กำลังใจของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธรรมวิวัฒน์, 30 พฤศจิกายน 2019.

  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,238
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +114,964
    FB_IMG_1575105013202.jpg
    กำลังใจของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ

    วันศุกร์ ณ บ้านอนุสาวรีย์ มีโยมได้นำวัตถุมงคล ๓ อย่าง ซึ่งเป็นของมีค่าที่สุดสำหรับชีวิตเขา มาถวายพระอาจารย์เล็ก และกล่าวอธิษฐานปรารถนาพระโพธิญาณ พระอาจารย์จึงได้เทศน์ให้ฟัง

    ถาม : นึกถึงคนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้เขามองต่างกัน สมัยนี้เขามองว่าการจุดไฟเผาตัวเอง (เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ) เป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก แต่พอนึกถึงกำลังใจคนสมัยโบราณ เขาไม่ได้ดูที่การกระทำ เขาดูที่กำลังใจ
    ตอบ : และโดยเฉพาะเขาเข้าใจว่าทำเพื่ออะไร ก็เลยมีคนโมทนาเยอะ

    ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจครับ ?
    ตอบ : เกิดบ่อย ๆ ถ้าเกิดบ่อยจนเข้าที่ เดี๋ยวก็เข้าใจทุกอย่างเอง

    การที่ตัดใจสละสิ่งที่ตัวเองรัก ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ภายนอกมาก ๆ เลย เพราะว่าข้าวของอย่างนี้นับว่าเป็นโลกียทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ยังข้องเกี่ยวอยู่กับโลก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนว่า ถ้าหากว่ามีความจำเป็น ก็ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ อย่างเช่นว่า เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา จะต้องผ่าตัด เงินทองไม่พอ ก็อาจจำเป็นจะต้องสละทรัพย์ ก็คือ ไปจำหน่าย หรือสละเงินสละทองเพื่อรักษาตนเอง ก็จะได้รักษาอวัยวะของตนไว้ได้ แต่ท่านสอนต่อไปว่า ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต อย่างเช่นว่าถ้าเกิดเป็นเบาหวานขึ้นมา แผลมันเริ่มเป็นพิษแล้ว ถ้าหากว่าไม่ตัดขาออก ก็อาจจะถึงแก่ชีวิตในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก็จำเป็นต้องสละ แต่ท้ายสุดท่านบอกว่าให้สละทั้งทรัพย์ ทั้งอวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม ก็แปลว่าในเรื่องของธรรมะนั้นเป็นเรื่องที่ทรงค่าสูงสุด ให้ประโยชน์ทั้งในชาตินี้ ให้ประโยชน์ทั้งในชาติหน้า และให้ประโยชน์สูงสุด คือพาเราไปนิพพานได้

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยความศรัทธาหลายอย่าง อย่างที่ท่านใช้คำว่า กรรมศรัทธา เชื่อกรรม เชื่อว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วก็ละชั่ว ทำดี กรรมวิปากศรัทธา เชื่อในผลของการกระทำ ก็คือ ทำดีแล้วต้องได้ผลดี ทำชั่วแล้วต้องได้ผลชั่ว ฉะนั้น..ทำดีดีกว่า ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ตถาคตโพธิศรัทธา ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นว่าพระองค์รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าไม่มีตรงนี้ การเชื่อมั่นของกรรมและผลกรรมก็ไม่เกิดกับเรา

    พระพุทธเจ้าบอกว่าศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่เชื่อเฉย ๆ แต่ว่าต้องพิสูจน์ดูก่อน ถ้าหากพิสูจน์แล้วมีผลเป็นไปตามนั้นเราค่อยเชื่อ
    แต่ถ้าหากพิสูจน์แล้วไม่เป็นไปตามนั้น แต่คนอื่นกลับทำได้ ขณะที่คนอื่นทำได้ ต้องให้ดูว่าตัวเราบกพร่องตรงไหน ?

    คราวนี้มากล่าวต่อ..เรื่องของการสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม โดยทั่ว ๆ ไปแล้วหลักการนี้สำหรับปุถุชนปกติ แต่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระโพธิสัตว์ เกินกว่านั้นมาก

    พระโพธิสัตว์นั้น การตัดแขนตัดขา เชือดเนื้อตัวเอง หรือตัดศีรษะ ควักหัวใจถวายเป็นพุทธบูชา ท่านทำเป็นเรื่องปกติ ถ้ากำลังใจไม่เพียงพอที่จะทำอย่างนั้น ก็แปลว่าบารมียังไม่เข้มข้นพอ ก็ต้องรอการก้าวผ่านตรงจุดนั้นต่อไป ดังนั้น..โยมเขาตัดใจสละสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เพื่อความปรารถนาในพระโพธิญาณ ตัดใจในระดับนี้ ความรู้สึกของเราคือ มันยาก แต่สำหรับพระโพธิสัตว์แล้วเป้าหมายท่านยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือพระโพธิญาณ จะได้ทำหน้าที่ขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร ทรัพย์สินทุกอย่างกลายเป็นของเล็กน้อยมาก เหมือนกับว่าสิ่งที่ท่านปรารถนาคือภูเขาพระสุเมรุ เป็นการสละส่วนปลายเล็กน้อยเพื่อแลกกับภูเขาพระสุเมรุทั้งลูกท่านทำได้ เพราะท่านเห็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ในภายหน้า ถ้าเราไม่เห็น ก็จะเห็นว่าสละได้ยาก แต่สำหรับของท่านแล้ว..ท่านเห็น

    เพราะฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นทรัพย์สมบัติภายนอก ก็เลยกลายเป็นของเล็กน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับกำลังใจของท่าน เพราะฉะนั้นใครจะตัดแขนมาก็เชิญจ้ะ ยินดีต้อนรับ

    จำได้ไหมว่า เจ้าแม่กวนอิมท่านตัดแขนและควักดวงตาให้พ่อ เพื่อประกอบยารักษาโรค ปรากฏว่าท่านยอมสละตัดให้จริง ๆ บรรดาชาวบ้านทั้งหลายก็สงสาร ว่าพระธิดาเป็นคนดีแสนดี แล้วก็ต้องมาแขนขาดข้างหนึ่ง ต้องมาตาบอดข้างหนึ่ง ก็เลยทำแขนปลอมตาปลอมให้ ปรากฏว่าใจเดียวกัน ทำกันมาเยอะแยะหลายคน ท่านก็เลยอธิษฐานให้เขาเห็นเป็นลักษณะพันมือพันตา ที่เราเห็นว่าบางปางมีมือเยอะแยะไปหมด และในมือมีดวงตาอีกต่างหาก นั่นท่านแสดงให้เห็นว่า จริง ๆ แล้วท่านมีฤทธิ์ มีอำนาจขนาดนั้น แต่สิ่งที่ท่านทำเนื่องด้วย ๒ ประการด้วยกัน

    ประการแรกก็คือ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพระบิดา อีกประการหนึ่งก็คือ เพื่อพระโพธิญาณของท่าน

    การสละอวัยวะเพียงนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ท้ายสุดก็ต้องสละบุตรและภรรยา สมัยนี้จ้องจะสละกันจริง ๆ ด้วยกำลังใจห่วยแตกของพวกเรา ประเภทไม่ชอบใจ ทะเลาะเบาะแว้ง ด่ากัน ขัดใจกัน ก็จะสละ แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราดูตัวอย่างพระเวสสันดรนี่ พูดง่าย ๆ ว่าตั้งแต่อยู่ร่วมกันมา คำน้อยที่จะพูดให้เสียใจก็ไม่มีเลย มีแต่ยอมรับใช้ทุกอย่าง ท่านใช้คำว่าเป็นดั่งบาทบริจาริกา คือ ข้าทาสรับใช้ ถ้าหากว่าเป็นภรรยาที่ดีขนาดนั้น แล้วคนสามารถตัดใจสละได้ เป็นลูกที่น่ารักขนาดนั้นแล้วคนสามารถตัดใจสละได้ ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน นั่นไม่ใช่เป็นของที่ไม่ต้องการแล้ว แต่เป็นของที่รักสุดหัวใจ

    เพียงแต่ว่าความรักในพระโพธิญาณนั้นยิ่งใหญ่กว่า โดยเฉพาะตอนที่ท่านปลอบลูกให้ยอมไปกับพราหมณ์ ท่านบอกว่า "ให้ทำตัวเป็นสำเภาทอง เพื่อส่งพ่อให้ข้ามพ้นไปสู่ฝั่ง" แล้วกัณหากับชาลีก็โมทนาด้วย ตรงนั้นต้องดูสองอย่าง อย่างแรกก็คือกำลังใจของพระเวสสันดร ท่านสละได้ ขณะเดียวกันลูกเล็ก ๆ สององค์เข้าใจด้วย เข้าใจเรื่องอย่างนี้ด้วยว่าพ่อทำเพื่ออะไร แทนที่จะตัดพ้อต่อว่า ในลักษณะพ่อไม่รักแล้ว ไม่ใช่...โมทนาด้วย ยอมลำบากลำบน เพื่อความปรารถนาพระโพธิญาณของพ่อจะได้สำเร็จลง

    ฉะนั้น...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราอ่านแล้ว เราอย่าอ่านเฉย ๆ แบบที่เมื่อเช้าตั้งข้อสงสัยไป อ่านแล้วต้องคิดให้เป็น ถ้าคิดให้เป็นเราจะเห็นคุณพระรัตนตรัยมหาศาลมาก พระโพธิสัตว์กว่าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ท่านบอกว่าแค่น้ำตาก็มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่แล้ว การเกิดในระดับนั้น ท่านไม่ได้เกิดเพื่อตัวเอง เกิดเพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดเพื่อทำหน้าที่ที่ตัวเองตั้งใจไว้ ลำบากแค่ไหนก็ยอม ในลักษณะเดียวกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์ ท่านบอกว่าตราบใดที่ยังมีสัตว์โลกเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ตราบนั้นท่านจะยังไม่ยอมเข้านิพพาน อยู่โปรดจนรายสุดท้ายจึงจะไป ของเราชาติเดียวก็เข็ดแล้ว ของท่านเองกำลังใจเหลือล้น โปรดจนคนสุดท้ายแล้วค่อยไป ท่านไม่ได้อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย แต่จะอยู่โปรดจนคนสุดท้ายค่อยไป

    ฟังแล้วน่าไปต่อนะ..! อาตมามาไกลขนาดนี้แล้ว ยังเลี้ยวเฉยเลย แต่ว่าคงไปไม่ไกลหรอก เพราะเคยมีนิมิตอยู่ครั้งหนึ่งว่า ขึ้นเรือไปแล้ว มองกลับมา โอ้โห...เขายังตกค้างอยู่บนฝั่งอีกเยอะ ก็เลยโดดกลับมายืนเป็นเพื่อนเขา อะไรจะปานนั้น..แสดงว่าเชื้อชั่วไม่ยอมตาย เคยทำหน้าที่นั้นมา ขนาดในนิมิตยังตามไปช่วยเขา...

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม วัดท่าขนุน
    เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันศุกร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓
     
  2. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,238
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +114,964
    FB_IMG_1579942595011.jpg

    พระอาจารย์กล่าวว่า ถ้าหากว่าเรายอมลำบากโดยไม่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ตรงนั้นเป็นปรมัตถบารมี แต่ว่าบุคคลที่เป็นปรมัตถบารมีจะมีปัญญาเฉลียวฉลาด จะรู้ว่าขนาดไหนจึงพอเหมาะพอควร ยกเว้นพระโพธิสัตว์ท่านจะไม่กลัวความลำบาก ในเมื่อท่านไม่กลัวความลำบาก ถึงแม้ท่านรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อความพ้นทุกข์ของคนอื่น ท่านก็ทำ

    เวลาที่พระพุทธเจ้าในช่วงที่ท่านบำเพ็ญบารมี ท่านมีการสละออกในทุก ๆ เรื่อง ท่านจะทำเพื่อคนอื่น นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ดังนั้น การที่ท่านทำเพื่อคนอื่นไม่ได้ทำเพื่อตนเอง จึงเป็นเสมือนการสละออกซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง ไปในตัวด้วย ไม่ได้ทำเพื่อตนก็เหมือนกับการไม่ได้เอาตัวตน ไม่ได้ยึดตัวตน
    การที่ท่านทำเพื่อคนอื่นมาก ๆ สละออกซึ่ง รัก โลภ โกรธ หลง นี้แหละ จึงเป็นการทำให้ทิพจักขุญาณของท่านแจ่มใสกว่าบุคคลอื่น ๆ

    การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าองค์แรก พระองค์ท่านบำเพ็ญบารมีมาเกือบ ๔๐ อสงไขย โดยที่ไม่มีใครเป็นต้นแบบให้กับท่านมาก่อน การที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกจึงทำให้พระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มา ได้ตามดู โดยการใช้ทิพจักขุญาณ ย้อนดูถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าองค์แรก

    คัดลอกข้อความมาจาก
    กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ > เล่าสู่กันฟัง ภาค ๑

    ถ่ายภาพจากวัดท่าขนุน
     
  3. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,238
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +114,964
    FB_IMG_1586309666019.jpg
    ต้นทุนน้อย แต่จบเท่ากัน

    ถาม : พระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้ามีตลอดเวลาไหมครับ ?
    ตอบ : ต้องการให้ปรากฏถึงจะปรากฏ จะมีอยู่บางพระองค์ในอดีตที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา นั่นท่านสงเคราะห์บริวารของท่านโดยเฉพาะ แล้วก็มีบางองค์รัศมีไม่ได้มีเฉพาะโลกของเรา พระพุทธเจ้ามีนามว่า มังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีท่านแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ ยิ่งกว่าพระอาทิตย์อีก

    ถาม : เห็นด้วยตาเปล่าหรือครับ ?
    ตอบ : ถ้าพระองค์ท่านแสดงก็เห็นด้วยตาเปล่า แต่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราต้องบอกว่าพระรัศมีแคบที่สุด ไม่กี่วา หลายองค์มีรัศมีปกติก็ ๑ โยชน์ แต่ว่าในรัศมี ๑๖ กิโลเมตรนี่เห็นท่านหมด

    พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราต้องไปดูในพุทธวงศ์ รู้สึกว่าทุกอย่างของพระองค์ท่านนี่จะน้อยกว่าคนอื่น และยากกว่าคนอื่นทั้งหมด มีอยู่พระองค์เดียวที่เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ลำบากกว่าเจ้าชายสิทธัตถะ คือพระพุทธนารทสัมมาสัมพุทธเจ้าออกเดินไป ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะของเราทรงม้าไป บางท่านทรงช้างไป บางท่านนั่งคานหามไป มีบางองค์ลอยไปทั้งปราสาทเลย ไม่ต้องลงจากปราสาท ท่านเจตนาจะออกมหาภิเนษกรมณ์ แล้วปราสาทถอนเสาลอยไปทั้งหลังเลย บารมีท่านขนาดนั้น

    พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญเพียรนานที่สุด ๖ ปี มีหลายท่านที่บรรลุใน ๗ วัน อย่างลำบากเลยก็ ๖ เดือนบ้าง ๑ ปีบ้าง ต้องบอกว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านทรงผจญทุกอย่างมาโชกโชนที่สุด ถ้าเปรียบกับพระพุทธเจ้าองค์อื่นแล้วก็ต้องบอกว่าต้นทุนน้อย ในเมื่อต้นทุนน้อยแล้วสามารถทำกำไรจนกระทั่งอยู่ในระดับมหาเศรษฐีเท่ากัน ก็ต้องคิดเหมือนกันนะว่าฝีมือขนาดไหน ? ถึงได้บอกว่าท่านเป็นปัญญาธิกะจริง ๆ ก็คือเป็นพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีมาในด้านปัญญา ต้นทุนน้อย เรียนระยะสั้น แต่จบเท่ากัน

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,238
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +114,964
    FB_IMG_1586883198714.jpg
    ยุคนี้เป็นยุคสมัยที่เหมาะแก่การไปพระนิพพานมากที่สุด


    พระอาจารย์กล่าวว่า "ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วมีอีกหนึ่งภัทรกัปที่มีอีก ๕ พระองค์ แปลว่ามีภัทรกัปต่อเนื่องกัน ๒ ภัทรกัป เป็น ๑๐ พระองค์ ไม่มีโอกาสไหนที่มนุษย์เราจะมีหนทางหรือว่าบุญที่ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญเอาไว้สักหน่อย ขอแค่หลุดเข้าไปแค่สวรรค์ชั้นต่ำสุดก็พอ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาท่านอีกตั้ง ๕ - ๖ พระองค์ อย่างไรเสียเราต้องไปได้สักองค์หนึ่งแหละ"

    ถาม : ถ้าเป็นรุกขเทวดาจะได้ด้วยไหมคะ ?

    ตอบ : ต่ำ ๆ เอาเป็นอากาศเทวดาดีกว่า รุกขเทวดาบางทีอยู่ไม่ถึงกัป เพราะวิมานโดนโค่นไปแล้ว กัปที่มีพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่จะเป็นกัปข้างที่ดีมาก เขาจะมีสารกัป คือกัปที่เป็นแก่นสาร มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๑ พระองค์ มัณฑกัป กัปที่มีความผ่องใสยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๒ พระองค์ วรกัป กัปที่มีความประเสริฐยิ่ง มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ พระองค์ สารมัณฑกัป กัปที่ทั้งเป็นแก่นสารและมีความผ่องใสอย่างยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๔ พระองค์ และภัทรกัป กัปที่มีความเจริญอย่างยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๕ พระองค์

    ไม่ต้องไปหาที่อื่น เกิดขึ้นในโลกนี้เท่านั้น เพราะว่าโลกเรานี้เขาเรียกว่ามงคลจักรวาล พระพุทธเจ้าเวลาท่านจะเสด็จประสูติ ท่านจะต้องพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ ก็คือสิ่งที่เหมาะสม ๕ ประการก็จะมี

    ๑. กาล คือเวลา ว่าเหมาะสมที่พระองค์ท่านจะตรัสรู้หรือยัง โดยเฉพาะว่าเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์สั่งสมสติปัญญามาสมควรแก่การบรรลุมรรคผลหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงระยะเวลาที่เหมาะสมขนาดนั้น เกิดมาก็เสียเวลาเปล่า เพราะเทศน์ไปเขาก็ไม่รู้เรื่อง

    ๒.ทวีป มีทวีปใดที่เหมาะสมที่จะเกิด รับประกันซ่อมฟรีมีแต่ชมพูทวีปเท่านั้น ก็คือโลกนี้ เพราะว่ามี ความสุข ความทุกข์ ความรวย ความจนที่ต่างกันอย่างชัดเจน

    ๓. ตระกูล จะเกิดขึ้นในตระกูลใด ในมธุรัตถะวิลาสีนี อรรถกถาพุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า จะเกิดอยู่ในสองตระกูลระหว่างกษัตริย์และพราหมณ์เท่านั้น ในช่วงนั้นนับถือว่าตระกูลใดประเสริฐกว่าก็จะเกิดในตระกูลนั้น อันนี้ลักษณะแบบประเภทที่เรียกว่าข่มกันไว้เลยว่า ในเมื่อเกิดมาจากตระกูลที่สูงขนาดนั้น ยังยอมสละตนออกบวช คนก็เห็นเป็นอัศจรรย์กันอยู่แล้ว

    ๔. มารดา ผู้ที่เป็นพุทธมารดามีแล้วหรือไม่ ผู้หญิงที่จะเป็นพุทธมารดาหายากสุด ๆ เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดใน ๓ โลกด้วย ถ้าปกติเบญจกัลยาณีเราว่าสวยในทุกสภาพแล้ว บุคคลที่จะเป็นพุทธมารดานอกจากมีเบญจกัลยาณี ๕ อย่างแล้วยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ อย่าง อย่างเช่นไม่อ้วนเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่สูงเกินไป ไม่เตี้ยเกินไป เขาจะบอกรายละเอียดไว้หมด ถ้าสูงเกินไปพระโพธิสัตว์ต้องยืดคอดื่มนมเดี๋ยวจะเสียทรง เขาจะมีบอกรายละเอียดไว้หมด

    ๕. อายุ คืออายุขัยของสัตว์ ถ้าไปดาวอื่น เอาแค่ข้าง ๆ ของเราไม่ต้องไกลหรอก พุธ ศุกร์ โลก ดาว ๓ ดวงเอาไปเรียงกันไว้นี่บ้านเราอายุนิดเดียว บ้านอื่นเขาอายุเป็นหมื่น ๆ ปี ถ้าอายุขัยเหมาะสม เทศน์ถึงอนิจจังความไม่เที่ยงเขาจะเห็นได้ง่าย ลองไปเทศน์ที่ดาวพฤหัสบดีดูสิ บอกว่าเกิดมาไม่เที่ยง เขาอยู่กันเป็นแสนปี จะรู้ไหมว่าไม่เที่ยงเป็นอย่างไร แล้วแสนปีของเขานี่คนบนโลกเขาหน้าตาอ่อนกว่าเราอีก

    เพราะฉะนั้น..ก็ต้องมีความเหมาะสมทั้ง ๕ ประการนี้ พระพุทธเจ้าจึงจะเสด็จไปอุบัติ สรุปแล้วในบรรดาอนันตจักรวาลนี้ มงคลจักรวาลคือโลกมนุษย์นี้เท่านั้นที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติ แล้วถามว่าโลกอื่น ดวงดาวอื่นมีพระพุทธเจ้าเสด็จไปสงเคราะห์ไหม ? มี...ถึงเวลาพระองค์ท่านก็เสด็จไปสงเคราะห์เขา หรือไม่พระสาวกสำคัญต่าง ๆ ก็ไปสงเคราะห์เขา

    แปลว่าดวงดาวอื่นที่มีมนุษย์และสัตว์ ส่วนใหญ่จะมีจำนวนน้อย อย่างในสุริยจักรวาลของเรามีอยู่ ๒ ดวงเท่านั้นคือโลกเรากับดาวพระศุกร์ ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณดาวพระศุกร์จะดีใจหรือเสียใจ เกิดมาทั้งทีมีสัตว์อยู่แค่ ๒ ดวงดาว แต่ว่าดาวพระศุกร์เขาดีกว่าเพราะว่ามนุษย์กับสัตว์เป็นเพื่อนกัน โลกของเรานี่มนุษย์คอยแต่จะกินเพื่อน พวกเราโชคดีที่สุดเพราะว่าช่วงภัทรกัปเกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ เป็นช่วงที่อนุมัติจบเยอะ พระพุทธเจ้าบรรลุทีละ ๕ พระองค์ แต่อนุมัติจบเยอะก็จริง แต่นานเนกาเลจนประมาณไม่ได้ แล้วโผล่มาที ๒ ภัทรกัปติดกัน

    เราเอาแค่ในพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ทีเราเรียกว่า อัฏฐวีสตินายกา คือผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๒๘ ท่าน คือพระพุทธเจ้าในอดีต ๒๗ พระองค์และองค์ปัจจุบันอีก ๑ พระองค์ องค์แรกเลยก็คือพระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วโลกว่างไป ๑ อสงไขยกัปถึงได้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง น่ากลัวขนาดไหน ไม่ได้ว่างไปทีละกัปนะ ว่างไปทีละอสงไขย อสงไขยนี้มนุษย์ทั่วไปนับไม่ได้ อสังขยา แปลว่า นับไม่ได้ แต่ในความเป็นเทวดาเป็นพรหม ความเป็นทิพย์ท่านสามารถนับได้

    ที่ว่านับไม่ได้นี่ เพราะการนับมาตราส่วนของเขา เราไม่มีโอกาสทำอย่างนั้น เช่นท่านบอกว่า ๑๐๐ ปีเอาเมล็ดงาไปหยอดใส่ถังเหล็กที่กว้าง ยาว สูงด้านละโยชน์ ๑๐๐ ปีเมล็ดงาหยอดไปเมล็ดหนึ่ง ๑๐๐ ปีหยอดไปเมล็ดหนึ่ง จนกระทั่งถังใบนั้นเต็มเสมอขึ้นมายังไม่ได้กัปหนึ่งเลย แล้วเราจะมีโอกาสหยอดเม็ดแรกไหม ? ในเมื่อเม็ดแรกยังไม่มีโอกาสหยอด ก็เลยเป็นอสงไขยก็คือนับไม่ได้

    ดังนั้น..ช่วงนี้ของพวกเราก็อย่างไรเสียเกาะในส่วนของทาน ศีล ภาวนาให้มั่นคง ต่อให้ไปพระนิพพานไม่ได้ หลุดไปเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็โล่งใจไปที อย่างไรเสียอีก ๖ พระองค์ท่านตรัสรู้เมื่อไร ท่านก็ช่วยกวาดไปแน่ ๆ แต่ถ้าใครประกันความเสี่ยงไปก่อนได้ก็ไปเลยนะ ไม่ต้องรอ เพราะมัวแต่รออยู่ ถ้าเผลอลงข้างล่างเมื่อไร คราวนี้ ๖ พระองค์ผ่านไปหมดยังไม่ได้ขึ้นมาหรอก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วหนีหนี้มา

    ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ในเมื่อหนีหนี้มา ถ้ากลับไปเมื่อไรเจ้าหนี้เขาทวงได้ เขาเล่นครบทุกอย่าง แต่ละคนนิสัยสร้างความดีมาขนาดเรานี่ พระพุทธเจ้าผ่านไปทั้ง ๒ ภัทรกัปไม่ได้ขึ้นมาหรอก มีโอกาสก็รีบไขว่คว้าให้เต็มที่ไปเลย เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง

    พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ที่ผ่านมา มีเพียง ๒ พระองค์ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ คือพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าโกนาคมน์กับพระพุทธเจ้ามีพระนามว่ากัสสปะ เพราะโลกยุคนั้นถือว่าพราหมณ์มีตระกูลที่สูงกว่า นอกนั้นก็เกิดเป็นกษัตริย์ทั้งหมด

    ต้นไม้ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนแรกจะไม่ได้เรียกว่าต้นโพธิ์ แต่จะมีชื่อเฉพาะของตัวเองว่าเป็นต้นอะไร อย่างเช่นเป็นต้นไผ่ แต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ต้นไผ่นั้นก็จะเรียกว่าต้นโพธิ์โดยอัตโนมัติ อย่างของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา แรก ๆ ก็ไม่ได้เรียกว่าไม้โพธิ์ เขาเรียกต้นอัสสถพฤกษ์ ก็คือต้นใบหางม้า เพราะใบโพธิ์จะมีปลายแหลม ๆ ยาวมาเหมือนกับหางม้าห้อยอยู่ แต่พอพระพุทธเจ้าไปนั่งตรัสรู้อยู่ข้างใต้ ต้นใบหางม้าเลยกลายเป็นต้นโพธิ์ เป็นพระศรีมหาโพธิ์

    คราวนี้ในส่วนของนาคะ บ้านเราแปลว่าต้นกากะทิง หรือบางคนเรียกว่าสารภีทะเล แต่ทางพม่าเขาแปลว่าต้นบุนนาค บุนนาคหรือกากะทิง หรือสารภีทะเล เป็นไม้ตระกูลเดียวกันหมด เชื่อว่าสามารถที่จะเสียบกิ่งทาบกิ่งข้ามพันธุ์กันได้เลย เพราะลักษณะดอกคล้าย ๆ กัน จะมีบุนนาค สารภี กากะทิง การะเกด มีใครรู้จักไม้โบราณ ๆ พวกนี้บ้างไหม ? ดอกคล้าย ๆ กันหมด แต่ว่าทางด้านพม่าเขาเชื่อว่าเป็นต้นบุนนาค เพราะฉะนั้น..ที่พม่าแย่งกันปลูกบุนนาคในวัด เผื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า อาจจะเป็นต้นใดต้นหนึ่งได้มีโอกาสเป็นไม้โพธิ์ของท่าน

    ส่วนต้นไม้บางประเภทเขาเรียกชื่อโบราณ อย่างต้นสิรีสะ เป็นไม้ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่ากกุสันโธ คัมภีร์โบราณแปลว่าต้นซึก มีใครรู้เรื่องบ้างว่าต้นซึกหน้าตาเป็นอย่างไร ? คุณติ๊กรู้จักต้นซึกไหม ? ที่บ้านคุณก็มี ทางเหนือเขาเรียก จ๊าก๋าม ก็คือต้นฉำฉาหรือจามจุรีนั่นแหละ

    ส่วนต้นสาละที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เป็นสาละที่เราไม่รู้จักกัน เรารู้จักแต่สาละลังกา หรือลูกแคนนอนบอล สาละลังกาหอมมาก ใครเคยได้กลิ่นจะจำติดจมูกเลย ต้นสาละที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่ใช่สาละลังกา เป็นอาตมาก็ไม่เสี่ยงไปปรินิพพานใต้สาละลังกา เพราะอาจจะปรินิพพานก่อนเวลา เพราะลูกใหญ่เหลือเกิน ตกลงหัวก็เป็นเรื่องเลย..!

    พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     

แชร์หน้านี้

Loading...