน" เค้าก็ชี้ลงไปที่ห้องข้างล่าง แล้วพูดว่า "ผู้หญิงคนนั้นไง" ดิฉันก็พอรู้แล้วว่าเป็นใคร ก็เลยบอกว่า "ได้ เดี๋ยวข้าจะช่วย" แล้วเค้าก็หายไป ดิฉันเปิดประตูห้องออกมาก็พอดีกับที่แม่ของดิฉันเดินขึ้นมาพอดี ท่านกำลังจะเอาดอกไม้มาเปลี่ยนในแจกันที่ห้องพระ แม่ขยับจมูกฟุดฟิด ๆ แล้วพูดว่า "เหม็นอะไร ได้กลิ่นอะไรมั้ย" ก็ถามแม่ไปว่า "ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย" แม่บอกว่า "กลิ่นเหมือนปลาเน่า ๆ" ก็เลยบอกแม่ไปว่า "ช่างมันเถอะแม่ จะกลิ่นอะไรก็ช่าง เดี๋ยวมันก็หายไปเอง"

    เมื่อลงไปหาน้องสาว ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรเลย น้องสาวก็พูดขึ้นมาเลยว่า "พี่ค่ะ ถ้าหนูจะจัดการสิ่งลี้ลับเนี่ย หนูควรจะฟ้องใครได้บ้าง เพราะมันไม่ทำงานกันเลย หนูให้บุญมันมาเป็นเดือนแล้ว ไม่เห็นมันช่วยหนูเลย" ก็เลยบอกว่า "เอาเป็นว่าพี่จะจัดการเราก่อนดีมั้ย" น้องก็งงและถามว่า "พี่จะมาจัดการหนูทำไม" ดิฉันก็พูดไปว่า "ก็เธอไม่ขัดห้องน้ำเลย ดูสิ ห้องน้ำเหม็นมาก เมื่อกี้แม่ยังทักเลยว่ากลิ่นอะไร พี่ว่าน่าจะมาจากห้องน้ำมั้งเนี่ย" น้องสาวรีบตอบทันทีว่า "ก็กะจะล้างช่วงเย็นน่ะ ปกติก็จะล้างทุกเย็นอยู่แล้ว มันยังไม่ถึงเวลาล้างน่ะ" เข้าทางดิฉันเลยค่ะทีเนี้ย ดิฉันก็เลยพูดไปว่า "พี่เคยบอกเราหลายครั้งแล้วใช่หรือไม่ว่า การเบิกบุญ การโอนบุญ การเปิดบุญนั้น มิควรที่จะหวังผลอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันเป็นหน้าที่ที่เราควรทำ เพราะเราเป็นหนี้เขา เราก็ต้องคืนหนี้เขา เราไม่ควรจะเหนียวหนี้

    สิ่งลี้ลับก็คือผู้ที่เราเคยทำร้ายเค้ามาต่าง ๆ นา ๆ นี่นอกจากจะไม่ช่วยเหลือเค้าแล้ว ยังจะทำร้ายเค้าเพิ่มอีกเหรอ เรื่องบางเรื่องหากไม่คิดที่จะเอาหรือรับเลย จะทำให้เวลาได้ก็คือได้ แม้ไม่ได้ก็จะไม่ทุกข์นะ ก็เพราะเราไม่ได้ตั้งหวังไง สิ่งลี้ลับไม่ใช่ว่าเค้าไม่ทำงาน ลองพิจารณาดี ๆ สิ ครั้งก่อนเธอป่วยหนัก ทำไมเธอได้พบหมอเก่ง ๆ และรักษาเธอจนหายได้ล่ะ ทั้งที่เธอไปหาหมอตั้งไม่รู้กี่โรงพยาบาลแล้ว หมดเงินไปตั้งเท่าไหร่แล้วก็ยังรักษาไม่หาย และจำได้มั้ยเมื่อตอนที่เธอลาออกจากงานเพื่อเปลี่ยนงานเธอก็ใช้เวลาไม่ถึงเดือนในการได้งานใหม่ เธออยากได้รถ เธอก็ได้รถอย่างไม่น่าเชื่อ และอีกมากที่เธอมักจะมาบอกพี่ว่า ต้องมาจากสิ่งลี้ลับช่วยแน่ ๆ เลย เพราะโอนบุญให้ทุกวัน นั่นหมายความว่าเค้าให้เธอมาตั้งมากแล้วนั่นเอง และด้วยความถึงพร้อมของเวลาที่เธอสร้างมา เธอจึงได้สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น มันประกอบกันหลายอย่าง

    สรุปก็คือ ถึงเวลาที่จะได้และสิ่งลี้ลับช่วยด้วยนั่นเอง และบางสิ่งมันก็ต้องขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมว่าทำมาหรือป่าวด้วย ไม่ใช่จะต้องได้ทุกเรื่องนะ ควรเจริญเมตตาให้ได้ก่อน แล้วค่อยหวังนู่นนี่ดีกว่า เราอยากให้เค้าช่วยอะไร เราช่วยตัวเองก่อนไม่ดีกว่าหรือ หากเรายังไม่มีเมตตา เราก็จะมองว่าการโอนบุญ การเบิกบุญ การเปิดบุญคือสิ่งที่ทำแล้วต้องได้ ถามว่าคิดผิดมั้ย ไม่ผิดหรอก แต่ถ้าไม่ได้อย่างที่เราคิดล่ะ เราก็จะทุกข์ไปป่าว ๆ แต่หากเรามองว่าการโอนบุญ การเปิดบุญ การเบิกบุญเป็นหน้าที่ของเราที่ควรทำ ควรช่วยเหลือพวกเค้า ความเมตตามันจะเกิดขึ้น การมุ่งหวังผลมันจะไม่มีในใจเรามากนัก ดังนั้นผลจะบังเกิดหรือไม่เราก็จะไม่ทุกข์แบบนี้ไง"

    แล้วน้องก็ถามดิฉันต่อว่า "แต่เคยได้ยินหลวงปู่บอกว่าถ้าเค้าไม่ทำงานให้บอกข้างบนลงโทษ เนี่ยหนูก็กำลังจะจัดการพวกเค้าอยู่พอดีเลย" ดิฉันก็เลยบอกน้องไปว่า "ท่านพูดไม่ผิดหรอก พี่ก็เคยได้ยิน แต่ท่านก็จะบอกเสมอว่าหากยังไม่สำริดผลก็ต้องส่งบ่อย ๆ โอนบ่อย ๆ และบางอย่างมันยังไม่ถึงเวลาก็จะยังไม่ได้ เธอรู้มั้ยพี่เนี่ยแหล่ะตัวฟ้องเก่งนักแหล่ะ แรก ๆ นะใช้งานแล้วไม่ทำพี่ก็ฟ้องแหลกเลย รู้มั้ยว่าผลคืออะไร พี่ทำเพื่อหวังผลตลอด แล้วก็เหมือนกับว่าสิ่งที่พี่หวังนั้นจะไม่สำริดผลเลย พี่ขาดความเมตตาไปเลยโดยไม่รู้ตัว เคยแม้กระทั่งจะไม่ให้บุญใด ๆ เลยด้วยซ้ำ

    แล้วก็ได้รับรู้ว่าพวกเค้าน่าสงสารมากเวลาโดนลงโทษ บางสิ่งลี้ลับนะมาให้พี่เห็นในสภาพตัวขาดวิ่นเลย แล้วก็ร้องไห้บอกว่า "ทำเราทำไม ทำเราทำไม ทำเราทำไม" เค้าพูดแต่คำเนี้ยนานมาก ๆ พยายามจะไม่ได้ยิน เค้าก็พูดให้ได้ยิน ดังนั้นเรามิควรจะกระทำกับพวกเค้าเช่นนั้นเลย หลังจากนั้นพี่ก็บอกกับตัวเองว่า เราควรสร้างความเมตตาให้บังเกิดขึ้นก่อนดีกว่า พี่จึงทำทุกวันและมองว่านี่คือหน้าที่ที่พี่ต้องทำ เป็นหน้าที่แห่งการ "คืนหนี้" พี่ไม่คิดจะ "เหนียวหนี้" อีกแล้ว จากนั้นพี่ก็ค่อย ๆ สอนและบอกสิ่งลี้ลับให้ทำงาน ด้วยการเอ่ยว่า "ท่านใดทำงานให้ข้า ท่านก็จะได้รับบุญของข้าอย่างอัตโนมัติและต่อเนื่อง หากท่านใดได้รับบุญแล้วไม่ทำงาน ท่านก็จะไม่สามารถได้รับบุญของข้าได้อย่างอัตโนมัติและต่อเนื่องอีก"

    พี่เอ่ยเท่านี้ พี่ไม่ได้ว่าอะไร จะทำงานหรือไม่ก็เลือกเอา ทำงานก็ได้บุญ ไม่ทำงานก็ไม่ได้บุญ เท่านั้นเอง และพี่ก็ใจเย็นไม่รีบร้อนอะไร เรื่องบางอย่างใช้งานไปแล้วไม่สำเร็จพี่ก็จะเพียรโอนบ่อย ๆ ส่งบ่อย ๆ ก็ขอยืนยันได้ว่า "สำเร็จจริงๆ" ดังนั้นก่อนจะลงโทษสิ่งลี้ลับน่ะ ต้องย้อนดูตัวเองก่อนว่า ส่งบุญบ่อยแล้วหรือยังต่างหาก หากความเมตตายังไม่บังเกิดขึ้นในใจแล้วหล่ะก็ อย่าได้มุ่งหวังความเมตตาจากสิ่งลี้ลับให้ช่วยเหลือเลย

    โมทนาบุญค่ะ
     
  5. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 21 สิงหาคม 2005, 21:37:11
    --------------------------------------------------------------------------------

    ดิฉันใคร่ขอกราบขอบพระคุณในความคิดเห็นของทุกท่านที่ได้เมตตาแนะนำดิฉันนะคะ และจะดีใจมาก ๆ เลยค่ะหากจะได้รับความเมตตาจากทุกท่านในการชี้แนะดิฉันอีกเรื่อย ๆ ค่ะ

    ก่อนอื่นเลยต้องเรียนให้ทราบก่อนค่ะว่า เรื่องตัวอักษรที่ปรับเป็นตัวใหญ่นั้น ดิฉันก็ทำไม่เป็นค่ะ เดาเอาว่าตัวโปรแกรมอาจจะปรับให้เองอย่างอัตโนมัติ หรือไม่ก็ผู้ดูแล web ท่านได้ให้ความกรุณาในการปรับ front ให้น่ะค่ะ

    ดิฉันมีเรื่องที่เรียกว่า "แปลกและพิสดาร" มากมายเกิดขึ้นในชีวิตหลายเรื่องค่ะ และผู้ที่ดิฉันเล่าให้ฟังบ่อยที่สุดก็คือ "คุณพ่อ" เพราะท่านก็มิได้แตกต่างจากดิฉันเลย สมัยหนุ่ม ๆ ตอนที่ท่านอยุ่ต่างจังหวัด ท่านยากจนมาก ต้องขึ้นเขา เข้าป่า เพื่อทำงานหาเงินมาให้ปู่และย่า ท่านเป็นผู้ที่มีความกตัญญูอย่างมาก ท่านชอบเล่าเรื่องราวแปลก ๆ เวลาท่านเข้าไปในป่าให้ลูก ๆ ฟังเป็นประจำ ว่าท่านพบสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเวลาไปเล่าให้ใครฟังก็มักจะโดนว่าเสมอว่า "บ้า" สมัยก่อนดิฉันก็มักจะงงว่าสิ่งที่พ่อเล่ามานั้นเป็นจริงหรือ ผีมีจริงด้วยหรือ ที่พ่อเล่าเป็นไปได้หรือ และมีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่ท่านเข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ ๆ ตอนนั้นบ้านเรายากจนมาก ท่านขับรถ taxi ท่านก็มักจะเล่าให้ฟังว่าท่านเจอ "ผี" อยู่บ่อย ๆ แต่ดิฉันไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ค่ะ เพราะไม่เคยเห็นก็ไม่คิดว่า "มันจะมีจริง"

    ความสงสัยว่าสิ่งที่พ่อเล่ามานั้นมีจริงด้วยหรือ ก็มากระจ่างเอากับตัวเอง เมื่อตอนที่ได้เริ่มลงมือปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องนั่นเองค่ะ ได้มาพบเอง เห็นเองนี่แหล่ะค่ะ ถึงได้เข้าใจว่า "สิ่งลี้ลับ" นั้นแท้จริงแล้วเค้าอยู่เบียดเสียดกับเราเต็มไปหมด แทบจะไม่มีพื้นที่ของเขาหรือเราเลยก็ว่าได้ โลกของเค้าและโลกของเราห่างกันเซ็นติเมตรเดียวเท่านั้น ทุกสิ่งที่เล่าให้พ่อฟัง พ่อก็มักจะย้ำเตือนเสมอว่าไม่ให้เอาไปเล่าให้ใครฟัง ถ้าจะเล่าก็ต้องเลือกเล่า ที่สำคญต้องใช้สติให้มาก และพิจารณาให้ชัดแจ้งก่อนว่า "ใช่แน่" จึงค่อยเล่า ปัจจุบันดิฉันและพ่อจะไม่คุยเรื่องแปลก ๆ ให้คนในบ้านได้รับรู้บ่อยนักค่ะ (ถ้าไม่จำเป็น)

    เมื่อได้มาพบกับหลวงปู่ ดิฉันบอกกับตัวเองในทันทีเลยว่า "นี่คือหน้าที่ของดิฉัน" หน้าที่แห่งการ "คืนหนี้" ดิฉันย้ำกับตัวเองเสมอว่าเรานี่โชคดียิ่งนักที่ได้มารู้จัก "วิธีคืนหนี้" ถ้าไม่เช่นนั้นหนี้เก่าเราก็ไม่รู้จักหมดหรือลดลงสักที กลับจะทวีหนี้ใหม่ให้เพิ่มขึ้นจนนับไม่ถ้วน

    " การโอนบุญ " " การเบิกบุญ " " การเปิดบุญ " ถือเป็นการ "คืนหนี้" และยังถือเป็นการ " สร้างบุญสร้างกุศล " ให้กับเราไปในตัวด้วย เพราะเราจะกลายเป็นผุ้ที่มีแต่ความเมตตาสุดจะประมาณ จะไม่เรียกว่า " สุดประมาณ " ได้อย่างไรล่ะค่ะ ก็แม้แต่สิ่งที่เรามองกันไม่เห็นเรายังเมตตาพวกเค้าเลย แล้วไฉนเลยผู้คนที่เราเห็นด้วยตาและสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งแจ่มแจ๋วเราจะไม่เมตตาเค้าหล่ะคะ ทุกท่านที่ได้ลงมือปฏิบัติอยู่บ่อย ๆ ดิฉันเชื่อมั่นเหลือเกินค่ะว่าท่านจะสัมผัสได้เลยว่า "ท่านมีความเมตตาเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด "

    สมัยก่อนดิฉันเข้าใจแต่ว่าการช่วยเหลือกันนั้นก็คือการ "ให้เงินต่อกันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน" แต่ ณ เวลานี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว แม้ดิฉันไม่มีเงินสักบาท ดิฉันก็สามารถ "ให้" และช่วยเหลือได้ด้วยการ "เบิกบุญ" มาให้ "โอนบุญ" แล้วให้ เป็นต้น

    มีประสบการณ์จะเล่าให้ฟังค่ะ ดิฉันเองต้องขอให้ทุกท่านได้โมทนาบุญกับเทวดาตนที่ได้แนะนำวิธีสร้างบุญแบบ "ฉลาด ๆ" ให้กับดิฉันด้วยนะคะ เค้าคงได้รับบุญจากดิฉันมากน่ะค่ะ ประกอบกับดิฉันเองก็มิได้ใช้งานสิ่งลี้ลับเท่าไหร่นัก แค่ขอให้เค้าช่วยคุ้มครองคนในครอบครัวดิฉันเท่านั้น แต่กับตัวเองแล้วแทบจะไม่เคยขอเลย เพราะใจต้องการจะ "คืนหนี้" อย่างเดียว จะคืนหนี้จนกว่าจะหมดลมหายใจ ดังนั้นสิ่งที่มุ่งเน้นในการ "เปิดบุญ"

    ในทุกเช้าจึงเป็นเพียงแค่เน้นให้เค้าเข้ารับบุญอย่างไม่เกะกะขวางทางกัน เข้ารับบุญแถวใครแถวมัน กลุ่มใครกลุ่มมัน และจะเน้นให้เค้าอธิษฐานเลื่อนภพภูมิ (ประมาณว่าได้บุญแล้วต้องไปสู่ที่ที่ดี ไม่ใช่มาทำร้ายกันอย่างนี้อีก หรือได้รับบุญแล้วต้องทำการปรับเปลี่ยนเลือนตัวเองไปสุ่ความหลุดพ้นซะ เป็นต้น) และคงด้วยเพราะเค้าเห็นว่าดิฉันไม่ขออะไรมั้งคะ เค้าเลยเมตตาด้วยการบอกกล่าว วิธีใหม่ ๆ ในการสร้างบุญ "แบบฉลาด" ให้ ยังไงก็ขอเล่าสู่กันฟังนะคะ แล้วก็เช่นเคยค่ะดิฉันต้องขอความกรุณาทุกท่านได้ใช้ "สติ" และวิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ..............กราบขอบพระคุณค่ะ
    มีอยู่วันหนึ่งช่วงเช้า ดิฉันนั่งรถไปทำงานตามปกติ ดิฉันก็ทำการ "เปิดบุญ" เหมือนทุกวันที่เคยทำ พอทำการเปิดบุญเสร็จแล้ว ก็จะทำการ "เบิกบุญ" ต่อทันที เบิกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงป้ายที่จะลงเพื่อต่อรถเมล์อีก 1 ทอด ช่วงระหว่างรอรถอยู่นั้น มีบางสิ่งมากระซิบเบา ๆ บอกกับดิฉันว่า "ข้าจะไปแล้ว ขอบุญจากการชดใช้ให้ญาติข้าเป็นการส่งข้าไปหน่อยได้หรือไม่" ได้ยินตอนแรกก็งงและอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทบทวนสิ่งที่ได้ยินก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร

    เมื่อไม่เข้าใจก็เกิดการไม่สนใจ (ดิฉันจะนิสัยเสียตรงนี้แหล่ะค่ะ เคยโดนสิ่งลี้ลับบางจำพวกติงมามากว่า "ท่านน่ะชอบไม่เข้าใจอยู่เรื่อย ทั้งที่ควรเข้าใจ แต่ก็ทำเป็นนิ่งไม่เข้าใจ") สักครู่จึงได้ยินใหม่อีกรอบค่ะ ชัดเลยทีนี้ ดิฉันได้ยินว่า "ข้าคือเทวดาในร่างของท่าน ข้ากำลังจะไปแล้วด้วยบุญที่ท่านมอบให้ แต่ข้าขอให้ท่านช่วยทำบุญให้ญาติข้าหน่อย ข้าขอนำบุญที่ให้ญาติข้านี้เป็นเส้นทางนำข้าไปสู่อีกภพภูมิที่ดีขึ้น"

    ชัดค่ะ มันชัดมาก ๆ เลยทีนี้ในสิ่งที่ได้ยิน ก็เลยถามไปว่า "ญาติไหนล่ะ แล้วต้องทำอย่างไร" เทวดาบอกว่า "เดี๋ยวข้าจะบอก ยังไม่ใช่ที่นี่" เมื่อดิฉันนั่งรถเมล์อีกทอดและลงยังป้ายที่ทำงาน ก็เดินไปเรื่อย ๆ กำหนดดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ ตามปกติที่เคยทำ จนกระทั่งขึ้นสะพานลอย เห็นขอทานคนนึงนิ้วมือกุด นิ้วเท้ากุด นั่งขอทานอยู่ กำลังจะเดินผ่านไป ก็ได้ยินเสียงกระซิบขึ้นมาอีกว่า

    "คนนี้แหล่ะท่าน ใส่เงินลงไปแล้วโอนบุญติดกัน 2 ครั้งด้วยสมาธินะท่านโดยให้ท่านบอกว่า บุญนี้ถึงแด่เทวดาของขอทาน และพูดต่อไปอย่างมีสมาธิต่อเนื่องว่า บุญที่ให้แด่เทวดาขอทานนี้ขอถึงแด่เทวดาตนนี้" พอเค้าพูดจบเค้าก็ปรากฎตัวตรงหน้าเลย ดิฉันก็คราวนี้ใจป้ำค่ะ มีเงินอยู่ 20 บาทในกางเกง (กะจะซื้อข้าวกล่องกิน แต่วันนี้เหมือนมันไม่หิวอย่างไรไม่ทราบ) ก็เลยทำบุญให้ขอทานไปทั้งหมด 20 บาทเลย แล้วก็กล่าวอย่างที่เทวดาท่านนั้นบอก

    เมื่อกล่าวจบเทวดาตนนั้นก็ค่อย ๆ หายไป จิตตอนนั้นมันอิ่มเอิบบอกไม่ถูก ปกติในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ดิฉันจะหิวข้าวเช้าทุกวัน แต่วันนี้กลับไม่หิว เมื่อถึงที่ทำงานจึงตัดสินใจไม่กินข้าวเช้า พอรูดบัตรเข้างานเสร็จก็ขึ้นห้องพระเลย เพราะยังมีเวลาอีกมากก่อนถึงเวลาเข้างาน ด้วยเพราะจะออกจากบ้านแต่เช้ามืดทุกวัน

    เมื่อถึงห้องพระก็ทำวัตรเช้าเช่นเคย และทำสมาธิต่อ สักครู่ก็ได้ยินเสียงเทวดาตนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า "ขอบคุณมากนะท่านที่ช่วยเหลือข้า ข้าขอบอกบางสิ่งกับท่านอีกครั้งก่อนไปว่า ท่านรู้หรือไม่ว่าการส่งบุญให้กับเทวดาของขอทานเมื่อสักครู่นี้นั้น บุญจะเกิดแล้ว 1 ต่อ บุญ 1 ต่อนี้ถือเป็นบุญก้อนที่ยิ่งใหญ่มาก ด้วยเพราะท่านมีความเมตตาเป็นที่ตั้งแห่งบุญ โดยมิได้ส่งให้ตัวเองก่อนเป็นสำคัญ ต่อเมื่อท่านทำสมาธิต่อเนื่องให้ได้แล้วจึงจ่ายต่อให้กับเทวดาและสิ่งลี้ลับอื่น ๆ ของตัวท่าน พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับเป็น 2 เท่าด้วยพลังแห่งเมตตานี้เอง

    สำคัญคือท่านต้องมีสมาธิต่อเนื่องในการจ่ายบุญต่อ" แล้วเสียงนั้นก็หายไป ดิฉันทำสมาธิต่อด้วยจิตที่นิ่งมาก แล้วส่งบุญต่อให้กับเทวดาตนนั้นอีกครั้ง พร้อมกับโมทนาบุญในสิ่งที่เทวดาท่านนั้นบอกด้วยจิตที่ปิติเหลือเกิน แล้วก็รับรู้ได้ว่าเค้าได้เลื่อนภพภูมิไปสุ่ที่ที่ดีมากเหลือเกิน

    ดิฉันบอกกับตัวเองทันทีว่า "เมื่อเราให้เขา แม้เราจะมิได้มุ่งหวังสิ่งใดจากเค้าเลย แต่ด้วยเพราะการอธิษฐานเลื่อนภพภูมิของสิ่งลี้ลับนี้เอง ทำให้เค้ามีจิตที่สูงขึ้น การมีจิตที่สูงขึ้นนี้เองทำให้เค้ารู้จัก "การตอบแทนบุญคุณกับผุ้ให้บุญ" ถึงแม้ผุ้ให้บุญนั้นจะมิได้เอ่ยขอเลยด้วยซ้ำ คล้ายกับมันเป็นหน้าที่ของเขา ซึ่งมิแตกต่างกับหน้าที่ของเราเลย" นั่นคือเรามีหน้าที่ "คืนหนี้เขา" ส่วนเขามีหน้าที่ "ตอบแทนเรา"

    จิตปิติเหลือเกินค่ะ ขนลุกไปหมด มันเป็นเสียยิ่งกว่ากำลังใจอีกค่ะ มันเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ดิฉันเพิ่มสติและสมาธิให้มากขึ้น เพิ่มความขยันในการ "โอนบุญ" "เบิกบุญ" "เปิดบุญ" ให้มากขึ้น ด้วยเพราะอดซาบซึ้งในความกรุณาที่สิ่งลี้ลับมอบให้ไม่ได้ ทั้งที่เราทำกับเขามาแท้ ๆ ในชาติก่อน ๆ เบียดเบียนเขาให้ทุกข์แท้ ๆ มานับชาติไม่ถ้วน ชาตินี้เรามันไม่ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากเค้าเลยด้วยซ้ำ มันควรเป็นชาติแห่งการชดใช้คืนอย่างเดียวด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับช่วยกันคิด ช่วยกันหาหนทางที่จะช่วยเหลือและแนะนำให้เราได้ "ตาสว่าง" มากขึ้น

    ขอขอบคุณ "ทุกสิ่งลี้ลับ" ที่ท่านทำให้ข้ามีกำลังใจที่จะทำให้ทุกลมหายใจของข้านี้เป็นไปเพื่อการ "ให้"

    ขอโมทนาบุญค่ะ
     
  6. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    ________________________________________
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 24 สิงหาคม 2005, 12:19:39
    ________________________________________

    นักปฏิบัติธรรมนี่ “กรรม” จะเกิดไวมากนะคะ โดยเฉพาะอกุศลกรรมที่สร้างไว้เนี่ย แป๊บเดียวเท่านั้นเองเกิดให้เห็นชัดมากเลย ยิ่งเป็น “อกุศลกรรมที่ทำกับพ่อแม่” ด้วยแล้ว ขอบอกเลยค่ะว่า “เร็วมาก ๆ” อันนี้เจอกับตัวเองเลยนะคะ จนกลายเป็น “กลัวและไม่กล้า” ไปเลยค่ะ ไม่กล้าอย่างมาก ๆ เลยที่จะกระทำอะไรให้เกิด “อกุศลกรรมกับพ่อแม่” อีก

    ขอแชร์ประสบการณ์ละกันนะคะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ ท่านไม่มากก็น้อยค่ะ

    ด้วยความเป็นลูก ก็จะมีบ้างที่อด “งอแง” กับพ่อแม่ไม่ได้ บางครั้งก็มีดื้อและเถียงท่านโดยที่ไม่ได้ตั้งใจค่ะ โดยทำไปด้วยเพราะคิดว่า “ท่านไม่โกรธเราหรอก ท่านไม่ว่าหรือถือสาเราหรอก เพราะท่านเป็นพ่อแม่เรานี่นาท่านจะโกรธเราได้ไง” ไอ้กรรมตรงนี้แหล่ะค่ะที่ดิฉันโดนเต็ม ๆ เลย และปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เลิกรับกรรมเลยค่ะ

    เคยมีโอกาสไปเรียนถามหลวงปู่เรื่องนี้ค่ะ เรื่องที่ล่วงเกินพ่อแม่แบบไม่ตั้งใจนี่แหล่ะค่ะ ท่านบอกว่าพ่อกับแม่คือพระอรหันต์ของลูก ทำ “กุศลกรรมกับท่านก็ได้รับบุญเต็มที่” เช่นเดียวกันหากทำ “อกุศลกรรมให้บังเกิดขึ้นกับท่านก็ได้รับเต็มที่” เช่นเดียวกันค่ะ ท่านเปรียบเทียบให้ฟังง่าย ๆ ว่า เอาขี้ใส่บาตรกับเอาข้าวใส่บาตรน่ะค่ะ ได้เหมือนกัน ได้เท่ากันเลย แต่ผลไปคนละทิศค่ะ

    ได้เรียนถามท่านไปว่าหากพ่อแม่ร้องไห้เองโดยที่เราไม่ได้ทำผลจะเป็นอย่างไร ท่านก็ตอบว่า “ก็จะมีคนมาทำให้เราร้องไห้โดยที่คน ๆ นั้นเค้าก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน”

    ยิ่งปฏิบัติธรรมด้วยแล้วเนี่ย กรรมเกิดไวจริง ๆ ค่ะ อย่าว่าแต่กรรมที่เกิดจากกระทำกับพ่อแม่เลย กระทำกับใครก็ตาม จะตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี รับเต็ม ๆ ค่ะ ประมาณว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นเค้าบังเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้รู้สึก “เกรงกลัวต่อบาป” น่ะค่ะ

    มีหลายครั้งที่ดิฉันก็อยู่ในอาการ “งง ๆ “ เหมือนกันว่าเราเคยไม่ทำอะไรคน ๆ นี้เลยนี่นา ทำไมเค้าต้องมาทำร้ายจิตใจเราด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้วนเข้ามาอยู่ตลอด ทั้งในเวลาทำสมาธิก็ดี เวลาเดิน ยืน นั่ง นอน อยู่ก็ตาม วนเข้ามาไม่เลิก แต่ที่สุดก็ทำให้ย้อนนึกถึงสิ่งที่เคยได้ล่วงเกินต่อพ่อแม่หรือผู้อื่นไว้ในทันที ทำให้ร้อง “อือ” ขึ้นมาทันทีว่า นี่แหล่ะนะคือผลที่กระทำไว้ บอกได้เลยค่ะว่า “ขยาด” เลย แต่จะว่าไปแล้วก็ดีนะคะถือเป็นการเพิ่มสติให้กับตัวเองมากขึ้น ทำให้ต้องขอขมาและเตือนจิตเตือนใจตัวเองให้เกรงกลัวต่อบาปมากขึ้นน่ะค่ะ

    นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์เกี่ยวกับ “สิ่งลี้ลับ” มาเล่าให้พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ได้อ่านกันเกี่ยวกับเรื่องของ “กรรม” นี้ด้วยนะคะ และก็เช่นเคยค่ะ ต้องขอให้ทุกท่านได้อ่านด้วยสติและวิจารณญาณด้วยนะคะ …………..ขอบพระคุณค่ะ

    สิ่งลี้ลับที่เค้าได้รับบุญจากเรานั้น เค้าจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำนะคะ เหมือนเค้าร่วมกันทำงานเป็น “ทีม” ตนใดกำลังมากก็ทำงานยากหน่อย ตนใดกำลังน้อยก็ทำงานน้อยหน่อย แต่ไม่มีตนใดที่ไม่ช่วยงานค่ะ ด้วยเพราะมีการบอกกล่าวกันอยู่ตลอดว่า “หากท่านใดรับบุญแล้วไม่ทำงาน ท่านก็จะไม่สามารถได้รับบุญของข้าอย่างอัตโนมัติและต่อเนื่อง” คำว่า “งาน” ในที่นี้ดิฉันไม่ได้ใช้อะไรเค้ามากนะคะ จะสอนให้พวกเค้าได้เข้าใจและกระทำหลัก ๆ ดังนี้

    1. เมื่อเค้าได้รับบุญแล้ว เค้าต้องอธิษฐานให้บุญที่เค้าได้รับนั้นนำพาเค้าไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ซึ่งการเลื่อนภพภูมิของเค้านี้เอง จะทำให้เค้ามีภูมิจิตที่สูงขึ้น และเมื่อภูมิจิตเค้าสูงขึ้น เค้าก็จะเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อออกไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง บางจำพวกเมื่อภูมิจิตสูงขึ้นมาก ๆ เค้าจะสามารถฟังธรรมได้ในระดับหนึ่ง (จากประสบการณ์นะคะดิฉันเคยเปิด CD หลวงปู่เพื่อฟังธรรมจากท่าน ก็จะมีเหล่าเทวดามาร่วมฟังด้วย เยอะมากค่ะ เป็นเทวดาเลยก็มี เป็นพวกที่เลื่อนภูมิขึ้นมาก็มี เราเข้าใจอย่างไร ได้ยินหลวงปู่อย่างไร เค้าก็เข้าใจอย่างนั้น

    ได้ยินหลวงปู่อย่างนั้นนะคะ ฟังธรรมหลวงปู่ไป เค้าก็เลื่อนภูมิกันไป ดังนั้นหากท่านใดเปิด CD หลวงปู่อยู่ก็ตาม อ่านหนังสือธรรมะอยู่ก็ตาม ฟังธรรมอยู่ก็ตาม สนทนาธรรมอยู่ก็ตาม หรือแม้แต่ตอบกระทู้ธรรมอยู่ก็ตาม ตั้งจิตอธิษฐานเรียกสิ่งลี้ลับด้วยก็จะเป็นการดีนะคะ เพื่อให้เค้าได้มาร่วมรับฟังธรรมด้วยนั่นเอง เค้าจะรู้ค่ะว่าเค้าสามารถฟังได้หรือไม่ เข้าใจได้ถึงจะไม่มากก็น้อยเค้าจะรู้ตัวค่ะ เค้าจะยินดียิ่งหากเราเรียกให้เค้าได้มาร่วมฟังด้วย และบุญแห่งการเรียกเค้ามาร่วมฟังธรรมด้วยนั้น สามารถจ่ายบุญได้อีกต่อหนึ่งเลยนะคะ แม้แต่ขณะฟังธรรมแล้วเกิดปิติในข้อธรรมที่ได้ ก็สามารถจ่ายบุญได้เลยนะคะ อาจจะจ่ายให้กับเทวดาที่นั่งฟังอยู่ด้วยนั่นแหล่ะค่ะ ให้เค้าได้เข้าใจอย่างที่เราเข้าใจ ให้เค้าได้ปิติอย่างที่เราปิติ)

    2. เมื่อเค้าได้รับบุญแล้ว เค้าจะต้องทำงานด้วยการปรับเปลี่ยนจากกระแสร้ายเป็นกระแสที่ดีงาม เป็นกระแสแห่งศิลแห่งธรรมย้อนกลับไปสู่เจ้าของร่างที่เค้าอาศัยอยู่ในตัวและรอบ ๆ ตัวนั้น

    3. เมื่อเค้าได้รับบุญแล้ว เค้าต้องไม่เกะกะขวางทางงานของกลุ่มอื่น ต้องช่วยกันทำงาน ต้องรู้จักทำงาน

    4. เมื่อเค้าได้รับบุญแล้ว เค้าต้องดลจิตดลใจให้เจ้าของร่างที่พวกเค้าอาศัยอยู่หรืออยู่รอบ ๆ ข้างนั้นได้กระทำแต่สิ่งที่ดีงาม

    หลัก ๆ ที่ดิฉันเรียกว่า “งาน” ก็จะมีอยู่เท่านี้ค่ะ ที่จะให้เค้ากระทำในแต่ละวันที่มีการ “เปิดบุญ” ก็จะมีอยู่เท่านี้ นอกจากบางวันก็อาจจะเรียกบางกลุ่มมาทำงานเฉพาะเรื่องให้เท่านั้น แต่ก็อย่างที่เคยบอกแล้วค่ะว่า ไม่หวังผลค่ะ เพราะหวังผลเมื่อไหร่ก็จะขาดความเมตตาทันที เพียงแค่ขอความร่วมมือให้เค้าช่วยทำ สำเร็จหรือไม่ ไม่ได้หวังผลค่ะ เพราะความสำเร็จนั้นบางครั้งมิได้อยู่ที่สิ่งลี้ลับอย่างเดียวที่จะช่วย จะขึ้นอยู่กับเวลาอันควรที่จะสำเร็จด้วย และขึ้นอยู่กับตัวเราด้วย

    สำหรับข้อ 4 นั้น อันนี้เจอกับตัวเองเลยค่ะ ด้วยเพราะมันคือหน้าที่ของเค้า มันเป็นงานของเค้า ที่เมื่อเค้าได้รับบุญแล้วเค้าต้องทำ ดังนั้นในวันไหนที่ดิฉันจะโมโหจัด (พื้นฐานแล้วเป็นคนโทสะสูงนะคะ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมเนี่ยสงสัยจะหนักเอาการเหมือนกัน แต่จะวีนแตกแต่เฉพาะกับคนใกล้ตัวเท่านั้นค่ะ กับคนไกลตัวจะไม่กล้า หากโกรธสุด ๆ จะเงียบ ไม่พูด จะทำอย่างไรก็ไม่พูด นิ่งอย่างเดียว แต่ถ้าเป็นกับคนใกล้ตัว เช่น พี่ น้อง ดิฉันก็จะพูดออกมาเลยทันทีค่ะ) แต่การปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาส่งผลทำให้ดิฉันเย็นลงมาก จากที่จะพูดเลยเมื่อโมโห ก็จะกลายเป็นไม่พูดแต่จะแสดงออกทางสีหน้าซะมากกว่า เช่น คิ้วขมวด หน้าบึ้ง จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดอาการหน้าบึ้งและคิ้วขมวดมาเป็นเดินหนีคน ๆ นั้นไปเลยเมื่อโกรธ เดินออกไปซะ

    และล่าสุดตั้งแต่ทำการ “เปิดบุญ” “เบิกบุญ” “โอนบุญ” สามารถทดสอบตัวเองได้เลยว่าความโกรธลดปริมาณลงเร็วมาก มันไม่หายไปซะทีเดียวนะคะ มีค่ะที่พุ่งปี๊ดขึ้นมาทันที (เพราะอย่างที่บอกว่าพื้นฐานเป็นคนโทสะสูงมาก) แต่เมื่อพุ่งปี๊ดแล้ว ความเมตตามันจะรวมตัวเร็วมาก เข้าขวางเร็วมาก จะมองคน ๆ นั้นเป็นน้อง เป็นพี่ เป็นพ่อ เป็นแม่ ไปเลย จะใจเย็นลงเร็วมาก (อันนี้สังเกตด้วยตัวเองเลยนะคะ) คือจะแสดงออกทางสีหน้าแป๊บเดียวก็จะพลิกกลับสู่ปกติได้เร็วมาก ดิฉันถึงศรัทธามากไงคะกับการ “เปิดบุญ” “เบิกบุญ” และ “โอนบุญ” ด้วยเพราะคนโทสะแรงอย่างดิฉันนี้แหล่ะต้องปราบด้วย “ความเมตตา” ซึ่งมันช่างเหมาะและตรงกับดิฉันซะเหลือเกิน

    ดิฉันเชื่อมั่นเหลือเกินค่ะว่า “อันสันดานหยาบของเรานั้น มันถูกหมักหมมและสะสมมานับชาติไม่ถ้วน หากไม่สะกิด สะแกะ สะเกาออกซะบ้าง ก็มีแต่จะเพิ่มพูนไม่รู้จักจบจักสิ้น และเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้สะกิดและถอดถอนมัน ใครก็ช่วยเราถอดถอนไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านก็ช่วยถอดถอนไม่ได้ ท่านช่วยได้แต่ให้แนวทาง หากเราไม่ลงมือปฏิบัติตามก็ไร้ประโยชน์ค่ะ”

    นอกจากนี้สิ่งลี้ลับก็ยังมีส่วนช่วยดิฉันอีกนะคะ อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าหน้าที่ข้อที่ 4 ข้างต้นนั้น เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่พวกเค้าจะต้องกระทำกันในแต่ละวันที่ดิฉันบอกกล่าวไว้ในทุกเช้าของการ “เปิดบุญ” มีอยู่วันหนึ่งค่ะ ดิฉันนั่งทำงานอยู่ ก็กำหนดลมหายใจเข้า-ออกไปเรื่อย ๆ เหมือนเช่นเคย สักครู่มีบางสิ่งมากระซิบบอกว่า “ระวังนะท่าน ระวัง ระวัง ระวัง หายใจลึก ๆ หายใจลึก ๆ ระวัง ระวัง” ได้ยินอยู่อย่างนี้สักครู่ ก็เช่นเคยค่ะ “เกิดอาการงง” เหมือนเดิม และลงท้ายว่า “เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่สนใจ” แต่จิตก็คิดเหมือนกันค่ะว่า “ต้องมีอะไรแน่ ๆ เลย”

    คิดยังไม่ทันจบ มาแล้วโทรศัพท์ดังขึ้น ดิฉันก็รับสาย ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย อีกฝ่ายก็พูดมายาวเลย น้ำเสียงรุนแรงมาก เค้าตามงานที่ค้างอยู่ที่แผนกของดิฉันน่ะค่ะ เค้าว่าประมาณว่าแผนกของดิฉันทำงานช้ามาก ทำให้คนไข้ว่าเค้า ทั้งที่งานพิมพ์นี้เสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และที่แผนกของดิฉันก็โทรตามให้มารับงานแล้วถึง 2 รอบ เชื่อมั้ยคะฟังตอนแรกนั้นโทสะมันพุ่งปี๊ดเลยค่ะ กำลังจะโต้กลับอยู่แล้วเชียวแต่ก็กลับเย็นลงเฉยเลย (แปลกเหมือนกัน) คงด้วยเพราะนึกถึงแต่คำว่า “ระวัง ระวัง ระวัง” ที่มันวกมาอยู่ตลอดกระมังคะ ทางปลายสายก็ยังว่าอยู่นั่น ว่าไม่จบ ไม่เลิกสักที จะเอาความผิดจากเราให้ได้ ดิฉันก็ปล่อยให้เค้าพูดไป ใจก็ไปจดจ่ออยู่กับคำว่า ระวัง ระวัง ระวัง สติมันจึงเกิดขึ้นเพราะสมาธิมันไปอยู่กับคำว่า ระวัง ระวัง ระวัง

    สักครู่เมื่อเค้าพูดจบ ดิฉันก็เลยพูดนิ่ม ๆ ตอบกลับไปว่า “ทางแผนกได้พิมพ์ให้เสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อวานนะคะ และได้โทรตามแล้วถึง 2 รอบ ดิฉันเป็นคนโทรเองค่ะ ด้วยเพราะ case นี้ดิฉันเป็นคนพิมพ์เอง เอาเป็นว่าคุณรีบมารับได้เลยนะคะ แค่นี้นะคะเนื่องจากมีงานด่วนรออยู่หลาย case” แล้วดิฉันก็วางสายไปเลย ใจยังสั่น ๆ อยู่เหมือนกันค่ะ ประมาณว่าโทสะมันก็ยังไม่หมดไปซะทีเดียว แต่ว่าสติมันควบคุมมิให้มีการโต้เถียงและมีเรื่องมีราวได้ในระดับหนึ่ง ดิฉันพิจารณาถึงความใจสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ก็เพลาลงด้วยสิ่งหนึ่งที่ตอบกลับมาในใจว่า “เพราะเค้าไม่รู้ เค้าจึงโกรธ ด้วยเพราะเรารู้มากกว่าเค้า เราจึงโกรธน้อยกว่าเขา ผู้ไม่รู้ย่อมน่าสงสาร จงสงสารเค้าเถิด เราเองก็เคยเป็นผู้น่าสงสารมาก่อน”

    อีกหนึ่งประสบการณ์นะคะที่อยากจะแชร์ให้ได้รับทราบ มีอยู่วันหนึ่งน้องชายพูดจารุนแรงมากกับดิฉัน พอพูดเสร็จเค้าก็เดินเข้าห้องนอนไปเลย โทสะตอนนั้นของดิฉันมันก็พุ่งเลยทันที ในใจมันฟุ้ง มันปรุงว่า “แกเป็นน้องของฉัน ฉันส่งแกเรียนจนจบ แกมีสิทธิอะไรมาพูดจารุนแรงกับฉัน อย่างนี้มันต้องสั่งสอนซักหน่อยแล้ว” กำลังจะเดินไปเคาะห้องนอนของน้องชายเพื่อเคลียร์และจัดการให้สาสมซะหน่อย ช่วงระหว่างกำลังเดินไปที่ห้องนอนของน้องชายนั้นเอง มีสิ่งลี้ลับจำนวนมากมาขวางหน้าบ้าง มาจับบ่าบ้าง มานั่งยกมือไหว้บ้าง สายตาอ้อนวอนมาก และบอกว่า “อย่านะท่าน อย่านะ เห็นแก่พวกข้าเถิด ได้โปรดเถิด ท่านคือผู้ปลดปล่อยพวกข้า พวกข้ารอบุญท่านอยู่นะ ดูสภาพพวกข้าสิ ท่านไม่สงสารเลยหรือ พวกข้าทรมานมากนะ หยุดเถอะนะท่าน”

    ดิฉันนิ่งอยู่สักครู่ ถอนหายใจลึกมาก ๆ เพื่อเรียกสติ ช่วงนั้นเองจู่ ๆ ก็นึกถึงภาพที่น้องชายดิฉันรับปริญญา นึกถึงภาพที่น้องชายบวชให้ นึกถึงภาพตอนนั่งกินข้าวคลุกน้ำปลามาด้วยกันในยามที่บ้านเรายากจนมาก นึกถึงตอนที่เค้าใส่ชุดปริญญาและเดินมาหาดิฉันพร้อมพูดว่า “หากชีวิตนี้ผมไม่มีพี่สาวคนนี้ ผมก็ไม่มีวันนี้ครับ” ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ มันสะพัดเข้ามามากมายเหลือเกิน” ใจเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ ดิฉันก็โอนบุญทันทีว่า
    “ขอบุญแห่งความระลึกรู้และระลึกได้ด้วยสตินี้ จงส่งผลถึงแด่สิ่งลี้ลับที่ช่วยข้าให้ได้ประพฤติดีปฏิบัติชอบในครั้งนี้” จากนั้นดิฉันได้เดินไปนั่งอยู่หน้าบ้านใต้ต้นไม้สักครู่ ก็ทบทวนว่าโกรธน้องชายทำไม คิดอยู่สักครู่ ก็มีความคิดนึงผุดขึ้นมาว่า “เพราะความเป็นพี่ไง เพราะยึดว่าเราคือพี่ เค้าคือน้องไง เพราะยึดไง ยึดความยิ่งใหญ่ไง ยึดความเกิดมาก่อนไง ยึดบุญคุณที่มีให้กันไง เขาก็คน เราก็คน เรายังโกรธเป็น แล้วเหตุใดเขาถึงโกรธไม่เป็นล่ะ คนเหมือนกัน น่าสงสารเค้าที่เค้ายังระงับความโกรธไม่ได้ แต่เรายังพอมีสติระงับได้บ้างถึงแม้จะไม่มากหรือไม่ทันทีทันใดก็ตาม โถ……เค้าช่างน่าสงสารนะ”

    แล้วไม่น่าเชื่อนะคะ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ซึ่งตรงกับวันแม่พอดี ดิฉันก็นำพาพี่ ๆ น้อง ๆ กล่าวขอขมาพ่อแม่เหมือนเช่นทุกปี (ดิฉันจะนำพาพี่น้องกล่าวขอขมาพ่อแม่อยู่บ่อย ๆ ค่ะ บางทีก็ทุกวันพระบ้าง วันเกิดท่านบ้าง วันสำคัญ ๆ บ้าง การขอขมาก็เพื่อเป็นการเตือนจิตเตือนใจมิให้เราเผลอล่วงเกินกับท่านอีก มิใช่ว่าขอขมาแล้วกรรมจะลด ไม่ใช่ หากคิดเช่นนั้นก็จะล่วงเกินท่านเป็นว่าเล่น แล้วก็มาขอขมาเพื่อลดกรรม อันนี้ไม่ถูกต้อง ดิฉันจะบอกพี่น้องเสมอว่าการขอขมานี้มิสามารถลดกรรมได้หรอกถ้ายังไม่หยุดกระทำกรรมใหม่กับท่าน เพียงแค่เป็นการเตือนจิตเตือนใจให้ “ระวัง” อย่าพลั้งเผลออีกเท่านั้น) และไม่น่าเชื่อค่ะ หลังจากกราบขอขมาพ่อและแม่ พร้อมขอพรจากท่านจนครบทุกคนแล้ว จู่ ๆ น้องชายของดิฉันก็ก้มลงกราบขอขมาดิฉันเฉยเลยค่ะ อึ้งเหมือนกัน เค้าร้องไห้และบอกว่าเค้าเสียใจมากที่พูดจารุนแรงกับดิฉัน ดิฉันก็น้ำตาร่วงเหมือนกันค่ะ ก็อโหสิกรรมให้

    หลังจากวันนั้นดิฉันก็ทบทวนตัวเองทันทีค่ะว่า เราทำอะไรผิดบ้างถึงทำให้น้องต้องพลั้งเผลอคำพูดรุนแรงออกมาเช่นนั้น ทบทวนทันทีค่ะ และบอกกับตัวเองในทันทีว่า “อย่าคิดว่าเป็นพี่แล้วไม่รู้จักปรับตัว เป็นพี่เนี่ยแหล่ะยิ่งต้องปรับ ยิ่งต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ไม่ใช่ว่าเป็นพี่แล้วจะไม่มีคำว่าผิด” ดิฉันเองเมื่อระลึกได้ว่าตัวเองทำอะไรผิดลงไปบ้าง ก็เดินไปขอโทษน้องทันทีค่ะ ขอโทษอย่างไม่อายเลย ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นพี่ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย โยนมันทิ้งไปเลย ก็เพราะไอ้ศักดิ์ศรีนี้แหล่ะมันทำให้เราโกรธ ทำให้เราหลงผิด ทำให้เราไม่รู้จักคำว่าผิด อย่ากระนั้นเลย โยนมันทิ้งไปเลยดีกว่า

    ทั้งหลายทั้งปวงนี้ดิฉันกล้า “ยืนยัน” ได้เลยค่ะว่ามันมาจาก “พลังแห่งความเมตตา” ที่เกิดจากการ “ให้” ด้วยการ “เปิดบุญ” “เบิกบุญ” “โอนบุญ” นี้แหล่ะค่ะ มันมาจากตรงนี้จริง ๆ ผู้ที่โทสะแรงอย่างดิฉันได้พิสูจน์แล้วว่า ไอ้ความหยาบกร้านของแรงโทสะ ที่มันสะสมมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินั้น มันถูกขัดเกลาลงได้ (ถึงแม้จะยังไม่มากก็ตาม) แต่มันถูกขัดเกลาลงได้จริงด้วย “พลังแห่งความเมตตา” นี้เอง

    ดิฉันอดที่จะระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของหลวงปู่ท่านไม่ได้เลยจริง ๆ ค่ะ รวมถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ, หลวงพ่อปราโมทย์ และครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ท่านได้เมตตาเตือน ได้สั่งสอน ได้ให้แนวทางในการถอดถอนกิเลสกับดิฉันมามากมายเหลือเกิน แต่หากดิฉันดื้อที่จะไม่กระทำตาม ดื้อที่จะไม่ขยันปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านก็สุดที่จะช่วยดิฉันได้ค่ะ

    อีกสิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดได้ก็คือว่า หากเรารักและเคารพครูบาอาจารย์แล้วนั้น เราต้องทำดีเพื่อตอบแทนท่านค่ะ เพราะทุกครูบาอาจารย์นั้นท่านมีจุดประสงค์เหมือนกัน ก็คือ สั่งสอนเพื่อให้พวกเราได้สร้างสมคุณงามความดี อย่างต่อเนื่องนั่นเอง

    ขอบคุณสิ่งลี้ลับ ขอบคุณจากใจ ขอบคุณจริง ๆ
    ขอโมทนาบุญค่ะ
     
  7. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 04 กันยายน 2005, 13:05:21
    --------------------------------------------------------------------------------

    ครั้งหนึ่งดิฉันเคยคิดว่ามันเป็น "กรรม" ที่เราได้สัมผัสกับสิ่งที่คนอื่นเค้าไม่ได้สัมผัสกัน ที่คิดเช่นนั้นก็เพราะว่าจะเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนบอกว่า "บ้า เพ้อเจ้อ โกหก" บางคนก็หาว่าดิฉันเครียดจนใกล้จะเสียสติไปแล้ว เลยพูดจาอะไรแปลก ๆ มีคนว่ามาก ๆ ก็เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ได้สัมผัสนั้นมันจริงหรือไม่จริงกันแน่ คราวนี้ยิ่งบ้าไปกันใหญ่ จากที่อยู่ดี ๆ แล้วเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็รู้สึกงงอยู่แล้ว ยังเพิ่มความงงด้วยคำถามที่ว่า "เห็นจริงหรือไม่จริง" เข้าไปอีก คราวนี้เลยกลายเป็นดับเบิ้ลงงไปเลย และที่สุดก็กลายเป็นดับเบิ้ลโง่ไปพักนึงเลย ถึงขนาดต้องรบกวนพี่ธงและเพื่อน ๆ ทางธรรมหลายท่านต้องลำบากในการไปเรียนรบกวนสอบถามเรื่องนี้กับหลวงปู่ท่านอีก มันน่าให้หลวงปู่ท่านเอาไม้ท่อนใหญ่ ๆ เขกหัวดิฉันนัก มันจะได้หายโง่สักที

    กว่าจะปล่อยวางคำว่า "เห็นจริงหรือเห็นไม่จริง" ไปได้ก็เกือบปางตายค่ะ ด้วยเพราะจิตมันยึดสิ่งที่เห็น มันค้น มันหา หาซึ่งคำตอบอยู่นั่นไม่เลิก จนบางทีเข้าใจว่าโดนมารหลอกไปเลย เมื่อเข้าใจว่าถูกมารหลอกก็ปิดเลยทีนี้ ไม่รับรู้สิ่งที่มาสื่อทั้งสิ้น ทั้งที่เค้ามาขอความช่วยเหลือแท้ ๆ แต่ด้วยเพราะกลัวจะเป็นมารมาหลอกก็ปิดมันซะอย่างนั้น ไปกันใหญ่เลย ไปเกินกู่เลยทีนี้

    ก็แค่ "เห็น" ก็มัน "เห็น" ก็ "เห็น" แล้วจะไปค้นหาอะไรกันอีกเล่า (ไอ้โง่) จะพิสูจน์อะไรกันนักกันหนา บทพิสูจน์ก็ดูสิว่าวิถีชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร ในการ "ให้" เขาน่ะ "เค้ามาขอ" "เราก็ให้" " มันก็ จบ" แล้วจะไปค้นหาอะไรอีก ไปดูเอาตอนท้ายสิว่าให้ไปแล้วผลมันเป็นอย่างไร วิถีชีวิตมันเป็นอย่างไร จิตใจมันสงบจากการเป็นผู้ให้มากน้อยขนาดไหน ฯลฯ ไปดูตรงนั้นสิ มัวแต่มานั่งคิดมันอยู่นั่นว่าเห็นจริงหรือไม่ มันก็ไม่ได้คำตอบอะไรหรอก เพราะมันมัวแต่ยึดอยู่นั่น หากตายไปตอนนั้นก็ยึดอยู่มันตรงนั้นกับคำถามของคนโง่ ๆ ไม่ต้องไปไหนกัน

    ดิฉัน (ด่า) ตัวเองแรงกว่านี้เยอะนะคะ ที่เขียนให้อ่านกันเนี่ยแค่เบาะ ๆ ค่ะ บ้างครั้งกับตัวเองแล้วสอนนิ่ม ๆ มันไม่ค่อยเชื่อ ก็ต้อง (ด่า) รุนแรงไปบ้าง แปลกดีนะคะ มันชอบ มันจำซะไม่มีเลย.............. หลังจากที่เริ่มวางต่อคำสงสัยที่ว่า "เห็นจริงหรือไม่" เท่านั้นแหล่ะค่ะ ก็ได้สัมผัสกับพวกเค้ามากขึ้น เป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่สงสัยในสิ่งที่ได้พบเห็น และโชคดีของดิฉันอย่างหนึ่งคือไม่ยึดในสิ่งที่เห็นหรือสัมผัส เห็นแล้วแล้วกัน สัมผัสแล้วแล้วกัน ช่วยได้ก็ช่วยเท่าที่กำลังจะมี ช่วยไม่ได้ก็วางไป และยังก่อให้เกิด "สัจธรรม" ในสิ่งที่ได้พบเห็นอีกว่า "มันทุกข์กันขนาดนี้เชียวหรือ" ก่อให้เกิดความตั้งใจ ความเมตตาที่จะช่วยเหลือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    มีหลายสิ่งที่เรียกว่า "พิสดาร" และ "แปลกมหัศจรรย์" เกิดขึ้นมากมายในชีวิตแทบทุกวัน รับรู้สิ่งใดมาก็จดลงในสมุดบันทึกเท่านั้น แต่จะไม่พยายามจดใส่จิตใส่ใจเท่าไหร่ เพราะไม่อยากจำ สิ่งใดที่จะสื่อบอกใครได้ก็จะพยายามบอกโดยต้องดูทิศดูทางในการบอกนิดหน่อย ด้วยเพราะเบื่อมากกับคำพูดที่ว่า "บ้าไปแล้ว ฉันไม่เชื่อเธอหรอก นับวันเธอยิ่งบ้า" และเมื่อบอกแล้วไม่ทำตาม ก็ไม่เป็นไร ทำเองก็ได้ ช่วยเค้าเองก็ได้ จึงกลายเป็นที่มาของคำว่า "ช่วยเท่าที่ช่วยได้อย่างเต็มกำลัง" นั่นเอง

    น่าสงสารมากนะคะสิ่งลี้ลับเนี่ย มันเหมือนเรานะ หากเราจนซึ่งหนทาง ไปขอความช่วยเหลือใครก็ไม่มีใครช่วยเลย ก็คงได้แต่นั่งร้องไห้ บอกตามตรงค่ะว่า ดิฉันเองบางครั้งก็สติแตกเหมือนกัน ช่วยเค้าไม่ได้ ก็มีนะคะที่นั่งร้องไห้ ก็ดิฉันยังปัญญาน้อยอยู่ บางครั้งช่วยไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ร้องไห้อยู่หลายครั้งจนต้องบอกกับตัวเองว่า "ไม่ไหวแล้วเรา ไม่มีสติเลย ควรช่วยแบบปล่อยวางดีกว่า เมื่อถึงเวลาของเค้า เค้าก็จะหลุดพ้นเอง เราก็ช่วยบรรเทาไปบ้างเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ยังได้ช่วยบรรเทาให้กับเค้า"

    เมื่อวานนี้ดิฉันไปทำงานค่ะ ช่วงบ่ายจะโทรกลับบ้าน โทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด สัญญาณไม่มี (คิดจะซื้อใหม่ก็เสียดายเงิน เพราะกว่าจะได้เครื่องนี้มาก็แทบแย่) ก็เดินหาคลื่นไปเรื่อย ๆ จนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องประชุม ลองบิดลูกบิดเข้าไปในห้องประชุม เมื่อก้าวเข้าไปเท่านั้นแหล่ะค่ะสัญญาณเต็มเลย ห้องมืดมากดิฉันไม่ได้เปิดไฟ เมื่อโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังจะออกจากห้องด้วยเพราะไฟก็ไม่ได้เปิด แอร์ก็ไม่ได้เปิด และดูแล้วบรรยากาศไม่น่าอยู่นานเท่าไหร่ คิดยังไม่ทันเท่าไหร่เลย เพียบเลยค่ะ เต็มห้องประชุมเลย ตั้งสติก่อนเลยทีนี้ นั่งต่อและทำสมาธิสักครู่ ลงมือเบิกบุญทันที เบิกอยู่ประมาณ 10 นาทีได้มั้งคะ จากที่เยอะ ๆ ค่อย ๆ ลดลงไปมากพอสมควร ก็ทำการเบิกต่อไปเรื่อย ๆ จำได้ว่าครู่ใหญ่ ๆ เลย คราวนี้เหลือแค่หนึ่ง ผมยาวปิดหน้าใส่เสื้อผู้ป่วยสีม่วง (เสื้อดังกล่าวนี้เป็นชุดผู้ป่วยเมื่อย้อนไปประมาณ 10 ปีที่แล้วค่ะ ซึ่งตอนนี้ที่ร.พ.นี้ไม่ใช้สีนี้แล้ว แต่ดิฉันจำได้เพราะดิฉันทำงานมา 15 ปีแล้ว รู้ดีว่าชุดนี้นานมากแล้ว) เธอนั่งก้มหน้าอุ้มลูกน้อย ๆ อยู่ ดิฉันก็กำหนดจิตถามไปว่า "ท่านไม่ได้รับบุญของเราหรือ" เท่านั้นแหล่ะค่ะจากที่เธออยู่ท้ายห้อง เธอก็มานั่งอยู่ตรงหน้าเลย เธอไม่พูดอะไรมากนอกจากบอกกับดิฉันว่า "ส่งลูกให้ไปเกิดหน่อย" ดิฉันก็เบิกบุญ เบิกไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ถามไปว่า "จะให้ทำอย่างไร" เธอบอกว่า "ทำบุญแล้วส่งให้ลูกเธอ เป็นบุญที่เกิดจากผ้าพระ" ดิฉันถามว่า "แล้วตัวเธอล่ะจะให้เราช่วยอะไร" เธอบอกว่า "ห่วงแห่งเราคือลูกเรา หากลูกเรายังไม่ไปไหน เราไปไม่ได้" เธอพูดเท่านี้แล้วเธอก็หายไป ดิฉันเองนั่งทบทวนคำพูดของเธออยู่สักครู่ แล้วก็ตามระเบียบคือ "ไม่เข้าใจ" (เบื่อตัวเองมาก ๆ ค่ะที่ไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรง่าย ๆ ในสิ่งที่เค้าสื่อกันมาเลย) และก็ตามเคยคือเมื่อไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจ ทำไงได้ ก็ปล่อยวางไปอย่างงั้นซะ กลับถึงบ้านกินข้าวเย็นเสร็จกำลังล้างจานอยู่ แม่ก็เดินมาบอกว่าพรุ่งนี้ที่วัดจะมีการทอผ้าจีวรถวายพระ ลูกจะร่วมทำบุญมั้ย ตามกำลังศรัทธา ดิฉันล้างจานไปก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็ได้แค่บอกว่า "อือ" สักครู่ก็อดนึกถึงคำพูดของผีตนนั้นไม่ได้ หันกลับไปถามแม่ทันทีว่า "ผ้าอะไรนะ" ก็ได้รับคำตอบว่า "ผ้าจีวรพระ ผ้าสบงพระ ผ้าอาบน้ำฝน " ดิฉันก็เลยบอกท่านไปว่า "ขอร่วมทำบุญด้วย จะทำวันนี้เลยได้หรือไม่" แม่บอกว่าจะเป็นกรรมการหรือไม่ล่ะ ถ้ากรรมการก็คนละ 100 บาท ดิฉันไม่รีรอรีบหยิบเงินทันที บอกแม่ไปว่า "แม่ทำจิตให้สงบนะ หนูจะฝากเงินนี้ไปทำบุญ ด้วยเพราะพรุ่งนี้หนูต้องไปทำงานพิเศษ หนูคงไม่ได้ไปวัด พรุ่งนี้ไปทำให้หนูเลยทันทีนะ" แม่ก็แบมือเตรียมรับเงิน ดิฉันเองเมื่อวางเงินเสร็จก็โอนบุญทันที นึกถึงหน้าเด็กคนนั้นทันที รู้สึกได้เลยค่ะว่ามันวูบวาบมากตรงจิต ตกตอนกลางคืนก็ฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นมายืนยิ้มให้ เค้าไม่ได้อุ้มลูกแล้ว เค้าบอกว่า "ขอบคุณนะ ขอบคุณท่านมาก" แล้วเค้าก็หายไป

    จากตอนตั้นที่ดิฉันบอกว่าการได้เห็นสิ่งลี้ลับนั้นมันเป็น "กรรม" อย่างหนึ่งของดิฉัน แต่ ณ เวลานี้ หลาย ๆ อย่างได้ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ได้สัมผัส ให้ได้ช่วยเหลือ เลยอดที่จะบอกกับตัวเองไม่ได้ว่า "แม้มันจะเป็นกรรมของเรา แต่มันก็เป็นกรรมที่เรายินดีกระทำ"

    ขอให้ทุกท่านสร้างความเพียรด้วยการเจริญเมตตาต่อสิ่งลี้ลับให้มากเถิดนะคะ พวกเขาน่าสงสารมาก ๆ เราว่าตัวของเราน่าสงสารแล้ว เรายังมีบ้านอยู่ เรายังมีข้าวกิน เรายังมีงานทำ เรายังมีกลุ่มของเพื่อน ๆ ที่ช่วยเหลือแนะนำเรา แต่พวกเค้าไม่มีใคร ได้แต่ "รอ" รอการช่วยเหลือจากพวกเราอยู่

    ดิฉันอดที่จะระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของหลวงปู่ท่านไม่ได้เลยจริง ๆ ท่านคือพระผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้จริง ๆ
     
  8. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 06 กันยายน 2005, 15:31:15
    --------------------------------------------------------------------------------

    ขอโมทนาบุญกับพี่ธงและคุณเมด้วยค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับคำชี้แนะและคำอนุโมทนาบุญนะคะ

    ตัวดิฉันเองมีนิสัยเสียมาก ๆ อยู่ข้อนึงค่ะ (รู้ตัวดีเลยค่ะ ทุกวันนี้ก็ไม่หายสักที แย่จัง… สงสัยต้องให้หลวงปู่ท่านดุเข้าให้สักวันบ้างน่ะค่ะ เผื่อจะดีขึ้น) นิสัยเสียที่ว่าก็คือ “ชอบทำเป็นไม่สนใจ เช่น ได้ยินก็จะไม่สนใจฟัง เห็นก็จะไม่สนใจเห็น ประมาณนั้นน่ะค่ะ” โดนเหล่าสิ่งลี้ลับตำหนิออกบ่อย (คงต้องปรับปรุงตัวเองอย่างมากเลยค่ะ)

    วันนี้มีประสบการณ์จะนำมาเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบกันอีกแล้วค่ะ คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เกี่ยวกับความเพียรในการเปิดบุญ เบิกบุญ โอนบุญ และก็เช่นเคยค่ะ ขอความกรุณาทุกท่านได้ใช้สติและวิจารณญาณในการอ่านด้วยอีกเช่นเคยนะคะ …………… ขอบพระคุณค่ะ

    มีอยู่วันนึงนะคะ ดิฉันนั่งดูทีวีอยู่กับครอบครัว สักครู่มีกลิ่นเหม็นโชยขึ้นมาแรงมาก ๆ เลย เหม็นจนทุกคนในบ้านได้กลิ่นกันชัดทุกคนเลยค่ะ แม่คือคนแรกที่ทักขึ้นมาก่อน ตามติด ๆ มาด้วยน้องสาวและพี่สาว ดิฉันเองก็เช่นเคยค่ะไม่ทิ้งนิสัยเดิมเลยคือ “ช่างมัน…ฉันไม่สน” (นิสัยนี้แก้ไม่ค่อยจะหายค่ะ) นั่งมันนิ่ง ๆ ซะงั้น เสมือนหนึ่งไม่ได้กลิ่น แต่ปรากฎว่ากลิ่นก็ไม่คลายลงเลย ทำให้คนในบ้านต้องช่วยกันหาสาเหตุของกลิ่น ว่าเกิดจากอะไร เป็นลักษณะของกลิ่น “คาวปลา” น่ะค่ะ มันเหม็นในลักษณะคาว ๆ บอกไม่ถูก จึงทำจิตให้สงบนิ่งสักครู่ คราวนี้ก็ชัดเจนอีกแล้ว “อยู่หน้าบ้านนู่น” ดิฉันค่อย ๆ ลุกเดินไปที่หน้ารั้วของบ้าน ขณะนั้นเจ้ามารวย (หมาที่พึ่งพิงอะไรไม่ค่อยได้ เพราะแค่ใบไม้หล่น มันยังวิ่งซะหางจุกตูดเลย) วันนี้นอกจากมันไม่ช่วยอะไรแล้ว มันยังรีบหอนทันทีที่ดิฉันเดินไปหน้าบ้าน ทำให้หมาอีกหลายตัวในซอยพร้อมใจกันหอน แรก ๆ ก็ขนลุกค่ะ แต่ว่าไม่เดินกลับเข้าบ้าน (ทำใจสู้ว่างั้นเถอะ) ดิฉันได้ยืนเบิกบุญอยู่ประมาณ 3 นาทีได้น่ะค่ะ จึงได้พบเห็นสิ่ง ๆ หนึ่งค่อย ๆ ปรากฎขึ้นตรงหน้ารั้ว มองแล้วงง เพราะไม่แน่ใจว่าคืออะไร สิ่งนั้นมีลักษณะดังนี้ค่ะ ขาเล็กลีบมาก (เหมือนไม่ใช่ขา) มีนิ้วเท้าเป็นเมือกขาวขุ่น ๆ 2 นิ้ว พุงโลมากมีเส้นเลือดปูดเห็นชัดเต็มพุงเลย ไม่มีปาก ไม่มีจมูก รูปทรงของหัวกลมโตใหญ่มาก มีตาอันเดียวอยู่กลางหัว (เกือบถึงเส้นกลางหัว ดิฉันเรียกไม่ถูกน่ะค่ะ ประมาณว่าเกือบถึงกลางกระหม่อมน่ะค่ะ) แต่แปลกตรงที่ว่าเมื่อเค้าปรากฏให้เห็นนั้น ดิฉันไม่รู้สึกว่าได้กลิ่นเหม็นอะไรเลย และแปลกอีกตรงที่ว่าดิฉันไม่มีความรู้สึกที่จะคิดถามเลยว่าเค้าคือใคร แต่เมื่อเห็นชัดขึ้น ชัดชึ้น จิตก็บอกทันทีว่า “น้าพิน น้าพินใช่มั้ย” สิ่ง ๆ นั้นพยักหน้า (ขอท้าวความสักหน่อยนะคะ น้าพินคือน้าของดิฉันค่ะ เธอตายเมื่อหลายปีก่อน เธอเป็นโรคหัวใจตาย) ได้ถามไปว่า “ทำไมน้าพินมีรูปร่างแบบนี้ล่ะ” ก็ได้รับคำตอบว่า “น้ามีกรรมมาก กว่าจะมาหาหลานได้ก็แทบแย่ ช่วยน้าด้วยนะ” ดิฉันไม่พูดพร่ำทำเพลงค่ะ กระหน่ำเบิกบุญสุดฤทธิ์เลย เบิกไปเรื่อย ๆ น้าพินก็ไม่หายไปสักที รูปร่างก็ไม่เปลี่ยนสักที ในใจก็คิดว่า “หรือบุญเราไม่พอนะ ทำไมน้าถึงไม่เปลี่ยนรูปร่างเลย” ยังคิดไม่ทันจบเลยค่ะ น้าพินไม่ตอบได้แต่ยืนจ้องดิฉันอยู่อย่างนั้น ดิฉันเริ่มไขว้เขวแล้วทีนี้ เบิกบุญไป คิดไป คิดนู่นคิดนี่ ใจมีแต่ความ “อยาก” อยากรู้ว่าจะช่วยน้าอย่างไร อยากรู้ว่าทำไมน้าไม่ได้รับบุญ จิตสงสัยไปทั่ว สักครู่ได้ปรากฎเทวดาตนหนึ่งมากระซิบบอกดิฉันว่า “จิตท่านไม่สงบเลย น้าท่านรับบุญไม่ได้หรอก น้าท่านกรรมหนัก หากจะให้น้าได้รับบุญจากท่านได้ ท่านต้องทำจิตให้สงบกว่านี้” ก็จริงอย่างที่เทวดาบอก เพราะ ณ เวลานั้นดิฉันมีแต่ “ความอยาก” ที่จะช่วยให้น้าพินพ้นทุกข์ จิตมีความ “อยาก” ที่จะช่วยจนลืมอาราธนาบารมีของพระพุทธองค์มาเป็นประธานแห่งบุญ ประกอบกับจิตสงสัยอยู่นั่นว่าคืออะไร เกิดอะไรขึ้นกับน้า คิดไปต่าง ๆ นา ๆ จนจิตไม่สงบน่ะค่ะ …….คราวนี้เริ่มใหม่ กำหนดจิตใหม่ อัญเชิญพระพุทธองค์ด้วยจิตที่นิ่งสงบ ย้อนระลึกถึงบุญใหญ่ ๆ ที่เคยกระทำมา เช่น ตอนที่มีโอกาสได้ไปบรรยายธรรม (เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม) ที่จังหวัดขอนแก่นให้กับผู้ปฏิบัติธรรมฟัง และระลึกถึงตอนที่เดินตามพระธุดงค์กลับวัด ตอนที่ดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านป่วย ฯลฯ ดิฉันนึกถึงบุญที่ระลึกได้ในภพชาตินี้ และกล่าวรวมถึงบุญที่ได้กระทำมาในภพชาติที่ผ่านมา ได้ผลค่ะ น้าพิณค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างดีขึ้น ๆ ๆ ๆ จนที่สุดกลายเป็นรูปร่างที่ไม่น่าเกลียดเหมือนตอนแรก (แต่ยังไม่มีเค้าโครงเป็นคนแบบเรานะคะ) คือมีหน้าตา มีแขน มีขา แต่อวัยวะบางส่วนเกินกว่าที่มนุษย์เรามี นั่นคือ มีตา 3 ตา มีแขน 3 แขน น่ะค่ะ ดิฉันก็เบิกบุญใหม่ เบิกไปเรื่อย ๆ น้าพิณก็ยังคงมีรูปร่างได้เท่านั้น ดิฉันเริ่มถามแล้วทีนี้ ถามน้าพิณไปว่า “จะให้หนูช่วยอย่างไร น้าถึงจะไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้ เปลี่ยนแปลงได้ดีกว่านี้” น้าพิณพูดขึ้นมาว่า “ปลา” ดิฉันก็งงว่าปลาอะไร ก็ถามไปว่า “ปลาอะไร จะให้ช่วยอะไร” น้าพิณก็ตอบกลับมาอีกครั้งก่อนหายไปว่า “ปล่อยปลา” บอกเสร็จก็หายไปเลย ดิฉันก็กำหนดจิตถามเทวดาเมื่อสักครู่ว่า “ปล่อยปลาคืออะไร” เทวดาท่านก็เมตตากระซิบบอกว่า “ปล่อยเจ้ากรรมนายเวรของน้าท่านที่เป็นปลา เดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านจะรู้เอง”
    ดิฉันเดินกลับเข้าบ้านแบบงง ๆ เช่นเคย (เมื่อไหร่ปัญญาของดิฉันมันจะฉลาดขึ้นก็ไม่ทราบ มันดูโง่ ๆ ยังไงบอกไม่ถูกค่ะ มันมักจะงงแบบไม่น่างง แต่มันก็งงจนได้)

    ก่อนนอนคืนนั้นดิฉันถามแม่ว่าน้าพิณตอนมีชีวิตอยู่เป็นคนแบบไหน ทำมาหากินอะไร (ดิฉันไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่กับน้าคนนี้ เค้ามีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของแม่น่ะค่ะ น้าพิณพักอยู่แถวลาดพร้าว ซึ่งคนละที่กับที่ดิฉันพักอยู่ เราไม่ค่อยได้พบเจอกันบ่อยนัก) แม่บอกว่าน้าพิณชอบกินปลามาก กินปลาทุกชนิด ที่สำคัญชอบกินแบบไม่สุก ประมาณว่าพอฆ่าปลาเสร็จก็ทำกินเลย เช่น ยำสด ๆ บ้าง หรือทำเป็นลาภบ้าง ที่สำคัญการฆ่าปลาของน้าพิณนั้นฆ่าโหดมาก ๆ ชอบใช้ก้อนหินทุบหัวปลา หรือไม่ก็ใช้เหล็กหรือไม้แหลม ๆ เสียบตรงหน้าอกปลา ปลายังไม่ตายก็ย่างสด ๆ เลย ฟังแล้วดิฉันหน้าถอดสีเลยค่ะ พูดไม่ออกเหมือนกัน หลังจากแยกตัวเพื่อเข้านอนดิฉันได้กำหนดทำสมาธิสักครู่ เมื่อจิตสงบก็เห็นนิมิตหนึ่งปรากฎขึ้น เป็นนิมิตของชายคนหนึ่งเดินจูงลูก ดิฉันก็เช่นเคยค่ะ เห็นแล้วก็เฉย ๆ ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำเพราะคิดว่า “มันคงเป็นอารมณ์ของจิต” แต่ว่านิมิตนั้นมันไม่หายสักที ปรากฎอยู่นั่น ก็เลยดูแบบสงบ ๆ ไปเรื่อย ๆ ชายดังกล่าวสักครู่กลายเป็นปลา วนอยู่อย่างนั้นระหว่างหน้าของชายคนนั้นกับปลา ดิฉันก็ไม่ได้ถามว่า “คืออะไร” เคยได้ฟัง CD ของหลวงปู่ท่านเหมือนกันว่า “ให้ถามเมื่อจิตสงบ ถามออกไปเลยว่า คืออะไร” แต่ในคืนนี้ดิฉันไม่ถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่อยากถาม เมื่อออกจากสมาธิดิฉันก็นอนหลับตามปกติ

    เป็นที่น่าแปลกว่าทุก ๆ เช้าวันอาทิตย์ดิฉันจะตื่นสายมากประมาณ 9 โมงเช้า เพราะจันทร์ถึงศุกร์ดิฉันจะตื่นตีห้าสิบห้าตลอด และวันเสาร์จะตื่นหกโมงเช้า ทำให้วันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดกลายเป็นวันแห่งการให้รางวัลตัวเองด้วยการตื่นสายสักหน่อย ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ทุกวันอาทิตย์ แต่ปรากฎว่าอาทิตย์นั้นดิฉันตื่น 6 โมงเฉยเลย จะนอนต่อก็ไม่หลับ ฝืนข่มตานอนต่อก็ไม่หลับ เลยต้องลุกจากที่นอนเลยคราวนี้ ตื่นมาเมื่ออาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็ทำความสะอาดบ้านค่ะ ช่วงที่กำลังล้างจานอยู่นั้น ได้ยินเสียงพ่อค้าตะเบ็งขึ้นมาว่า “ปลาครับปลา ปลาถูก ๆ เป็น ๆ สด ๆ ครับ” ฟังตอนแรกก็เฉยตามระเบียบพวกปัญญาทึบอย่างดิฉันน่ะค่ะ พ่อค้าปลาก็ตะเบ็งขายของอยู่อย่างนั้นไม่เลิก ฟังไปเรื่อย ๆ จึงทำให้นึกถึงน้าพิณขึ้นมาได้ ดิฉันรีบวางจานลงแล้ววิ่งออกไปหน้าบ้านทันที ขวักมือเรียกพ่อค้าปลา ซึ่งตอนแรกพ่อค้าปลาไม่ยอมหยุดรถ จะเข้าไปขายในซอยก่อน แต่ดิฉันไม่ยอม รีบตะโกนบอกเลยว่าช่วยวกกลับมาก่อน เมื่อพ่อค้าปลาวกรถกลับมาถึงหน้าบ้านดิฉันมองเห็นปลาเต็มกะละมังเลย คราวนี้ก็เอาแล้วสิ จะเอาปลาตัวไหนดี จิตระลึกถึงนิมิตเมื่อคืนในสมาธิทันที และก็ระลึกถึงน้าพิณ กำหนดจิตนิ่งสักครู่ขออำนาจคุณพระพุทธเจ้าได้เป็นประธานในความดีของลูกครั้งนี้ด้วยเถิด ช่วยส่งจิตอธิษฐานของลูกนี้สื่อถึงน้าพิณและชายในนิมิตให้ได้ด้วยเถิด แล้วดิฉันก็บอกในใจว่า “หากจะเป็นบุญได้ช่วยเหลือกันแล้ว ข้าพเจ้ายินดีที่จะช่วย ท่านใดเป็นนายเวรที่จะช่วยส่งวิญญาณน้าพิณของข้าไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ โปรดแสดงตัวออกมาเถิด เป็นโอกาสที่ท่านจะได้ทำบุญร่วมกับข้าในครั้งนี้แล้ว ถือเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่นะท่าน จงช่วยกันสร้างบุญในครั้งนี้ด้วยเถิด” ดิฉันนึกยังไม่ทันจบค่ะมีปลาตัวนึงมันทะลึ่งตัวขึ้นมาจนหัวมันติดกับตะข่ายที่กั้นไว้ ดิฉันไม่พูดอะไรมากรีบชี้เลยค่ะว่าเอาตัวนี้แหล่ะ พ่อค้าบอกว่าราคา 65 บาท ดิฉันไม่ต่อเลยสักคำ เมื่อซื้อเสร็จก็มองไปในกะละมังเห็นปลาเป็น ๆ อีก 5 ตัวที่ยังไม่ตาย นอกนั้นก็ใกล้จะตายแล้ว เลยถามพ่อค้าปลาไปว่า อีก 5 ตัวที่ยังไม่ตายถ้าจะซื้อเป็นเงินเท่าไหร่ เค้าคิดดิฉันตัวละ 50 ค่ะ ดิฉันก็เอาหมดเลย ส่วนตัวที่ใกล้ตาย (มีอยู่หลายตัวเลย) ดิฉันก็เบิกบุญให้สักครู่ และต้องตัดใจที่จะไม่ซื้อ เนื่องจากหากต้องซื้อทั้งหมดเงินคงไม่พอแน่ค่ะและหากนำไปปล่อยก็คงจะไม่รอดแน่ ดิฉันเมื่อได้ปลาแล้วก็เดินไปที่สระน้ำตรงข้ามซอยบ้านทันที นำเอาปลาตัวแรกที่ซื้อมาทำการปล่อยลงน้ำ โดยปล่อยปุ๊บดิฉันก็โอนบุญให้น้าพิณปั๊บเลย และเบิกบุญส่งต่อให้กับเทวดาของปลาตัวนั้นด้วยเช่นกัน พร้อมทั้งปล่อยอีก 5 ตัวโดยโอนบุญให้กับน้าพิณและเทวดาของปลาตัวแรกทันที จากนั้นก็เบิกบุญต่อให้กับเทวดาของปลาอีก 5 ตัว และนำเอาผลบุญทั้งหมดเบิกบุญย้อนศรกลับให้กับน้าพิณอีกรอบ (งงเหมือนกันว่าทำไมตัวเองทำการเบิกบุญซ้อนหลายตลบเช่นนั้น แต่จิตมันจะทำ ก็ทำตามไป ไม่ได้ไปขัดขืนอะไรกับจิตมัน ซึ่งสัมผัสได้ว่าแต่ละรอบที่เบิกแล้วส่งนั้นจ้ามาก ๆ ค่ะ ขนลุกสุด ๆ เลย)

    จิตใจเบิกบานมาก ๆ เลย เดินกลับมาถึงบ้านแม่บอกว่า “ซื้อปลามาเยอะเลยเหรอ ไปไหนหมดแล้วหล่ะ เห็นพ่อจะให้ทำแกงส้มกินกัน” ดิฉันตอบกลับไปว่า “ปลายังไม่ตายเอาไปปล่อยแล้ว” แม่ก็บอกว่า “แล้วซื้อมาทำไมปลายังไม่ตาย บ้านเราไม่เคยซื้อปลาเป็นนะ ทีหลังไม่เอานะ ถ้าจะซื้อปลาต้องเลือกที่ตายแล้ว” ดิฉันไม่พูดไรมากได้แต่บอกไปว่า “ไม่คิดจะกินปลาเลยจ๊ะ ตั้งใจจะซื้อไปปล่อยน่ะ” แม่ก็เลยเงียบไป

    ตกตอนกลางคืนดิฉันนั่งสมาธิเช่นเคย คราวนี้มีนิมิตของเทวดาตนนึงมาปรากฎมีรูปร่างสวยงามมาก แต่จิตบอกว่านี่แหล่ะคือน้าพิณ ดิฉันยิ้มให้กับเทวดาตนนั้น ซึ่งเทวดาตนนั้นก็ยิ้มตอบ ไม่พูดอะไร แล้วก็หายไป จิตบอกกับดิฉันว่า “น้าพิณไปดีแล้ว” และจิตก็บอกกล่าวให้ได้ทราบว่า “เมื่อครั้งน้าพิณยังมีชีวิตอยู่ น้าพิณได้ฆ่าปลาตัวหนึ่งตาย ซึ่งปลาตัวนั้นคือพ่อของน้าพิณจากชาติก่อนนั่นเอง และปลาตัวที่ปล่อยนี้ก็คือพ่อจากอีกชาติที่มาแก้กรรมด้วยการให้น้าพิณได้ปลดปล่อยชีวิตเพื่อไถ่กรรม” แต่ทั้งหลายทั้งปวงดิฉันไม่สนใจที่จะรับรู้ค่ะ รู้แต่ว่าวันนี้เป็นสุขเหลือเกินที่ได้มีโอกาสปลดปล่อยชีวิตปลาให้ได้เป็นอิสระ

    และดิฉันก็อดที่จะดีใจไม่ได้ค่ะ ที่อย่างน้อยเงินอันน้อยนิดที่ดิฉันพอมีติดตัวอยู่นั้น สามารถช่วยทำให้น้าพิณได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้นได้ และก็ไม่แปลกที่สัปดาห์นั้นดิฉันต้องรับประทานมาม่าแทนข้าวกลางวัน แต่มันกลับเป็นรสชาดของมาม่าที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมาเลยค่ะ

    โมทนาบุญค่ะ
     
  9. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 08 กันยายน 2005, 15:12:48
    --------------------------------------------------------------------------------

    มีประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกแล้วเช่นเคยค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยกับทุกท่านนะคะ แล้วก็เช่นเคยนะคะ คือใคร่ขอความกรุณาให้ทุกท่านได้อ่านด้วยสติและวิจารณญาณ ………ขอบพระคุณค่ะ

    เมื่อตอนเที่ยงที่ผ่านมานี้เอง หลังจากทานข้าวเสร็จดิฉันก็ขึ้นห้องพระที่ทำงานอีกเช่นเคย เพื่อนั่งสมาธิ และก่อนนั่งก็ตามระเบียบค่ะคือได้อาราธนาอัญเชิญพระพุทธองค์มาเป็นประธานในผลบุญที่จะเกิดขึ้น และเชิญเทวดาผู้มีบุญญาธิการ 1 องค์ มาเป็นผู้คอยบอกแถวบอกกลุ่มให้กับสิ่งลี้ลับได้รับทราบเกี่ยวกับการเข้ารับบุญ รวมถึงบอกให้สิ่งลี้ลับได้ทำการตั้งจิตอธิษฐานในการรับบุญ ซึ่งหนึ่งในคำกล่าวทั้งหลายที่บอกกับสิ่งลี้ลับนั้น จะมีอยู่หนึ่งสิ่งที่สำคัญนั่นคือคำบอกกล่าวที่ว่า “ขอพวกท่านจงได้อธิษฐานให้บุญที่ได้รับนี้นำพาพวกท่านเลื่อนสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น เป็นภพภูมิสู่ความหลุดพ้น ภพภูมิแห่งศิลแห่งธรรม”

    ดิฉันนั่งสมาธิไปได้สักครู่ ก็นึกสนุกขอกำหนดดูสักนิด เพราะมักจะได้รับทราบจากเทวดาอยู่บ่อย ๆ ว่ามีสิ่งลี้ลับบางจำพวก “เกเร” นั่นคือ ได้รับบุญแล้วไปเลย ไม่ยอมตั้งจิตอธิษฐานเลื่อนภพภูมิ ทั้งที่สามารถเลื่อนได้ ดิฉันก็คิดในใจว่า “วันนี้ขอดักดูหน่อย” เมื่อทำการดักดูก็ได้พบเห็นสายการเข้ารับบุญแต่ละกลุ่มแต่ละแถวของสิ่งลี้ลับยาวมาก ๆ ค่ะ ทยอยกันเข้ารับบุญ โดยมีเทวดา 1 องค์คอยบอกกลุ่มบอกแถว บอกกฎกติกาในการเข้ารับบุญ เมื่อเห็นเช่นนั้นดิฉันก็หยุดที่จะดูต่อค่ะ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ควรจะดูต่อ จึงค่อย ๆ กำหนดจิตกลับเข้าสู่การทำสมาธิอีกครั้ง กำหนดลมเข้า-ออกตรงปลายจมูก (ตามจริตของตัวเองไปเรื่อย ๆ) สักครู่เมื่อจิตสงบ นิวรณ์เริ่มไม่มาก่อกวนแล้ว จึงค่อยๆ กำหนดพิจารณาสิ่งที่เป็นกุศลธรรมขึ้นทันที เพื่อให้เกิดปัญญา (สิ่งที่จะให้พิจารณานั้นจิตเค้าจะกำหนดให้เองค่ะ แต่ละครั้งของการนั่งก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละเรื่องที่พิจารณา) ในการนั่งครั้งนี้เค้าให้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องของ “การยึดมั่นถือมั่น” ค่ะ ระหว่างที่เรื่องดังกล่าวผุดขึ้นมาในสมาธิให้พิจารณาอยู่นั้น ได้เห็นชัดเจนว่ามีเทวดาและสิ่งลี้ลับบางจำพวกไม่ไปไหน (เยอะพอสมควร) นั่นคือเข้ารับบุญแล้วไม่ไปในทันที คือรับแล้วยังอยู่ต่อ ดิฉันไม่ใส่ใจในสิ่งลี้ลับเหล่านั้น ดึงจิตเข้าสู่การพิจารณาในเรื่องดังกล่าวไปเรื่อย ๆ ข้อธรรมต่าง ๆ ที่ผุดในสมาธินั้นเสมือนหนึ่งกลุ่มสิ่งลี้ลับเหล่านั้น (ที่รออยู่) จะได้รับทราบไปพร้อม ๆ กับดิฉันด้วยเช่นกัน สังเกตได้ว่าบางจำพวกถึงกับร้องไห้เมื่อได้ฟังธรรมนั้น บางจำพวกนิ่งสงบรับฟัง และในช่วงดังกล่าวนั้นเองพวกเค้าแสดงอะไรบางอย่างให้ดิฉันเห็นในทันที นั่นคือ การค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงสภาพ บางกลุ่มเปลี่ยนแปลงเร็ว บางกลุ่มค่อย ๆ เปลี่ยน บางกลุ่มหายวับไปเลยก็มี ดิฉันได้กำหนดรับรู้แล้วก็วางไป กลับเข้าสู่การพิจารณาต่อไปเรื่อย ๆ สักครู่ได้ปรากฎเทวดาท่านหนึ่งยืนจ้องหน้าดิฉันอยู่ ดิฉันก็ได้กำหนดถามออกไปว่า “ท่านเป็นใคร มีสิ่งใดให้ช่วยหรือไม่” เทวดาตนนั้นบอกกับดิฉันว่า “ท่านจำเรามิได้หรือ เราคือญาติของท่านไง ท่านลืมเราแล้วหรือ” แล้วสักครู่ก็ปรากฎภาพนิมิตของตัวดิฉันในชาติหนึ่ง ทำให้ได้รับรู้ในทันทีว่า “เทวดาท่านนี้เคยเป็นอะไรกับดิฉันมาก่อนในชาตินั้น” ได้ถามกลับไปว่า “แล้วมีสิ่งใดให้ช่วย” เทวดาท่านนั้นกล่าวว่า “เราไม่มีสิ่งใดให้ท่านช่วยหรอก แต่เราจะมาช่วยท่านต่างหาก” แล้วเทวดาก็เริ่มกล่าวกับดิฉันว่า “เรารู้ว่าท่านกำลังยึดติดอยู่ในรัก ท่านดูเราสิ เราไปไหนไม่ได้ ด้วยเพราะเรายังยึดอยู่ในรักที่มีต่อท่านเช่นกัน เราจึงไปไหนไม่ได้สักที” จึงได้ถามกลับไปว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังยึดอยู่ในรัก” เทวดาท่านนั้นไม่บอกอะไร แต่กำหนดอดีตชาติให้เห็นอีกครั้ง (ดิฉันขอไม่เล่านะคะว่าคืออะไร) แต่เมื่อได้เห็นแล้วก็พอจะรู้เลยทันทีว่า “เหตุใดเทวดาท่านนี้จึงติดอยู่ในรักที่มีต่อดิฉันและทำไมดิฉันถึงได้ยึดติดกับรักอยู่ในขณะนี้” ดิฉันได้รับข้อธรรมจากเทวดาท่านนี้มากเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะสอนอะไรให้กับดิฉันมากมาย งงว่าทุกทีเราจะสอนพวกเค้า ทำไมคราวนี้เค้ากลับมาสอนเรานะ เมื่อได้รับทราบข้อธรรมจบแล้ว ดิฉันได้กล่าวขอบคุณและโอนผลบุญที่ได้รับข้อธรรมในครั้งนี้ส่งกลับให้เทวดาท่านนั้นทันที แทบไม่น่าเชื่อว่าเทวดาท่านนั้นหายวับไปในทันที จิตก็บอกได้ว่า “เค้าไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้นแล้ว”

    ออกจากสมาธิแล้วก็บอกกับตัวเองว่า มิใช่เรานะที่ให้ข้อธรรมกับพวกเค้าได้ พวกเค้าเองก็สามารถให้ข้อธรรมกับเราได้เช่นกัน หากมีภพชาติที่เคยเกื้อหนุนหรือเคยให้กันมาก่อน และพวกเค้าจะรู้สึกยินดีมากที่จะได้ช่วยเหลือเรา ด้วยเพราะผลบุญแห่งการช่วยเหลือเรานั้น เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับพวกเค้า

    ดิฉันกลับมานั่งทำงานสักครู่ในช่วงบ่าย จิตก็อดนึกถึงเรื่อง “เทวดาสอนธรรม” ไม่ได้สักที พยายามวางสิ่งสงสัยตรงนี้ ก็วางไม่ได้ เอาวะ ในเมื่อวางไม่ได้ก็ตามรู้ไปเรื่อย ๆ ละกัน สักครู่ระหว่างนั่งดูความสงสัยไปเรื่อย ๆ นั้นเอง ก็มีเทวดามากระซิบ (ขอบอกเลยว่าเทวดาที่มากระซิบท่านนี้มีบารมีมาก และมักจะคอยกระซิบบอกกล่าวอะไรกับดิฉันมากมาย ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นเทวดาที่ดิฉันเคยขอกับหลวงปู่ให้ตามมาอยู่กับดิฉัน และหลวงปู่ท่านก็อนุญาตให้มา เมื่อครั้งหลังสุดที่เคยไปกราบหลวงปู่ท่านน่ะค่ะ) เทวดาท่านบอกกับดิฉันว่า “ไม่ต้องสงสัยหรอกท่าน ท่านเคยให้กับเขาไว้ เขาก็มาให้ตอบ ก็เท่านั้น ขอให้มีสติในการรับรู้ก็พอแล้ว และจงรับรู้เถิดว่า ท่านเมตตาพวกเขา พวกเขาก็เมตตาท่าน ดังนั้นมีสิ่งใดที่พวกเขาจะตอบแทนได้ พวกเขาจะช่วยกันในทันที”

    ทำให้ดิฉันได้รับทราบว่า ความเมตตาที่เกิดจากการ “เปิดบุญ” “โอนบุญ” “เบิกบุญ” นี้เอง ช่วยส่งผลให้มิมีความแตกต่างเกิดขึ้นระหว่าง “คน” กับ “สิ่งลี้ลับ” เป็นความเมตตาที่มิมีข้อจำกัดเลยจริง ๆ

    ขอบุญอันเป็นธรรมทานในครั้งนี้จงส่งผลถึงเทวดาที่ได้ให้ข้อธรรมแก่ข้าพเจ้า ให้ได้หลุดพ้นในที่สุด สาธุ

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2007
  10. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 15 กันยายน 2005, 15:07:00
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบสวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ กัลยาณมิตรทางธรรมทุกท่านค่ะ

    ช่วงนี้หลาย ๆ ท่านอาจกำลังประสบกับปัญหาภาวะน้ำท่วมอยู่ ดิฉันและคุณเมก็เช่นกันค่ะ (หนักพอสมควรเลย) เพราะบ้านของเราสองคนอยู่ซอยติดกัน หมู่บ้านของเราจะแบ่งเป็นโซน ซึ่งโซนบ้านของดิฉันกับคุณเมจะเป็นโซนบ้านที่มีถนนค่อนข้างต่ำมาก ดังนั้นเมื่อวานและวันนี้สภาพที่เป็นอยู่ก็คือมีปริมาณน้ำท่วมสูงเลยเข่า รถทุกชนิดไม่สามารถขับผ่านได้เลย ต้องลุยน้ำเพื่อไปขึ้นยังถนนใหญ่อีกบริเวณหนึ่ง (เดินไกลมาก) เมื่อเช้าดิฉันก็ได้โอนบุญให้กับพวกนาคแล้วค่ะ (ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลประการใด เพราะขณะนี้ฝนเริ่มตกอีกแล้ว)

    ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณเมและเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าวด้วยนะคะ

    ต้องขอขอบพระคุณ "คุณตวง" ที่ได้นำส่งหนังสือธรรมะมาให้ดิฉันกับมนตรา เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ (ของหลวงตามหาบัวและหลวงปู่เจี๊ยะ) ขอบุญุกุศลในการได้อ่านหนังสือธรรมะของดิฉันและมนตราในครั้งนี้ ได้เป็นภวปัจจัยบุญปัจจัยกุศลดลบันดาลให้คุณตวงเจริญทั้งทางธรรมและทางโลกยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะคะ

    วันนี้ก็มีประสบการณ์บางอย่างจะมาเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบกันอีกครั้ง และก็เช่นเคยนะคะ คือขอให้ทุกท่านได้ใช้สติและวิจารณญาณในการอ่านและทำความเข้าใจ ซึ่งสิ่งใดจะเป็นแนวทางหรือเป็นประโยชน์ในการสร้างสมความดีให้กับทุกท่านได้ ดิฉันก็ขอโมทนาบุญเป็นอย่างยิ่งค่ะ

    สองสามวันก่อนในช่วงเย็น ระหว่างที่นั่งทานข้าวกันอยู่ น้องชายของดิฉันก็เล่าความฝันให้ฟังว่า ได้พบเจอชายร่างสูงท่านหนึ่งในฝัน ผิวดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สูงมาก ๆ ตัวใหญ่มาก ๆ ถือตะบองยืนอยู่ท้ายซอย ในฝันนั้นก็มีน้องชายและเพื่อนของน้องอยู่ประมาณ 3 คน ชายร่างสูงท่านนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจาก "ยักษ์" เลย เขามาดักซุ่มอยู่ท้ายซอย และแอบบมองบางสิ่งอยู่ น้องชายดิฉันเหลือบไปเห็นเข้าก็เลยจ้องมองกลับไปด้วยความตกใจอยู่นาน พอมองไปปุ๊บเขาก็หลบหลังต้นไม้ปั๊บ น้องชายก็มองไปอีก เขาก็หลบอีก พร้อมกับทำมือจุ๊ที่ปากให้น้องชายเงียบ ๆ สักพักน้องชายก็ตื่นจากฝัน รู้สึกแปลกใจในความฝันที่เกิดขึ้น จึงได้มาถามดิฉันว่าเมื่อคืนที่เขาฝันนั้นมันคืออะไร ดิฉันก็ตอบไปตามคำที่หลวงปู่ท่านได้เคยแนะนำ (ได้ฟังจาก CD น่ะค่ะ) ว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีที่มาที่ไป ทุกอย่างมีเหตุจึงมีผล และมีผลจึงมีเหตุ และบอกน้องชายไปว่า "ไม่ต้องคิดมากหรอก เบิกบุญหรือโอนบุญให้กับเค้าไปซะ" (ต้องขอท้าวความสักเล็กน้อยนะคะ น้องชายของดิฉันไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับสักเท่าไหร่ ประมาณว่าฟังได้ ไม่เถียง ไม่ว่า แต่ว่าจะให้เชื่อ คือประมาณว่าให้ปฏิบัติตามนั้น เขาจะไม่ค่อยทำตามค่ะ) ดิฉันพูดเสร็จก็รู้ดีว่าน้องคงไม่ทำตามหรอก เบิกบุญกับโอนบุญน่ะ ก็เลยคิดไปว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราทำให้ก็ได้ (ดิฉันเองไม่ค่อยบังคับใครในบ้านค่ะ ประมาณว่าบอกกล่าวไปแล้วจะทำตามหรือไม่ทำตามก็ไม่ใส่ใจ เป็นอย่างนี้มานานแล้ว แต่เค้าก็จะทำกันบ้างนะคะ แต่ทำไม่บ่อยนัก จะมีที่ทำบ่อยแทบทุกวันก็คือน้องสาว)

    คืนนั้นดิฉันก็นั่งสมาธิเช่นเคย คราวนี้มาปรากฏให้เห็นเลยค่ะ รูปร่างเหมือนในฝันที่น้องชายเล่าให้ฟังเลย ดิฉันก็ถามไปว่า "ท่านคือผู้ที่ไปปรากฎในฝันน้องชายเราใช่หรือไม่" เค้าก็ตอบกลับมาว่า "ใช่" ก็เลยเอ่ยถามไปอีกว่า "ท่านต้องการอะไรจากน้องชายเราหรือป่าว" เค้าก็ตอบกลับมาว่า "มันมีบุญมาก แต่มันเหนียวบุญนัก ข้าเลยต้องมาปรากฎให้มันแบ่งบุญให้ข้าหน่อย มันและข้าเคยมีกรรมร่วมกันมาแต่อดีต แต่ข้าไม่ได้จะมาทำร้ายมันหรอกนะ แค่จะมาขอบุญจากมันเท่านั้น" ดิฉันก็ถามไปว่า "แล้วทำไมท่านไม่มาขอกับเราล่ะ" เค้าสวนกลับมาแบบดุ ๆ ทันทีว่า "เข้าถึงซะที่ไหนล่ะ บุญของท่านส่วนใหญ่เป็นบุญที่เกิดจากการภาวนา ข้ามิได้ต้องการบุญชนิดนี้ ขอไปก็รับไม่ได้" ดิฉันก็เลยเอ่ยไปว่า "แต่เราก็ทำทานและศิลอยู่พอสมควรนะ ท่านจะไม่ได้รับเลยหรือ ท่านอยู่บริเวณซอยนี้ ข้าก็เอ่ยให้อยู่ทุกวันแล้วนี่" เค้าก็ตอบกลับมาแบบโกรธ ๆ ว่า "จริงอยู่ว่าท่านเอ่ยให้เรา แต่ท่านมิได้ระบุให้เราได้ในสิ่งที่เราควรได้ เราจึงไม่ได้รับ และการที่เรามาติดต่อกับน้องท่านนั้น ด้วยเพราะมีกรรมร่วมกันมา จึงน่าจะได้รับโดยตรงมากว่า" ดิฉันทำจิตสงบสักครู่จึงได้รู้ว่าสิ่งลี้ลับท่านนี้เคยมีกรรมร่วมกับน้องชายของดิฉันมาก่อนจริง ๆ" แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามกลับไปว่า "แล้วเราควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ท่านได้รับบุญจากเรา ท่านต้องการสิ่งใดหรือ" เค้าก็ตอบกลับมาว่า "เราต้องการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เราไม่อยากเป็นเช่นนี้" ดิฉันจึงทำการเบิกบุญ โดยเบิกติดต่อกัน (กล่าวกลับไปกลับมาอยู่ประมาณ 5 นาที) ได้ผลค่ะ เค้าค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างคือตัวเล็กลง มีสภาพที่ดีขึ้น เค้ากล่าวขอบคุณดิฉันพร้อมกับบอกดิฉันว่า "บุญภาวนาจะได้กับบางสิ่งลี้ลับเท่านั้น แต่บางสิ่งที่ไม่ต้องการบุญจากการภาวนานั้น จะไม่สามารถรับได้ เพราะมันเป็นบุญสูง ท่านควรเบิกบุญบ่อย ๆ เพราะจะมีบุญอื่นที่มิได้เกิดจากการภาวนาอย่างเดียวติดพ่วงมาด้วย จะทำให้บางสิ่งลี้ลับได้รับในสิ่งที่ตนควรได้รับเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ที่ผ่านมาจะมีบางสิ่งที่ขวางเราอยู่มิสามารถเข้าถึงตัวท่านได้ เพราะพวกเค้าจะหวงเอาแต่บุญภาวนาจากท่าน การเบิกบุญบ่อย ๆ จะช่วยพวกข้าและบางสิ่งลี้ลับให้ได้รับบุญเฉพาะเจาะจงมากขึ้น" และก่อนเค้าจะจากไปนั้น เค้าบอกกับดิฉันว่า "เร็ว ๆ นี้ น้องชายท่านจะเริ่มเบิกบุญ โอนบุญมากขึ้น" ดิฉันเองก็ต้องขอบคุณในคำชี้แนะของเค้าอย่างมาก ที่ช่วยชี้แนวทางในการส่งบุญให้กับดิฉันเพิ่มขึ้น

    วันรุ่งขึ้นในช่วงเย็น น้องชายดิฉันกลับมาจากทำงาน เดินผิวปากเค้ามาเลย ดูอารมณ์ดีมาก เดินมาปุ๊บก็ไหว้พ่อกับแม่เลย (ทั้งที่ไม่ค่อยจะไหว้เท่าไหร่) และเดินไปที่ตู้ปลา หยิบอาหารปลาเทให้กับปลา (ทั้งที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อย) ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ ปกติแล้วมารวย (หมาที่จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับน้องชายดิฉัน) ซึ่งมันไม่เคยที่จะได้รับอะไรจากนอกชายดิฉันเลย นอกจากเสียงตะคอก วันนี้มันกลับได้น่องไก่ใหญ่ ๆ ที่น้องชายซื้อมาให้มันโดยเฉพาะ สร้างความแปลกใจให้กับคนในบ้านอย่างมาก แม้แต่ตัวดิฉันเองยัง "งง" เลยค่ะ น้องชายหายเข้าไปในห้องสักครู่ ก็เดินออกมาบอกกับดิฉันว่า "วันนี้พี่ไม่เปิด CD หลวงปู่ดูเหรอ ผมเห็นพี่ดูแทบทุกเย็น ทำไมวันนี้ไม่เปิดล่ะ" ก็เลยบอกน้องไปว่า "พี่ดูเพิ่งจบไปน่ะ จะดูอีกป่าวล่ะ จะได้เปิดให้" เค้าก็พยักหน้า ดิฉันก็เลยรีบเปิด CD ให้เค้าดู น้องดิฉันนั่งดูจนจบ ดูอย่างสนใจ พอดูจบก็ไม่ได้พูดอะไรกับดิฉันอีก เค้าก็ทำภารกิจของเค้าแล้วก็เข้านอนตามปกติ

    วันถัดมาเมื่อดิฉันกลับมาถึงบ้าน พอก้าวเข้าบ้านปุ๊บพ่อก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า รู้หรือยังว่าน้องได้เลื่อนตำแหน่งงานน่ะ เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกเลยนะ ได้เงินค่าตำแหน่งและได้เงินอะไรอีกไม่รู้หลายพันเลย ฟังตอนแรกก็เฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะรู้ดีว่าน้องชายเป็นคนที่ขยันทำงานมากอยู่แล้ว และดวงทางด้านหน้าที่การงานนั้นเค้าดีมาตลอดอยู่แล้ว (เค้าไม่ค่อยมีกรรมซ้ำกรรมซ้อนเหมือนพี่สาวเค้าคนนี้หรอกค่ะ) และพ่อก็บอกกับดิฉันว่า "น้องบอกกับพ่อว่า เค้าเบิกบุญ โอนบุญให้กับยักษ์ตัวที่ฝันนั่นแหล่ะ และเค้าท้ายักษ์ว่าหากเค้าได้เลื่อนตำแหน่งนะ เค้าจะเบิกบุญ โอนบุญให้ยักษ์ และจะทำเช่นนี้ให้กับสิ่งลี้ลับไปเรื่อย ๆ เท่าที่เค้าจะทำได้ น้องมันเลยทำอะไรแปลก ๆ อย่างที่เราเห็นเมื่อวานน่ะ" พอดิฉันฟังจบก็อดนึกถึงคำพูดของยักษ์ตนนั้นที่มาบอกในสมาธิไม่ได้ ในใจก็คิดว่า "ช่วยได้จริง ๆ หรือนี่" และก็คิดต่อไปว่า "มันคงเป็นโชคของน้องชายในส่วนหนึ่งด้วย และก็เกิดจากการช่วยเหลือของยักษ์ตนนี้ด้วยก็เป็นได้"

    ในคืนนั้นดิฉันทำสมาธิตามปกติ เค้าก็มาปรากฎอีก ดิฉันก็ยิงคำถามใส่ทันทีว่า "ท่านช่วยน้องชายข้าหรือป่าว" เค้าก็ตอบว่า "ใช่ เราช่วยเค้าเอง ท่านรู้มั้ยการได้ช่วยทำให้มนุษย์ศรัทธาในการทำความดีนั้นน่ะ เป็นบุญที่พวกข้าอยากทำ และต้องการจะทำกันทั้งสิ้น แต่หากไม่เคยมีบุญมีกรรมต่อกันมาแล้ว ก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะมนุษย์มีบุญมากกว่าพวกข้า จะช่วยโดยไม่มีกรรมต่อกันคงจะไม่ได้ นอกเสียจากข้าจะเลื่อนภูมิสูงขึ้น และมีบุญมากกว่ามนุษย์ท่านนั้น จึงจะทำได้ ส่งเสริมกันได้" ในการมาปรากฎของยักษ์ตนนี้ในครั้งนี้นั้น รูปร่างไม่ใช่ยักษ์แล้ว คล้ายจะเปลี่ยนภูมิที่สูงขึ้นแล้วนั่นเอง ดิฉันจึงเอ่ยถามไปว่า "ขณะนี้ท่านสามารถรับบุญจากการภาวนาของข้าได้หรือยัง" เค้าตอบว่า "ได้แล้ว เราได้รับแล้ว ขอบคุณท่านมาก" แล้วเค้าก็จากไป

    หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เจ้าน้องชายของดิฉันมันก็ศรัทธาหนัก มันดู CD ของหลวงปู่จะครบทุกแผ่นแล้ว จากที่พูดจากับพ่อแม่แบบห้วน ๆ มันก็หันมาพูดไพเราะมากขึ้น ถามสารทุกข์สุกดิบกับพ่อแม่มากขึ้น ดิฉันก็เลยเสริมกับน้องชายไปว่า "จงทำเถอะ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการเบิกบุญหรือโอนบุญก็ตาม ถือเป็นการสร้างความดีทั้งสิ้น ชีวิตนี้ได้เกิดมาเป็นผู้ชายน่ะถือว่าเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มากแล้วนะ ได้บวชเรียนให้พ่อแม่ ดังนั้นจะสร้างบุญต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ทรัพย์สมบัติภายนอกหามามากขนาดไหน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ทรัพย์ภายในหรือบุญนี้สิ ตายไปกี่ภพกี่ชาติมันก็ตามเราไปตลอด จงฝึกทำไปเรื่อย ๆ แม้เจ้าจะทำเพื่อหวังผลในเวลานี้ก็ตาม หวังไปเถอะ เพราะหวังในบุญก็ไม่เป็นไรหรอก สักวันเจ้าจะทำแบบไม่หวังบุญ ไม่หวังสิ่งตอบแทนจากการให้ไปเอง สักวันเจ้าจะเข้าใจที่พี่บอก แต่จงอย่าลืมว่า "การทำดีที่ไม่หวังผลนั้น มีค่ามากกว่าการทำบุญที่จ้องแต่จะหวังผลตอบแทนจากบุญนั้น ๆ ด้วยเพราะเจ้าจะได้บุญมาพร้อมกับกิเลสของความอยากมาเก็บสะสมไว้พอ ๆ กันเลยน่ะ"

    โมทนาบุญกับน้องชาย และขอโมทนาบุญกับยักษ์ท่านนั้น (ที่ตอนนี้ไม่ใช่ยักษ์อีกต่อไปแล้ว) และท้ายสุดขอโมทนาบุญกับผู้ที่จะสร้างสมบุญอย่างต่อเนื่องทุกท่าน ค่ะ

    ขอโมทนาบุญค่ะ
     
  11. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 19 กันยายน 2005, 12:43:27
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ กัลยาณมิตรชาวลานวัดทุกท่านค่ะ

    ที่เห็นมีรูปภาพปรากฎอยู่นี้ (สาวจีน) ดิฉันเห็นตอนแรกก็งงนะคะว่าใครหนอเอามาลงให้ เพราะรูปนี้กับตัวดิฉันนั้นแตกต่างราวฟ้ากับดินเลยค่ะ เพิ่งค้นหาได้ว่าเป็นพี่ที่ทำงานน่ะค่ะ เค้าเข้ามาอ่านใน web ลานวัดนี้บ่อยพอสมควร และเค้าก็แอบเอารูปสาวจีนท่านนี้มาลงไว้ให้ ตอนนี้ดิฉันกำลังบอกให้พี่เค้าช่วยเอาภาพ “ศพแบบชนิดเละสุด ๆ” มาลงแทนจะดีกว่า มันใกล้เคียงกับตัวดิฉันมากกว่าน่ะค่ะ :)) :)) :))

    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสหยุดงานนอนพักผ่อนอยู่กับบ้าน รู้สึกเบื่อมาก ๆ ค่ะ ไม่มีอะไรทำเลย จะหยิบจับอะไร พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมให้ทำ ท่านบอกว่าดิฉันเหนื่อยงานมามากแล้ว และทำเพื่อท่านมามากแล้ว ดังนั้นอะไรที่ท่านจะทำให้ได้ท่านก็อยากจะทำให้ อยากให้ดิฉันได้นอนพักผ่อนสบาย ๆ เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง ดิฉันก็เลยบอกท่านไปว่า “หากไม่ให้หนูทำอะไรเลย แล้วพ่อกับแม่เอาไปทำให้ซะหมดอย่างนี้ ประตูนรกมันคงเปิดรออย่างกว้าง ๆ ให้หนูเดินเข้าได้อย่างสะดวกเลยนะจ๊ะ”

    มีอะไรแปลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกเช่นเคยค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านได้บ้าง ก็อีกเช่นเคยนะคะ รบกวนทุกท่านอ่านด้วยสติและวิจารณญาณด้วยนะคะ …………………ขอบพระคุณค่ะ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณตี 3 ของเช้าวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2548 ค่ะ ดิฉันกำลังนอนหลับอยู่ดี ๆ ก็สะดุ้งตื่นซะอย่างนั้น ตื่นมาก็คล้าย ๆ จะนอนไม่หลับ พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่นานก็ไม่หลับ สักครู่หมาในซอยก็เริ่มหอน ดังขึ้น ๆ และเสียงก็จะคล้าย ๆ ว่าอยู่ที่หน้ารั้วบ้านของดิฉันนี่เอง แต่วันนี้แปลก “มารวย” มันดันไม่หอน เสียงมันเงียบกริบเลย ดิฉันก็ไม่ได้ใส่ใจในเสียงหมาหอนสักเท่าไหร่ พยายามข่มตาข่มใจให้หลับต่อ แต่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมหลับได้สักที จึงคิดแล้วว่าต้องมีอะไรแน่ คิดยังไม่เท่าไหร่ก็เสียงมาเลย “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยเถิด ช่วยด้วย” ชัดมาก ๆ ค่ะ ดิฉันลืมตาและตั้งสติเลยทันที รู้ตัวทั่วพร้อมว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนที่นอนนะ มีสตินะ ไม่ได้ละเมอ ไม่ได้ฝัน จากนั้นก็ทำสมาธิกำหนดไปที่รั้วหน้าบ้าน (ตามเสียงนั้นน่ะค่ะ) ก็เห็นชัดมากเลย เป็นผู้หญิงผมยาว (ยาวมาก คล้ายกับว่าเค้ายืนอยู่หน้ารั้วของดิฉันแต่ผมเค้ายาวไปถึงหน้าซอยนู่น คือบ้านดิฉันจะอยู่ประมาณเกือบกลางซอยน่ะค่ะ) ขอบตาเธอช้ำมาก ที่สำคัญคือปากเธอใหญ่มาก ๆ เธอใส่เสื้อผ้าคล้ายชุดนอนสีขาวขุ่น ๆ ดูเหมือนชุดที่ใส่จะเปียกน้ำ ตัวของเธอยืดขึ้นยืดลงอยู่ตลอด เดี๋ยวเตี๊ยเดี๋ยวสูงอยู่ตลอด ดิฉันจึงลุกจากห้องนอนลงไปชั้นล่าง และไขกุญแจบ้านเดินออกไปที่หน้ารั้ว (ต้องค่อย ๆ ไขเพราะกลัวคนในบ้านจะตื่น) ตอนลงมาชั้นล่างเห็นมารวยมันหลับแบบไม่รู้ตัวเลย (เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ เจ้าตัวนี้เนี่ย) ดิฉันเบิกบุญให้กับสิ่งลี้ลับตนนั้นทันทีที่เธอปรากฏให้เห็นอย่างจัง ๆ เบิกไปเรื่อย ๆ สักครู่จากที่ยืดขึ้นยืดลงของลำตัวนั้น เริ่มยืดช้าลงและกลับเข้าสู่ความปกติ คือไม่ยืดขึ้นลงแล้ว ผมของเธอเริ่มหดเข้าสู่ปกติ ชุดที่เปียกเริ่มไม่เปียกแล้ว เปลี่ยนเป็นคล้าย ๆ ชุด “จุงกะเบนของคนโบราณ สีออกเงิน ๆ วาว ๆ” ปากเธอเริ่มมีขนาดเป็นปกติ ขอบตาไม่ช้ำแล้ว สภาพของเธอดูดีขึ้นมากกว่าตอนแรกที่เห็น ดิฉันใช้เวลาเบิกบุญต่อไปเรื่อย ๆ อีกสักครู่ ก็เริ่มเห็นรอยยิ้มของเธอ เป็นรอยยิ้มที่แปลกมากที่ได้เห็น มันดูอบอุ่นมากอย่างที่ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เธอจ้องหน้าดิฉัน ทำให้ดิฉันลืมเบิกบุญต่อเพราะขาดสติไปแป๊บนึง ขาดสติด้วยการเผลอจ้องมองตาเธอแบบไม่ตั้งใจ สายตานั้นเย็นมาก สงบมาก สักครู่ก็ได้เห็นอดีตชาติของเธอผู้นี้ เป็นผู้หญิงโบราณนั่งไกวเปลลูกน้อยอยู่ สักครู่เธอลุกหายไป ทิ้งลูกน้อยไว้ เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายอายุราวขวบครึ่ง ผมจุกน่ารักมาก เด็กค่อย ๆ ลงจากเปลผ้าและเดินไปที่คลอง ก้มลงไปที่น้ำแล้วพลัดหล่นลงไป สักครู่ก็เห็นภาพผู้หญิงคนนี้กระโดดลงน้ำ ภาพวนหมุนไปหมุนมาเช่นนี้อยู่สักครู่ จนดิฉันพูดขึ้นมาว่า “เป็นแม่ข้าหรือ” เธอไม่ตอบแต่พยักหน้า พร้อมกับร้องไห้ น้ำตาที่ไหลนั้นไหลเป็นเลือด ดิฉันรีบกำหนดระลึกถึงพระพุทธองค์ทันที และระลึกถึงองค์หลวงปู่เกษม ยอมรับว่าตอนนั้นขนลุกจากศีรษะลงถึงปลายเท้าเลย ดิฉันต้องตั้งสติให้หายขนลุกแล้วอาราธนาใหม่ เบิกบุญให้กับเธอผู้นั้นสักครู่จนน้ำตานั้นไม่เป็นเลือดแล้ว และที่สุดเธอก็หยุดร้องไห้ ดิฉันบอกกับเธอผู้นั้นว่า “อันเรามาเกิด เรามาแต่ผู้เดียว เรามิได้นำพาใครมากับเราเลย และอันเราจะไป เราก็ไปแต่ผู้เดียว เราก็มิสามารถจะนำพาใครไปกับเราได้ด้วยเช่นกัน ท่านมีสิ่งใดให้เราได้ตอบแทนหรือไม่” เธอยิ้มและตอบว่า “พรุ่งนี้ท่านจะช่วยเราได้” แล้วเธอก็ค่อย ๆ หายไป ดิฉันกลับขึ้นไปที่ห้องนอน เวลาขณะนั้นประมาณเกือบ ๆ ตี 4 ได้ มันหนาวมากค่ะ หนาวแบบบอกไม่ถูก ต้องห่มผ้าห่มถึง 2 ผืนเลย หนาวอยู่สักครู่ก็กลับสู่ปกติ จึงได้ค่อย ๆ หลับไป

    ตื่นมาประมาณ 7 โมงเช้า (อย่างที่บอกคือหากได้หยุดวันอาทิตย์ดิฉันจะพยายามให้ร่างกายนอนเต็มที่ เนื่องจากวันธรรมดาจะตื่นประมาณเกือบตีห้าครึ่งทุกวัน ดังนั้นวันอาทิตย์ก็จะพยายามให้ร่างกายได้เต็มที่กับการนอนสักนิด) ตื่นมาก็หยิบหนังสือของหลวงตามหาบัวที่คุณตวงได้นำส่งให้ทางไปรษณีย์ขึ้นมาอ่าน อ่านไปเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจลุกจากที่นอน ทำกิจวัตรส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็มานั่งเปิด CD ของหลวงปู่ดู ระหว่างที่ดูอยู่นั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านเทศน์เกี่ยวกับเรื่องพระคุณของพระอรหันต์ (พ่อและแม่ของบุตร) ฟังไปก็น้ำตาไหลไปเฉยเลย แล้วจู่ ๆ ภาพของผู้หญิงเมื่อคืนก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า คราวนี้ดิฉันต้องกำหนดจิตถามเทวดาแล้วว่า “เราจะช่วยแม่ของเราท่านนั้นได้อย่างไร” เทวดาบอกว่า “ฟังหลวงปู่เทศน์ไปเรื่อย ๆ สิท่าน” ดิฉันก็ฟังต่อไป มีอยู่หลายประโยคท่านเน้นให้ทำบุญกับพ่อแม่ และท่านก็บอกถึงอานิสงส์ว่าจะเกิดขึ้นสูงขนาดไหนเกี่ยวกับการทำบุญกับพ่อแม่ ระหว่างที่ฟังอยู่นั้น พ่อดิฉันเดินเข้ามาในบ้านและพูดขึ้นว่า “วันนี้หมู่บ้านเรามีตลาดนัดใช่มั้ยลูก ดีเลย เดี๋ยวพ่อจะไปหาขนมปังและปลากินสักหน่อย” เท่านั้นยังไม่พอ แม่ก็พูดสวนพ่อขึ้นมาทันทีว่า “จะมาเอาตังค์ฉันไปซื้ออีกล่ะสิ ไม่มีให้แล้วนะ เพราะว่าเพิ่งเอาไปซื้อข้าวสารน่ะ มีอะไรกินได้ก็กินไปก่อนละกัน” คือท่านจะชอบแซวกันเล่นน่ะค่ะ ส่วนใหญ่พ่อจะไม่มีรายได้อะไร ได้จากลูก ๆ มาพ่อก็จะเอาไปผ่อนรถ เหลือใช้เดือนละ 700 บาทเท่านั้น ก็จะได้ดิฉันบ้างน้องชายบ้างพี่สาวบ้าง ซื้อกับข้าวให้ทานในแต่ละวัน แต่แม่นั้นรายได้จะมากกว่าพ่อ และสำหรับพ่อนั้นด้วยความที่ไม่อยากรบกวนลูก ๆ เวลาอยากกินอะไรก็จะไปแอบขอกับแม่ แต่แม่ก็ให้นะคะ ท่านก็ไม่ได้งกอะไร เพียงแต่จะมีแซว ๆ บ่น ๆ ไปตามประสา ช่วงที่กำลังฟังพ่อกับแม่แซวกันไปมาอยู่นั้น เทวดาก็มากระซิบว่า “ช่วยแม่ท่านด้วยวิธีนี้แหล่ะ” เทวดาบอกเพียงเท่านี้ แต่ดิฉันเข้าใจเลยทันทีว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินอยู่ 1,000 บาทขาดตัว ต้องใช้ให้ถึงสิ้นเดือน ดิฉันก็เอาเลยค่ะ หยิบเงินมา 300 บาท เดินไปยื่นเงินให้กับพ่อ 100 บาท ยื่นปุ๊บโอนบุญให้เธอผู้นั้นทันที และเดินไปยื่นเงินให้แม่ 100 บาท ยื่นปุ๊บก็โอนบุญให้กับเธอผู้นั้นทันทีเช่นกัน พ่อกับแม่ก็งง ๆ ดิฉันจึงรีบพูดว่า “หนูให้ค่ะ เอาไว้ซื้อกับข้าวกินนะ” ท่านจะคืนให้แต่ดิฉันไม่รับคืน ท่านก็ไม่ยอมจะคืนให้ท่าเดียว จนดิฉันต้องบอกว่า “หนูกำลังจะทำบุญให้ใครคนนึง ช่วยรับเงินหนูหน่อยนะ ช่วยส่งเสริมให้หนูได้ทำบุญด้วยนะ” เท่านั้นเองท่านจึงเงียบ ๆ ไป แล้วดิฉันก็ยื่นเงินให้แม่อีก 100 บาท ให้ปุ๊บก็โอนให้เธอผู้นั้นอีกทันทีเช่นกัน แม่ก็ถามว่าให้อีกทำไม ดิฉันก็บอกไปว่า “เงิน 100 บาทนี้เอาไปซื้อข้าวสารนะ เอาไว้กินและใส่บาตรด้วยนะแม่ แม่ไม่ต้องถามนะ ช่วยหนูละกัน หนูจะทำบุญให้ใครคนนึง” จากนั้นก็มองไปเห็นซองกฐินหรือผ้าป่าไม่แน่ใจค่ะเรียกไม่ถูก เป็นของเพื่อนน้องชาย เค้าฝากมาให้ช่วยกันทำบุญ “เมรุเผาศพ” ดิฉันก็หยิบเงินอีก 50 บาทใส่ลงไปซอง ใส่ปุ๊บก็โอนบุญให้เธอผู้นั้นปั๊บอีกเช่นเคย กลับมานั่งฟังหลวงปู่เทศน์ต่อ ดิฉันก็กำหนดอาราธนาบารมีพระพุทธองค์และองค์หลวงปู่เป็นประธานแห่งบุญที่จะเกิดขึ้นจากการฟังธรรมนี้ขอพระองค์ได้บันดาลบุญนี้ถึงแด่เธอผู้นั้น รู้สึกได้ว่าจิตดิฉันเย็นมาก ๆ สงบเบาอย่างบอกไม่ถูก ได้กำหนดจิตถึงเธอผู้นั้น กำหนดเท่าไหร่ก็ไม่เห็น ก็กำหนดใหม่อีกครั้ง ไม่เห็นอีกเช่นเคย งงเล็กน้อยว่าทำไมไม่ปรากฏให้เห็นนะ จะได้ถามว่าได้รับบุญหรือยัง ช่วงที่งงอยู่นั้นเทวดามากระซิบบอกว่า “เค้าไม่มาปรากฎแล้วท่าน เค้าไปแล้ว ไปสู่ภูมิที่ดีของเค้าแล้ว” สักครู่ก็ได้ยินแม่ของดิฉันพูดขึ้นมาว่า “ใครได้กลิ่นมะลิหอม ๆ บ้าง” แล้วพ่อก็บอกว่า “ได้กลิ่นนะ แต่เป็นกลิ่นธูปหอมมะลิมากกว่า” ระหว่างที่พ่อกับแม่ค้นหากลิ่นอยู่นั้นว่าเป็นกลิ่นอะไร ดิฉันก็ยิ้มออกมาอย่างบอกไม่ถูก นึกขึ้นในใจถึงเธอผู้นั้นว่า “ขอบคุณที่ย้อนมาให้ลูกได้มีโอกาสทำบุญเพื่อตอบแทนท่าน ขอบคุณค่ะ”

    จิตตอนนั้นรู้สึกรักพ่อและแม่มากเหลือเกิน และบอกกับตัวเองว่า “ทุกวันนี้เรายังตอบแทนท่านน้อยอยู่นะ หากเทียบกับพระคุณของท่านแล้ว ตอบแทนเท่าไหร่ก็ไม่สามารถชดเชยได้เลย”

    รักพ่อและแม่มากค่ะ ลูกให้สัญญาว่าลูกจะใช้ลมหายใจที่มีอยู่นี้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อพ่อและแม่ค่ะ

    และไม่น่าเชื่อว่าข่าวดีในวันนี้ (จันทร์ที่ 19 กันยายน 2548) ที่ทำงานดิฉันให้เงินค่าครองชีพกับพนักงานคนละ 1,000 บาท ดิฉันดีใจมากค่ะ เพราะตั้งใจว่าจะนำเงินจำนวนนี้ไปให้แม่ เพราะที่ผ่านมาให้แต่พ่อแต่ไม่ได้ให้แม่เลย คราวนี้จะมีเงินให้แม่สักที

    ขอบคุณรัฐบาลที่สงสารคนยากจนอย่างดิฉันและพนักงานที่ยังมีรายได้น้อย ให้ได้มีเงินพอจะยังชีพในช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้

    หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะรักพ่อกับแม่มากขึ้นนะคะ และจะใช้รูปและนามของเรานี้ตอบแทนท่านให้มากที่สุด อย่างน้อยการเป็นคนดี มุ่งมั่นที่จะทำแต่ความดี ก็ถือว่าเราได้ตอบแทนธาตุสี่ขันธ์ห้าที่ท่านได้มอบให้กับเราแล้วนะคะ

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  12. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 20 กันยายน 2005, 15:04:14
    --------------------------------------------------------------------------------

    เรียน พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ กัลยาณมิตรทางธรรม ทุกท่านนะคะ

    ก่อนอื่นเลยต้องขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะคะ ที่ได้มุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสร้างสรรค์แต่คุณงามความดีให้บังเกิดขึ้นกับตน กับครอบครัว กับคนรอบข้าง กับสังคม และกับประเทศไทยของเรา ดิฉันเป็นคนหนึ่งค่ะที่เชื่อมั่นเหลือเกินว่า "ความดีจะสามารถชนะสิ่งเลวร้ายทั้งปวงได้" อย่างน้อยพวกเราทุกคนในที่นี้ ถึงแม้จะมีปริมาณไม่มากนักที่ได้เรียนรู้ถึงวิธี “การเบิกบุญ" "การโอนบุญ" "การเปิดบุญ" เรียนรู้ในเรื่องของ "สี่งลี้ลับ" ซึ่งแน่นอนค่ะว่าแต่ละท่านก็คงจะได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า "มหัศจรรย์" และเป็น "ปัจจัตตัง" ที่เกิดขึ้นกับทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อย สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความมุ่งมั่นให้กับพวกเราที่จะลุกขึ้นมาร่วมกัน "สร้างความดีอย่างต่อเนื่อง" กำลังใจในการทำความดีของดิฉันนั้น นอกจากจะได้รับอย่างเต็ม ๆ จากพ่อแม่และครูบาอาจารย์แล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากพวกท่านด้วยนะคะ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่ดิฉันมีอาการ "ท้อแท้" กับปัญหาที่มันเกิดขึ้น หลาย ๆ ครั้งที่อยากจะออกบวชไปเลย หลาย ๆ ครั้งที่หาทางออกกับตัวเองไม่ได้ แต่ในหลาย ๆ ครั้งเหล่านั้นเมื่อได้เข้ามาใน web นี้ หรือเมื่อได้ฟัง CD ของหลวงปู่ เมื่อได้เห็นแววตาของพ่อและแม่ มันกลับทำให้ดิฉันท้อไม่นานและเกิดกำลังใจในการลุกขึ้นมาสู้ได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ

    คุณมีสิทธิท้อแท้ได้นะคะ ท้อไปเถอะค่ะ แต่อย่าท้อนาน เพราะยิ่งนานก็ยิ่งเสียเวลา เราแค่รู้รสของความท้อให้พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว แต่อย่าให้ความท้อนั้นมันมากลืนกินเวลาแห่งการสร้างความดีของคุณนะคะ

    ในทุก ๆ วันของดิฉันนั้น ดิฉันมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่า "เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว เร็ว ๆ นี้แหล่ะ" จะบอกกับตัวเองเช่นนี้ตลอด (จริง ๆ แล้วพระพุทธองค์ท่านให้กำหนดความตายในทุกลมหายใจด้วยซ้ำ ดังนั้นคำว่าเร็ว ๆ นี้ของดิฉันนั้นยังถือว่าเป็นการประมาทต่อความตายไปด้วยซ้ำค่ะ)

    สมัยก่อนที่ดิฉันยังไม่ได้พบหลวงปู่ ยังไม่รู้จักการ “เบิกบุญ” การ “โอนบุญ” การ “เปิดบุญ” เมื่อดิฉันทุกข์ ดิฉันก็จะร้องไห้อย่างเดียวเลย เพราะพื้นฐานแล้วจะไม่ค่อยชอบเล่าความทุกข์ของตัวเองให้ใครฟัง ด้วยเพราะเกรงใจและไม่อยากเอาความทุกข์ของเราไปให้ใครต้องมาทุกข์ตาม ดังนั้นเวลาเจอกับปัญหาจึงคล้าย ๆ กับเป็นเด็กเก็บกดไปเลย คือไม่ค่อยพูดจากับใคร นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ถึงบ้านก็ร้องไห้มันเข้าไปอย่างสะใจ เพื่อระบายทุกข์ให้คลายลง ผลที่ได้รับน่ะเหรอค่ะ แก้ไขอะไรแทบไม่ได้เลย ยิ่งร้องก็ยิ่งทุกข์ ตาก็บวม กินข้าวก็ไม่ได้ กลายเป็นโรคกระเพาะไปเลย

    แต่เมื่อดิฉันได้มีโอกาสพบหลวงปู่เกษม ได้รับความเมตตาจากท่านเกี่ยวกับเรื่องการ “เบิกบุญ” “โอนบุญ” “เปิดบุญ” และเมื่อดิฉันได้ทดลองลงมือปฏิบัติตามท่านอย่างไม่ค้าน ไม่ดื้อต่อคำสอนคำแนะนำของท่าน ก็ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “มหัศจรรย์” เกิดขึ้นกับตัวเองมากมายเหลือเกิน มากจนตอนแรกก็งง และไม่กล้าที่จะบอกกล่าวใครเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวคนจะหาว่าบ้า สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่านี้ไม่ใช่แต่เฉพาะการพบเห็นสิ่งลี้ลับเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นการ “เพิ่มพลังแห่งความเมตตา” ให้บังเกิดขึ้นกับจิตใจของดิฉันแบบชนิดที่เรียกว่าตัวเองก็งงเหมือนกันว่า “มันเป็นไปได้ยังไง” เพราะโดยพื้นฐานแล้วตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ร้อนพอสมควรเลย เพียงแต่จะไม่แสดงออกเท่านั้น อย่างที่เคยบอกคือเวลาโกรธจัด ๆ จะเงียบ ไม่พูดไม่คุยใด ๆ กับใครเลยทั้งสิ้น นั่งนิ่ง ๆ นิ่งมาก นิ่งจนดูน่ากลัวไปเลยด้วยซ้ำ และด้วยเพราะพื้นฐานของการเป็นคนอารมณ์ร้อนนี้เอง อะไรมาสะกิดสะเกานิดนึงจะไม่ได้เลย หงุดหงิดตลอด ประมาณว่า “นี่ตัวกู นี่หูกู นี่ตากู นี่แขนกู นี่ขากู นี่นู่นนั่นก็ของกูไปหมด ใครจะมาว่า มาด่า มาสะกิดไม่ได้เชียวนะ ไม่มีสิทธินะ” ประมาณนั้นเลยล่ะค่ะ แต่เมื่อได้ทำการ “เบิกบุญ” “เปิดบุญ” “โอนบุญ” อยู่ทุกวันและบ่อย ๆ ตลอดเวลาแล้วนั้น ไอ้อาการถูกสะกิดแล้วร้อนเนี่ย มันเริ่มลดลงค่ะ ในตอนแรกมันลดลงไม่มากหรอก เลยไม่ค่อยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงว่ามันดีขึ้น แต่พอบ่อย ๆ เข้า โอนบุญ-เบิกบุญ-เปิดบุญบ่อย ๆ เข้า (ทุกวันนี้จะเบิกบุญ-โอนบุญอยู่ตลอดแทบจะทุกสองสามนาทีเลยก็ว่าได้) ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของตัวเองชัดขึ้นมาก ใจเย็นลงมาก ถึงแม้มีบ้างนะคะที่วี๊ดขึ้นมาเลยเนี่ยเวลาโดนกระทบ แต่ว่าจะสงบเร็ว เย็นเร็วอย่างเห็นได้ชัดเลย (เย็นเร็วกว่าก่อนอย่างมาก) และเมื่อมีการเผลอพลั้งออกไปบ้างก็จะเตือนตัวเองเร็วขึ้น สอนตัวเองเร็วขึ้น และมองมาที่ตัวเองมากขึ้น ไม่พาดพิงหรือโทษผู้อื่นเป็นวัน ๆ เหมือนสมัยก่อน (สมัยก่อนเนี่ย กูไม่ผิด มึงน่ะผิด และจะคิดแบบนี้เป็นวัน ๆ เลย เรียกว่าบ้าเป็นวัน ๆ เลย)

    ในปัจจุบันนี้งานของดิฉันส่วนใหญ่จะนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ เพื่อพิมพ์สรุปการรักษาผู้ป่วย เมื่อเริ่มงาน (ประมาณ 8 โมงเช้า) ดิฉันก็จะเปิด MP3 ของหลวงปู่ฟังทันที (เป็น MP 3 ที่ได้รับมาจากกัลยาณมิตรใน web นี้หลายท่านมากที่เมตตาส่งมาให้ทางไปรษณีย์น่ะค่ะ) ดิฉันได้ copy ใส่เครื่องคอมฯไว้เลย และจะมีหูฟังส่วนตัวเสียบเพื่อเปิดฟังอยู่ตลอด ไล่ฟังไปเรื่อย ๆ หูก็ฟังธรรมของหลวงปู่ไป มือก็พิมพ์งานไป โดยก่อนฟังนั้นดิฉันก็จะกล่าวเรียกสิ่งลี้ลับทั้งที่อยู่บริเวณที่ทำงานและญาติในโลกทิพย์ของดิฉัน ฯลฯ ให้เค้าหมุนกันเข้ามารับบุญจากข้อธรรมที่ดิฉันจะได้รับจากหลวงปู่ท่านน่ะค่ะ โดยอัญเชิญพระพุทธองค์และหลวงปู่เป็นประธานแห่งบุญที่จะบังเกิดขึ้น

    (สิ่งต่าง ๆ ที่จะสื่อสารจากนี้ไปท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามดิฉันไม่ได้บังคับนะคะ) แต่ดิฉันก็กล้ายืนยันได้เลยค่ะว่า ทุกครั้งที่กำหนดดูทีไร ก็จะเห็นพวกเค้าทยอยกันเข้ารับบุญเป็นว่าเล่นเลย บางรายได้รับปุ๊บก็ค่อย ๆ เลื่อนภูมิ บางรายยังไม่เลื่อนภูมิซะทีเดียวก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นสภาพที่ดีขึ้น บางรายสามารถที่จะยังคงอยู่เพื่อฟังธรรมไปพร้อม ๆ กับดิฉันเลยก็มี และในสิ่งที่ได้พบเห็นเหล่านี้เอง บอกได้เลยค่ะว่าพวกเค้าสามารถเรียกน้ำตาของดิฉันให้ไหลออกมาได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน เพราะเห็นแล้วมันบอกไม่ถูกค่ะ มันระบายออกมาเป็นความรู้สึกไม่ได้เลยจริง ๆ เราว่าเราทุกข์แล้วนะ พวกเค้าทุกข์มากกว่าเราอีก บางรายเนี่ยอย่าว่าแต่เสื้อผ้าไม่มีเลยค่ะ แขนขาขาดรุ่งริ่งมาก็มี หนาวสั่นมาก็มี ร้องไห้มาเลยก็มี ดิฉันเคยนั่งร้องไห้จนน้อง ๆ ที่ห้องทำงานงงและถามว่าเป็นอะไรจู่ ๆ ก็นั่งร้องไห้ ซึ่งดิฉันเองก็ไม่สามารถจะบอกอะไรได้ นอกจากยิ้มอย่างเดียว เพราะการจะพูดเรื่องสิ่งลี้ลับนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาพูดบอกกล่าวกันได้ง่าย ๆ ยิ่งหากไม่มีบุญบารมีมากพอแล้ว นอกจากเขาจะไม่เชื่อแล้ว เขาก็อาจจะด่าว่าเราได้ว่าเราบ้า เป็นบาปเป็นกรรมต่อกันไปป่าว ๆ ทำให้อดระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์หลวงปู่ไม่ได้ทุกที ด้วยเพราะความเมตตาที่ครูบาอาจารย์หลวงปู่เกษมท่านมีให้กับพวกเรานั้นช่างมากมายเหลือเกิน ท่านจึงกล้าพูด กล้าบอก กล้าชี้แนะ กล้ายืนยัน เหนื่อยแสนเหนื่อยขนาดไหน ท่านก็เทศน์ ท่านก็สอน จึงทำให้ดิฉันละอายใจเหลือเกินว่าเรานี้นอกจากบารมีจะน้อยนิดแล้ว เรายังมากไปด้วยความขี้ขลาดอย่างน่าทุเรศเหลือเกิน เรานี้มิได้ช่วยอะไรครูบาอาจารย์เลย มันระอายใจค่ะ ที่จะงกปฏิบัติทำมันอยู่คนเดียวโดยไม่กล้าบอกใคร จนในที่สุดมันทนความระอายใจของตัวเองไม่ไหว ประกอบกับได้เข้ามาใน web นี้ ได้พบพี่ธง พี่ปางบุญ คุณเม และพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ อีกมากมายที่มาบอกกล่าวประสบการณ์ดี ๆ ต่อกัน ดิฉันจึงกล้ามากขึ้นค่ะ และคิดอยู่เสมอว่าจะพยายามแนะนำโดยการนำเอาประสบการณ์ที่มันเกิดขึ้นจริงกับชีวิตนี้แหล่ะมาบอกกล่าว อย่างน้อย ๆ มันอาจจะเป็นกำลังใจให้กับหลาย ๆ คนได้ลุกขึ้นมา “ช่วยครูบาอาจารย์ได้มากขึ้น” ช่วยในที่นี้ก็คือ ช่วยกันทำ ช่วยกันปฏิบัติอย่างที่องค์หลวงปู่ท่านแนะนำ เพราะอย่างน้อยเมื่อผลมันเกิดขึ้นกับท่านแล้ว พลังแห่งความกล้ามันก็จะทำให้ท่านมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาแนะนำคนใกล้ตัวท่านได้กระทำและปฏิบัติกันมากขึ้น เมื่อมีคนทำมากขึ้น เหล่าสิ่งลี้ลับก็จะได้รับการช่วยเหลือมากขึ้นเป็นลำดับต่อไป

    นอกจากนี้แล้วการเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญ ยังทำให้การปฏิบัติธรรมของดิฉันก้าวหน้าอย่างมาก เพราะสมัยก่อนเวลานั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือกำหนดดูกายดูจิตในแต่ละวันนั้น ดิฉันจะพบเจอกับ 1.) ความสับสน 2.) ความฟุ้งซ่าน 3.) ความปรุงแต่ง แบบชนิดที่เรียกว่ามันทำให้ดิฉัน “เบื่อการปฏิบัติธรรม” ไปเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อได้ลงมือปฏิบัติตามที่หลวงปู่แนะนำ นั่นคือ จ่ายบุญก่อนปฏิบัติธรรม เปิดบุญขณะปฏิบัติธรรม และปิดท้ายด้วยการส่งบุญเมื่อจบการปฏิบัติธรรมแล้ว ขอบอกได้เลยค่ะว่า ไอ้สิ่งรบกวนทั้งหลายนั้นมันมีปริมาณการแพ้วพานที่น้อยลง หรือแม้มันจะเข้ามาแพ้วพาน มันก็จะกลายเป็นข้อธรรมที่ช่วยทำให้ดิฉันเกิดปัญญามากขึ้นมาต่างหาก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามารถจับขึ้นมาพิจารณาเป็นข้อธรรมให้เกิดปัญญากับตัวเองได้มากมายเหลือเกิน

    “จิต” จากเดิมของดิฉันมันแทบไม่มีสติและปัญญาเป็นพี่เลี้ยงเลย มันถูกกิเลสทำร้ายและกลั่นแกล้งเป็นว่าเล่น แต่ตอนนี้มันมีสติและปัญญาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้มันแล้ว อะไรก็แล้วแต่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบปั๊บพี่เลี้ยงมันจะวิ่ง 4 x 100 มาช่วยเลย วิ่งมาทำไมเหรอน่ะเหรอคะ มันแบ่งหน้าที่กันอย่างนี้ค่ะ กระทบปุ๊บสติรู้ปั๊บว่าถูกกระทบแล้ว (ทางไหน) จากนั้นปัญญามันสอนเลยทันที มันวิเคราะห์ให้เห็นเลยทันทีว่า “หากเอ็งพลั้งตามสิ่งกระทบไปเมื่อไหร่ มันจะบังเกิดสิ่งนี้……………..ทันทีนะ” หรือหากสติมันตามไม่ทัน คือกระทบและเผลอพลั้งปล่อยจิตตามสิ่งกระทบนั้น ๆ ไปแล้วปุ๊บ ปัญญามันก็จะประมาณว่า “หัวเราะเยาะเรานิดหน่อย” จากนั้นมันก็จะสอนว่า “เป็นไงล่ะ เห็นยังล่ะ …………………………..” มันก็จะสอนเป็นฉาก ๆ เลย เป็นต้น

    แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือว่าบางครั้งสิ่งลี้ลับที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรเรานั้น เค้าอาจเล่นงานเราไม่ได้ในเวลานี้ อาจด้วยเพราะเทวดาของเราที่ปกป้องอยู่ก็ตาม หรือด้วยเพราะเรามีทหารเอกช่วยสกัดกั้นไว้อย่างมากทุกมุมทุกทิศเลยก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะหนีมันพ้นนะคะ มันไปนู่นเลยค่ะ ไปเล่นงานพ่อดิฉันบ้าง ไปเล่นงานแม่ดิฉันบ้าง มันไปวางแผนการกัน เพื่อจะส่งกระแสของคนนู้นกับคนนี้ให้ทะเลาะกันแล้วชิ่งมาหาดิฉันบ้างก็มี มันทำทุกอย่างเพื่อให้ดิฉัน “ทุกข์” แต่มันก็เหมือนเป็นบุญของดิฉันค่ะ เพราะเมื่อพบเจอปัญหาทีไร จะพบทางออกและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่พบจากการเปิดฟัง CD หลวงปู่ทุกทีเลย
    หลวงปู่ท่านเน้นให้ส่งบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว “ต้องสอนให้มันกลับใจ” ด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งอย่างเดียว เพราะบางทีมันแค้นเรามาก เราไปทำกับมันไว้มาก มันไม่อยากได้บุญจากเราหรอก มันต้องการทำให้เราเจ็บเหมือนที่เราทำกับมันไว้ ดังนั้นส่งเท่าไหร่ก็ “ไรท์บอย” คือไม่ได้ผลหรอก เราก็ต้องส่งด้วยสอนด้วย ค่อย ๆ สอนมันไปน่ะคะ แน่ะ……..ได้ผลจริง ๆ ด้วยค่ะ

    และเมื่อเช้านี้เอง (วันอังคารที่ 20 กันยายน 2548) ดิฉันนั่งทานข้าวเช้าอยู่ที่ห้องอาหารของที่ทำงาน ปกติในทุกเช้าก็จะมีพระมาบิณฑบาตตรงหน้าห้องอาหารเพื่อให้ญาติผู้ป่วยบ้าง เจ้าหน้าที่บ้าง ได้ร่วมกันทำบุญ ดิฉันนั่งทานไปก็ลองกำหนดไปซิว่าญาติในโลกทิพย์ของคนที่ใส่บาตรอยู่นั้นได้รับบุญมั้ย ซึ่งแต่ละคนเมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วพระท่านก็จะให้ทำการกรวดน้ำด้วย สิ่งที่ได้พบก็คือ ญาติในโลกทิพย์ของพวกเค้านั้นต่างก็ได้แค่มองบุญที่มันเคลื่อนออกจากญาติของพวกเขาไปที่อื่น ได้แต่มองน่ะค่ะ ไม่ได้รับอะไรกันเลย แล้วก็พากันนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น และพอเค้าเห็นว่าดิฉันมองพวกเขาอยู่เท่านั้นแหล่ะ เค้าก็มากันเลย มาขอบุญจากดิฉัน บางรายก็จับที่ข้อเท้าทำให้ขาดิฉันชาและสั่นขึ้นมาเฉยเลย ดิฉันเบิกบุญอยู่พักหนึ่งก็เบาลงค่ะ พวกเค้าบอกกับดิฉันว่า “ท่านช่วยบอกญาติข้าให้ทำอย่างท่านหน่อยสิ” ดิฉันก็ตอบไปว่า “ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก” พวกเค้าก็ร้องไห้และอ้อนวอน จนดิฉันต้องบอกว่า “เอางี้นะ ข้าจะถ่ายเอกสารบทเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญไปวางไว้ที่ห้องพระนะ (ที่ทำงานจะมีห้องพระน่ะค่ะ) แล้วพวกท่านก็ไปกระตุ้นให้ญาติท่านขึ้นไปหยิบละกันนะ และหากพวกท่านอยากได้รับบุญจากข้านะ ในระหว่างที่ข้าฟังธรรมของหลวงปู่ (ดิฉันหมายถึงการเปิดฟัง CD ของหลวงปู่ในขณะทำงานน่ะค่ะ) หรือในช่วงที่ข้านั่งสมาธิในรอบเช้า รอบเที่ยง พวกท่านก็ขึ้นไปรับบุญกันได้นะ ข้าอนุญาต จะมีเทวดาประจำตัวของข้าหนึ่งองค์จะคอยบอกแถวในการเข้ารับบุญให้” เมื่อบอกไปก็เบาลงค่ะ เค้าก็ไม่กวน ขาก็ชาและสั่นน้อยลงกลับสู่ปกติ และเมื่อตอนเที่ยงที่ผ่านมานี้เอง ดิฉันทานข้าวเสร็จก็ขึ้นไปนั่งสมาธิตามเคย (โดยลืมถ่ายเอกสารไปวางน่ะค่ะ) เค้าก็ประมาณว่าจะมาสื่อสาร แต่ดิฉันไม่ได้สนใจเพราะกำลังทำภาวนาอยู่ พอออกจากห้องพระเดินอยู่ดี ๆ ล้มมันซะอย่างนั้น ต่อหน้าคนเพียบเลย ล้มชนิดกระโปรงเปิดเลยน่ะค่ะ ลุกขึ้นมาได้ก็กำหนดเลยว่าเป็นใครทำ ด้วยเพราะบริเวณนั้นไม่มีอะไรขวางเลย น้ำก็ไม่มีให้ต้องเดินลื่น รองเท้าก็ไม่ใช่ส้นที่สูงมากถึงกับขนาดจะล้มแบบกระโปรงเปิดได้ขนาดนี้ กำหนดปุ๊บก็เพียบเลย อดตำหนิไปไม่ได้ว่า “หากเราตายไปในขณะล้มนี้นะ พวกเจ้านอกจากจะไม่ได้บุญแล้ว ยังจะได้เพื่อนใหม่อีกนะรู้มั้ย” เลยต้องรีบลงมา print บทเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ (ที่เคยทำไว้สำหรับแจก) ถ่ายเอกสารขึ้นไปวางที่ห้องพระ สำหรับค่าไฟนั้นดิฉันจะคืนหน่วยงานด้วยการทำงานเกินเวลาโดยไม่เบิก OT น่ะค่ะ ส่วนกระดาษ A4 นั้นก็จะคืนที่ทำงานด้วยการซื้อมาคืนน่ะค่ะ ประมาณ 1 ลีม น่ะค่ะ และก็จะโอนบุญให้กับเทวดาที่อยู่ที่ทำงานและเทวดาของผู้บริหารที่ให้ดิฉันได้ยืมใช้เครื่องถ่ายเอกสารและกระดาษในการถ่ายเอกสารดังกล่าว

    ปฏิบัติกันเถอะนะคะ ถึงแม้จะมองไม่เห็นพวกเขา ก็ขอจงได้เชื่อหลวงปู่ท่านเถอะค่ะว่าสิ่งลี้ลับนั้นมีจริง เค้าลำบากจริง ๆ และเค้าได้รับบุญจากพวกเราได้จริง ๆ เค้าพ้นทุกข์ด้วยวิธีเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญจริง ๆ ค่ะ

    โมทนาบุญค่ะ
     
  13. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 28 กันยายน 2005, 11:12:23
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว "ลานวัด" ทุกท่านค่ะ

    วันนี้ช่วงว่างจากงาน ดิฉันเลยถือโอกาสเข้ามาใน web เพื่ออ่านกระทู้ต่างๆ ที่ยังไม่ได้อ่าน (เนื่องจากเมื่อวานเป็นเวรหยุดน่ะค่ะ) เลยทำให้ได้รับ "ธรรมทาน" กลับมาเพียบเลยค่ะในวันนี้ ไม่เสียแรงที่ได้เข้ามาใน web นี้จริง ๆ ค่ะ ด้วยเพราะพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ทุกท่าน ต่างก็มีเมตตาจิตที่จะบอกกล่าวประสบการณ์ของตน รวมถึงให้คำแนะนำต่าง ๆ เพื่อเป็นกำลังใจต่อกันในการสรรค์สร้างความดีให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก ๆ เลยค่ะ)

    และต้องขอโมทนาบุญกับพี่ธง, คุณเม, คุณ janit, คุณ jitta และท่านอื่น ๆ ด้วยเป็นอย่างยิ่งนะคะ สำหรับคำแนะนำที่ดีมาก ๆ ได้อ่านทีไรก็จะได้รับความรู้เพิ่มเติมในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่เสมอเลย

    และก็เช่นเคยค่ะ ดิฉันได้เปิดฟัง CD ของหลวงปู่อยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกำลังฟังชุด “วัดเกาะทอง” อยู่ค่ะ ซึ่งก็ได้รับคำชี้แนะเพิ่มเติมจากหลวงปู่ในเรื่องของการ "สอนให้สิ่งลี้ลับตั้งจิตอธิษฐานเป็นญาติของเรา" หลวงปู่ท่านกล่าวชี้แนะไว้ว่า "เมื่อให้บุญกับพวกเขาแล้ว จะต้องบอกให้พวกเขาตั้งจิตอธิษฐานเลื่อนภพภูมิด้วย จากนั้นก็สอนให้พวกเขาอธิษฐานจิตเป็นญาติของเรา” โดยสอนให้เค้ากล่าวอธิษฐานว่า “ขอบุญนี้จงส่งผลให้ข้าได้เป็นญาติของท่านผู้ให้บุญข้านี้ด้วยเถิด” (ต้องสอนให้พวกเค้ากล่าวอธิษฐานน่ะค่ะ) ทั้งนี้ด้วยเพราะหากเค้าเป็นญาติเราแล้ว เค้าก็จะมีโอกาสเข้ารับบุญจากเราได้รวดเร็วขึ้น ฉับไวขึ้น และจะได้รับบุญทุกเมื่อที่เค้าต้องการจะได้รับนั่นเอง

    จากคำแนะนำของหลวงปู่ข้างต้น ดิฉันก็มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าวมาขอเล่าสู่กันฟังค่ะ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วดิฉันได้ถ่ายเอกสาร "บทเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ" พร้อมคำอธิบายเรื่องสิ่งลี้ลับแบบเข้าใจง่าย ๆ (มีด้วยกัน 6 หน้า) ดิฉันถ่ายเอกสารหน้า-หลัง และนำไปวางไว้ที่ห้องพระของที่ทำงาน โดยตั้งจิตบอกกับสิ่งลี้ลับให้เค้าไปกระตุ้นให้ญาติ ๆ เค้าไปหยิบอ่านกัน ปรากฏว่า ณ วันนี้ก็เหลือเพียงแค่ชุดเดียวเท่านั้น (อยู่ระหว่างการถ่ายเอกสารเพิ่มเติมเพื่อนำไปวางเพิ่มน่ะค่ะ) และเมื่อเช้านี้เองขณะที่ดิฉันนั่งสมาธิอยู่ ก็สัมผัสได้ว่ามีสิ่ง ๆ หนึ่งนั่งอยู่หน้าห้องพระ ดิฉันก็มิได้สนใจอะไรกับสิ่งนั้น ด้วยเพราะก่อนนั่งก็จะเอ่ยบอกกล่าวให้ได้เข้ารับบุญกันโดยพร้อมเพรียงแล้วนั่นเอง และเมื่อออกจากสมาธิก็พอจะรับรู้ได้ว่าสิ่ง ๆ นั้นยังนั่งอยู่ ยังไม่ไปไหน จึงต้องกำหนดจิตถามว่าคือใคร ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า เป็นผีที่อยู่ที่โรงพยาบาลนี้แหล่ะ เค้าบอกกับดิฉันว่า “ข้ามาเพื่อจะมาขอเป็นญาติท่าน” ดิฉันก็บอกไปว่า “ท่านยังไม่ใช่ญาติข้าหรือไง มาปรากฎนี่ยังถือว่าไม่ใช่ญาติกันอีกหรือ” เค้าก็ตอบกลับมาว่า “ที่ผ่านมาไม่ใช่ แต่ตอนนี้จะใช่แล้ว” ดิฉันก็บอกกล่าวไปว่า “เพื่ออะไรหรือถึงอยากเป็นญาติข้า” เค้าก็ตอบมาว่า “ข้าได้ยินเทวดาของท่านคุยกัน เค้าบอกว่าเมื่อก่อนเค้าไม่ใช่ญาติท่าน แต่เค้าอธิษฐานเป็นญาติท่าน เค้าจึงได้รับบุญจากท่านอยู่ตลอดเวลา ข้าอยากจะเป็นญาติท่านเพื่อให้ได้รับบุญเช่นนั้นบ้าง” ดิฉันก็เลยอนุญาตให้เค้าตั้งจิตอธิษฐานเพื่อเป็นญาติดิฉันในทันที พอเสร็จสิ้นรายนี้แล้ว ปรากฏว่าแสดงตนให้เห็นอีกมากเลย (มากจนนับไม่ถ้วนเลยค่ะ) เพื่อขอเป็นญาติกับดิฉัน ดิฉันเองก็งงว่าแล้วพวกเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หรือว่าเขาจะไปบอกต่อ ๆ กัน ว่าหากอธิษฐานเป็นญาติดิฉันแล้วพวกเขาจะได้รับบุญกันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้คิดสงสัยอะไร หากวิธีนี้จะทำให้พวกเขาได้รับบุญกันแล้ว ดิฉันก็ยินดี ดิฉันก็เลยบอกให้พวกเขาตั้งจิตอธิษฐานเอาเลย พวกเขาก็ทำตามกันในทันที

    เมื่อลงมาจากห้องพระ จิตก็ยังพะวงอยู่ว่าพวกเขารู้ได้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ (มันอดสงสัยไม่ได้น่ะค่ะ) ก็เลยยิงคำถามใส่ตัวเองซะเลยว่า “แล้วจะสงสัยทำไม สงสัยให้เกิดอะไรขึ้นมาเนี่ย” เมื่อคิดไปคิดมา ทวนไปทวนมาสักครู่แล้ว จิตก็หมดความสงสัยไปชั่วขณะนึง เมื่อหมดความสงสัยไปเท่านั้นเอง ก็มาแล้วทีนี้ (เทวดาประจำตัวของดิฉันน่ะค่ะ) มาบอกเลยว่า “ข้าบอกพวกเขาเองแหล่ะท่าน ข้าฟังธรรมจากหลวงปู่พร้อม ๆ กับที่ท่านฟังนั่นเอง และข้าก็ลองอธิษฐานจิตเป็นญาติท่าน ปรากฎว่าข้าได้รับบุญจากท่านอยู่ตลอดเวลาที่บุญเกิดขึ้นกับท่าน ณ เวลานี้มีสิ่งลี้ลับทำเช่นนี้กันมากน่ะท่าน” ได้ยินเช่นนั้นข้าพเจ้าก็เลยรีบโมทนาบุญกับเทวดาท่านนี้เลยทันที แทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมีจิตเมตตาสูงขนาดนี้ และมีปัญญาไวมากขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ฟังธรรมพร้อมกับดิฉันแท้ ๆ แต่เขากลับไวต่อการปฏิบัติตาม และยังมีเมตตาชี้แนะสิ่งลี้ลับตนอื่น ๆ อีก (ขอพวกเราทุกท่านได้ร่วมโมทนาบุญกับเทวดาท่านนี้ด้วยนะคะ)

    และล่าสุด ดิฉันก็ได้ลงโทษเทวดากลุ่มหนึ่งที่ได้รับบุญไปแล้วไม่ยอมทำงาน กลุ่มนี้ไม่ยอมทำงานจริง ๆ ค่ะ รับบุญแล้วนิ่งเลย ดิฉันก็เลยทำตามที่หลวงปู่ท่านแนะนำด้วยการเบิกบุญส่งให้กับ “ท้าวจาตุม” และให้ท้าวจาตุมท่านเรียกกลุ่มเทวดาดังกล่าวไปอบรมสั่งสอนให้รู้จักทำงานเมื่อได้รับบุญจากมนุษย์ไปแล้ว ก็ได้ผลนะคะ พอดิฉันบอกให้ท้าวจาตุมช่วยเท่านั้น พวกเค้าเลิกขี้เกียจทันทีเลย หันมาช่วยกันทำงานทันที ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากว่าดิฉันโอนบุญ-เบิกบุญให้กับเทวดากลุ่มหนึ่ง ให้ช่วยกันทำงาน (คือทำสำเร็จหรือไม่ดิฉันไม่ได้มุ่งหวัง เพียงแต่ขอให้พวกเขารู้จักที่จะทำงาน หรือพยายามที่จะทำงานเท่านั้น) ซึ่งกลุ่มนี้ดิฉันดูแล้วว่าได้รับบุญอยู่ตลอด โดยเฉพาะบุญจากการภาวนา แต่พวกเขาไม่ทำงานกันเลย (มีเทวดามาฟ้องน่ะค่ะ) และจังหวะที่ดิฉันได้ฟังธรรมจากหลวงปู่เรื่องเกี่ยวกับการลงโทษเทวดาที่ไม่ได้ทำงานด้วยแล้ว ว่าหากพวกเขาไม่ทำงานก็ต้องลงโทษไปตามระเบียบ ดิฉันก็เลยทำการลงโทษซะบ้าง ก็ได้ผลค่ะ พวกเขาหันมาทำงานกันทันทีเลย คือช่วยกันทำงานเลยทันที แม้จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่ขยันที่จะทำงานมากขึ้น ไม่เอาเปรียบกลุ่มอื่น ๆ

    จะว่าไปแล้วกลุ่มภูมิที่ต่ำกว่าเทวดาบางจำพวกเนี่ย เมื่อเค้าตั้งใจจะรับบุญแล้วเค้าจะตั้งใจช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่เลยนะคะ ดิฉันเคยได้ยินพวกเขาปรึกษากันเพื่อหาทางช่วยดิฉันด้วยนะคะ อดน้ำตาไหลไม่ได้เลย เค้าเป็นเสมือนญาติของเราเลยล่ะค่ะ เค้าพยายามที่จะค้นหาหนทางที่จะช่วยเราแก้ไขในสิ่งที่เราประสบกับปัญหานั้น ๆ อยู่ แม้จะไม่ได้เอ่ยใช้เลยก็ตาม (จะว่าไปแล้วยังขยันกว่าเทวดาบางจำพวกซะอีกแน่ะ) แต่ก็อย่างว่าแหล่ะค่ะ บางครั้งก็ต้องมีการลงโทษกันบ้างสำหรับกลุ่มที่ชอบเอาเปรียบกลุ่มอื่น ๆ เพราะรับบุญแล้วไม่ทำงาน ไม่ช่วยสะกัดกั้นนายเวรให้กับเราเลย เป็นต้น

    และอีกเรื่องนึงนะคะที่อยากจะนำเอามาเล่ากล่าวต่อกัน เรื่องบุญที่เกิดจากการภาวนาค่ะ บุญชนิดนี้ยิ่งใหญ่มาก ๆ ค่ะ ดิฉันเคยมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เรื่องนึงนะคะ แก้ไขอย่างไรก็แก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ก็ดู “ทุกข์” มันไปเรื่อย ๆ ดูซิว่ามันจะทุกข์จนตายไปเลยหรือป่าว ปรากฎว่ามันไม่ตายหรอกค่ะ แต่มันเกือบ “ปางตาย” ค่ะ ดิฉันก็เอาเลยค่ะ นั่งสมาธิและกำหนดว่า “บุญที่เกิดจากการนั่งสมาธิครั้งนี้ขอถึงแด่นายเวรที่ก่อกวนจิตใจข้าพเจ้าอยู่ในขณะนี้ ขอบุญจากการภาวนานี้จงเป็นบุญแห่งการขอขมาของข้าพเจ้า ขอนายเวรที่ข้าพเจ้าเคยสร้างความทุกข์ให้เกิดกับพวกท่านมาตั้งแต่อดีตชาติจงเข้ารับบุญแห่งการขอขมาของข้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขอบุญนี้จงเป็นอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยให้กับพวกท่านตามที่ต้องการ และขอบุญนี้จงได้นำพาพวกท่านเลื่อนสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น เป็นภพภูมิแห่งการหลุดพ้น และขอบุญนี้จงส่งผลให้พวกท่านได้อโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าและนำมาซึ่งการเป็นญาติที่ดีต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด” ได้ผลค่ะ ได้ผลจริง ๆ จิตใจกลับสู่ปกติได้มากขึ้น แจ่มใสขึ้น พอกลับเป็นปกติแล้วก็ทำให้มีสติที่จะคิดทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาได้มากขึ้นค่ะ ว่าเราทุกข์อะไร สาเหตุแห่งทุกข์มันคืออะไรกันแน่นะ (ด้วยเพราะทุกข์บางอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยิ่งฟัดยิ่งหนัก จึงต้องสะกัดกั้นให้จิตเป็นปกติก่อนการพิจารณา แต่หากบางทุกข์สามารถฟัดกับมันได้ดิฉันก็จะเข้าฟัดเลยทันที สู้ได้ไม่ได้ก็จะลุยกับมันสักตั้งน่ะค่ะ ผลน่ะหรือคะ “เกือบตาย” ค่ะ แต่ก็สะใจดีที่ได้ฟัดกับมัน)

    หลวงปู่ท่านชี้แนะว่า “ทุกข์ใดเกิดขึ้นให้กำจัดทุกข์นั้นก่อนทันที แก้ไปทีละทุกข์ แก้ไปทีละปัญหา เป็นเรื่อง ๆ ไป อย่าแก้พร้อมกันทุกเรื่อง” ดังนั้นเมื่อทุกข์เกิดขึ้นกับดิฉัน ดิฉันจะย้อนคิดเสมอว่า “เพราะทำเขามา ถึงต้องได้รับเช่นนี้ แต่ทว่าข้าจะไม่ก้มหน้าก้มตาชดใช้หรอก ข้าจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเอาบุญข้าที่มีนี้แหล่ะมาแก้ไข” จากนั้นก็จะทำการเบิกบุญ-โอนบุญให้กับสิ่งลี้ลับที่ส่งสัญญาณมาทันที (ส่งให้กับสิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดก่อน ไอ้ทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ จะเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ ประมาณว่าจะ แก้ไขปัญหาที่หนักสุดก่อน) ดิฉันจะให้บุญพวกเขาถี่ ๆ บ่อย ๆ โดยจะยังไม่ให้ใคร ให้สิ่งที่ส่งสัญญาณมาก่อน ให้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตของดิฉันจะดีขึ้น ถ้าจิตยังไม่เป็นปกติหรือยังไม่ดีขึ้น ดิฉันก็จะยังไม่หยุดส่งค่ะ และจะไม่ท้อในการส่งด้วย ส่งไปเรื่อย ๆ ส่งมันจนกว่าจะเห็นผล เห็นผลในที่นี้คือจิตเป็นปกตินั่นเอง (อย่างที่แนะนำน่ะค่ะว่าบุญแห่งการภาวนานั้น เขาจะได้รับเต็ม ๆ เลย แต่ต้องไม่ลืมแปลงบุญด้วยนะคะ บุญชนิดนี้ส่งแล้วได้ผลค่อนข้างเร็ว ไม่เสียเวลาในการส่ง ดังนั้นในคราใดที่เจอทุกข์หนัก ๆ ดิฉันจะส่งบุญจากการภาวนาให้เลยทันที คือไม่ต้องเสียเวลาส่งนานน่ะค่ะ)
    และบุญอีกอย่างที่เห็นผลนะคะคือบุญที่ทำกับพ่อและแม่ค่ะ ดิฉันลองกับตัวเองแล้วค่ะ ส่งขนมให้พ่อแม่หรือเอาเงินให้ท่านปุ๊บก็โอนบุญปั๊บ พวกเขาจะได้รับกันเต็ม ๆ เลย และหยุดส่งสัญญาณในทันทีเลย (อันนี้ลองแล้วกับตัวและเห็นผลชัดเจนมาก ๆ ค่ะ)

    แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้มิใช่จะเป็นการเลือกทำความดีนะคะ ทุกสิ่งที่เรากระทำกันก็เป็นการสร้างความดีทั้งสิ้น แค่คิดดีกับใครสักคนก็เป็นบุญแล้ว แต่ทั้งนี้จากประสบการณ์แล้วเนี่ย การจ่ายบุญจำเพาะเจาะจงไปเลยจะทำให้สิ่งลี้ลับนั้นได้รับเต็ม ๆ และยิ่งเป็นบุญที่เกิดจากการกระทำดีกับพ่อแม่และบุญจากการภาวนาด้วยแล้ว จะค่อนข้างส่งผลเต็มที่ให้กับพวกเขาน่ะค่ะ ได้รับกันเต็ม ๆ และระงับการส่งสัญญาณทุกข์เข้าหาเราได้อย่างชะงักนักค่ะ

    โมทนาบุญค่ะ
     
  14. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 04 ตุลาคม 2005, 15:04:42
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะพี่ ๆ เพื่อนๆ น้อง ๆ กัลยาณมิตรชาว “ลานวัด” ทุกท่าน

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (วันที่ 1 กันยายน 2548) ดิฉันมาทำงานตามปกติค่ะ ช่วงบ่าย ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นน้องคนนึง พอเห็นเบอร์ของเธอโชว์ขึ้นมาดิฉันก็ต้อง “ถอนหายใจเพื่อเรียกสติและกำลังใจก่อนที่จะรับโทรศัพท์ของเธอ” ด้วยเพราะรู้ดีว่า “ช่วงนี้น้องเค้ากำลังมีปัญหาหนักอย่างมากเกิดขึ้นในชีวิต” ปัญหาของเธอก็คือปัญหา “เรื่องแฟน” น่ะค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าการเรียกสติและกำลังใจให้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันนั้น อาจนำมาซึ่งทางออกที่ดีที่จะให้คำปรึกษากับเธอบ้างไม่มากก็น้อย หรืออาจทำให้เธอได้สบายใจขึ้นบ้างนั่นเอง

    ที่ผ่านมาเรียกว่าแทบจะทุกครั้งก็เป็นไปได้ที่เวลาเธอโทรมาหาดิฉัน ดิฉันก็มักจะได้ยินเธอร้องไห้ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง นั่นคือ ระบายไปก็ร้องไห้ไป และก็มักจะมีคำถามอยู่ตลอดว่า “ทำไม” “หนูทำกรรมอะไรมา ทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย ทำไม ทำไม ทำไม และ ทำไม มันไม่ยุติธรรมกับชีวิตหนูเลย”

    แต่ครั้งนี้ผิดคาดค่ะ เมื่อรับโทรศัพท์ของเธอปุ๊บ ดิฉันกลับได้ยินน้ำเสียงใสมาก ๆ ของเธอ จนดิฉัน “อึ้งและงง” ไปเลย จากนั้นเธอก็พูดความรู้สึกและสิ่งต่าง ๆ ออกมาอย่างไม่หยุดเลย คุยกันเกือบชั่วโมง (ส่วนใหญ่จะฟังเธอพูดซะมากกว่าน่ะค่ะ) ดิฉันฟังไปก็อึ้งไป ประมาณว่า “พูดไม่ออก” เลยน่ะค่ะ จึงขอสรุปให้กับทุกท่านได้อ่านกันนะคะ ถือเป็นธรรมทานค่ะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ……………

    (โดยสรุปก็คือ) เธอบอกกับดิฉันว่า เธอไม่โกรธแฟนของเธอแล้ว และไม่โกรธใครทั้งนั้น (มือที่สาม) เธอลืมอดีตอันเลวร้ายได้แล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นเธอบอกว่า “ที่ผ่านมาหนูว่าหนูผิดนะ แฟนหนูไม่ผิดหรอก คนอื่นๆ ก็ไม่ผิดด้วย หนูเองต่างหากที่ผิด ผิดเพราะขาดสติ ขาดความเมตตา ขาดการให้อภัย หนูนี่แย่มากเลยนะคะพี่” ยิ่งฟังดิฉันก็ยิ่งงง …………อะไรกันนี่ …………อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

    ต้องขอบอกประวัติเธอนิดนึงนะคะ พื้นฐานแล้วเธอเป็นเด็กที่น่ารักมาก จิตใจดี ใจบุญใจกุศล เท่าที่รู้จักกันไม่นานนัก แต่ก็บอกได้เลยค่ะว่าเธอเป็นคนดี และเป็นมิตรกับทุกคน เป็นผู้หญิงที่ยิ้มง่าย เห็นแล้วก็น่าอยู่ใกล้ ๆ น่ะค่ะ ที่ผ่านมาเธอเกิดปัญหาส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องมือที่สาม และปัญหาความไม่เข้าใจกันของเธอและแฟน ทำให้เด็กผู้หญิงคนนึงที่จิตใจงดงาม ร่าเริง แจ่มใส ต้องกลายเป็นเด็กที่เอาแต่ร้องไห้ ขาดความอบอุ่นอย่างน่าสงสารมาก ดิฉันเองในตอนแรกก็ไม่รู้จะช่วยเธอได้อย่างไรดี ได้แต่รับฟังปัญหาของเธอ (ประมาณว่าเป็นที่ระบายให้กับเธอน่ะค่ะ) ก็พอจะรู้ดีว่าปัญหานี้มันหนักขนาดไหนสำหรับลูกผู้หญิง ใครไม่เจอไม่พบก็คงจะไม่รู้หรอกว่ามันหนักขนาดไหน ดิฉันได้แต่ทำหน้าที่ของพี่คนนึงด้วยการ “รับฟังและก็ปลอบใจ” ทำได้เท่านี้จริง ๆ ค่ะ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือดิฉันได้ทำการ “เบิกบุญ” “โอนบุญ” เพื่อช่วยเธออีกทางหนึ่ง ใจก็ไม่กล้าแนะนำวิธีเบิกบุญ โอนบุญกับเธอ ด้วยคิดว่าช่วงเวลานี้เธอคงไม่อยากจะกระทำสิ่งใดแน่ ๆ นอกจากร้องไห้เพื่อระบายความทุกข์ จนที่สุดดูแล้วเธอจะไม่ไหวและหมดหนทางในการแก้ไขแล้วจริง ๆ จึงตัดสินใจพูดกับเธอเรื่อง “สิ่งลี้ลับ “ เรื่องของ “กรรม” และเรื่อง “การเบิกบุญ-โอนบุญ” ณ เวลานั้นเธอหมดทางออก หลังเธอชนฝาแล้ว เธอสู้กับความทุกข์ใจไม่ไหวแล้ว และด้วยอาการหลังชนฝานี้เอง ทำให้เธอตัดสินใจทำตามที่ดิฉันแนะนำอย่างไม่น่าเชื่อ (อันนี้เธอมาเฉลยให้ฟังทีหลังน่ะค่ะ เธอบอกว่าตอนแรกฟังแล้วก็เฉย ๆ ไม่ได้อยากจะปฏิบัติตาม ฟังคำแนะนำไปอย่างนั้นแหล่ะ แต่ที่สุดแล้วเธอก็ต้องทำตามด้วยเพราะเธอไม่มีทางออกแล้วจริง ๆ ในการแก้ปัญหาให้ทุกข์ที่ใจมันเพลาลง)

    เธอบอกกับดิฉันว่าเธอเบิกบุญ-โอนบุญแบบชนิดที่เรียกว่า “ถี่ยิบ” เลย ส่งให้กับนายเวรที่ก่อก่อนเธอ และส่งให้กับเทวดาที่ดูแลรักษา ทั้งที่อยู่กับเธอ อยู่กับแฟนเธอ และอยู่กับมือที่สามนั้น เธอทำเช่นนี้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ได้น่ะค่ะ เรียกว่าทำแทบทุกลมหายใจเลยก็ว่าได้ แล้วผลก็บังเกิดขึ้นกับเธอแบบที่เธอเองก็รู้สึกงงมากเช่นกัน เธอบอกว่าเธอใจเย็นลงมาก รู้สึกสงสารแฟนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ รวมทั้งรู้สึกสงสารคนที่เข้ามาเป็นมือที่สามนั้นด้วย ที่สำคัญอดีตต่าง ๆ ที่เลวร้ายนั้นเธอลืมมันไปเกือบหมดสิ้น สิ่งแย่ ๆ ต่าง ๆ ที่เธอได้รับจากแฟนเธอนั้น เธอลืมมันเกือบหมดสิ้นเลย เกิดการ “ยกโทษ” และการเกิด “ให้อภัยด้วยใจจริง” เธอเน้นว่า “ด้วยใจของเธอจริง ๆ” เธอบอกกับดิฉันว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ตาม ไม่ว่าเธอจะได้อยู่กับแฟนเธอหรือไม่ก็ตาม สิ่ง ๆ นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการอีกแล้ว สิ่งที่เธอต้องการก็คือ เธอขอไม่ทุกข์กับแฟนเธออีก ขอเพียงได้พูดคุยกันบ้าง ได้ช่วยเหลือกันบ้าง เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เพียงเท่านี้ที่เธอต้องการ”

    เธอศรัทธาหลวงปู่เกษมมาก เธอศรัทธาการเบิกบุญ-โอนบุญอย่างมาก เธอได้ลองแล้วกับตัวเธอเอง จิตใจเธอเบาลงมาก ใจเธอไม่ทุกข์แล้ว ณ วันนี้เธอไม่ทุกข์กับอดีตและไม่ทุกข์กับสิ่งที่เธอเผชิญอยู่อีกแล้ว

    ดิฉันเองได้ฟังก็อดน้ำตาซึมไม่ได้ค่ะ จิตก็ส่งบุญอยู่ตลอด ส่งให้กับเทวดานายเวรของเธอ นี่แหล่ะค่ะ ประสบการณ์จริง ๆ ของผู้ที่ปฏิบัติจริง ตั้งใจจริง แม้ในช่วงที่เธอปฏิบัตินั้นอาจเป็นลักษณะ “หลังชนฝา” ก็ตาม แต่เธอก็ทำด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่น ศรัทธาในสิ่งที่คิดว่าจะช่วยเธอให้พ้นทุกข์ได้ และที่สุดไอ้ความตั้งใจนี้เอง มันก็ช่วยเธอได้จริงๆ มันอาจไม่ส่งแฟนกลับมาหาเธอก็ได้ แต่มันส่ง “สุขที่แท้จริง” สุขจากการคิดดี คิดกุศลกลับมาให้เธอ มันมีค่ามากกว่าสิ่งใดอีกค่ะ

    ขอโมทนาบุญกับน้องด้วยนะ พี่เองก็หมดห่วงกับเธอแล้วสักที จึงขอให้ทุกท่านได้โมทนาบุญร่วมกับเธอด้วยนะคะ และขอให้ทุกท่านมีกำลังใจที่จะทำการเบิกบุญ-โอนบุญกันต่อไปนะคะ สุขใดก็ไม่เท่ากับการสุขใจ สุขใจที่คิดดี คิดแต่กุศลนั่นเองค่ะ

    ดิฉันได้ขออนุญาตที่จะนำเรื่องราวของเธอมาเป็นธรรมทานให้กับกัลยาณมิตรใน web ได้อ่านกัน ซึ่งเธอก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากประสบการณ์ของเธอในครั้งนี้จะทำให้ทุกท่านมีกำลังใจในการปฏิบัติดีกันอย่างต่อเนื่อง

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  15. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 07 ตุลาคม 2005, 10:47:25
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะ พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน

    ท่านใดที่มี VCD ของหลวงปู่ชุดที่ชื่อว่า “แสดงธรรมที่ภูวัด” ดิฉันก็ขอความกรุณาสักชุดนะคะ ด้วยเพราะที่ดิฉันมีอยู่นั้นจะเป็น MP3 น่ะค่ะ และไม่แน่ใจธรรมะชุดนี้มีเป็นแบบ VCD ด้วยหรือป่าว หากท่านใดมีเป็นแบบ VCD ก็รบกวนขอเป็นธรรมทานให้ดิฉันสักชุดนะคะ ด้วยเพราะฟังแล้วรู้สึกว่ามีคุณประโยชน์อย่างมากกับตนเองเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม และอยากเผยแพร่ให้เป็นธรรมทานกับอีกหลาย ๆ คนที่เค้าต้องการเห็นเป็นภาพ (มีขอมาน่ะค่ะ) ถ้าท่านใดมี (เป็นแบบ VCD) ก็ขอความกรุณาเมตตาเพื่อเป็นธรรมทานให้สักชุดนะคะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

    ช่วงนี้ดิฉันนั่งสมาธิ ก็ได้พิจารณา “รู้” ในสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่หลวงปู่ท่านแนะนำ รู้ไปเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็เห็นการเกิด-ดับของสิ่งต่าง ๆ ที่มาปรากฎได้ค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น ใจก็อดระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์หลวงปู่ท่านไม่ได้ ด้วยเพราะท่านมีพระเมตตาอย่างหาที่สุดไม่ได้จริง ๆ ที่ท่านได้เมตตาผู้จนซึ่งปัญญาอย่างดิฉันให้เห็นเข็มทิศในการเดินทางที่ชัดเจนขึ้น ทุกวันนี้เลยต้องบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า “ช้าไม่ได้แล้ว” ด้วยเพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หากมีบุญได้เกิดใหม่อีกครั้งจะได้พบครูบาอาจารย์มากด้วยความเมตตาเช่นนี้อีกหรือป่าวก็ไม่รู้ ในเมื่อชาตินี้ได้พบ ได้เห็น ได้มีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากท่านแล้ว จะช้าอยู่ใย จะรออะไรอยู่อีก

    สำหรับท่านที่กำลังปฏิบัติภาวนาเพื่อชำระจิตใจอยู่นั้น ดิฉันขอแนะนำให้ฟัง CD ชุด “แสดงธรรมที่ภูวัด” หรือชุด “ที่เทศน์สอนคณะคุณธงรบ” น่ะค่ะ ทั้งสองชุดนี้จะเน้นไปในเรื่องของการทำภาวนา โดยหลวงปู่ท่านได้กล่าวเรื่องเหล่านี้ไว้ค่อนข้างชัดเจนมากค่ะ ถือเป็นการทวนสอบการปฏิบัติได้มากทีเดียว ดิฉันเองก็ฟังไปด้วยทวนสอบการปฏิบัติไปด้วยทุกครั้งค่ะ ด้วยเพราะไม่อยากโทรไปรบกวนท่านหรือไปพบท่านน่ะค่ะ ดังนั้นการฟัง CD ของหลวงปู่บ่อย ๆ จึงถือว่ามีประโยชน์อย่างมากกับพวกเรานักปฏิบัติธรรมนะคะ จะได้คอยย้ำคอยเตือนตัวเตือนตนให้ปฏิบัติได้ถูกต้องและมีความเพียรอย่างต่อเนื่องในการปฏิบัติธรรมสืบต่อไป

    เมื่อสองวันก่อนช่วงเย็นดิฉันอาบน้ำเสร็จก็ตั้งใจว่าค่ำคืนนี้จะนั่งสมาธิสัก 1 ชั่วโมง ด้วยเพราะไม่รู้สึกง่วงหรือเพลียจากการงานเลยในวันนี้ ในเมื่อกายมันพร้อมก็เอาสักหน่อย เอาให้มันเต็มที่สักหน่อยวันนี้ จัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วกำลังจะทำการนั่งสมาธิก็ได้รับความเมตตาจากเทวดาท่านหนึ่ง สง่างามมาก แต่งเครื่องทรงที่ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย เยอะแยะมากมาย มีสีสันสวยงามมาก มาปรากฎให้เห็น ดิฉันก็ได้เบิกบุญให้ก่อนเลย ด้วยเพราะหลวงปู่ท่านบอกว่า กว่าพวกเขาจะปรากฎให้เราเห็นได้นั้นไม่ใช่ง่าย ๆ เมื่อสัมผัสได้ก็จงให้บุญเค้าซะ อย่าทำเป็นไม่เห็น หรือทำเป็นไม่สนใจ ปรากฎว่าเมื่อทำการเบิกบุญให้เค้าแล้ว เค้ากลับนิ่ง นิ่งมาก เหมือนกับเค้าจะบอกเราว่า “ไม่ได้จะมาเอาบุญ” ดิฉันเองก็นิสัยเดิมค่ะ ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเลย (สันดานเดิมที่แย่มาก ๆ มันยังเนืองนองอยู่เยอะน่ะค่ะ ไอ้นิสัยไม่ค่อยสนใจอะไรเนี่ย) จนเริ่มหลับตาก็รับรู้ว่า เค้ายังจ้องอยู่ไม่ไปไหน ในใจก็คิดว่าเอ๊ะ “ทำไมเทวดาตนนี้รวบรวมกายให้ปรากฎได้นานจัง ทั้งที่เคยพบเห็นมานั้นเทวดาส่วนใหญ่ปรากฎได้ไม่นานก็หายแล้ว” จึงต้องถามกลับไปว่า “ท่านคือใคร ท่านต้องการสิ่งใด เมื่อสักครู่นี้เราเบิกบุญให้ไปท่านไม่ได้รับหรืออย่างไร” ก็ได้รับการตอบกลับมาว่า “มีเทวดาอีกมากที่รอตอบแทนท่าน เอ่ยเรียก เอ่ยบอกสิ เค้าจะช่วย เค้าช่วยได้นะ บอกเค้าสิ ให้เค้าช่วย” ดิฉันก็ถามกลับไปว่า “ช่วยอะไร ไม่ได้ต้องการให้ใครช่วย แค่อยากให้บุญเท่านั้น แต่ใครอยากช่วยก็ช่วยสิ คงไม่ขอให้ช่วยหรอก เพราะไม่มีอะไรให้ช่วยจริง ๆ” เค้าก็ตอบกลับมาว่า “อย่าช้าเลย อย่ามัวเสียเวลาเลย การปฏิบัติภาวนาไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านต้องมีผู้ช่วย ในเมื่อมีผู้ช่วยแล้วทำไมไม่ให้เค้าช่วยล่ะ” แล้วเทวดาท่านนั้นก็หายไป เท่านั้นเองดิฉันก็พอจะนึกออกแล้วว่าคืออะไร จึงเอ่ยขึ้นมาในใจทันทีว่า “ข้าเบื่อแล้วกับการเกิด มันมีแต่ทุกข์ ทุกข์กาย-ทุกข์ใจไม่สิ้นสุด เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เบื่อแล้วเหลือเกิน แต่ข้ายังด้อยซึ่งปัญญาและบารมี ท่านใดที่เคยอุปถัมถ์ค้ำชูกันมาเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม หากเคยได้ร่วมบุญร่วมกุศลต่อกันมาบ้างแล้ว หรือได้รับบุญจากข้าบ้างแล้ว ก็จงได้ช่วยให้ข้าได้สำริดผลต่อการฟาดฟันกิเลสในการปฏิบัติภาวนาครั้งนี้ด้วยเถิด เมื่อข้าได้พบทางออกแล้ว ข้าจะกลับมาช่วยพวกท่าน ข้าให้สัญญา” ช่วงที่กล่าวในใจอยู่นั้นเองสัมผัสได้เลยว่า “เยอะมาก ๆ” ปรากฎให้สัมผัสเยอะมาก ทั้งเห็นก็มี ทั้งทำให้ขนลุกก็มี ทั้งทำให้หนาวสั่นก็มี ทั้งทำให้ตัวหนักก็มี ทั้งทำให้เส้นเอ็นที่ปลายเท้ายึดก็มี ทั้งทำให้ปากสั่นก็มี ทั้งทำให้จิตสั่นพรั่บ ๆ ก็มี อาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกันประมาณ 5 วินาทีได้ค่ะ แล้วก็หายไป ดิฉันก็เลยลงมือปฏิบัติต่อทันที และก่อนนั่งก็ได้เอ่ยเรียก “นายเวรที่ดิฉันเคยขัดขวางการปฏิบัติภาวนาของพวกเค้ามาก่อนในอดีตชาติ” ด้วย เอ่ยให้เค้าได้มารับบุญ ถือเป็นบุญแห่งการ “ขอขมา” น่ะค่ะ และเอ่ยดักไว้ก่อนเลยว่า “ได้รับบุญแล้วอย่าขัดต่อการปฏิบัติของข้านะ” ในคืนนั้นเห็นผลค่อนข้างชัดกับตัวเองเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมค่ะ ไอ้ที่ติดขัดอยู่ก็เริ่มคลาย ๆ ลง จากที่บอกว่าจะนั่งสัก 1 ชั่วโมง กลับกลายเป็น 2 ชั่วโมงกว่าได้ ในใจก็อดขอบคุณเทวดาตนนั้นไม่ได้ที่อุตส่าห์เมตตามาชี้แนะ และระลึกขอบคุณเทวดาที่มีส่วนช่วยในการปฏิบัติครั้งนี้ (ไม่ลืมที่จะส่งบุญให้ด้วยแล้วน่ะค่ะ) พวกเค้าคงเห็นดิฉันไม่ฉลาดน่ะค่ะ (ก็จริงอย่างที่พวกเขาคิดนั่นแหล่ะค่ะ) จึงต้องมาชี้แนะให้ฉลาดขึ้นสักหน่อยนั่นเอง

    พวกเค้าคือญาติเราจริง ๆ อย่างที่หลวงปู่บอก เมื่อเราเมตตาให้บุญต่อพวกเขา พวกเขาก็เมตตาในการช่วยเหลือเรา แม้จะไม่ได้ขอร้องเลยก็ตาม แต่พวกเขาก็เมตตาที่จะช่วย จึงไม่แปลกใจเลยที่ทำไมองค์หลวงปู่ท่านแนะนำให้พวกเราส่งบุญให้กับเทวดาประจำตัว รวมถึงสิ่งลี้ลับที่เป็นญาติในโลกทิพย์ของพวกเราเป็นหลักสำคัญก่อน เพราะผู้ใกล้ชิดกับเราเหล่านั้น ต่างก็มีผลโดยตรงกับชีวิตเราค่อนข้างมากในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งในแง่ของการอุปถัมป์ค้ำชู และในแง่ของการกระตุ้นเตือนให้พวกเรา “ชดใช้” คืนให้กับพวกเขาซะนั่นเอง

    ดิฉันเคยถามพวกเค้านะคะ โดยเคยถามไปว่า “เหตุไฉนพวกท่านไม่ปรากฎให้นักปฏิบัติได้เห็นกันทุกคนล่ะ พวกเค้าจะได้มีกำลังใจในการปฏิบัติและก็จะได้รับรู้สิ่งต่าง ๆ ในสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้” ก็เคยได้รับคำตอบว่า “ไม่เหมือนกันทุกคนหรอกท่าน การปรากฎแต่ละครั้งนั้นต้องดูหลายอย่างในตัวมนุษย์ผู้นั้นด้วย ใช่ว่าพวกเขาไม่มีบุญบารมี ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อ แต่หากพวกข้าพิจารณาลงไปมากกว่านี้แล้วไม่สามารถติดต่อได้ ก็จะไม่สามารถติดต่อกันเท่านั้นเอง ต่อเมื่อมนุษย์ผู้นั้นปฏิบัติได้มากขึ้น มากจนญาติของพวกเขาได้รับรู้และสัมผัสได้ชัดเจนแล้ว ก็จะสามารถสื่อกันได้อย่างชัดเจนในที่สุดนั่นเอง บางคนสัมผัสได้แล้วแต่ไม่ชัดเจน ด้วยเพราะพวกเขาไม่ทำให้กระจ่างและชัดเจนนั่นเอง คือไม่สนใจให้มันกระจ่าง เมื่อไม่สนใจทำให้กระจ่างก็จะไม่มีการเกิดให้เห็นอย่างชัดเจนและกระจ่างนั่นเอง ฉันใดก็ฉันนั้น”

    เทวดายังได้ชี้แนะดิฉันเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง “นายเวร” ค่ะ พวกเขาบอกกับดิฉันว่า “นายเวรมีหลายกลุ่ม กลุ่มละเรื่อง เรื่องละหลายตน ตนละหลายภพหลายชาติ หากระบุให้เป็นกลุ่มได้ก็จะมีขอบมีเขตในการรับ รับโดยตรงและรับเต็ม ๆ ไม่คละกลุ่ม” นั่นหมายความถึงว่า หากท่านมีทุกข์เรื่องใด ก็ให้ระบุนายเวรกลุ่มนั้น ๆ ให้ชัดเจน ให้เป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่หว่านพร้อมกันทุกกลุ่มน่ะค่ะ เช่น ท่านมีกรรมเรื่องการปฏิบัติธรรม ท่านก็เอ่ยเบิกบุญให้กับนายเวรที่ท่านเคยขัดขวางการปฏิบัติธรรมของพวกเขามาตั้งแต่อดีต เช่นนี้เรียกว่า “กลุ่มนายเวรที่ท่านเคยขัดขวางต่อการปฏิบัติธรรม” และหากท่านมีกรรมเรื่องความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นในชีวิตอีก ก็ส่งให้กับ “กลุ่มนายเวรที่ท่านเคยไม่ยุติธรรมกับพวกเขาในอดีตชาติ” อันนี้ก็คืออีก 1 กลุ่ม เอ่ยให้เป็นกลุ่ม ๆ ดิฉันได้ลองทำดูแล้วได้ผลค่ะ สังเกตได้เลยว่าปัญหาที่เราประสบอยู่ในแต่ละเรื่อง เมื่อได้รับการแก้ไขด้วยการส่งบุญแยกชัด ๆ ทีละกลุ่มแล้วนั้น จะสำริดผลค่อนข้างชัดเจนเลยค่ะ เพราะเมื่อเค้าได้รับบุญอย่างเต็มที่ ก็จะเกิดการ “อโหสิกรรม” ให้กับเราได้ในที่สุดนั่นเอง

    โมทนาบุญนะคะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  16. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 10 ตุลาคม 2005, 14:05:43
    --------------------------------------------------------------------------------

    วันนี้ (วันที่ 10 ตุลาคม 2548) ตอนเที่ยง ดิฉันได้ขึ้นทำสมาธิที่ห้องพระของที่ทำงานตามปกติค่ะ นั่งสมาธิไปสักครู่ ก็มีสิ่งลี้ลับมากมายเหลือเกินเข้ามารับบุญจากผลแห่งการภาวนาที่ได้ถูกแปลงให้เป็นอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยสำหรับพวกเขา พวกเขาเข้ามารับบุญกันเป็นจำนวนมาก และก็มีบางสิ่งพยายามที่จะสื่อสารอะไรมากมายกับดิฉัน เมื่อได้กำหนดจิตเพื่อสื่อสารด้วย ก็ได้รับทราบจากพวกเขาให้ช่วยสื่อสารไปถึง (เหล่ากัลยาณมิตรทางธรรมทั้ง 12 คน ที่ได้เดินทางไปพบดิฉันที่บ้านเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา) เมื่อรับทราบการสื่อสารนั้น ๆ แล้ว รู้สึกแปลกตรงจิตไม่วาง ไม่ปกติเหมือนทุกครั้งที่มีการสื่อสารกับสิ่งลี้ลับ พยายามกำหนด "รู้" ไปเรื่อย ๆ ถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นที่จิต แต่ก็ไม่หาย ทำอย่างไรก็ไม่หาย จิตไม่ยอมปกติเลย โอนบุญก็แล้ว เบิกบุญก็แล้ว ก็ไม่หาย มันเป็นอาการที่บอกไม่ถูกเหมือนกันน่ะค่ะ

    ประมาณบ่ายโมงครึ่ง ดิฉันจึงได้ตัดสินใจโทรเรียนถามกับหลวงปู่ท่านโดยตรง (ขออนุญาตนำสิ่งที่ได้เรียนถามท่านมาบอกกล่าวให้ได้รับทราบกันตามนี้ค่ะ)

    คำถาม : หลวงปู่เจ้าคะ การสัมผัสสิ่งลี้ลับทางจิตที่เกิดขึ้นกับหนูนั้น มันคือการสัมผัสสิ่งลี้ลับจริง ๆ หรือจิตมันสร้างขึ้นมาเองเจ้าคะ

    หลวงปู่ตอบ : สัมผัสจริงสิวะ ถ้าไม่จริงมันจะปรากฎได้อย่างไร และไม่ใช่สัมผัสได้น้อยซะด้วย มันสัมผัสเยอะเลยหล่ะ สัมผัสมาหลายภพหลายชาติแล้วรู้มั้ย

    คำถาม : สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มิใช่มาร และมิใช่การถูกจิตหลอกเพื่อสร้างขึ้นมาให้หลงใช่มั้ยเจ้าคะ

    หลวงปู่ตอบ : วะ.....ก็บอกแล้วไงว่าสัมผัสจริง ของจริง มันจะหลอกได้อย่างไร ก็มันสัมผัสได้จริง (ท่านตะคอกเสียงดังมากเลยค่ะ) (TT) (TT) (TT) (ตกใจมากเลย)

    คำถาม : ผิดหรือไม่เจ้าคะที่ลูกได้บอกกล่าวสิ่งที่พบเห็นเหล่านี้ให้กับคนอื่น ๆ ได้รับทราบ

    หลวงปู่ตอบ : ถ้าสื่อสารถูกก็ไม่ผิด แต่ถ้าสื่อสารผิดก็ผิด

    คำถาม : แล้วลูกจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ หากมีผู้ถามเรื่องสิ่งลี้ลับของพวกเขา

    หลวงปู่ตอบ : มิใช่กิจที่เจ้าควรทำ ควรรู้อยู่เฉพาะตน เก็บอยู่เฉพาะตน แก้ไขเฉพาะตนเท่านั้น อย่าไปเก่งเกินนั้น ไม่ใช่หน้าที่

    คำถาม : แล้วหากมีสิ่งลี้ลับของพวกเขามาบอกให้ลูกได้เป็นผู้ไปสื่อสารกับเจ้าของร่างนั้น ๆ เพื่อให้พวกเขาได้ทำนู่น ทำนี่ แก้ไขอย่างนั้นอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ ลูกจะทำอย่างไรดี จะช่วยสิ่งลี้ลับเหล่านั้น และจะช่วยบุคคลนั้น ๆ อย่างไรดี

    หลวงปู่ตอบ : บอกกับสิ่งลี้ลับเหล่านั้นไปว่า "ไม่ใช่กิจของเรา" จากนั้นให้เจ้าสอนพวกเขาให้ตั้งจิตว่า "ข้าขอสัมผัสกับเจ้าของร่างของข้าด้วยเถิด" เจ้าต้องเป็นผู้สอนเค้า (สอนสิ่งลี้ลับ) เจ้าทำได้แค่เพียงสื่อสารด้วยการสอนพวกมัน แล้วให้พวกมันไปสื่อเอง มิใช่เป็นตัวแทนสื่อให้ ไม่เอา ไม่ควรทำเช่นนั้น

    คำถาม : จากนี้ไปลูกควรจะระงับการพูดเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ

    หลวงปู่ตอบ : ไปพิจารณาเอาว่าควรหรือไม่

    หมายเหตุ : จริง ๆ ดิฉันอยากจะเรียนถามท่านต่อไปน่ะค่ะว่า "ควรจะพิจารณาอย่างไรว่าอันไหนควรบอกอันไหนไม่ควรบอก แต่จิตสั่งให้ไม่ถาม ดิฉันก็เลยกราบลาท่านน่ะค่ะ

    เมื่อวางโทรศัพท์ เทวดาของดิฉันก็ปรากฎขึ้นเพื่อบอกกับดิฉันทันทีว่า "ที่ถูกดุไปเมื่อสักครู่นี้ ท่านช่วยอะไรบางอย่างให้กับดิฉันแล้ว" ดิฉันถามเทวดาว่าท่านช่วยอะไร เทวดาก็ไม่ยอมบอก เลยทำให้ตอนนี้ต้องเลิกสงสัยไปเลยน่ะค่ะ และจิตตอนนี้ (หลังจากคุยกับท่าน) ก็กลับเข้าสู่ความ "ปกติ" แล้ว

    เอาเป็นว่ามีหลายสิ่งที่ตั้งใจจะบอกกับทั้ง 12 ท่าน (ที่ไปที่บ้านดิฉันเมื่อคืนวันเสาร์) ณ ตอนนี้คงต้องขออนุญาตระงับการบอกไว้เพียงเท่านี้นะคะ ไว้จะบอกให้สิ่งลี้ลับของทุกท่านไปบอกกล่าวกับทุกท่านเองละกันนะคะ โดยคืนนี้ (10 ตุลาคม 2548) ดิฉันจะบอกกับพวกเขาทางสมาธิ ท่านใดคืนนี้ว่าง ช่วงเวลา 21.00 น. ช่วยทำสมาธิด้วยนะคะ (เพราะดิฉันจะนั่งสมาธิในช่วงเวลานี้) เมื่อดิฉันบอกพวกเขาปั๊บ พวกท่านจะได้รับรู้กันเองโดยตรง (เผื่อจะสามารถรับรู้กันได้เลยน่ะค่ะ)

    กราบขอโทษไว้ ณ ที่นี้ และขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ค่ะ ด้วยเพราะศิษย์ที่ดีมิควรจะขัดในคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์น่ะค่ะ

    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  17. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 18 ตุลาคม 2005, 11:29:35
    --------------------------------------------------------------------------------

    “วันนี้ได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญแล้วหรือยังคะ”

    เป็นหนึ่งข้อความที่ดิฉันมักจะถามคนใกล้ตัวอยู่เสมอค่ะ ไม่ว่าจะเป็น คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว น้องชาย น้องสาว พี่ที่ทำงาน และอีกหลายคนที่ได้รับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญ จะถามทุกครั้งที่พบเจอหน้ากัน

    จากการที่ดิฉันได้มีโอกาสรับฟังซีดีของหลวงปู่อยู่หลายชุด จะสังเกตได้เลยค่ะว่าแทบทุกชุดนั้นหลวงปู่ท่านจะเน้นให้เบิกบุญ-โอนบุญบ่อย ๆ ถี่ ๆ สม่ำเสมอ มากเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาสัมผัสหรือไม่มีเข้ามาสัมผัสกับกายหรือจิตของเราก็ตาม ท่านก็ให้ส่งบุญออกไปอยู่เรื่อย ๆ ส่งไปแบบไม่ต้องคิดว่าต้องรอให้มีอะไรมาสัมผัสก่อนแล้วค่อยส่ง คล้าย ๆ กับว่าท่านจะสอนให้เราเป็นผู้ให้อยู่ตลอด ให้อย่างถึงพร้อม ให้อยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง หรือแม้บางครั้งที่มีบางสิ่งเข้ามาสัมผัสจิตของเรา กายของเรา หรือสัมผัสผู้คนรอบ ๆ ข้างที่เกี่ยวเนื่องกับเราก็ตาม ท่านบอกว่ามีผู้ส่งสัญญาณมาทั้งสิ้น มิใช่เป็นเหตุบังเอิญ ท่านจึงมุ่งเน้นให้เบิกบุญ-โอนบุญส่งให้ผู้ที่ส่งสัญญาณเข้ามาทันที ทันที และทันที นอกจากนั้นท่านยังบอกอีกว่า “กรรม” สามารถแก้ไขได้ จะมีก็แค่กรรมบางอย่างที่หนักจริง ๆ ที่อาจแก้ไขไม่ได้เท่านั้น ดังนั้นทุกกรรมที่อาจรอเราอยู่ก็ดี หรือกำลังเสวยเราอยู่ก็ดี หรือกำลังเข้าคิวรอเสวยกับเราอยู่ก็ดี เราสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้แทบทั้งสิ้น ขอเพียงให้มีความเพียรในการเบิกบุญ-โอนบุญออกไปให้พวกเค้า ให้เร็วที่สุด บ่อยที่สุด

    ดิฉันเองเดิมทีกว่าจะมาขยันเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญได้อย่างต่อเนื่องนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะมาทำได้แบบสบาย ๆ นะคะ เดิมทีก็เคยขี้เกียจมาก่อน แต่คงเป็นเพราะโชคดีตรงที่เจอแต่ “กรรมหนัก ๆ” มาตลอดมั้งคะ ประมาณว่าประเภท “สุนัขจนตรอก” น่ะค่ะ หาทางออกไม่ได้แล้ว เลย “สู้ตาย” และลุยอย่างหนักในการเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าผลที่บังเกิดขึ้นกับตัวเองนั้น มัน “มหัศจรรย์” จริง ๆ ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ทั้งทางโลกและทางธรรม โดยเฉพาะด้านจิตใจถือว่ามีผลเกิดขึ้นในทางที่ดีงามอย่างงงไปเลยหล่ะค่ะ

    ยิ่งมีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งลี้ลับด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อและเกิดความศรัทธา เกิดกำลังใจ เกิดความมุมานะ เกิดความเพียร ในการส่งบุญให้อย่างไม่ขี้เกียจเลยค่ะ

    ที่สำคัญ ยิ่งได้มีโอกาสฟังซีดีของหลวงปู่อยู่บ่อย ๆ (ทุกวัน) ยิ่งทำให้ได้กลเม็ดเคล็ดลับ และเทคนิควิธีในการส่งบุญมากมายเหลือเกิน ละเอียดเพิ่มขึ้น ถือเป็นการฝึกความชำนาญให้เกิดขึ้นในการส่งบุญอย่างฉับไว ประมาณว่าเป็นนักส่งบุญแบบชาญฉลาด คล่องแคล่วมากขึ้นน่ะค่ะ

    เช้าขึ้นมาเมื่อลืมตาขึ้นมาปุ๊บดิฉันจะระลึกในใจขึ้นทันทีว่า “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ได้บันดาลบุญเหล่านี้ถึงแด่สิ่งลี้ลับที่ส่งสัญญาณเข้าสู่ความฝันของข้าพเจ้าเมื่อคืนนี้”

    เมื่อลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ดิฉันก็จะระลึกในใจขึ้นทันทีว่า “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ได้บันดาลบุญเหล่านี้ถึงแด่เหล่าเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย จุลินทรีย์ สัตว์เล็กน้อยใหญ่ที่จะต้องตายจากการขับถ่ายและอาบน้ำของข้าพเจ้าในเช้านี้”

    เมื่อทำภาระกิจจากห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาไม่ว่าจะเจอหน้าใครก็แล้วแต่ก็จะเบิกบุญให้กับเทวดาและนายเวรของผู้นั้นทันที เช่น เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นแม่ ดิฉันก็จะระลึกในใจขึ้นมาทันทีว่า “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ได้บันดาลบุญเหล่านี้ถึงแด่เทวดา-นายเวรของแม่” จากนั้นก็จะระลึกต่อทันทีว่า “ขอบุญแห่งการคิดดีต่อแม่นี้ถึงแด่เทวดา-นายเวรของข้าพเจ้า” (เค้าเรียกว่าได้บุญแบบดับเบิ้ล) น่ะค่ะ จะทำเช่นนี้กับทุกคนที่ดิฉันเห็นหน้าเค้า คือให้เทวดา-นายเวรของท่านนั้นปุ๊บ ดิฉันก็ระลึกผลแห่งการคิดดีนี้ส่งถึงแด่เทวดา-นายเวรของตัวเองต่อทันทีเลย

    เมื่อนั่งรถไปทำงาน (จะนั่งรถตู้เพื่อไปต่อรถเมล์อีกทอดหนึ่งน่ะค่ะ) ก็จะทำการ “เปิดบุญ” ทันทีเลย โดยกล่าวยาวมากใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งในการเปิดบุญนี้ดิฉันจะเชิญหมดเลยเท่าที่จะระลึกได้ นั่นคือ เชิญสิ่งลี้ลับทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีที่เป็นญาติในโลกทิพย์ทั้งที่อยู่ในตัวและรอบ ๆ ตัวของข้าพเจ้า (จากนั้นก็จะระบุต่อว่าทั้งที่อยู่ในตัวและรอบ ๆ ตัวของ….พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่สาว น้องชาย น้องสาว ฯลฯ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ กัลยาณมิตรทางธรรม เจ้ากรรมนายเวร……… (ส่วนใหญ่ดิฉันจะระบุชื่อเลยน่ะค่ะ หรือไม่ก็นึกหน้าของคนนั้น ๆ ขึ้นมาเลย) รวมถึงสิ่งลี้ลับที่อยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน (และก็ระลึกทุกที่ที่ดิฉันจะพึงระลึกได้) และสิ่งลี้ลับที่อยู่สองข้างทางที่ข้าพเจ้าเดินทางผ่านไปมา….. เมื่อเอ่ยเรียกจนครบหนำใจแล้วก็จะบอกต่อดังนี้ค่ะ

    1. บอกแถว บอกกลุ่ม บอกด้านในการเข้ารับบุญ (อันนี้ไม่ขออธิบายนะคะ เพราะหลายท่านคงจะได้รับทราบแล้ว จากบทเปิดบุญที่เคยได้รับกันแล้วจากใน web นี้)
    2. สอนสิ่งลี้ลับให้สังเกตเห็นแสงแห่งบุญ ว่ามีลักษณะแบบไหน อย่างไร (จะสอนเค้าทางจิตน่ะค่ะ สอนแบบตะเบ็งออกไปดัง ๆ ทางจิต อย่างที่หลวงปู่แนะนำ)
    3. สอนสิ่งลี้ลับให้ตั้งจิตอธิษฐานแปลงผลบุญ (เป็นอาหาร เสื้อผ้า วิมาน ตามที่พวกเขาจะต้องการ)
    4. สอนสิ่งลี้ลับให้ตั้งจิตอธิษฐานโมทนาบุญร่วมกัน (จะเน้นสอนหนักในข้อนี้พอสมควรค่ะ)
    5. สอนสิ่งลี้ลับให้ตั้งจิตอธิษฐานขอเลื่อนภพเลื่อนภูมิของตัวเองเข้าสู่ภพภูมิแห่งศิลแห่งธรรม ภพภูมิแห่งการหลุดพ้น
    6. สอนสิ่งลี้ลับให้ตั้งจิตอธิษฐานเป็นญาติที่ดีของดิฉัน (โดยจะบอกถึงผลดีว่าหากพวกเขาอธิษฐานเป็นญาติที่ดีต่อดิฉันแล้ว พวกเขาจะสามารถได้รับบุญอย่างอัตโนมัติและต่อเนื่องทุกครั้งที่ผลบุญได้บังเกิดขึ้นแล้วกับดิฉัน แม้จะเอ่ยเรียกหรือไม่ได้เอ่ยเรียกก็ตาม)
    7. บอกให้สิ่งลี้ลับรู้จักทำงานเมื่อได้รับบุญแล้ว (จะใช้งานแบบบริสุทธิ์ นั่นคือ ไม่ใช้ให้พวกเขาไปทำงานให้เราแบบผิดศิล-ผิดธรรมเด็ดขาด) แต่จากประสบการณ์แล้วนะคะ แม้ไม่ได้เอ่ยใช้อะไรเลย เค้าก็จะช่วยค่ะ เรื่องใดที่เป็นทุกข์ของเราอยู่ พวกเขาก็จะเข้าช่วยเหลือทันที ตามกำลังที่เขาจะช่วยได้
    8. จะแนะนำให้สิ่งลี้ลับได้รู้จักกับเทวดาผู้มีบุญญาธิการในตัวของดิฉัน 1 องค์ โดยจะบอกให้สิ่งลี้ลับเชื่อและปฏิบัติตามเทวดาท่านนี้ ด้วยเพราะเทวดาท่านนี้จะทำหน้าที่เป็นเสมือนหนึ่งเลขาส่วนตัวของดิฉันในการจัดแถว จัดกลุ่มให้สิ่งลี้ลับได้เข้ารับบุญอย่างเป็นระเบียบ และบอกกฎกติกาต่าง ๆ (ข้อ 2-7) อย่างถูกต้องและชัดเจนกับสิ่งลี้ลับ

    เมื่อบอกกล่าวเสร็จแล้วดิฉันจะทิ้งทวนกับเทวดา (เลขาส่วนตัว) ของดิฉันว่า “หากสิ่งลี้ลับใดไม่ปฏิบัติตามกฎที่ได้บอกกล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม ท่านจงนำพามาปรากฎให้เราเห็นทันที” เคยมีนะคะที่ดื้อมาก ๆ เกเรมาก ๆ อันนี้ก็ต้องมีการพูดคุยกันให้เข้าใจและรู้เรื่อง หากไม่รู้เรื่องก็มีบ้างค่ะที่ต้อง “ลงโทษ” สำหรับผู้ลงโทษให้กับดิฉันนั้นจะมีอยู่ 2 ท่าน คือ ท่านท้าวจาตุม และท่านท้าวจตุโลกบาล (จะทำตามที่หลวงปู่แนะนำน่ะค่ะ) ก็ได้ลองทำดูบ้างแล้วนะคะ (เคยทำอยู่ 2 ครั้ง) เห็นผลว่ามีผู้เกเรน้อยลงค่ะ

    ทุกท่านจะสังเกตว่าดิฉันเอ่ยยาวมากในช่วงเปิดบุญ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องคิดมาก เอ่ยเรียกไปเถอะค่ะ การเอ่ยเรียกมาก ๆ นี้จะเป็นเครื่องกระตุ้นให้ “เราขยันในการคิดดี พูดดี ทำดีอย่างต่อเนื่องทั้งวัน” ด้วยเพราะใจจะคิดอยู่เสมอว่า “พวกเขาทั้งหมดนี้รอบุญจากเราอยู่ตลอดเวลา” นั่นเอง อย่าไปพึงคิดว่าหากเรียกมามาก ๆ แล้วจะเป็นการหว่านบุญ อย่าไปคิดเช่นนั้นค่ะ ที่ไม่ให้คิดเช่นนั้นด้วยเพราะว่าตลอดทั้งวันที่ “บุญ” เกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าจะด้วยทางกาย วาจา หรือใจของเราก็ตาม พวกที่เราเรียกมาในช่วงเปิดบุญนั้นจะสามารถได้รับบุญอยู่ตลอดทั้งสิ้น แต่เราก็ต้องไม่ลืมเบิกบุญ-โอนบุญเพิ่มเติมให้กับญาติของเราในโลกทิพย์เป็นการเฉพาะเจาะจงด้วยนะคะ โดยเฉพาะเทวดา-นายเวรของเรา (เดี๋ยวมาดูกันนะคะที่ว่าเจ้าพวกสิ่งลี้ลับที่เราเอ่ยเรียกในช่วงเปิดบุญนั้นเค้าจะได้รับบุญกันอย่างไรบ้าง)

    เมื่อเอ่ยเปิดบุญเสร็จแล้ว ดิฉันจะทำสมาธิต่อทันที ด้วยการกำหนดจิตไว้ที่บริเวณลมหายใจเข้า-ออก อยู่เสมอ และพิจารณาดูจิตดูใจตัวเองไปเรื่อย ๆ สอนจิตสอนใจตัวเองไปเรื่อย ๆ ฟัดกับกิเลสไปเรื่อย ๆ ตามจริตตามสไตล์ของดิฉัน ประมาณว่าอะไรจะเป็นบุญได้ดิฉันทำหมด จะไม่ให้ทำหมดได้อย่างไรล่ะค่ะ ก็เราเอ่ยมาซะเยอะขนาดนั้น เราก็ต้องขยันหน่อยในการสร้างความดีให้ต่อเนื่อง แต่ผลแห่งการสร้างความดีอย่างต่อเนื่องและขยันนี้นั้น มันไม่สูญเปล่าหรอกค่ะ มันนำมาซึ่งการสำรวมในศิล ในธรรม มีหิริ-โอตัปปะ มีความเมตตา มีความเพียรเกิดขึ้นอย่างมากเลยในจิตใจ (ลองดูได้ค่ะ ไม่สงวนลิขสิทธิ์)

    เมื่อมาถึงที่ทำงาน ดิฉันจะมาถึงเร็วมาก (ถึงก่อนเข้างาน 1 ชั่วโมง) ก็จะขึ้นห้องพระเพื่อทำสมาธิทันที บุญจากการทำภาวนานี้ก็ส่งให้กับ “นายเวร” ของดิฉันโดยตรงค่ะ ไม่ได้ให้ใครเลย ให้ “นายเวร” แต่ละประเภทของดิฉัน ที่ดิฉันกำหนดรู้ได้ว่ามีท่านใดบ้าง เรื่องใดบ้างนั่นเอง (สำหรับคำว่าแต่ละประเภทนี้ขอสงวนไม่บอกนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นนายเวรประเภทต่าง ๆ ที่ชอบก่อกวนดิฉันน่ะค่ะ) แต่ท่านเชื่อมั้ยคะ ถึงแม้ดิฉันจะเอ่ยให้เฉพาะนายเวรดังกล่าวแล้วเท่านั้นก็ตาม แต่สิ่งลี้ลับที่ดิฉันเอ่ยเปิดบุญไว้เมื่อเช้า (ทั้งหมด) พวกเขาจะเข้าอนุโมทนาบุญทันที และก็จะได้รับบุญได้ด้วยเช่นกัน (เป็นลักษณะบุญจากการโมทนาบุญของพวกเขาน่ะค่ะ) ขอเพิ่มเติมสักเล็กน้อยนะคะ การส่งบุญให้นายเวรนั้นดิฉันจะส่งเป็นลักษณะของ “บุญแห่งการขอขมา” ค่ะ (หลวงปู่เคยแนะไว้น่ะค่ะ) จากนั้นก็จะสอนให้นายเวรได้เห็นคุณค่าของการ “อโหสิกรรม” ว่าเป็นอย่างไร จากประสบการณ์แล้วเนี่ย ส่วนใหญ่รับบุญแล้วในแรก ๆ ไม่ยอมอโหสิกรรมง่าย ๆ แต่พอดิฉันสอนเค้าปุ๊บ ว่าการอโหสิกรรมนั้นมีคุณค่าและมีผลดีกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะยอมอโหสิกรรมให้ในที่สุดน่ะค่ะ

    เมื่อทำสมาธิเสร็จดิฉันก็จะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงที่เหลือเพื่อทานข้าวก่อนเข้างาน และเมื่อพบเห็นเนื้อสัตว์ในจานข้าว ดิฉันก็จะเบิกบุญให้สัตว์ที่เป็นอาหารทันที และเมื่อพบเห็นผักที่อยู่ในจานข้าว ดิฉันก็จะเบิกบุญให้กับเทวดาผู้เคยสถิตอยู่ในผักนั้น ๆ ทันที แล้วก็อีกเช่นกันค่ะ พวกสิ่งลี้ลับที่เอ่ยเชิญตอนเปิดบุญเมื่อเช้าก็จะเข้าโมทนาบุญและรับบุญได้อีกทันทีเช่นกัน (ทั้งนี้มิใช่เป็นการแย่งบุญจากสัตว์และเทวดาของผักที่เป็นอาหารของดิฉันนะคะ)

    เมื่อขึ้นทำงานนั้น ในแต่ละวันเกิดจิตตั้งมั่นอยู่กับงาน ขณิกสมาธิเกิดขึ้นปุ๊บ แสงแห่งบุญว๊าบขึ้นมาปั๊บ พวกที่เชิญเมื่อเช้าก็จะเข้ารับบุญทันที (อันนี้เคยลองกำหนดดูน่ะค่ะ) หรือไม่ก็ระหว่างทำงาน ดิฉันจะเปิดซีดีหลวงปู่ฟังตลอดเวลาที่ทำงาน มือพิมพ์งานไป ตามองคอมพิวเตอร์ไป ส่วนหูก็ฟังธรรมไปเรื่อย ๆ บุญก็เกิดขึ้นอีกจากการฟังธรรม พวกเมื่อเช้าที่เอ่ยเรียกตอนเปิดบุญก็จะได้รับบุญอีกแล้ว

    พอเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ดิฉันก็จะเบิกบุญส่งให้กับเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย จุลินทรีย์ ที่ออกมาจากการขับถ่ายให้ได้รับบุญ พวกเมื่อเช้าที่เอ่ยในช่วงเปิดบุญก็ได้รับบุญอีกแล้ว

    และในระหว่างวัน ดิฉันจะอาศัยช่วงเวลาเดินไปมา หรือช่วงที่ว่างนั่งพักว่าง ๆ นั้นทำการ “เบิกบุญ” ให้กับ เทวดาผู้เฝ้าอยู่กับตัว นายเวรที่ก่อกวนอยู่ หรือกำลังเข้าคิวรอก่อกวนอยู่ หรือแยกประเภทการให้เป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 1 การเบิกบุญ (เบิก 1 ครั้ง ให้หนึ่งกลุ่มเฉพาะเจาะจงอย่างชัดเจน) และระหว่างที่ให้นี้เอง พวกเมื่อเช้าที่เอ่ยเรียกในช่วงเปิดบุญก็จะเข้าโมทนาบุญและรับบุญได้อีกแล้วเช่นกัน (โดยมิได้เป็นการแย่งนายเวรของดิฉันนะคะ)

    สำหรับช่วงไหนที่มีการ “ให้” เกิดขึ้น ดิฉันก็จะเน้นส่งให้กับเทวดาผู้เฝ้าอยู่ที่ตัวดิฉันและนายเวรที่ก่อกวนอยู่เป็นหลัก และก็ไม่น่าเชื่อว่าพวกเมื่อเช้ามันก็เข้ามาโมทนาบุญและรับบุญได้อีกแล้ว

    เมื่อถึงตอนเที่ยงหลังทานข้าวเสร็จดิฉันก็จะขึ้นห้องพระเพื่อนำบุญจากการภาวนานี้ส่งให้กับ “นายเวร” ชนิดที่เรียกว่า “นายเวรขั้นรุนแรง” ให้ได้รับเต็ม ๆ เมื่อนายเวรเหล่านั้นได้รับแล้ว พวกเมื่อเช้าก็จะเข้ารับบุญจากการโมทนาบุญได้อีกแล้วนั่นเอง

    อยากบอกว่าไม่มีเวลาว่างจากการคิดดี ทำดี พูดดีเลยค่ะ เพราะทุกลมหายใจของเราเป็นบุญได้หมด พวกเขาได้รับกันหมด และพวกเขาจะไม่ยอมให้เรา “สร้างบาป” เลยอย่างเด็ดขาด เค้าจะคอยช่วยกันเข้าเตือนจิตเตือนใจให้คิดดี พูดดี ทำดีอยู่ตลอด ด้วยเพราะพวกเขาต้องการจะรับบุญอย่างต่อเนื่องนั่นเอง (อันนี้หลวงปู่ท่านเคยบอกแล้ว และดิฉันได้ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว ก็เป็นอย่างที่ท่านบอกจริง ๆ ค่ะ)

    ตอนดึกจะเป็นช่วงนั่งสมาธิเพื่อ “ฟัดกับกิเลส” โดยตรง และไม่น่าเชื่อว่า การเบิกบุญ-โอน หรือการกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้า-ออกมาทั้งวันนั้นจะช่วยทำให้ดิฉันมีพลังในการเข้าฟัดได้อย่างสุดยอดเลยค่ะ

    ทั้งหลายทั้งปวงนี้คุณลองดูได้นะคะ แล้วคุณจะรู้ถึงคุณค่าของการเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญ ว่ามีคุณประโยชน์มหาศาลกับสิ่งลี้ลับและตัวคุณได้อย่างไรบ้าง

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  18. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 21 ตุลาคม 2005, 13:01:30
    --------------------------------------------------------------------------------

    ใครว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มีเทวดา ;) ;) ;)

    ที่ขึ้นต้นประโยคนี้ด้วยเพราะวันนี้มีเรื่องเล่าค่ะ เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์จริงของพี่ท่านหนึ่ง ที่ทำงานอยู่ที่เดียวกับดิฉัน พี่ท่านนี้เป็นผู้ชายค่ะ ( พวกเราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้ชายกับความศรัทธานั้นไม่ใช่ง่าย ๆ ในการจะทำให้เค้ารู้สึกรับรู้ หรือเข้าใจในสิ่งที่เค้ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเรื่อง “สิ่งลี้ลับ แม้แต่ผู้หญิงก็ตาม ก็ใช่ว่าจะเข้าใจและรับรู้ได้ง่ายนัก แต่จะว่าไปแล้วปริมาณของผู้หญิงที่มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอาจมีมากกว่าผู้ชายสักเล็กน้อยน่ะค่ะ )

    ด้วยเพราะพี่เค้าเป็นคนดีมาก ช่วยเหลือดิฉันมาตลอดในหลาย ๆ เรื่อง ช่วยด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยจิตใจที่เป็น “ผู้ให้” จริง ๆ สำหรับดิฉันเองสิ่งที่จะตอบแทนได้นั้นก็คือ “พยายามชี้แนะเรื่องการเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญให้กับพี่เค้าค่ะ” พยายามแนะนำอย่างเข้าใจง่าย ๆ ไม่ลงลึกข้อมูลมากนัก และที่สำคัญคือจะแนะนำแบบปล่อยวางค่ะ (อันนี้ใช้กับทุกคนนะคะ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ฯลฯ ดิฉันจะใช้วิธีนี้หมด) คำว่า “แนะนำแบบปล่อยวาง” ในที่นี้ก็คือ เมื่อแนะนำไปแล้ว “จะไม่ทุกข์ในผลที่ได้แนะนำไป” นั่นคือ “เค้าจะทำตามหรือไม่ทำตาม ดิฉันจะไม่เก็บมาเป็นทุกข์ด้วยเด็ดขาด” ค่ะ ได้แนะไปแล้วก็จบกัน แต่จบในที่นี้คือ พูดเสร็จแล้วก็จบคำพูดซะนั่นเอง ไม่ตาม check ทีหลังว่าผลเป็นอย่างไร แต่ไม่จบในการตาม “ส่งบุญต่อให้เทวดาของท่านนั้น” นะคะ เพื่อให้เทวดาช่วยเปิดทิศเปิดทางให้ท่านผู้นั้นได้ปฏิบัติตามด้วยบุญบารมีที่ควรจะเป็นไป นั่นเอง

    เมื่อจิตเรา “ไม่ห่วงใครมากจนเกินไป” เราก็จะมีสติที่มากไปด้วย “กุศโลบาย” ในการเข้าชี้แนะและช่วยเหลือได้อย่าง “ตรงจริตผู้นั้น” และ “ถูกต้องสำหรับผู้นั้น” มากขึ้น แต่หากจิตเรายังทุกข์ ยังห่วง ยังพะวง ยังเต็มไปด้วย “ความอยากที่จะช่วยเหลือ” ก็จบกันค่ะ จบในที่นี้คือ “จบทั้งเราและเค้า” (อันนี้เคยพบมาแล้วจากประสบการณ์น่ะค่ะ) ดิฉันเคยห่วงมากจนเครียดไปเลย จิตส่งออกนอกตลอด ด้วยความเมตตาที่อยากช่วย แต่ลืมนึกไปว่า ถัดจากเมตตานั้นคือ --> กรุณา --> มุฑิตา --> อุเบกขา (วาง) เรียกว่ายังนำมาใช้ไม่ครบวงจรเลยก็ทุกข์ซะแล้วน่ะค่ะ

    ทุกวันนี้จึงต้องระลึกถึงชีวประวัติของพระพุทธองค์ในช่วงที่ท่านออกบวชมาเป็นเข็มทิศให้กับตัวเองซะเลย หลายคนอาจมองว่าท่านทิ้งลูก ทิ้งเมีย ทิ้งทุกสิ่งไป แต่สำหรับดิฉันแล้วชีวประวัติของพระองค์ท่านนำมาซึ่งแสงสว่างแห่งปัญญาจริง ๆ ค่ะ นั่นคือ “เมื่อเรายังเอาตัวไม่รอด เราจะไปช่วยใครได้อย่างเต็มที่เล่า” คิดได้เช่นนี้ก็สบายใจค่ะ “ตอนเรามาเรามาคนเดียว ตอนเราไปเราก็ไปคนเดียวจะฉุดกระชากลากถูใครไปกับเราก็ไม่ได้ ในเมื่อเมตตาจะช่วยผู้อื่น ต้องเมตตาช่วยตัวเองก่อน เพื่ออะไร เพื่อให้เรามีกำลัง มีสติ มีปัญญาที่จะสามารถช่วยเหลือผู้นั้นได้ในที่สุดนั่นเอง ไม่ใช่ประเภทเตี้ยอุ้มค่อม” ยิ่งเรามีบุญ (ของเดิมเมื่ออดีตชาติ และปัจจุบันที่ได้เคยสร้างสมไว้บ้างแล้วนั้น) และยิ่งได้รู้วิชาเบิกบุญ-โอนบุญด้วยแล้ว ก็ควรจะนำมาช่วยเค้าให้เป็นประโยชน์สิ เพราะมันช่วยกันได้น่ะ ช่วยได้ดีกว่า “อ้าปากบอกกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เปลืองน้ำลายซะด้วยซ้ำ ซึ่งดีไม่ดีอาจเกิดการต่อล้อต่อเถียงกันอีกโดยใช่เหตุ” ช่วยด้วยวิธีที่ครูบาอาจารย์แนะนำเช่นนี้แหล่ะ “เห็นผลชนักนักหล่ะ” พอคิดได้เช่นนี้ บอกกับตัวเองเช่นนี้แล้ว ขอบอกค่ะว่า “จิตสบายและเป็นปกติอย่างเห็นได้ชัดเลย” มีกำลังใจ มีทิศทาง ที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มที่และไม่ท้อแท้ต่อการช่วยเหลือ รวมถึงไม่ทุกข์ต่อการช่วยเหลือด้วย

    ด้วยเพราะตัวเองรับรู้มาตลอดว่าการเบิกบุญ-เปิดบุญ-โอนบุญสำหรับดิฉันนั้นมันเป็นยิ่งกว่า “ทองคำ” ซะอีกสำหรับชีวิตนี้ เพราะบารมีของดิฉันยังน้อยนิด หากจะสู้ จะลุยแบบไม่มีตัวช่วยนั้น ดูเสมือนจะไปอย่างลำบากเหลือเกินนั่นเอง และด้วยเพราะความโชคดีของดิฉันอย่างหนึ่งที่มีคือความตั้งมั่น มุ่งมั่นที่จะไม่อยากมาเกิดอีก ด้วยเพราะทุกข์เหลือเกินนั่นเองกับชีวิตนี้ และเมื่อมีโอกาสได้มารับความเมตตาจากครูบาอาจารย์แนะนำเรื่องการเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญด้วยแล้ว และที่สำคัญไปกว่านั้นคือเมื่อดิฉันได้นำมาปฏิบัติแบบ “จริงจัง” และ “ต่อเนื่อง” โดยไม่มุ่งหวังว่าจะเห็นผลหรือไม่ จึงได้เห็นผลที่เกิดขึ้น “เฉพาะตน” และมันอาจจะเป็น “ทองคำ” สำหรับผู้ที่เราห่วงใยด้วยก็เป็นได้ นั่นเอง

    แรก ๆ ก็ถูกหัวเราะ (พี่เค้าคงคิดว่าดิฉันบ้าไปแล้ว เพราะเดินไปด้วยกันดี ๆ ดิฉันก็มักจะมีสีหน้าแปลก ๆ คล้าย ๆ กับคุยกับใครอยู่ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีใครเลยก็ตาม) แต่บ่อยเข้า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แกก็เริ่มชินในพฤติกรรมของดิฉันไปแล้วโดยปริยาย เมื่อความชินของพี่เค้าเกิดขึ้น ก็เข้าทางดิฉันเลยค่ะ ดิฉันก็ค่อย ๆ แย็บเลย เรื่องกรรมเป็นเรื่องแรกค่ะที่ดิฉันนำมาสื่อสาร และไม่ต้องไปเอากรรมที่ไหนหรอกค่ะ “วิบากกรรม” ที่พี่เค้าได้เห็นจากชีวิตของดิฉันนี่แหล่ะค่ะ เป็นประสบการณ์ของจริง เสียงจริง ชัดดีนักแหล่ะ เมื่อพูดเรื่องกรรมแล้วก็ค่อย ๆ พูดเสริมต่อไปในเรื่องของ “การชดใช้กรรม” (ประมาณว่าค่อย ๆ เล็ม ไล่ ไปทีละเล็กละน้อยน่ะค่ะ) ระหว่างนั้นก็มิลืมที่จะโอนบุญ-เบิกบุญให้กับเทวดาของพี่เค้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เค้าได้ดลจิตดลใจให้พี่เค้ามีความศรัทธาในการคิดดี ทำดี ในสิ่งที่ดิฉันจะสื่อสารออกไป

    อยากบอกว่าใช้เวลาเป็นปีค่ะ (ในการโอนบุญให้กับเทวดาของพี่เค้า และค่อย ๆ ใช้กุศโลบายกับพี่เค้า) แต่แล้วที่สุดก็เห็นผล (น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน จิตใจคนเราเมื่อถูกซึมซับด้วยสิ่งใดก็แล้วแต่ ย่อมมีสักวันที่จะเข้าใจและหันมาเรียนรู้ ยิ่งสิ่งที่จะเรียนรู้นี้เป็นสิ่งที่ดีด้วยแล้ว ยิ่งต้องให้น้ำมันหยดลงบ่อย ๆ ค่ะ)

    และแล้ววันนึงก็มีเสียงโทรศัพท์โทรมาหาดิฉันที่บ้านในยามดึก ก็คุณพี่ท่านนี้แหล่ะค่ะ เค้าโทรมาบอกดิฉันว่า “คอมพิวเตอร์พี่เสียน่ะ ซ่อมเท่าไหร่ก็ไม่ติด ลองมาตั้งหลายวันแล้วเนี่ยก็ไม่สามารถซ่อมได้ เช็คดูอย่างละเอียดแล้ว ปรากฎว่าตัว main board มันเสียว่ะ คำนวณแล้วนะ หากจะต้องเปลี่ยน………..(แกร่ายยาวค่ะ ดิฉันก็จำไม่หมด ลืมบอกไปน่ะค่ะว่าแกเก่งคอมฯมากในระดับหนึ่ง)…….สุดท้ายแกก็บอกว่า พี่คงต้องใช้เงินประมาณ 15,000 บาทเลยน่ะ เอ็งช่วยพี่หน่อยสิ” ดิฉันก็ถามกลับไปว่า “จะให้ช่วยอย่างไรล่ะ ถ้าเรื่องเงินก็จบกันเลย จะกินข้าวไปวัน ๆ ยังแทบไม่มีเลยพี่” (ทั้งที่ในใจน่ะดิฉันรู้แล้วว่าเค้าจะให้ช่วยอย่างไร แต่แกล้งพูดตลกไปอย่างนั้นแหล่ะค่ะ) แกพูดต่อทันทีว่า “เอ็งก็ให้เทวดาเอ็งมาช่วยหน่อยสิวะ” เท่านั้นแหล่ะค่ะ “เข้าทางดิฉันเลย” ดิฉันถามกลับไปว่า “หากเทวดาเค้าช่วยได้ จากนี้ไปจะเชื่อมั้ยล่ะ ไอ้เรื่องสิ่งลี้ลับน่ะ แล้วจะเชื่อมั้ยล่ะเกี่ยวกับการเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญ น่ะ” แกก็รีบบอกเลยว่า “ยังไม่เชื่อโว๊ย จนกว่าจะเห็นผล ถ้าเห็นผลนะ จะเบิกบุญให้อย่างที่เอ็งสอนพี่ก็แล้วกัน”

    คืนนั้นดิฉันก็เอาเลยค่ะ นั่งสมาธิเต็มที่ ส่งบุญให้เทวดาของพี่เค้า ให้เทวดาที่อยู่ที่เครื่องคอมฯเครื่องนั้น ส่งให้นายเวรที่พี่เค้าเคยขัดขวางการปฏิบัติธรรม ส่งให้กับนายเวรที่ส่งสัญญาณให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (คอมฯเสีย) ส่งให้กับเทวดาที่บ้านพี่เค้า ส่งไปก็สอนไป ส่งไปก็บอกกล่าวสิ่งลี้ลับให้ช่วยไปเรื่อย ๆ บอกเหตุและผลกับสิ่งลี้ลับด้วยว่าถ้าท่านช่วยแล้วท่านจะได้อะไรตอบกลับ นั่งสมาธิให้เกือบ 2 ชั่วโมง ดิฉันบอกกับพวกเขาไปว่า “พี่ท่านนี้มีบุญคุณกับเรามาก หากคอมฯเครื่องนี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าและพี่ท่านนี้จะพึงมี ก็ขอให้คอมฯใช้ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต่หากจะต้องได้รับการแก้ไข ก็ขออย่าให้พี่เค้าต้องหมดเงินมากขนาดนั้นเลย”

    เช้าขึ้นมาช่วงนั่งรถไปทำงาน พอเปิดบุญเสร็จ ก็ทำสมาธิต่อ ส่งบุญให้ทั้งหมด (ที่เมื่อคืนได้เอ่ยไว้) อีกครั้ง ส่งไปเรื่อย ๆ จนถึงที่ทำงาน เดินขึ้นสะพานลอยข้ามฟาก เพื่อไปขึ้นรถบริการของที่ทำงานก็มาแล้ว “เทวดา” มาปรากฎบอกว่า “อย่าลืมสัญญานะท่าน” เท่านั้นดิฉันก็รู้แล้วว่าอะไรคืออะไร สักครู่มาแล้ว “ข้อความทาง SMS” พิมพ์มาเป็นภาษาอังกฤษว่า “Computer is work it is very surprise” พอถึงที่ทำงาน เจอหน้าพี่เค้า เค้าก็รีบเล่าทันทีเลยว่า เมื่อเช้านี้เองแกนึกยังไงไม่รู้แกเปิดคอมฯดู ปรากฏว่ามันติดและใช้ได้เฉยเลย ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยในช่วงเช้า เปิดปุ๊บก็ติดปั๊บเลย ทั้งที่สองสามวันก่อนซ่อมแทบตาย ลองจนหมดความรู้ในสมองที่เคยร่ำเรียนด้านคอมฯมาแล้วก็ยังไม่สามารถซ่อมมันได้เลย ที่สำคัญคือเมื่อเช้านี้น่ะแกยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่เปิดเฉย ๆ มันก็กลับใช้งานได้เฉยเลย

    ….แปลก…….แต่จริง……ไม่ขำ……..ไม่ตลก………ไม่รู้จะอธิบายยังไง……..ก็ปล่อยแกงงไป…….เพราะตัวดิฉันไม่งง………จบ….. :))

    ทุกวันนี้หน้าจอคอมฯที่ทำงานของคุณพี่ท่านนี้จะติดคำเบิกบุญไว้เลยค่ะ แกเหลือบเห็นทีไร แกก็เบิกให้ตลอด ดิฉันเองก็เบิกให้เทวดาเหล่านั้นที่อุตส่าห์ช่วยอยู่ตลอดเช่นกัน (ตามสัญญาที่ได้ให้ไว้) เดี๋ยวนี้อ้วนท้วนขึ้นมากแล้ว (เทวดากลุ่มนั้น) แต่ก็มีนะคะที่มาฟ้องบอกว่าพี่เค้าขี้เกียจ พอมาฟ้องทีดิฉันก็บอกพี่เค้าทีนึงน่ะค่ะ ว่าอย่าขี้เกียจ อย่าสบายอย่าหมดปัญหาแล้วขี้เกียจ อย่าต้องให้เกิดปัญหาก่อนแล้วค่อยแก้ไข อย่าคิดเช่นนั้น

    จากผู้ที่ไม่เคยสนใจเข้ามาใน web ลานวัดเลย เดี๋ยวนี้แกจะเข้ามาบ่อย และแกก็เป็นคนนึงที่ดิฉันกล้าจะเล่าเรื่องเห็นสิ่งลี้ลับให้ฟัง ทั้งที่สมัยก่อนไม่กล้าเล่า ด้วยเพราะกลัวแกหาว่าดิฉันบ้าน่ะค่ะ

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  19. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 31 ตุลาคม 2005, 15:49:53
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะ พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน _/|\_

    อีกครั้งนะคะ สำหรับคำถามยอดฮิต “วันนี้คุณเปิดบุญ เบิกบุญ โอนบุญ แล้วหรือยังคะ”

    ช่วงนี้ web ของพวกเราดูเงียบ ๆ ไปนะคะ อาจสืบเนื่องมาจากมีพี่ ๆ เพื่อน ๆ ของพวกเรากลุ่มหนึ่ง (คณะพี่ธง) เดินทางไปทำบุญกฐินที่ภาคเหนือกันประมาณ 1 อาทิตย์ ขอพวกเราได้ร่วมกันโมทนาบุญกับพี่ธงและคณะด้วยนะคะ _/|\_ _/|\_ _/|\_ และคิดว่าหากพี่ ๆ เพื่อน ๆ คณะนี้กลับมาแล้ว พวกเราคงจะได้อ่านอะไรดี ๆ ที่เป็นประโยชน์จากพวกพี่ ๆ เขาอีกเช่นเคยนะคะ (รออ่านอยู่เช่นกันค่ะ) ;)

    วันนี้ดิฉันมีประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ และก็เช่นเคยนะคะ ต้องขอความกรุณาทุกท่านได้อ่านด้วยสติและวิจารณญาณด้วยเช่นเคยค่ะ ………………ขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    “ฝันใครว่าไม่สำคัญ “ :)

    เมื่อคืนก่อน (ประมาณคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาน่ะค่ะ) ดิฉันฝันแปลกพอสมควรเลย ประมาณว่านอนอยู่ดี ๆ ต้องตกใจตื่นกลางคันเลยก็ว่าได้ ปกติแล้วเป็นคนที่ชอบ “ลืมฝัน” น่ะค่ะ (คงไม่งงนะคะ คำว่า “ลืมฝัน” ของดิฉันก็คือ ตื่นมาก็ลืมไปหมดแล้วว่าเมื่อคืนฝันว่าอะไรบ้าง) แต่ครั้งนี้แปลกค่ะ จำทุกอย่างในฝันได้อย่างละเอียดมากเลย และก็เช่นเคย ตามคำสอนขององค์หลวงปู่ที่ว่า “ทุกอย่างไม่มีคำว่าบังเอิญ ทุกอย่างมีที่มาและมีที่ไป มีเหตุและมีผล ดังนั้นเมื่อมีอะไรก็แล้วแต่ปรากฎกับเรา ไม่ว่าจะตื่นอยู่หรือหลับอยู่ก็ดี นั่นหมายความว่ามีผู้ส่งสัญญาณเข้ามาแล้วทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ดีที่สุดที่ควรกระทำก็คือ “ส่งบุญให้กับพวกเขาทันที” นั่นเอง (เน้น “ทันที”)

    ดังนั้นเมื่อตกใจตื่นกลางคันปุ๊บ ดิฉันก็เบิกบุญให้กับผู้ที่ส่งสัญญาณเข้ามาในฝันทันทีเลย (เหมือนทุกเช้าที่กระทำอยู่ทุกวัน นั่นคือ ลืมตาขึ้นมาปุ๊บก็เบิกบุญให้กับผู้ที่ส่งสัญญาณเข้าสู่ฝันทันที จะจำสิ่งที่อยู่ในฝันได้หรือไม่ ดิฉันไม่สนใจ พอตื่นปุ๊บก็ส่งบุญให้ปั๊บค่ะ)

    ในคืนดังกล่าวเมื่อตกใจตื่น และขณะที่ดิฉันกำลังเบิกบุญให้อยู่นั้นเอง จู่ ๆ ผู้ส่งสัญญาณก็ปรากฎตัวชัดเจนเลยทันที มานั่งร้องไห้อยู่ปลายเตียง ดิฉันก็กระหน่ำเบิกบุญให้ (ประมาณว่าไม่ได้จะถามว่าท่านคือใคร เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านมาจากไหน ท่านเกี่ยวเนื่องอะไรกับฉันเหรอ ฯลฯ ทุกคำถามไม่มีแม้แต่จะคิดถาม ด้วยเพราะเชื่อครูบาอาจารย์ว่าให้ส่งบุญ “ทันที” ก่อน ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นว่าผู้ส่งสัญญาณเป็นใคร อะไร อย่างไร แบบไหน ฯลฯ ด้วยเพราะคำถามของเรานั้น เรายังมีเวลาในการค้นหาคำตอบ แต่พวกเขาสิ เขาไม่มีเวลาที่จะมาตอบเราหรอก ด้วยเพราะสิ่งที่เค้าต้องการมากที่สุดคือ “บุญ” มิใช่การมานั่ง “ตอบคำถาม” ให้กับเรา)

    เมื่อเค้าได้รับบุญไปแล้วจนเป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง เค้าก็เริ่มที่จะสื่ออะไรมากขึ้นให้ดิฉันได้รับทราบ คราวนี้ดิฉันก็เลยเริ่มพูดคุยกับเค้าได้มากขึ้นค่ะ คุยกันอยู่สักครู่ ก็ได้รับรู้ว่าผู้ที่มาปรากฎนี้คือ “นายเวร” ของดิฉันเอง เป็นผู้ที่ดิฉันเคยทำร้ายร่างกายเค้ามาก่อนเมื่ออดีตชาติ (ลืมบอกไปน่ะค่ะว่าดิฉันฝันว่าตัวเองนั้นมือกุด เท้ากุด หน้าก็เสียโฉม วิ่งไปหาใครก็ไม่มีใครช่วยรักษาให้) เค้าก็สื่อให้รู้ว่าดิฉันเคยทำอะไรกับเค้ามาบ้างแล้วแบบนี้ เมื่อได้รับทราบเช่นนั้น ดิฉันก็นั่งสมาธิเลยทันที เอาบุญจากการทำภาวนานี้เอง แปลงเป็นสิ่งที่เค้าต้องการอุทิศต่อให้กับเค้า พร้อมทั้งบอกเค้าด้วยว่า “บุญนี้คือบุญแห่งการขอขมา” ขอให้เค้าอโหสิกรรมให้ ซึ่งเค้านิ่งมาก ไม่ตอบว่าจะรับหรือไม่รับบุญนี้ แต่ดิฉันรับรู้ได้ในใจทันทีว่า “เค้าไม่อยากรับ ประมาณว่ายังแค้นอยู่ในสิ่งที่ดิฉันกระทำกับเค้าไว้”

    เอ…..จะทำไงดีนะ คิดอยู่สักครู่ก็เลย “ให้ธรรมทาน” ละกัน ดิฉันก็บอกให้เค้าได้รับรู้ถึงผลบุญจากการอโหสิกรรมนั้นมันเป็นอย่างไร มันมีคุณประโยชน์อย่างมหาศาลกับเค้าและดิฉันอย่างไรบ้าง บอกอยู่สักครู่ค่ะ และแทบไม่น่าเชื่อค่ะว่า “เค้ายิ้ม” พร้อมกับยอมรับบุญและพยักหน้า คล้าย ๆ จะบอกว่า “ยอมอโหสิกรรมให้” สักครู่ก็หายไป

    ดิฉันนอนหลับต่อจนถึงเช้า เมื่อตื่นขึ้นมาก็เบิกบุญให้กับผู้นั้นอีกรอบหนึ่ง และตลอดทั้งวันเมื่อระลึกถึงผู้นี้ได้ ดิฉันก็จะเบิกบุญให้ทันที

    และตลอดทั้งวันก็ไม่ลืมที่จะบอกว่า “นายเวรทั้งหลาย หากต้องการจะได้รับบุญจากข้าอย่างต่อเนื่องและทันทีแล้วหล่ะก็ ขอจงอธิษฐานเป็นญาติที่ดีของข้าซะ เพราะบุญของข้า มีไว้ให้กับญาติข้า ท่านใดเป็นญาติข้าด้วยความสมัครใจแล้ว ท่านนั้นจะได้รับบุญของข้าอย่างต่อเนื่องในทันทีที่บุญของข้าเกิดขึ้น” ทั้งหมดนี้หลวงปู่ท่านสอนไว้น่ะค่ะ ดิฉันก็บอกเช่นนี้ทั้งวันเลย

    มีนายเวรหลายจำพวกที่เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ยอมค่ะ ยอมทันทีเลย ยอมพลิกหันมาเป็นญาติกับดิฉันเลยทันทีก็มี เมื่อได้สัมผัสเช่นนั้นแล้ว ดิฉันยิ่งมีกำลังใจค่ะ มีกำลังใจในการส่งบุญให้ตลอดทั้งวันเลย โดยเน้นส่งให้กับ “ผู้ที่ตั้งใจเป็นญาติของข้า” ส่งแบบตะโกนดัง ๆ เลย ส่งบุญไปก็สลับกับการบอกต่อไปว่า “มาเร็ว มารับบุญ และมาเป็นญาติที่ดีต่อข้าซะ มาเร็ว มา ใครได้ยินเสียงข้า จงเข้ามารับบุญและมาตั้งจิตเป็นญาติที่ดีต่อข้าซะ เร็ว มาเร็ว”

    “นายเวร” จะว่าไปแล้ว เค้าก็ไม่ได้ร้ายกาจเสมอไปนะคะ นายเวรที่ยอมจะให้อภัยเราอยู่แล้วก็มีอยู่มาก ยอมรับข้อเสนอของเราก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย แม้แต่นายเวรบางจำพวกที่อาจโกรธนานหน่อยก็ตามเถอะ เมื่อที่สุดที่เรามีใจอยากจะให้บุญเค้าอย่างบริสุทธิ์ใจแล้วจริง ๆ ที่สุดเค้าก็ยอม “ให้อภัย” กับเราโดยง่ายค่ะ ขอเพียงให้ในทุก ๆ วันของเรา เราไม่ลืมพวกเขา ไม่ลืมว่าครั้งนึงเราเคยทำในสิ่งที่ไม่ดีกับพวกเขาไว้ และไม่ลืมที่จะคิดว่าการเกิดมาในชาตินี้ของเราก็คือ “การมาทำหน้าที่คืนหนี้พวกเขาด้วยใจที่บริสุทธิ์” มันเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มากนะคะ เมื่อผิดแล้วยอมรับผิด พร้อมที่จะคืนหนี้อย่างไม่หลีกเลี่ยง เพียงแต่เป็นการคืนหนี้ด้วยการ “ให้บุญแทนการถูกลงโทษ” เท่านั้นเอง ถือเป็นหน้าที่ที่หน้าเคารพยิ่งค่ะ

    ทำให้เค้ามาเป็นญาติเราให้ได้นะคะ เมื่อนายเวรหันมาเป็นญาติกับเราได้แล้ว เราก็จะหวาดระแวงน้อยลงค่ะ ชีวิตก็จะมีแต่ญาติที่ดีที่คอยอุปถัมป์ค้ำชูให้เราสร้างสรรค์แต่คุณงามความดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

    โมทนาบุญค่ะ และหวังว่าท่านจะมีญาติที่ดีมากขึ้นนะคะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  20. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 03 พฤศจิกายน 2005, 21:42:12
    --------------------------------------------------------------------------------

    ขอโมทนาบุญกับคำตอบของคุณ Pansak ด้วยนะคะ _/|\_

    สองวันมานี้หยุดงานค่ะ จึงไม่ได้มีโอกาสเข้ามาใน “ลานวัด” เลย แต่เมื่อได้เข้ามาในวันนี้จึงได้พบเห็น “ธรรมทาน” เกิดขึ้นมากมายหลายหัวข้อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้รับแต่สิ่งดี ๆ นำกลับไปใช้ในชีวิต (ทั้งทางธรรมและทางโลก) จึงต้องขอ “โมทนาบุญ” กับทุก ๆ ท่านด้วยเป็นอย่างสูงค่ะ _/|\_

    วันนี้มีประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกเช่นเคยค่ะ และเหมือนทุกครั้งคือ ต้องกราบรบกวนทุกท่านได้อ่านด้วย “สติ” และ “วิจารณญาณ” อีกเช่นเคยนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    วันนี้ทั้งวันดิฉันมีอาการปวดหัวอย่างมาก เบิกบุญให้แล้วก็ดีขึ้นนะคะ แต่เดี๋ยวก็กลับมาเป็นอีก สลับไปเรื่อย ๆ นั่นคือ เบิกบุญ 1 ครั้ง ก็หายปวดหัวไปประมาณ 10 นาที แต่อีกสักครู่ก็กลับมาปวดอีก สลับระหว่างเป็น ๆ หาย ๆ ไปเรื่อย ๆ ..........แรก ๆ ก็ไม่อยากทานยาหรอกค่ะ ด้วยเพราะอยากให้บุญกับเหล่าเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกาย มากกว่าการนำเอายาเข้าไปทำร้ายพวกเขา แต่เบิกบุญให้แล้วก็ไม่หายสักทีนี่สิคะ มันชักยังไง ๆ อยู่ ที่สำคัญต้องกลายมาเป็นภาระของผู้อื่นในการดูแลเรา ครั้นจะช่วยงานบ้านพ่อแม่ก็ช่วยไม่ได้เต็มที่ ด้วยเพราะอาการปวดหัวนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และปวดเป็นระยะ ๆ

    เอ......ชักไม่ไหวแล้ว คงต้องกินยาสักหน่อย เพื่อบรรเทาอาการปวดดังกล่าว คิดได้เช่นนั้นก็ไปนำเอายามากิน 1 เม็ด เมื่อกินยาแล้วก็ไม่ลืมที่จะเบิกบุญให้กับเชื้อโรคที่จะต้องตายด้วยยาที่กินไป

    .....ปัดโธ่.......แทนที่กินยาแล้วจะดีขึ้น มันกลับปวดแบบหัวจะระเบิด แถมจะอาเจียนอีกต่างหาก “ทน.....ทน.....และทน” ดิฉันบอกกับตัวเองอย่างนี้อยู่ประมาณ 15 นาที แต่ที่สุดก็คือ “ไม่ไหวแล้วโว๊ย.........อะไรกันหนักหนาเนี่ย.....เทวดาช่วยหน่อย....มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เทวดาก็นะ บุญก็ส่งให้ตลอด ชอบให้เราคิดเอง รู้เองอยู่เรื่อย สื่อได้ก็ไม่ยอมสื่อ ต้องให้ถามก่อนแล้วจึงบอกอยู่เรื่อยเลย (TT) (ประมาณว่าอารมณ์พาลน่ะค่ะ...แย่จังนิสัยนี้...อย่าเลียนแบบนะคะ)

    และแล้วก็ได้รับคำตอบค่ะ เทวดาคงทนไม่ไหวกับคำว่ากล่าวของดิฉันกระมัง หรือไม่ก็คง “สมเภช” มั้งคะ เลยเมตตามาชี้แนะ :))

    เรื่องของเรื่องคือ “ฉันเห็นว่าทำแบบนี้แล้วได้บุญ ........ฉันก็อยากเอามั่งน่ะ” ....งงมั้ยคะ .... :D

    เหล่าสิ่งลี้ลับจำพวก “นายเวร” นั่นเอง พวกนี้มี “อภิสิทธิ์มาก” ในการเข้าก่อกวน ประมาณว่า “มีบัตรอภิสิทธิ์ประเภทบัตรทอง” น่ะค่ะ ก็ด้วยเพราะในอดีตชาติเราเคยไปสร้าง “.............” ให้กับพวกเขาไว้นี่คะ ดังนั้นบัตรทองนี้จะไปว่าเค้าก็ไม่ถูก “ว่าเค้าไปได้มาจากไหน” ก็เรานี่แหล่ะค่ะที่ทำบัตรนี้ไว้ให้กับพวกเขาตั้งแต่ชาติไหน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มาจนนับชาติไม่ถ้วนแล้วนั่นเอง

    พวกนี้เวลาเข้าก่อกวน ก็จะก่อกวนแบบ “รุนแรง และไม่ปราณีปราศรัย” ประมาณว่า “บุญบางครั้งก็ไม่อยากรับ ด้วยเพราะอยากได้ความสะใจในการชำระแค้นมากกว่า” เรียกได้ว่าส่งสัญญาณเข้าช่องทางไหนได้ พวกเขาก็เอาหมด ถือว่าไม่ใช่เล่น ๆ นะคะ ถ้าเจอนายเวรประเภทนี้

    หากพวกเขาส่งสัญญาณเข้าสู่ร่างกายเราได้ เขาก็จะกระหน่ำส่งกันเลย ด้วยเพราะมันชัดเจนดี ทำให้เรานึกถึงพวกเขาได้ชัดเจนดี และเมื่อเราส่งบุญให้ปุ๊บ พอได้ปั๊บ นายเวรรายต่อไปเห็นอย่างนั้นปุ๊บมันก็เลียนแบบนายเวรเมื่อสักครู่นี้บ้างปั๊บในทันที นั่นคือ เร่งกระหน่ำส่งสัญญาณหนัก ๆ เข้าสู่เรา เพื่อให้เราระลึกว่ามีผู้ส่งสัญญาณเข้ามา และเพื่อให้เราส่งบุญให้กับเค้าบ้างนั่นเอง เค้าเรียกว่า “ฉันเห็นว่าทำแบบนี้แล้วได้บุญ........ฉันก็อยากเอามั่งน่ะ”

    ได้อ่านแบบนี้แล้วอย่าเพิ่งคิดว่า “ตายหล่ะหว่า... มีการเลียนแบบวิธีเอาบุญกันด้วยหรือนี่ ถ้างั้นไม่ส่งบุญดีกว่า เดี๋ยวนายเวรมันเลียนแบบกัน” อย่าไปคิดเช่นนั้นเด็ดขาดนะคะ _/|\_

    ถามว่า “แล้วเทวดาและสิ่งลี้ลับที่เคยได้รับบุญจากเราไปแล้ว ทำไมไม่ช่วยขวางนายเวรพวกนี้บ้างนะ” คำตอบก็คือ “ก็เขามีบัตรทองน่ะ เป็นบัตรที่มีที่มาและที่ไปในการเข้าก่อกวนโดยตรง” นั่นเอง

    กว่าจะถึง “บางอ้อ” ก็เล่นเอาหัวแทบระเบิด (รู้สึกเคืองเทวดาเหมือนกันที่นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังไม่ส่งซิกแนวมาบอกกล่าวกันบ้างว่ามีนายเวรประเภทนี้ด้วย)

    เมื่อเจอ case แบบนี้เราต้อง “เข้มแข็ง” ค่ะ เข้มแข็งในที่นี้ก็คือ “เข้มแข็งที่จะไม่ท้อต่อการให้บุญกับพวกเขา” เพราะนี่มันคือช่วงเวลาที่มีค่าที่เราจะได้ “กระทำหน้าที่ของผู้คืนหนี้ (ผู้ให้) ที่ยิ่งใหญ่” กับนายเวรประเภทบัตรทอง (ไม่ได้เจอบ่อยนะคะกับนายเวรประเภทนี้ เค้าจะมาหาเราก็ต่อเมื่อเค้าได้ประเมินแล้วว่าเรามีเงินคืนเค้าได้ครบน่ะค่ะ)

    ดังนั้นจึงท้อไม่ได้ค่ะ เจอแบบนี้ท้อไม่ได้เด็ดขาด ตรงกันข้ามต้องภูมิใจค่ะว่าเรามีโอกาสได้ชดใช้คืนด้วยบุญที่เรามีแล้วนั่นเอง เป็นโอกาสทองของเราแล้วที่จะไม่เป็น “ลูกหนี้ที่เหนียวหนี้” แต่การคืนหนี้กับพวกบัตรทองนั้น” จะต้องคืนด้วย “จิตที่ตั้งใจคืน” ค่ะ นั่นคือ ต้องพึงระลึกเสมอว่า “เพราะเราเคยสร้างไว้ มันจึงต้องเป็นไปเช่นนี้”

    เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว จะทำให้เรามีกำลังใจอย่างมากนะคะ ในการ “ขยันส่งบุญ” และจะต้องไม่ส่งบุญอย่างเดียวค่ะ “ต้องสอนหรือให้ธรรมทานตอบกลับไปด้วย” สอนให้พวกเขาเข้าใจว่า “การอโหสิกรรมนั้นมีค่าอย่างไรกับพวกเขา”

    เมื่อคิดได้เช่นนั้น ดิฉันก็ลงมือกล่าวเลยค่ะ โดยกล่าวดังนี้ค่ะ “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญของข้าพเจ้าที่ได้สร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน (ดิฉันจะระลึกถึงบุญที่เคยจำได้ในชาตินี้ประกอบคำกล่าวด้วยน่ะค่ะ เช่น บุญที่เคยพาพ่อแม่ไปหาหมอ บุญที่เคยไปให้ธรรมทาน บุญที่เคยอดข้าวเพื่อไถ่หนี้ให้พ่อแม่ ฯลฯ นึกเป็นภาพขึ้นมาประกอบเลยน่ะค่ะ)...ขอบุญเหล่านี้จงได้แปลงเป็นบุญแห่งการขอขมาในผลกรรมที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำแล้วกับพวกท่านที่ส่งสัญญาณเข้ามาในขณะนี้ ให้ได้รับในสิ่งที่พวกท่านจะพึงต้องการ ข้าสำนึกผิดแล้วและรับรู้ถึงทุกข์ที่ได้เคยกระทำไว้แล้วกับพวกท่าน ด้วยเพราะอวิชชาที่ครอบงำจิตใจของข้ามาแต่ช้านาน จึงทำให้ข้าต้องพลาดพลั้งกระทำกรรมดังกล่าวไป ณ บัดนี้ชาตินี้ข้ามุ่งหวังแล้วที่จะพยายามถอดถอนอวิชชาดังกล่าว ขอพวกท่านที่ได้รับบุญของข้าแล้วนี้ จงได้โปรดอโหสิกรรมให้กับข้าด้วยเถิด ขอพวกท่านจงกลายกลับจากศัตรูร้ายมาเป็นญาติมิตรที่ดีต่อข้าด้วยเถิด จงช่วยสนับสนุนให้ข้าได้มีดวงตามองเห็นธรรม เพื่อการหลุดพ้นดังกล่าว เมื่อข้าได้หลุดพ้นแล้ว อานิสงส์แห่งการอโหสิกรรมของพวกท่านนี้จะนำพาให้พวกท่านได้พบกับหนทางแห่งการหลุดพ้นอย่างข้านี้ด้วยเช่นกัน ไม่ต้องมาทุกข์จากการจองเวรกันเช่นนี้อีก ขอท่านจงระงับซึ่งการส่งสัญญาณเข้าสู่ข้า และระงับซึ่งการส่งสัญญาณเข้าสู่บุคคลรอบข้างข้าเพื่อนำมาซึ่งการกระทบต่อข้าในทุก ๆ ด้านด้วยเถิด” จากนั้นดิฉันก็จะทำจิตสงบเพื่อระลึกถึงพระพุทธองค์แล้วส่งผลบุญถึงแด่พวกเขาอย่างเต็ม ๆ เป็นการปิดท้ายอีกครั้ง และกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การเข้ามาก่อกวนในลักษณะนี้อาจทำให้พวกท่านต้องได้รับโทษเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงมิควรเข้ามารับบุญด้วยการเลียนแบบกันเช่นนี้อีก”

    ได้ผลค่ะ มันได้ผลแบบไม่น่าเชื่อเลย กล่าวจบปุ๊บ หายปวดหัวปั๊บอย่างไม่น่าเชื่อ (ไม่ได้คิดสงสัยด้วยว่าอาจมาจากยาเม็ดที่กินไปหรือป่าว ที่บอกว่าไม่สงสัยเช่นนั้นเพราะพวกเขามาปรากฏให้เห็นเลยค่ะ เพียบเลย พวกเขายกมือไหว้ดิฉันเลยทันที และยินยอมอโหสิกรรมให้ด้วยอีกต่างหาก)

    จะว่าไปแล้ว “นายเวรประเภทบัตรทอง” นั้น พวกเขาก็มิได้มีความสุขหรอกนะคะ ในการ “จองกรรมจองเวร”กับเรา แต่มันเหมือนเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องกระทำ นั่นคือ “หน้าที่ในการเอาคืน” และหากเราไม่ทำหน้าที่ของเราบ้าง นั่นคือ “หน้าที่แห่งการชดใช้” หนี้สินมันก็ไม่หมดหรอกค่ะ มันกลับจะยิ่งเป็น “ดินพอกหางหมู” มากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ และต้องได้รับการชดใช้ในที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

    การเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญ อย่างที่เคยบอกแล้วว่า “เป็นวิธีคืนหนี้ ที่ลูกหนี้สามารถเลือกการชดใช้ได้” ถือเป็นวิธีที่เยี่ยมยอดมากที่สุดค่ะ เพราะเป็นการคืนด้วยบุญที่เรามี (ทั้งอดีตชาติและปัจจุบัน) ฝึกคืนหนี้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เรา “ขยันในการหาเงิน (เพิ่มบุญเพิ่มกุศล) ให้กับตัวเองอยู่ตลอด” ด้วยเพราะ “ยิ่งให้บุญเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รับบุญตอบกลับมามากเท่านั้น” ฝากธนาคารยังไม่ได้รับดอกเบี้ยมากเท่านี้เลยนะคะ

    มิแปลกใจเลยว่าทำไมหลวงปู่ท่านเน้นให้พวกเรา “รีบแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่สถานการณ์มันจะเกิด” ด้วยเพราะ “กรรม” อย่างไรซะก็ต้องชดใช้คืน แต่การแก้ไขสถานการณ์ก่อนที่สถานการณ์จะเกิดขึ้นนั้น “มันจะทำให้เราไม่ต้องมาเจออะไรหนัก ๆ แล้วแก้ไม่ไหว หรือหมดกำลังใจไปซะก่อนที่จะแก้ไขนั่นเอง”

    การเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ จึงเป็นการ “ทยอยคืนหนี้” ไปเรื่อย ๆ ดีกว่าไม่คืนหนี้เลย แล้วให้เค้ามาเก็บทีเดียวเป็นก้อน เมื่อถึงตอนนั้นอาจไม่ได้ผล ด้วยเพราะเกิดการ “ท้อซะก่อนที่จะคืนหนี้” นั่นเอง

    มาขยันทยอยคืนหนี้กันเถอะค่ะ ค่อย ๆ จ่ายไปทุกวัน วันละเล็กละน้อย บ่อย ๆ จนชำนาญ ดีกว่ามารอคืนหนี้ทีเดียวก้อนโต เมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่เขามาเอาคืน เราอาจตั้งรับไม่ทันหรือท้อไปซะก่อนที่จะเปิดซิปกระเป๋าหยิบเงินคืนพวกเขานะคะ

    โมทนาบุญค่ะ และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ต้องการจะทยอยคืนหนี้ในทุกวันค่ะ

    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...