เสียงธรรม กิริยาภายใน

ในห้อง 'ธรรมเพื่อความหลุดพ้น' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 28 เมษายน 2011.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    เราพยายามทุกวิถีทางที่จะให้บ้านเมืองเราเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ทองคำเป็นหลักสำคัญมาก แล้วก็ไม่แล้ว สอดนั้นแทรกนี้เรื่อยทองคำ ที่ได้เป็นกอบเป็นกำยังไม่ถอย เอาอีกแบบซึมซาบเรื่อย เราพยายามเต็มกำลังทุกด้านทุกทางเพื่อชาติไทยเรา เพราะฉะนั้นเห็นไปกว้านซื้อสุ่มสี่สุ่มห้าเราถึงขนาดได้ตั้งชื่อแล้วที่ว่าตัวดี เข้าใจไหม ฟาดอยู่ที่อยุธยา ต่อหน้านายกเทศมนตรีนั่งอยู่นั้นด้วย ชอกโกแล็ตนี้ได้มาจากฝรั่งเศส เขาดีใจได้มาจากเมืองนอกเมืองนามาถวายอาจารย์เขา ทีนี้อาจารย์เขาไม่เป็นอย่างนั้นละซิใช่ไหม ก็ฟาดเปรี้ยงๆ เท่านั้น สุดท้ายก็เลยตั้งชื่อให้ว่าตัวดี อันนั้นเลยติดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ว่าตัวดี ก็อย่างนั้นละ

    เรารักเราสงวนเนื้อหนังชาติไทยเรา มันหากเป็นอยู่ตั้งแต่ฆราวาส เป็นโดยหลักธรรมชาติของมันเอง พี่ชายกับเราเป็นคู่แข่งกัน บักห่านั่นอีหยังมันคว้าหมดละ เรา โหย ไม่เอานะ ไม่เอาง่ายๆ อย่างผ้านี้ ซื้อผ้าของคนอื่นไม่ให้ซื้อ แม่ทออะไรเราจะใช้หมด เป็นอย่างนั้นนะ กับพี่ชายมันคว้าหมดละบักห่านั่น อู๋ย เรื่องแต่งตัวมันข้าหลวงสู้บ่ได้ เรานี่ซอมซ่อๆ นะเรา เป็นอย่างนั้นนะ ผิดกันอันนี้ เรื่องประหยัดก็เหมือนกัน พี่ชายสุรุ่ยสุร่าย ขัดกันอยู่มาก แต่มันดีกับน้องๆ นะ น้องนี่ไปไหนรุมเลยทั้งน้องหญิงน้องชาย พี่ชายคนนั้นไปไหนรุม เรานี้เขาไม่ใกล้มันดุเข้าใจไหม แต่กับหมานี้พันกันเลย จนแม่มาด่าเอาต่อหน้าเลย

    หมาตัวไหนดีๆ อ้วนๆ เอามาเลี้ยงไว้ บัวมาเล่นหมาให้ดื้อหมดเลย มาด่าต่อหน้าเลย เราเฉย ยังเล่นกับหมาเฉยอยู่ กับหมาเป็นอย่างนั้น ต่างกัน ลูกผู้ใหญ่ก็มีพี่ชายสองคน นอกนั้นก็สับปนกันไปลูกหญิงลูกชายเรื่อยไป แต่ผู้ชายแท้ๆ มีสองขึ้นก่อน อันนี้ก็เป็นคู่วัดกัน คนนั้นมันไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ อะไรๆ เอาหมดซื้อหมด เรานี่ไม่ซื้อง่ายๆ นะ ผ้าให้แม่ทอให้ ใช้หมดเลยไม่ซื้อ เอาของแม่ เป็นอย่างนั้นนะ ไอ้นั่นเอาดะเลย เอามาอวดแม่ด้วย ซื้อผ้าสวยๆ งามๆ เอามาอวดแม่ เราไม่นะ ต่างกันอยู่

    คำว่าสงวนเนื้อหนังรู้สึกเป็นมาตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่ พอมาบวชมาพิจารณาอ่านในอรรถในธรรมนี้เข้ากันได้เปรี๊ยะๆ กับใจของเราที่คิดอย่างนั้น เราอยากให้มีเหตุผล ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าขัด หลักลอย ไม่มีหลักเกณฑ์เป็นของตัว ให้มีหลักซิคนหนึ่งๆ เราเป็นหลักของเรา แล้วต่างคนต่างมีหลักมีเกณฑ์มีเหตุมีผลรวมกันเข้าแล้ว บ้านเมืองของเราเป็นเนื้อหนังแน่นหนามั่นคง เป็นอย่างนั้นนะ อันนี้มันหากเป็นของมันเอง สำหรับผ้านี่ใช้สามผืนตลอด จีวร สบง สังฆาฏิ กับผ้าอาบน้ำเท่านั้นไม่เลยจากนั้น มันมาเหลือเฟือที่วัดป่าบ้านตาด เลอะหมดเลย จีวร สบง เครื่องใช้ไม่ทราบว่ากี่ผืนกี่อัน ปาไปไหนมันก็มาเรื่อย พระนั่นละเอามาให้ ได้ของดิบของดีมาให้ใช้ เรากลับฟาดเข้าป่านู่น เอามาอะไร เท่านั้นแหละ อันนี้มันพอแล้วๆ เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าพอนี่จึงสำคัญมาก สุรุ่ยสุร่ายเหลือเฟือเกินความพอดิบพอดีไม่ใช่ธรรม นั่น ธรรมจึงพอดิบพอดี

    เอ้า ตั้งร่างกายเราขึ้น ร่างกายอันนี้มันสดสวยงดงาม มีค่ามีราคาเพียงไร จึงต้องไปหาอะไรมาประดับประดาตกแต่งร่างกายซากผีดิบนี้น่ะ อยู่ที่ไหนท่านอยู่ได้ พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ในป่าในเขาสะดวกสบาย ไม่สร้างความกังวล สบายหมด เวลาออกปฏิบัติก็ความมุ่งต่อธรรม สิ่งอื่นมายุ่งไม่ได้ เพียงอาศัยไปนิดๆ แต่จิตมันพุ่งๆ อยู่กับธรรม ทีนี้เวลาได้ธรรมพอแล้ว อ้าวธรรมพอแล้วเหนือทุกอย่าง เอาอีกแหละที่นี่นะ พอธรรมได้เหนือทุกอย่าง สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องแฝงมาๆ ส่วนมากไม่รู้จักประมาณเสียได้ๆ นั่น ร่างกายอันเดียวนี้พออยู่ได้อยู่ไป ก็ซากผีดิบ ปลูกบ้านปลูกเรือนให้อยู่ พออยู่ได้อยู่ไป ไม่สร้างความกังวลวุ่นวาย ดีดดิ้น มันต่างกันอย่างนั้นนะ

    เราจะได้เห็นพ่อแม่ครูจารย์แต่ก่อน อยู่กับท่านเราก็พิจารณาแต่ไม่ละเอียด ต่อมานี่จึง จะว่าละเอียดไม่ละเอียด ย้อนหลังพิจารณาท่านยอมหมดเลย ท่านไม่พูดนะ ใครเอามาให้ท่านไม่เอา ท่านไม่เคยพูดมีแต่เรา เรานี้พูดเพราะเอาเรื่องของท่านมาพินิจพิจารณาแล้วก็นำมาแจงมาพูด ท่านไม่เอาอะไร ทำไมถึงไม่เอาอะไร ธรรมชาติที่อยู่ในนี้เหนือหมดแล้ว เลิศเลอสุดยอดแล้ว สิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายเอามารกรุงรังหาอะไร เอานั้นมารกรุงรังเข้าไปสร้างความกังวล นั่น ท่านตัดความกังวลสิ่งเหล่านั้นออก อยู่กับความพอดีๆ ถ้าว่าร่างกาย อยู่กระต๊อบๆ ท่านอยู่ อยู่อย่างนั้นพอดี พ่อแม่ครูจารย์เราตามพิจารณาหมดแหละ

    ผ้านี่หากเป็นของเราตั้งแต่ออกปฏิบัติแหละ ใช้ผ้าสามผืน ไม่เอาทั้งนั้นๆ จนกระทั่งท่านรู้นิสัยพ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลาเขาเอาของเอาผ้าเอาอะไรมาบังสุกุล ท่านมอบเลย ให้ท่านมหาจัดการพระเณรนะ เท่านั้นละท่านปล่อยเลย เราก็จัดให้องค์นั้นองค์นี้ จัดๆ สำหรับเราเราไม่เอา ไม่เอาตลอดเพราะเรากะของเราพอดีแล้ว ครั้นเวลาจัดผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เวลาเราไม่อยู่ท่านมักจะสอบจะถาม ท่านมหาจัดอะไรๆ ให้พระเณรบ้างไหม แล้วท่านเอาอะไรไหม ท่านถามนะ ท่านมหาเอาอะไรไหม ท่านไม่เอาอะไร ท่านก็นิ่งนะ หลายครั้งหลายหนเข้า ท่านก็พูด ท่านไม่เอาเป็นเรื่องของท่าน พวกเรามันเป็นยังไง นั่น เรื่องของเราเป็นยังไง นั่นเรื่องของท่าน เรื่องของเราเป็นยังไง ท่านยังจัดให้เราได้ เราจะพินิจพิจารณาเพื่อตอบรับท่านบ้างในฐานะที่ท่านเป็นผู้จัดให้คิดไม่ได้หรือ นั่นเอาละนะ

    ทีนี้ต่อไปก็เอาละที่นี่ ท่านจะอ่านดูนิสัยก็ถูก ท่านก็ทราบแล้วท่านเอาให้จะแจ้งลงไป ทีนี้ผ้าได้มาเท่าไรนี้ เราก็ไม่เคยเห็นท่านปฏิบัติต่อใครอย่างนั้น ผ้าเขาเอามาบังสุกุลกองพะเนินเทินทึก เอาขนเข้ากุฏิเราให้หมด นั่นเห็นไหม ท่านเคยทำเมื่อไร เป็นผ้าไม้ผ้าอะไรเขานำมาบังสุกุล เอาขนเข้ากุฏิเราให้หมด จนกระทั่งท่านมหามา ท่านมหามาแล้วเอาออกมาให้ท่านเลือกเอา ท่านจะเอาอะไรให้ท่านเลือกเอา แล้วขนเข้าไปจริงๆ นะกุฏิท่าน ท่านเคยเอาอะไรเมื่อไร บทเวลาท่านจะทำ บอกให้ขนเข้าไปกุฏิท่านให้หมด ไปเก็บไว้ให้ท่านมหา เอาขนาดนั้นนะ

    พอมาถึงแล้ว เอ้าที่นี่ชอบผืนไหนสบง จีวร เต็มห้อง ขนออกมากองพะเนินเทินทึก จะเอาอะไร กระผมไม่เอาอะไร ไม่เอาจริงๆ เรา ไม่เอาอะไรเลยหรือ อันนี้มันพอแล้ว ที่ใช้นี้พอแล้ว เท่านั้น จากนั้นก็โละเลยที่นี่ ออก เป็นอย่างนั้นละ ท่านติดตามทุกอย่างสำหรับเรา พ่อแม่ครูจารย์ท่านจอมปราชญ์ ไอ้เราจอมเซ่อ ท่านติดตามจริงๆ นะสำหรับเราเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่คิดแต่เราก็ทำของเรา ท่านรู้ๆ รู้หมดเลย เช่นอย่างผ้าห่มก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว เราไม่ใช้ผ้าห่มเราก็ไม่พูดให้ใครฟัง ในวัดในวาใครมีผ้าห่มเท่านั้น มีอะไรบ้าง ท่านเหล่านั้นคงไม่คิดไม่อ่านแต่เราดัดเจ้าของ

    ผ้าห่มผ้าอะไรไม่เอาเลย ให้ผ้าสามผืน จีวร สบง สังฆาฏิ กับผ้าอาบน้ำ เวลาหนาวขนาดไหนก็เอาผ้าสังฆาฏิกับจีวรพับครึ่งห่ม ให้เท่านั้น นอนได้ก็นอน นอนไม่ได้ไม่นอน ตลอดรุ่งไม่หลับเลยก็มี ให้เท่านั้น บังคับอยู่ในตัวของเราเอง จนกระทั่งท่านเอาผ้าห่มท่านมา นั่นท่านรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ใช้ผ้าห่ม บทเวลาท่านจะทำ ที่นอนเราก็เสื่อผืนเดียวเท่านั้นแหละ ท่านไปเอง กุฏิก็สูงประมาณสักเมตรหนึ่ง ความสูงเมตรหนึ่ง ท่านไปยืนดูละท่า ท่านขึ้นนะขึ้นไป เอาผ้าห่มที่ท่านห่มอยู่ทุกวัน ถ้าจะเอาผ้าใหม่ก็กลัวเราจะไม่เอา เพราะผ้าใหม่ก็ไม่อดก็ไม่เห็นท่านเอา ตกลงเลยเอาผ้าท่านเองห่ม พับเรียบร้อยแล้วไปบังสุกุลเรา มีเทียน ดอกไม้ โหย ท่านทำอย่างดีนะ มีประคดเอวพันเพื่อให้เราใช้ ท่านดูกระทั่งประคดเอว ท่านดูขนาดนั้นละ จึงเอาประคดเอวนั้นไปบังสุกุลด้วย

    พอเราไปเห็นนี้ อ้าว ใครเอาผ้ามาบังสุกุลน้า เลยปุ๊บปั๊บขึ้นไปดู เป็นของพ่อแม่ครูจารย์มั่น ผ้าห่มท่านห่มอยู่ทุกวัน พับเรียบร้อยจริงๆ ท่านทำเรียบร้อยทุกอย่างเลย แล้วก็เทียน ดอกไม้ เหน็บไว้ เอาไปวางไว้ตรงกลางที่นอนเรา เราไปดู อ้าว นี่มันของพ่อแม่ครูจารย์ ผ้าห่มผืนนี้ก็เราจัดเราทำอยู่ทุกวันอยู่กุฏิท่าน สุดท้ายก็ลงกราบละเรา กราบเรียบร้อยแล้วก็ชักบังสุกุล จึงห่มผ้าห่มผืนนั้นแหละ แต่ห่มเฉพาะอยู่ในหนองผือนะ ออกจากนั้นแล้วไม่ นู่นน่ะท่านติดตามทุกอย่าง สำหรับเราท่านเอาจริงเอาจังมาก สอดแทรกรู้หมด เรื่องของเรารู้สึกท่านจะสอดจริงๆ แทรกจริงๆ เราทำตามประสาของเราไม่ได้คิดได้อ่าน ท่านรู้แล้วๆ เป็นอย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์มั่นกับเรา เอะอะก็ว่า ท่านมหาไปไหน อยู่ธรรมดานี้ก็เหมือนกัน ยิ่งท่านป่วยด้วยแล้วลืมตาขึ้นมานี้ออกปั๊บเลย ท่านมหาไปไหน ถ้าอยู่ธรรมดานี้ ท่านมหาไปไหน มีละ พอพระท่านตอบว่าอยู่ในวัดท่านก็เงียบไป ธรรมดาเราก็ไม่ไปไหน หากมีอยู่อย่างนั้นแหละ

    จอมปราชญ์ โหย สอดแทรกรู้หมด อาหารก็เหมือนกัน อันนี้เราก็ทำของเราเอง พระเต็มวัดเราไม่เคยสนใจกับใคร บิณฑบาตได้มาเท่าไรในบาตรเราจะเอาเท่านั้น มาก็จัดอะไรนิดๆ หน่อยๆ ใส่บาตร เสร็จแล้วเอาไปซุกไว้ข้างฝา เอาฝาบาตรปิดแล้วเอาผ้าอาบน้ำปิดปั๊บแล้วไปจัดอาหารให้ท่าน อย่างนั้นเป็นประจำ แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ฉันอาหารที่เขานำมาถวายอะไรๆ นอกจากได้ในบาตร ท่านรู้หมดนะ บทเวลาท่านจะทำท่านก็ใส่บาตรเราเอง ใส่ปุ๊บปั๊บเลยเวลาจะทำ ก็ท่านจัดเอาไว้แล้ว อาหารในบาตรท่านก็เราเป็นคนจัดให้ พอเสร็จแล้วนั่ง เงียบๆ นะ ท่านก็ปุ๊บปั๊บ เอ้า ขอใส่บาตรหน่อย ศรัทธามาสายๆ ถ้าเป็นท่านใส่บาตรเราต้องฉันให้ทุกวันเพราะเราเคารพ แต่คนอื่นมาแตะไม่ได้บาตรเรา เราปฏิบัติอย่างนั้นมา

    อยู่ในหมู่ในเพื่อนเราไม่ทำเหมือนใคร หากไม่พูดไม่บอก แต่ใครมาแตะไม่ได้บาตรเรา เป็นอย่างนั้น แต่พระเณรกลัวนะ ในวัดนั้นกลัวเราเป็นอันดับสอง ดีไม่ดีกลัวเรามากกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะเราเกี่ยวข้องกับพระกับเณร ตาสอดตาแทรกดุคนนั้นคนนี้ตลอด ท่านอยู่กุฏิท่านจะไปว่าใคร ไอ้เรามันเอาเรื่อย พระเณรเลยกลัวเรามาก พระเณรกลัว เคารพมากอยู่นะกับเรา มาทะลึ่งเราไม่ได้ อะไรๆ ก็ดีเราเป็นธรรมทั้งนั้น สิ่งใดมาเราไม่เคยเอา เราทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับเพื่อนกับฝูง จัดให้หมด แต่สำหรับเราเราไม่เอา เราเอาเท่านั้นๆ เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ถามว่า ท่านมหาจัดผ้าอะไรต่ออะไรให้หมู่เพื่อน เวลาเขาเอามาบังสุกุลเต็มนั้น แล้วท่านเอาอะไรไหมล่ะ ท่านไม่เอา หลายครั้งหลายหนท่านจึงเอาของเหล่านี้ไปไว้ในกุฏิท่าน

    เวลาเราไปท่านให้โกยออกมา เอ้าๆ เลือกเอาอยากได้อะไร ท่านรู้ว่าเราไม่เอาอะไร เออ ไม่เอาจริงๆ ท่านทดลองทุกแบบ ผ้าในห้องท่านจนจะหาที่นอนไม่ได้ ท่านไม่ให้ไปไว้ที่ไหน ให้เอาไปไว้กุฏิท่านรอท่านมหา คือเราไปเที่ยว รอท่านมหามาเสียก่อน ท่านมหาเอาแล้วใครจะเอาอะไรท่านไม่ได้ว่านะ แต่เราก็ไม่เอา ก็เราไม่เอาอะไร เอ้าทีนี้โกยออก ขนออกหมดเลย ท่านทำทุกอย่างกับเรา

    เรื่องความฉลาดแหลมคมข้างนอกข้างในพร้อมหมด เราจึงเรียกว่าจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันคือหลวงปู่มั่นเรา รอบหมดเลยหาที่ต้องติไม่ได้ นั่นละที่ท่านได้ประสิทธิ์ประสาทให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ มากมายก่ายกอง ออกจากท่านเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทธรรมะให้ทั้งนั้น สำหรับท่านเองไม่ดังแหละ อยู่เงียบๆ ในป่า แต่เวลาดังดังตอนท่านมรณภาพจากไปแล้ว ชื่อเสียงของท่านกระเทือนทั่วประเทศไทย ก็เพราะลูกศิษย์ลูกหาออกจากท่านๆ องค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังขนาดไหนก็ตามออกจากท่านทั้งนั้น ลูกศิษย์ท่านทั้งนั้น ทีนี้ท่านก็ดังในเวลาท่านมรณภาพจากไปแล้ว มาดังตอนท้ายนะ แต่ก่อนท่านเก็บตัวอยู่ในป่า

    นี่ละผู้ที่ทรงอรรถทรงธรรมได้โดยสมบูรณ์เหมือนครั้งพุทธกาล ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่มีอะไรตกเรี่ยเสียหายไปไหนเลย เก็บหอมรอมริบไว้หมดเลย เพื่อให้ลูกหลานบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายได้ยึดได้เกาะนำไปปฏิบัติ จากมรดกของท่านที่พาดำเนินมา เป็นอย่างนั้นนะ สำหรับเรานี้เรียกว่าสดๆ ร้อนๆ เลยนะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ความเทิดทูนสุดหัวใจตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้เลย สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา เหมือนท่านไม่ได้จากไป ครั้นสุดท้ายธรรมชาติธรรมทั้งแท่งเป็นยังไงๆ มันเข้ากันได้ปั๊บเลย ยิ่งสดยิ่งร้อนยิ่งเทิดทูนมากนะ อุบายต่างๆ นี้เรียกว่าได้จากท่านทั้งนั้น อะไรๆ เด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ สำคัญๆ ได้จากท่านทั้งนั้น แล้วเราจะไประลึกใครไม่ระลึกท่านจะไประลึกใคร

    นี่ละที่เรากราบ เรียกว่าสนิทใจ เทิดทูนสุดหัวใจ ทั้งรักทั้งเคารพเต็มหัวใจตลอดมา แล้วก็สดๆ ร้อนๆ อยู่ทุกวัน แล้วไม่มีนะบรรดาลูกศิษย์ลูกหา จะตำหนิท่านก็ไม่ได้มันเป็นไปตามนิสัย องค์นั้นนิสัยไปทางนั้นองค์นี้นิสัยไปทางนี้ ที่จะให้เหมือนท่านไม่มี เรียกว่ามีท่านองค์เดียวเท่านั้น นี่ละที่ได้ธรรมะได้ขนบประเพณีอันดีงามมา แม้แต่มีในตำรับตำรา เมื่อไม่มีใครนำออกมาใช้ให้เห็นเป็นตัวอย่าง ก็ไม่ทราบจะยึดยังไง ลังเลๆ พอมีผู้ดำเนินพาดำเนินนี้มันเห็น จับปั๊บๆ เลย ก็เราก็เรียนมาเหมือนกันแต่ก่อน มันก็ลังเลจะว่าไง พอไปเห็นท่านพาทำเท่านั้นจับปั๊บๆ จับติดเลยนะนี่ไม่เหมือนใคร ลงแน่ใจแล้วจับติดๆ ไม่มีปล่อยเลย เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา

    อย่างแต่ก่อนไปบิณฑบาตที่ไหนได้มาก็อย่างว่า ก็มีธุดงค์ ฉันเฉพาะที่บิณฑบาตได้มาท่านก็บอกในธุดงค์ แต่เมื่อไม่มีผู้พาทำมันก็ไม่สนิทใจ ลังเลสงสัยหลักลอยอยู่นั้นละ พอไปเห็นท่านพาทำเท่านั้นจับปั๊บเลยตั้งแต่นั้นมา นี่ละมีผู้พาทำนะ ไม่มีผู้พาทำมันไม่แน่ใจไม่ลงใจ แล้วการทำก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอไปเห็นท่านพาทำเท่านั้นจับปั๊บๆ ติดเลย ต้องมีผู้พาทำนะ เราก็ไม่เห็นใครครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ผ่านมา ที่จะให้เป็นอย่างท่าน มีท่านองค์เดียวเท่านั้น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน องค์นี้ไปทางนั้นองค์นั้นไปทางนั้นไปคนละทางๆ ไม่เด่นดวงเหมือนท่าน ท่านนี้เด่นเลยเชียว

    หากว่าพูดธรรมะนี่ก็หาที่ต้องติไม่ได้ หมดเลย ธรรมะภายในใจของท่าน เวลาท่านพูดเราไม่ลืมนะ ถึงขั้นที่ท่านจะเด็ดออกมา เด็ดจากหัวใจของท่านคือประจักษ์มานานแล้ว แต่เมื่อไม่มีเหตุการณ์ท่านก็ไม่นำออกมาพูด เวลาท่านพูดไปถึงธรรมะขั้นสูง ท่านสอนพระเด็ดธรรมะขั้นสูง สูงเท่าไรยิ่งเด็ดๆ เลย สุดท้ายว่า พูดแล้วก็ สาธุ ท่านทำงี้เลยนะ สาธุ เลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม นั่น ถามอะไรของอันเดียวกัน ของอันเดียวกันถามหาอะไร นี่เราไม่ลืมนะ ท่านยกมือขึ้นเลยพูดแล้ว สาธุ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม คือของอันเดียวกันถามหาอะไรท่านว่า เราไม่ลืมนะ คือประจักษ์พอ

    แต่ก่อนท่านใช้กิริยาภายใน ใครคิดอะไรๆ นี้ท่านทักแต่ก่อนนะ พอออกมานั้นท่านเป็นแบบเรียกว่าหูหนวกตาบอด เหมือนไม่รู้ไม่เห็นเหมือนไม่อะไรไปอย่างนั้น ตั้งแต่อยู่ในป่าในเขาอยู่นั่น โอ๋ย ท่านใช้จริงๆ ใครคิดอะไรไม่ได้นะไปอยู่กับท่าน พอคิดทางโน้นแล้ว หรือบางทีคุยกันอยู่สององค์สามองค์ ไปอาบน้ำในหุบในเขาไปคุยกันเรื่องอะไร พอมาเอาแล้ว ท่านตอบเลยทางโน้นคุยกันเรื่องอะไร ท่านนำอันนี้ออกตอบคำคุยกัน ท่านเอานี้ออกตอบเรื่องคิดหมดเลย นี่ท่านเปิดออกหมดเลย คิดอะไรๆ ขึ้นมานี้ใส่เลย คิดอยากจะไปที่นั่นที่นี่ ไปทำไมที่นั่นไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ แน่ะ เอาแล้วตอบแล้วนะนั่น ทางนั้นคิด เป็นอย่างนั้นท่านใช้แต่ก่อน เอะอะใช้ๆ

    อย่างที่ท่านพูดถึงเรื่องท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ฝั้นเองเล่า นี่ท่านนำออกใช้จริงๆ ใช้กับผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ ท่านจะเปิดให้ได้ทุกอย่างๆ ไม่มีอัดมีอั้นละ พอเราคิดที่จะไปที่นั่นที่นี่ ท่านตอบแล้วพอไปหาท่าน ไปทำไมที่นั่นได้เรื่องอะไร สู้ที่นี่ไม่ได้ ท่านตอบด้วยความรู้ของท่าน ทางโน้นคิดทางนี้พอมาหาท่านท่านตอบแล้ว ตอบแล้วอย่างนี้ ท่านเปิดท่านไม่เก็บ สำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ ท่านจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เอาไหนท่านก็ไม่เล่นด้วย

    ทีนี้วันที่มันอัศจรรย์เหลือเกิน อัศจรรย์ทั้งธรรมเราที่เป็นขึ้นภายในใจ อัศจรรย์ทั้งท่านอาจารย์มั่นว่างั้นนะ วันนั้นจิตมันลงเต็มเหนี่ยวเลย สว่างจ้าครอบไปหมดเลยท่านว่า อู๋ย จิตเราทำไมสว่างจ้า ทีนี้ก็ส่งจิตไปหาท่าน ท่านจ้ออยู่งี้ หมอบออกมาท่านว่างี้นะ นานๆ สอดออกไปอีก ท่านจ้ออยู่งี้ดูเราตลอด คืนนั้นท่านไม่นอน พอตอนเช้าเข้าไปจะไปเอาบริขารจากกระต๊อบนั่นแหละ เอาบริขารพวกบาตรพวกกาน้ำออกมา ท่านมายืนจังก้าปิดประตูเลย ทางนี้กำลังจะเข้าไป ท่านออกมาท่านมายืนปิดประตูดันไว้เลย

    เป็นยังไงศาสนาเจริญที่ไหน ขึ้นเลยนะ เห็นแล้วยัง ศาสนาเจริญอินเดียหรือเจริญที่ไหนท่านว่างั้น เอาใหญ่เลยนะยืนอยู่นั้นไม่ยอมให้เข้า ใส่เปรี้ยงๆๆ เห็นแล้วยังทีนี้ศาสนาเจริญที่ไหน หือๆ คือจิตของท่านคืนนั้น เมื่อคืนนั้นผมก็ไม่ได้นอน ดูท่านนั่นแหละว่าเลย เพราะฉะนั้นเวลาสอดจิตไปทีไรท่านจ้ออยู่แล้ว คลานกลับมาท่านว่านะ เลยเข้ากันได้เลย อย่างนั้นละท่านไม่เก็บ กับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ แล้วท่านจะเปิดรับ ทางนั้นเป็นธรรมทางนี้เป็นธรรมรับกันง่ายออกง่ายๆ นะ ถ้าไม่เป็นธรรมมีเท่าไรก็ไม่ออก เป็นอย่างนั้นนะมันต่างกัน


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a15-5-49.wma
      ขนาดไฟล์:
      8.1 MB
      เปิดดู:
      1,108
  2. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    อย่าง พ่อแม่ครูจารย์ที่อยู่ในป่าในเขาท่านเปิดสำหรับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา คิดอะไรๆ นี้เอาเลยๆ มันก็ยอมมันไม่อยากคิดละซิ คิดไม่ได้คิดแล้วพอไปหาตีกบาลแล้ว พอไปกราบยังไม่เสร็จตีกบาลแล้ว มันก็หมอบละซิ นั่นท่านใช้แต่ก่อน พอออกมานี้หูหนวกตาบอด ท่านใช้ตามกาลสถานที่บุคคลท่านไม่ได้ใช้ทั่วๆ ไป ท่านเปิดจริงๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นรู้จริงๆ สมกับที่ว่าท่านต้อนรับเทวบุตรเทวดา ผมอยู่ในป่าในเขาผมทำประโยชน์ให้โลก ให้พวกเทวบุตรเทวดามากยิ่งกว่าใครๆ ที่ประกาศตนว่าทำประโยชน์ให้แก่ศาสนามากกว่านั้นเป็นไหนๆ ท่านว่างั้น วันหนึ่งๆ ผมได้หลับได้นอนเมื่อไร ต้อนรับเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม นั่นฟังซิน่ะ

    เพียงสี่ทุ่มมาแล้ว ที่ว่าท่านมาหกทุ่มๆ ท่านพูดไว้กลางๆ เวลาอยู่ที่นั่นเงียบๆ นี้ประมาณสักสามสี่ทุ่มมาแล้วเทวดา รุกขเทวดาไม่ต้องพูด อากาสาเทวดา เทวดาชั้นบน จนกระทั่งท้าวมหาพรหมมา ต้อนรับเทศนาว่าการสอน ว่างเมื่อไรา ท่านบอกท่านไม่ได้ว่างต้อนรับพวกเทพ นั่น ทำประโยชน์มากยิ่งกว่าที่เขาประกาศป้างๆ ว่าได้ทำประโยชน์ให้โลกเป็นไหนๆ มากกว่านั้นเป็นไหนๆ ท่านว่างั้น เอาละวันนี้พูดเท่านี้ ก็พอเป็นคติละ

    นั่นเห็นไหมล่ะทองคำมาเรื่อย ทองคำเข้าคลังหลวงเรา พยายามเข้าคลังหลวง พยายามจะพูดเสียว่า ก็เรานี้แหละที่พาพี่น้องทั้งหลายนำสารคุณอันสำคัญคือทองคำเข้าสู่คลังหลวง นอกนั้นก็ไม่เห็นใครมานำ ว่างี้หรือว่าคุยเหรอพิจารณาซิ ไม่เห็นก็บอกไม่เห็นคุยที่ไหน อันนี้ออกอยู่อย่างนี้เห็นไหม เหลืองอร่ามอยู่ทุกวันๆ ไหลเข้าๆ ส่วนดอลลาร์ไม่มีหวังแล้วละ ก็เป็นตามที่เราประกาศไว้แล้ว ต่อไปนี้เงินไทยจะไม่พอจะไม่มีเพราะเราหยุดเทศน์ช่วยโลกแล้วเงินก็ไม่มีมาละ แล้วทีนี้เงินไทยช่วยตลอดนี้จะทำไง คือดอลลาร์นี้จะต้องมาช่วยกัน สุดท้ายดอลลาร์ก็ไม่เข้าคลังหลวงอย่างว่า มาช่วยเงินไทยหมด ก็อย่างนั้น คือเราพิจารณาเรียบร้อยแล้วเราค่อยพูด พูดตรงไหนไม่ผิดๆ

    นาฬิกานี้ใครได้มาจากไหนอีก มันเอามาทุกแบบนะ นาฬิกานี้เอาแบบนี้มา มีทุกแบบนะ ขนเข้ามา ทางด้านวัตถุนี้ขนเข้ามาๆ เอาออกเท่าไรขนเข้ามาเรื่อย มีทุกแบบนะทำไง มีแต่วัตถุ ธรรมให้จ้าขึ้นในหัวใจไม่ค่อยมี ให้อันนี้จ้าซิมันชนะหมดเลย เพราะฉะนั้นท่านผู้ที่พอแล้วท่านจึงไม่สนใจกับอะไร ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมชาตินี้ ชนะดะไปทั่วสามแดนโลกธาตุ ธรรมะนี้ชนะหมดเลย แล้วจะเอาอะไรมาอวดมาแข่งล่ะ ท่านจึงไม่ยุ่งกับสิ่งใด เพราะอันนี้เลิศพอแล้ว สิ่งที่เลิศพอแล้วอยู่ภายในใจแล้วเอาอะไรเหลวๆ ไหลๆ มาใส่ ท่านจะเอาอะไรท่านก็ปัดออกซิ พากันเข้าใจเอานะ

    นั่นเห็นไหมเขียนไว้นั่น นิพพานคือนิพพานเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ มีใครมาเถียงไหม ตั้งแต่ก่อนเถียงกัน นิพพานเป็นอัตตาบ้างเป็นอนัตตาบ้าง ฟาดกันลั่นทั่วประเทศไทย บทเวลาอันนี้จะตัดสินกันก็คือเราไปเทศน์ที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก พวกเขื่อนเขามาถามปัญหาเราเรื่องนิพพาน เราก็ตอบผางเดี๋ยวนั้นเลย พอตอบผางเท่านั้น ออกจากนั้นเขาก็ออกทางอากาศวิทยุลั่นเลย ตั้งแต่นั้นมานิพพานเป็นอัตตาเป็นอนัตตาเลยเงียบหมด นี่บอกชัดเจนแล้วว่า นิพพานคือนิพพาน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ แล้วชี้แจงเหตุผล อนัตตาก็ดีอัตตาก็ดีไม่ใช่พระนิพพาน เป็นทางก้าวเดินๆ นั่นเขียนไว้แล้ว ทั้งเหตุก็อธิบายไว้เรียบ จนกระทั่งถึงนิพพานอธิบายไว้เรียบ เงียบไม่มีใครค้าน

    ถอดออกมาจากนี้มาพูดค้านไปได้ยังไง ของจริงกับของปลอมต่างกันขนาดไหน ของปลอมเอามากองเท่าภูเขามันก็ปลอมเท่าภูเขา ของจริงขนาดไหนจริงเท่านั้น อย่างนี้นี่ของจริงตามสมมุติ เอาธนบัตรปลอมมาใส่นี้ กองเท่าภูเขาสู้อันนี้ไม่ได้ ก็อย่างนั้นละ เรื่องธรรมก็เหมือนกันเอาของจริงออกมาใครค้านได้ที่ไหน นี่ถอดออกจากหัวใจ นิพพานคือนิพพานเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ชี้แจงให้ทราบด้วย จากนั้นมาก็เงียบเลย ไม่มีใครจะขัดจะแย้งมาที่ไหน ที่เถียงกันคือความเข้าใจเฉยๆ ไม่ใช่ความรู้จริงเห็นจริงในธรรมทั้งหลาย เหมือนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านแม่นยำ องค์ของท่านเป็นแล้ว เต็มสัดเต็มส่วนแล้วจะปลอมที่ไหน กิริยาแสดงออกมาจริงหมด ถ้าอันใหญ่จริงอันเล็กก็จริงไปหมด ถ้าอันใหญ่ปลอมออกไปก็ปลอม ถกเถียงกันวันยังค่ำ เป็นอย่างนั้นนะ

    แต่ ก่อนสมัยเราปฏิบัติไม่มีนาฬิกา พึ่งมามีปี ๒๔๙๓ เราพึ่งได้นาฬิกามา เพราะฉะนั้นจึงบอกเวลาได้เป๋งเลย เวลาห้าทุ่มก็บอก เริ่มมีนาฬิกาปีนั้นละ แต่ก่อนไม่เคยมี นั่งภาวนาจนก้นแตกไม่รู้ว่าเวลาเท่าไร จำได้แต่ว่าบางวันยังไม่มืดนั่งแล้วจนตะวันโผล่ก็มี กี่ชั่วโมงไม่มีนาฬิกา เอาอันนั้นวัดเอาเลย พึ่งมามีนาฬิกาปี ๙๓ ใครน้าถวายนาฬิกา นาฬิกานั้นเป็นนาฬิกาไขลาน ทุกวันนี้นาฬิกาใส่ถ่าน นาฬิกานั้นไขลาน รู้ได้เวลาห้าทุ่ม พอเรื่องราวใหญ่โตฟ้าดินถล่มผ่านไปแล้วก็มาจับนาฬิกาดู ห้าทุ่มเป๋งพอดีมันก็พูดได้ละซิ แต่ก่อนไม่มี นั่งจนก้นแตกก็ไม่มีนาฬิกา ไม่ก้นแตกยังไงนั่งตลอดรุ่งๆ

    นั่งทีแรกออกร้อนเหมือนไฟเผาเลยนะก้นคืนแรก ครั้นต่อมาคืนที่สองต่อไปแล้วมันก็พอง จากออกร้อนมากๆ แล้วก็พอง จากพองก็แตก จากแตกก็เลอะก้น ฟังซินั่งภาวนาจนก้นแตก นี่เอาจริงเอาจัง พูดนี้ไม่มีการที่จะมาส่งเสริมเพิ่มเติมหลอกลวงโลกเราไม่มี เราเอาความจริงที่ออกจากเราพูดล้วนๆ นั่งภาวนาจนก้นแตกไม่มีนาฬิกา จนสว่าง คือมีข้อบังคับเอาไว้ว่า ตั้งสัจจอธิษฐานนะนั่น อธิษฐานในใจ ตั้งแต่บัดนี้เราจะนั่งนี้จนกระทั่งสว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้วถึง จะลุกจากที่ได้ ถ้าไม่ถึงนั้นลุกไม่ได้นะบังคับเจ้าของไว้ มีข้อยกเว้นข้อเดียว เว้นแต่ครูบาอาจารย์หรือพระเณรในวัดเกิดอุบัติเหตุขึ้นในคืนนั้น เราจะออกไปช่วยเหตุการณ์นั้นๆ สำหรับเราเองไม่ให้มีเลยข้อแม้ไม่มี บอกชัดๆ เลยว่า เอา ปวดหนักออกเลย ปวดเบาออกเลยที่จะให้ลุกไปไม่มี ไม่มีข้อแม้

    แต่มันก็ไม่เคยปวดหนักนะ ปวดหนักก็ออกจริงๆ เรียกว่าไม่ลุก จะปวดเบาอะไร เหงื่อแตกออกนี่มันจะเอาเบามาจากไหน มันยางตายไม่ใช่ธรรมดา คือคนจะตายเปียกหมดจีวรเหมือนซักนะ เปียกหมด นี่ละการรบกับกิเลสให้ท่านทั้งหลายฟังเอานะ จึงว่ารอดตายที่ได้มาสั่งสอนโลก พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายท่านก็เป็นอย่างนั้น ไอ้เราตัวเท่าหนูมันก็เป็นแบบหนู รอดตายๆ

    ...คำพูดของเราถ้าสั่งอะไรลงไปนี้มันเหมือนหิน หักนะ จะมาต่อกันไม่ได้ ถ้าต่อก็เป็นรอยต่อเสียไม่ใช่หินธรรมชาติ สั่งอะไรว่าอะไรแล้วเด็ดขาด เพราะฉะนั้นพระเณรจึงต้องระวังมาก ถ้าลงได้ลั่นคำไหนไปแล้วเคลื่อนไม่ได้เลย เราเอาเราก็แบบเดียวกันเคลื่อนไม่ได้ นี่ละออกจากเรามาใช้มันก็มีนิสัยอย่างนั้นละออกมา เด็ดขาด ไม่อ่อนแอ ว่าอะไรเป็นนั้นเลย ดัดเราก็เหมือนกันที่ว่าไม่มีข้อแม้อย่างนี้ไม่มีเลย เอาซิปวดหนักหนักเลยออกเลยๆ ปวดเบาออกเลย อะไรๆ ออกเลยไม่มีข้อแม้แล้ว เป็นอันว่ามัดตายเลย ส่วนที่ข้อแม้ยกไว้ เช่นอย่างครูบาอาจารย์ท่านเกิดอุบัติเหตุ หรือพระเณรในวัดเกิดอุบัติเหตุ ยกไว้จะออกไปช่วย มีข้อเดียว นอกนั้นไม่ให้มีสำหรับเราทำอย่างนั้น วันไหนก็เหมือนกันขาดสะบั้นไปเลย

    ที่จะตั้งสัจจอธิษฐานไปนั้นแล้วล้มคำอธิษฐานเรา ไม่เคยมี บอกว่าไม่มีเลย คอขาดขาดเลย ถ้าลงได้ตัดสินใจลงไปแล้วคอขาด นี่ละที่เราตั้งตัวได้ ที่ว่าเจริญแล้วเสื่อมๆ ๑๔-๑๕ วันแทบเป็นแทบตายจิตเจริญแล้วเสื่อม เป็นเพราะเหตุไรถึงเป็นอย่างนี้ อกจะแตก ปีหนึ่งกับห้าเดือน เหมือนตกนรกทั้งเป็น พิสูจน์พิจารณา มันจะเป็นเพราะขาดคำบริกรรมนี้ละมัง สติกับคำบริกรรมไม่ติดกันมันขาดตรงนี้มังจิตถึงเสื่อมได้ เอ้า มันมาข้องใจตรงนี้ ข้องใจตรงนี้เอาตรงนี้ละที่นี่ แก้ปัญหาตรงนี้ เอา ตั้งแต่นี้ต่อไปจนกระทั่งให้จิตมันตั้งได้ ไม่ตั้งได้มันจะเป็นจะตายก็เอาว่างั้นเลยตั้ง เอาสติจับกับคำบริกรรม ตั้งคำบริกรรมจะเป็นคำใดตามแต่ใจเราชอบ เช่นเรานี่ชอบพุทโธ พุทโธๆ กับสติติดกันเลยอยู่ในหัวใจ

    ทีนี้ความคิดนี้ละเราได้เห็นมันชัดเจนมาก โถ มันดันขึ้นมามันอยากคิด ความคิดนี้เป็นกิเลสเป็นสังขารสมุทัย ได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา ส่งสังขารขึ้นมาให้คิดให้ปรุง มันอยากออก เราปิดช่องมันขึ้นนี้ด้วยพุทโธ เอาพุทโธปิด สติปิดไม่ให้มันออก เหมือนอกจะแตกนะวันแรก มันอยากคิดขนาดนั้นละ ไม่ยอมให้คิดไม่ยอมให้เผลอ ฟาดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ให้มีเวลาเผลอเวลาใดเลย หนักมากนะ อันนี้ก็หนักมาก ทีนี้ละมันดันขึ้นมาๆ ดันเท่าไรก็ไม่ยอมให้ขึ้น มันขึ้นมาช่องนี้พุทโธปิดอยู่แล้วนี่ไม่ให้ขึ้น วันหลังค่อยเบา พอสามวันสี่วันทีนี้เบาเลยนะ เบาเลย แต่เผลอไม่ให้เผลอ จนกระทั่งจิตเข้าถึงขั้นละเอียด ละเอียดเต็มที่จนพุทโธไม่ได้

    จิตเวลาเข้าเต็มที่มันอิ่มตัวหมดแล้วคำบริกรรม นี้หมด นึกยังไงก็ไม่ออก เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด สติจับไว้นั้นไม่ให้เผลออีก ทีนี้พอได้จังหวะมันก็คลี่คลายออกมา พอคลี่คลายออกมานึกพุทโธได้ เอาพุทโธปิดปั๊บเข้าอีก ต่อไปมันก็ค่อยเย็นขึ้นๆ จิตใจค่อยสงบเย็นขึ้นๆ สติกับพุทโธไม่ปล่อย ต่อจากนั้นก็ตั้งได้ นี่ละเราตั้งได้เพราะเหตุนี้จำให้ดีทุกคน เอาเป็นเอาตายจริงๆ นะไม่ได้ว่าธรรมดา เหมือนระฆังดังเป๋งนักมวยต่อยกัน อันนี้ก็ว่าเป๋งเอาละนะว่างั้น พอว่างั้นนี่เผลอไปไม่ได้ ใส่ปั๊วะเลย ตลอดจนกระทั่งหลับ ตื่นนอนซัดอีกไม่ให้เผลออีก ทุกข์แสนสาหัสก็ยอมรับ

    เราเป็นมาแล้วทุกอย่าง เวลาสอนหมู่สอนเพื่อนจึงไม่มีผิด เพราะเราทำได้ผลมาแล้วทุกอย่าง สอนจึงไม่ผิด ใครก็ตามตั้งสติดีแล้วคนนั้นจะตั้งตัวได้ สติเป็นสำคัญ พอเผลอแพล็บกิเลสคิดแล้วปรุงแล้ว นั่นละกิเลสออกแล้ว ทำลายเราแล้ว เมื่อไม่ให้มันออกมันก็ทำลายไม่ได้ มีแต่ธรรมตีลงๆ ธรรมเจริญๆ แล้วนี้จิตสงบได้เลย จำให้ดี เอาละทีนี้พอ
     
  3. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ตอบปัญหาเรื่องนิพพาน ณ เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก
    เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒


    ถาม พระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ใคร่ขอเรียนหลวงตาช่วยให้คำอธิบายด้วยครับ

    ตอบ เรื่องพระพุทธศาสนา ขณะนี้สื่อมวลชนคือชาวพุทธเรานี้แล กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน แต่เรื่องกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ ไม่เห็นวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง นี่เอาพระนิพพานมาถามหลวงตาบัว หลวงตาบัวเกิดมาไม่ได้เกิดมากับพระนิพพาน เกิดมากับราคะตัณหา พ่อแม่เสพสมกัน ลูกแตกออกมาเป็นหลวงตาบัว แล้วไม่เห็นมีใครวิพากษ์วิจารณ์ เข้าใจไหมล่ะ นี่เอะอะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน หลวงตาบัวก็จนตรอก ถ้าวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหานี้ไม่ต้องตอบ รู้กันทุกคนหรืออันนี้ที่ไม่ถามนั่นน่ะ เพราะรู้กันทุกคนนี้เหรอ
    เอ้า จะวินิจฉัย จะตอบให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งมาก เกินกว่าความรู้ของคนมีกิเลสสามไตรโลกธาตุนี้จะทราบธรรมของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นและประกาศสอนพวกประชาชนสัตวโลกทั้งหลาย เป็นธรรมที่เลิศเลอถึงกับพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย เพราะความรู้นี้ ธรรมนี้ลึกซึ้งละเอียดสุด จะเรียกว่าเกินกว่าสัตว์ทั้งหลายจะรู้จะเห็นจะเข้าใจตามได้ แต่เมื่อพระองค์มาทรงวินิจฉัยใคร่ครวญดูนั้น เทียบอุปมาเหมือนกับว่าภูเขาทั้งลูกนี้ มองไปเต็มไปด้วยหินผาป่าไม้ ซึ่งไร้สาระทางประโยชน์อันสูงและอันสูงสุด พระองค์จึงท้อพระทัย เพราะมองดูภูเขาทั้งลูกไร้สาระไปประหนึ่งว่าเกือบทั้งหมด
    ทรงพินิจพิจารณาด้วยพระญาณก็หยั่งทราบว่า ภูเขาลูกนี้แม้จะไร้สาระไปเกือบทั้งหมดก็ตาม แต่ส่วนที่ยังเหลือพอที่จะเป็นสารประโยชน์จากวัตถุแร่ธาตุต่าง ๆ ในภูเขาลูกนี้ยังมี พระองค์จึงทรงพินิจพิจารณา แล้วการท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนโลกนั้น ทรงมีพระเมตตาที่จะถอดจะถอนเอาสารประโยชน์จากภูเขาลูกนั้น คำว่าภูเขาลูกนั้นหมายถึงสัตวโลกทั้งหลายนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไร้สาระ แต่สิ่งที่มีสาระมีอยู่จำนวนน้อย ได้แก่คุณธรรมภายในใจ พระองค์จึงทรงแนะนำสั่งสอนพวกที่ควรจะได้เป็นสาระ
    เหมือนอย่างเราไปหยิบเอาแร่ธาตุต่าง ๆ ในภูเขาลูกนั้น ซึ่งเป็นสารประโยชน์มาทำประโยชน์ต่อไป นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตวโลก แม้จะมีจำนวนน้อยก็มีสารคุณอันล้นพ้นที่ควรจะสนพระทัยในการแนะนำสั่งสอน แล้วจึงมาสั่งสอน นี้พูดถึงเรื่องว่าศาสนาหรือธรรมนี้ เป็นสิ่งที่ประหนึ่งว่าสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ที่จะเห็นจะเอื้อมถึงได้ ที่พระองค์ท้อพระทัย ละเอียดลออสุขุมขนาดนั้น ทีนี้พูดถึงพระนิพพานก็คือธรรมประเภทนี้เอง ประเภทที่โลกนี้สุดวิสัย
    ทีนี้มีผู้ถือนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตานั้น ขอชี้แจงทางภาคปฏิบัติ เอาหัวใจหลวงตานี้ออกยันเลยให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า หลวงตาปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานมานี้ตั้งแต่วันออกปฏิบัติ ฟัดกับกิเลสบนภูเขา ตามถ้ำเงื้อมผาป่าช้าป่ารกชัฏ ไม่ได้ออกมาอยู่ตามเมืองตามนา แม้จะไปอยู่จังหวัดไหนก็ตาม อยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ตลอดมา เพื่อเป็นความสะดวก เป็นสนามชัยที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสได้โดยสะดวก จึงต้องอุตส่าห์พยายามค้นคิดมาตั้งแต่เริ่มแรก
    ที่จิตวุ่นวายส่ายแส่เป็นฟืนเป็นไฟภายในหัวใจนี้ ก็เห็นประจักษ์ในหัวใจนี้ตลอดมา เอาธรรมเหมือนกับน้ำที่สะอาดชะล้างเข้าไป ด้วยความพากความเพียรความอุตส่าห์พยายามบึกบึนตลอดไป ก็เหมือนกับน้ำคอยชะล้างสิ่งที่สกปรกทั้งหลายนั้นให้จางลงไป ๆ จิตใจปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นมาภายในหัวอก ความรู้คือใจแท้ ๆ อยู่ในหัวอกนี้ อาศัยในท่ามกลาง สิ่งเหล่านี้เป็นเรือนร่างของจิตดวงนั้น อันนี้เป็นเครื่องมือเป็นเรือนร่าง
    เหมือนอย่างศาลาหลังนี้เป็นเรือนร่างสำหรับอยู่ของพวกเรา อันนี้ร่างกายนี้ก็เป็นเรือนร่างสำหรับอยู่ของใจ ใจนี้รู้ซ่านไปหมด ทางตาก็เป็นเครื่องมือของความรู้นี้เพื่อเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทางหูก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งสำหรับได้ยิน จากผู้รู้อันนี้ส่งออกไปรับทราบจากเครื่องมืออันนี้ อันนี้รับรู้อันนั้น อันนั้นรับรู้อันนั้น จนกระทั่งประสาทส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกายของเรา อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์นี้รู้ไปหมดตามความรู้สึกที่ส่งไปในเครื่องมือต่าง ๆ ให้รู้นั้นให้เห็นนี้ ให้สัมผัสนั้นสัมผัสนี้ นี่เรียกว่าอาการหรือทางเดินของจิต เครื่องมือของจิตที่ใช้อยู่ หมายถึงร่างอันนี้ทั้งหมด นี้เป็นเครื่องมือของความรู้นั้นล้วน ๆ
    เพราะฉะนั้นเวลาเครื่องมือชำรุด เช่น คนตาบอดแล้วมองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ความรู้มีอยู่แต่เครื่องมือทางดูนี้ชำรุดไปเสีย ตาบอด หูหนวกฟังไม่ได้ยิน ส่วนสัมผัสอันใดที่ขาดวิ่นหรือด้านไปอย่างนี้ มันก็ไม่รับทราบสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย เรียกว่าเครื่องมือหายไป ๆ ชำรุดลงไปจนใช้ไม่ได้ เมื่อใช้ไม่ได้ทั้งหมดนี้เรียกว่าตาย เครื่องมือนี่ใช้ไม่ได้แล้วเรียกว่าตาย จิตดวงที่รู้นี้ถอนออกจากร่างนี้ ออกไปสู่กำเนิดนั้นไปสู่กำเนิดนี้ นี่ละจิต พี่น้องทั้งหลายจำให้ดีนะ นี่ละหลักพุทธศาสนาอย่างแท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทรงปฏิบัติมา สั่งสอนโลกดังที่นำออกมาเวลานี้
    ทีนี้ความรู้นี้คือจิต จิตนี้ไม่มีสิ่งที่อาศัย สมบัติเงินทองข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างที่เต็มอยู่ภายนอกซึ่งเรายึดว่าเป็นเจ้าของนี้ หมดความหมายในขณะที่ลมหายใจได้ขาดจากร่างลงไปเท่านั้น เรียกว่าคนตาย สิ่งเหล่านั้นก็พังไปด้วยกันหมด ทีนี้จิตนี้ไม่ตาย บาป บุญ แทรกอยู่กับจิตนี้ไม่ตายด้วยกัน ไปด้วยกัน ผู้มีบาปมากก็ไปตกนรก มีบาปมากเท่าไรก็ลงนรกจมปิ๋ง ๆ นรกท่านแสดงไว้ถอดจากพระทัยของพระพุทธเจ้ามาประกาศให้โลกทั้งหลาย ผู้มีญาณความรู้อย่างพระพุทธเจ้าสามารถมองเห็น เช่นพระอรหันต์องค์เชี่ยวชาญรู้เห็นอย่างพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เห็น เป็นสักขีพยานพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี
    แล้วผู้ที่ทำบาปทำกรรมมากจะตกนรกหลุมที่หนึ่ง เรียกว่ามหันตทุกข์มหันตโทษ ตกนรกอยู่ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้หลุดพ้นจากนรกหลุมนี้ แล้วเลื่อนขึ้นมาจากนรกหลุมนี้ เป็นความทุกข์เบาขึ้นมาแล้วก็อยู่นรกหลุมนี้ เบาขึ้นมาอยู่นรกหลุมนี้ ๆ เรื่อยไป ไม่ได้ขาดออกมาอย่างเดียว ไม่ได้พ้นอย่างเดียวเหมือนเขาติดคุกติดตะราง เขาติดคุกติดตะรางนั้น โทษจะกี่ปีก็ตาม เมื่อพ้นโทษแล้วหลุดจากเรือนจำมา พ้นโทษแล้วเข้าถึงบ้านทันที ไม่ต้องไปเป็นอะไรต่ออะไรต่อไปอีก ไม่ต้องเสวยกรรมหนักกรรมเบาอะไรต่อไปอีก ออกจากเรือนจำพ้นความเป็นนักโทษแล้วก็เข้าถึงบ้านทันที ไปบ้านทันที เรียกว่าหมดโทษในทันทีจากความเป็นนักโทษในเรือนจำ
    แต่คนตกนรกสัตว์ตกนรกนี้ไม่เป็นอย่างนั้น พ้นจากนรกหลุมมหันตทุกข์นี้แล้ว เลื่อนขึ้นมาทุกข์เบาขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ กว่าจะพ้น นรกท่านแสดงไว้ ๒๕ หลุม นรก ๒๕ ขุมสำหรับรับกรรมของสัตว์ทั้งหลายผู้มีหนักเบาต่างกัน กรรมชั่วหนักที่สุดท่านแสดงไว้ ๕ ประการ คือ ฆ่าบิดา ๑ ฆ่ามารดา ๑ ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ทำสังฆเภทให้สงฆ์แตกจากกัน ๑ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงตายก็ตาม เพียงบอบช้ำส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งพระอวัยวะก็เป็นกรรมหนักเช่นเดียวกัน ๑ เรียกว่ากรรมหนัก ๕ ประเภท
    หากว่าโลกมนุษย์เรานี้ยังพอมีสติสตังอยู่บ้างแล้วให้รีบยับยั้งทันที ในกรรม ๕ ประเภทนี้เป็นกรรมที่เด็ดขาดแสบร้อนที่สุดเลย ลงในนรกหลุมมหันตทุกข์มหันตโทษเป็นอันดับหนึ่งของนรกที่เสวยกองทุกข์มหันตทุกข์อยู่ในนั้นหมด นี่กรรม ๕ ประเภทนี้ลงในหลุมนี้ แล้วหย่อนลงมา เช่น ฆ่าสัตว์ผู้มีบุญมีคุณ ฆ่าผู้ฆ่าคนผู้มีบุญมีคุณ ลดหย่อนกันลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงการฆ่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป บาปก็จะมีเป็นลำดับลำดาหนักเบามากน้อยต่างกันอย่างนี้ เรื่องตกนรกก็ตกตามนี้ ๆ จำให้ดีนะ ถอดจากศาสนาของพระพุทธเจ้ามาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ตามหลักความจริงเป็นอย่างนี้ ลบไม่สูญ
    สามแดนโลกธาตุใครจะมาลบเรื่องบาปเรื่องบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานลบไม่ได้ทั้งนั้น เป็นหลักธรรมชาติมีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย นี่ละสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดตกอยู่อย่างนี้ นี่หมายถึงความชั่วที่เป็นอยู่กับจิต จิตดวงนี้ไม่ตาย แล้วก็พาจิตดวงนี้หมุนลงไปในนรก ตามแต่กรรมหนักเบาเสวยไปโดยลำดับ จนกระทั่งพ้นจากนรกมาแล้ว ยังต้องมาเป็นเปรตเป็นผีหาขอทานกินกับญาติกับวงศ์ ดังที่เราทำบุญอุทิศให้ผู้ตายทุกวันนี้แหละ
    เราทำบุญอุทิศให้ผู้ตายนี้ เปรตมี ๑๓ ประเภท อันนี้เรียก ปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตพวกนี้เวลาพ้นมาแล้วมาเป็นเปรตจำพวกนี้แล้ว ก็มีความสามารถที่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติพี่น้องพ่อแม่ญาติวงศ์ทั้งหลายได้ ทีนี้พอเราทำบุญให้ทานเราอุทิศส่วนกุศล เปรตพวกนี้ก็มารับได้ นอกจากนั้นรับไม่ได้ นี่เปรตมี ๑๓ จำพวก จำพวกเดียวที่รับได้ให้พี่น้องทั้งหลายทราบไว้เสีย นี่ขึ้นมาเป็นเปรต จากนั้นก็มาเป็นคน เป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา เป็นมนุษย์ไม่เต็มบาทขาดตาเต็ง ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ วิการง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา มนุษย์ขาดอวัยวะ จากนั้นมาก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์ นี่หมายถึงพวกที่ทำบาปทำกรรมหนัก ทำกรรมหนักดังที่กล่าวมาแล้วนี้
    ไม่ว่ากรรมประเภทใดไม่มีที่ลับไม่มีที่แจ้ง เปิดเผยอยู่กับการกระทำของตัวเอง จะไปทำในที่มืดก็ตามในที่แจ้งก็ตาม เจ้าของเองผู้ทำบาปไม่มีที่มืดที่แจ้ง เป็นกรรมชั่วตลอดเวลาในขณะที่ทำ นี่หมายถึงการทำชั่ว ทีนี้เวลาทำลงไปแล้วบาปนี้ไม่มีที่ลับที่แจ้ง เป็นบาปตลอดเวลาขณะที่ทำลงไปมากน้อย นี่ละกรรมเหล่านี้ติดอยู่กับใจของสัตว์ทั้งหลาย พอตายแล้วถ้าใครมีกรรมหนักก็ดีดผึงเดียว ไม่ต้องได้ถามกันว่าจากนี้ไปถึงนั้นกี่กิโล จากจังหวัดนี้ถึงจังหวัดนั้นกี่กิโล จากนรกหลุมนี้ไปนรกหลุมนั้นกี่กิโล ไม่ต้องถามกัน ขาดสะบั้นลงไปทีเดียวผึงถึงเลย ๆ ไม่มีนาทีโมงกาลสถานที่ที่ไหนไม่มี อันนี้ถึงทันทีเลย นี่เราพูดถึงเรื่องความชั่วที่ติดอยู่กับหัวใจของสัตวโลก พาให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมานอยู่ตลอดเวลา
    พวกเราทั้งหลายที่เกิดมานี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ไม่ได้เกิดมาด้วยอำนาจวาดภาพลม ๆ แล้ง ๆ ไปเฉย ๆ ดังที่วาดกันมาตลอดแต่หาความจริงไม่ได้ นี้เอาความจริงมาพูด นี่เราพูดถึงเรื่องความชั่วมันติดหัวใจ พาสัตว์ทั้งหลายให้ตกนรกตั้งแต่มหันตทุกข์ขึ้นมาจนกระทั่งถึงมนุษย์ ส่วนการทำดีก็เหมือนกัน การทำความดีนี้ไม่มีที่แจ้งที่ลับเช่นเดียวกับการทำบาป ทำมากทำน้อยทำที่ไหนก็ตามจะเป็นบุญเป็นคุณติดแนบกับใจเช่นเดียวกัน
     
  4. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    (ต่อ)

    ใจนี้เป็นเหมือนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ข้างนี้เป็นบาป ข้างนี้เป็นบุญ ติดอยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นเวลาตายแล้วจิตนี้ไม่เคยตาย บาปบุญติดแนบอยู่ภายในใจ จึงส่งผลให้ไปเกิดในที่ชั่ว เช่นตกนรก บุญทำให้เกิดในสถานที่ดี เช่นมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมีวาสนาบารมี แล้วก็ไปสวรรค์ เป็นเทวบุตรเทวดาชั้นนั้น ๆ สวรรค์มี ๖ ชั้น นรกมี ๒๕ หลุม สวรรค์เป็นฝ่ายความดีนี้มี ๒๒ ชั้น ตั้งแต่จาตุมฯ ขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวัตดี มี ๖ ชั้น พรหมโลกมี ๑๖ ชั้น นี้สำหรับบรรจุคนผู้สร้างบุญสร้างกุศล สร้างได้มากได้น้อยควรจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มาเป็นมนุษย์ ควรจะเป็นเทวบุตรเทวดาก็ไปเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ตลอด แล้วผู้ที่มีบารมีสูงสุดเป็นจิตที่บริสุทธิ์ทรงวิมุตติพระนิพพานไว้ในหัวใจแล้ว ดีดผึงถึงพระนิพพานทีเดียวเลย นี้เรียกว่าวิบากกรรม มีอยู่กับทุกคนทุกตัวสัตว์
    เราไม่ได้มาเกิดอย่างลอย ๆ เราเกิดมาด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ประมาทกัน ใครจะเกิดในสถานที่ใดสกุลใดมั่งมีศรีสุขหรือทุกข์จนหนโลกขนาดไหนก็ตาม ท่านไม่ให้ประมาทกัน เพราะเรานี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมของตน ๆ แต่ละคน ๆ ไม่สับปนกัน ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน วาระเขาทำชั่วเขาก็มีกรรมประเภทนี้ เขาทำดีประการใด เขาก็มีความดีประเภทนี้ ๆ ไม่คละเคล้ากัน เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน ถึงวาระที่เสวยกรรมชั่วก็มี เสวยกรรมดีก็มี สัตว์ทุกตัวสัตว์เป็นอย่างนั้นเรื่อยมาเป็นลำดับ นี่พูดถึงจิตดวงนี้ไม่ตาย มันพาสัตว์ให้เกิดให้ตาย หมุนเวียนสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่นี้ตลอดมากี่กัปกี่กัลป์ในสัตว์บุคคลรายหนึ่ง ๆ นี่ตายไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาเรื่อยโดยลำดับ นี่คือจิตไม่ตาย
    ทีนี้ย่นเข้ามาเมื่อเราสร้างวาสนาบารมีแก่กล้าสามารถแล้ว จะเป็นการทำบุญให้ทานประเภทใดก็ตาม ที่แจ้งที่ลับกัปกัลป์ไหนไม่นับ แต่จะฝังอยู่ที่จิต ฟักตัวอยู่ที่จิตนั่นแล ถ้าเป็นบาปก็ฟักตัวอยู่ในจิต เป็นบุญก็ฟักตัวอยู่ในจิต จนบุญนี้สมบูรณ์แบบแล้วก็หนุนผู้บำเพ็ญนี้ให้หลุดพ้นถึงพระนิพพาน ถึงธรรมชาติที่ว่าสุดวิสัยที่จะนำมาประกาศสอนโลกได้ เพราะเลยโลกเลยสงสารเลยสมมุติโดยประการทั้งปวง นี่ท่านเรียกว่านิพพาน หรือเรียกว่าธรรมธาตุ ผู้สร้างบารมีสมบูรณ์แบบแล้วเข้าถึงขั้นนี้ ขั้นหาที่คาดที่หมายไม่ได้ แต่ไม่สงสัยสำหรับผู้ทรงธรรมประเภทนั้น เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ แม้พระองค์เดียวไม่เคยสงสัยธรรมชาติอันนี้เลย เพราะจิตกับธรรมชาตินั้นเป็นอันเดียวกันแล้ว นี่เรียกว่านิพพาน
    ทีนี้จะมาตอบปัญหาละที่นี่นะ เรื่องพุทธศาสนาขณะนี้ สื่อมวลชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน จึงขอนมัสการเรียนถามว่า พระนิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา นี่ถามว่าอย่างนี้นะ
    พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน นี่ตอบแล้วนะนี่นะ ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มรรค ๔ นั้นได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้นไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือนิพพาน อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้
    ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่อง ทุกขัง เรื่อง อนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน เพราะฉะนั้นพระนิพพานจึงเป็นพระนิพพานเท่านั้น เป็นอัตตาเป็นอนัตตาไม่ได้ เพราะอัตตากับอนัตตานั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน
    เช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันได ขั้นหนึ่งสองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อเข้าสู่บ้านแล้วบันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได
    นี่ไตรลักษณ์คือ อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เป็นบันไดทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน จะเป็นนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นนิพพาน นิพพานมีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีสองกับอัตตาที่โปะเข้าไปเป็นส่วนเพิ่มส่วนเติมเข้าไป เหมือนกับดินเหนียวติดพระนิพพานเป็นไปไม่ได้ อนัตตาก็เป็นทางเดินจะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานคือนิพพานเท่านั้น เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้ ผิดถูกประการใดเราพูดตามหลักความจริง
    ที่ว่ายกตัวหลวงตาออกมา หลวงตาได้ก้าวเดินตามนี้แล้ว พิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อตฺตา ทั้งหมดนี้ จนรอบคอบขอบชิดหาที่ตำหนิไม่ได้แล้ว จิตปล่อยวางจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา นี้แล้วดีดผึงถึงความบริสุทธิ์วิมุตติเต็มหัวใจนี้ จะว่าอันนี้เป็นนิพพาน จะว่าก็ได้ไม่ว่าก็ได้ ถึงขั้นนี้แล้วหมดปัญหา พ้นจากบันไดขึ้นมาถึงบ้านแล้ว
    นี่ละการปฏิบัติธรรมต้องให้รู้ที่ใจ อย่าลูบ ๆ คลำ ๆ นำเพียงตำรับตำรามาเป็นหนอนแทะกระดาษถกเถียงกัน เดี๋ยวเขาจะหาว่าพวกเราชาวพุทธนี้เป็นหมากัดกันในกระดาษอย่างนั้นก็อาจเป็นได้ แล้วอย่าไปตำหนิเขานะ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเอาเพียงกระดาษมาเถียงกัน เถียงวันยังค่ำก็ไม่มีสิ้นสุด เหมือนอย่างที่เรียนหนังสือ เรียนปริยัติเรียนอรรถเรียนธรรม เรียนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงพระนิพพาน เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสงสัยนรก เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ จนกระทั่งพรหมโลก นิพพาน เรื่องเปรตเรื่องผี ตำรับตำราท่านแสดงไว้ เรียนไปถึงไหนสงสัยไปถึงนั้น เรียนถึงพระนิพพานก็ไปตั้งเวทีต่อสู้กับพระนิพพาน ว่านิพพานมีหรือไม่มีหนา สุดท้ายก็ให้กิเลสลบไปหมดว่านิพพานไม่มี
    ก็เป็นอันว่าลบไปหมด บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ไปเสียหมด นี้คือกิเลสลบนักปริยัติที่เรียนหนังสือ ทั้งท่านทั้งเราเป็นแบบเดียวกันหมด หาความหมายไม่ได้ หาตนเป็นตนเป็นตัวไม่ได้ เพราะได้แต่ชื่อของบาปของบุญของนรกของสวรรค์ของนิพพาน ไม่ได้ตัวจริงของสิ่งเหล่านี้มาครองในหัวใจ หายสงสัยไม่ได้
    ทีนี้การปฏิบัติ บุญมีที่ไหนไม่มีที่ไหนรู้ที่ใจ บาปมีไม่มีที่ไหนปรากฏที่ใจ เพราะใจเป็นนักรู้ ตลอดนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน จ้าขึ้นที่ใจหายสงสัยหมด นี้เรียกว่ารู้จริงเห็นจริง ไม่ใช่เป็นความจำที่เรียนมาจากตำรับตำราซึ่งถกเถียงกันไม่มีวันหยุดได้เลย แต่ถ้าเข้าภาคปฏิบัติแล้วจะเจอเข้าไปโดยลำดับ ๆ เช่นพี่น้องทั้งหลายมาสู่สถานที่นี่ สถานที่นี่บางท่านไม่เคยเห็นก็จะคาดวาดภาพไปต่าง ๆ ว่า เห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอก้าวเข้ามาสู่สถานที่นี่แล้วหายสงสัยไหม ดูซิสถานที่นี่เป็นยังไงบ้าง
    นี่เราก้าวเข้าสู่มรรคสู่ผลก็เหมือนกัน สมาธิเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง วิมุตติหลุดพ้นเป็นยังไง บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นยังไง จะจ้าขึ้นที่หัวใจนี้แล้วหายสงสัย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าไปถามใคร เพราะเป็นของอันเดียวกัน เหมือนอย่างเรามาสู่สถานที่นี่ เป็นของอันเดียวกันคือศาลาหลังนี้ เห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร นี่เรื่องมรรคผลนิพพานก็เช่นเดียวกับนี้แหละ ไม่ต้องถามกัน
    วันนี้ได้ตอบปัญหาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ถึงเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา อัตตากับอนัตตาเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน จะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ให้จิตประจักษ์กับหัวใจตัวเองซิ อนัตตาก็เต็มหัวใจ อัตตาเต็มหัวใจ ด้วยความรู้รอบขอบชิดโดยทางปัญญา มีมหาสติมหาปัญญาเป็นสำคัญในภาคปฏิบัติ ที่จะฆ่ากิเลสเหล่านี้ให้หลุดลอยไปได้ มีมหาสติมหาปัญญาเท่านั้น มหาสติมหาปัญญาเป็นเครื่องมืออันทันสมัยฆ่ากิเลสขาดสะบั้นไปเลย เมื่อมหาสติมหาปัญญาได้พิจารณาอันนี้รอบหมดแล้ว สลัด อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา ออกจากใจแล้วจิตดีดเป็นพระนิพพานขึ้นมาเลย นั่นละเรียกว่านิพพาน ไม่ใช่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา ซึ่งเป็นทางเดินนี้ไปเป็นพระนิพพาน อันนี้เป็นทางเดิน
    วันนี้พูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายทราบเพียงแค่นี้ก่อน แล้วยังมีปัญหาอะไรถามมาอีก แล้วคำว่านิพพาน ๆ มีลักษณะยังไงนั่น นิพพานไม่มีลักษณะ ถ้ามีรูปร่างขึ้นมาก็ต้องมีลักษณะ พระนิพพานไม่มีรูปมีร่าง เป็นนามธรรม แต่นามธรรม พ้นจากความสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านตั้งชื่อขึ้นมาว่านิพพาน นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ธรรมธาตุหลักธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่ง อันนี้ตั้งชื่อขึ้นมา เมื่อตั้งชื่อขึ้นมานี้ก็แยกแยะไปขัดแย้งกันไปทั่ว แล้วหาว่านิพพานเป็นอัตตาบ้าง เป็นอนัตตาบ้าง นิพพานให้เป็นศูนย์กลางแห่งความจริงแล้ว นิพพานคือนิพพาน จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อัตตาและอนัตตา นี้เป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน จะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ เอาละพูดแค่นี้ก่อน
    เราพูดย้ำตอนท้ายที่ว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เราต้องดูหัวใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นี้ละเป็นผู้ตัดสินเอง จิตที่จะเป็นวิมุตติบริสุทธิ์เต็มที่นั้น จิตต้องปล่อย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ทั้งหมดเสียก่อน อันนี้เป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ จิตต้องปล่อยนี้หมด สลัดนี้ออกแล้วจิตก็เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้นคำว่านิพพานกับอัตตากับอนัตตา จึงเข้ากันไม่ได้ในภาคปฏิบัติ เรายันได้เลยในหัวใจหลวงตาบัว สามแดนโลกธาตุนี้หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น เพราะเป็นสมมุติ จิตดวงนี้เป็นวิมุตติเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรเข้ามาเอื้อมถึง เราจึงเอาจิตที่ไม่มีอะไรมาเอื้อมถึงนี้มาพิจารณา แยกออกไปให้สมมุติทั้งหลายได้พิจารณาได้ฟังกันบ้าง นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา เห็นประจักษ์อยู่ที่ใจนี้
    มรรคผลนิพพานคุณงามความดีทั้งหลายในวงพุทธศาสนาของเรานี้ คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย อันนั้นเป็นเรื่องกิเลสหลอกคน พระพุทธเจ้านิพพานไปเท่านั้นปีเท่านี้ปีมรรคผลนิพพานไม่มี ๆ กิเลสมันเป็นยังไงมันมีมากี่ครั้งกี่สมัยแล้ว ไม่เห็นว่ามันครึมันล้าสมัยไปแล้ว หมดแล้วในหัวใจของโลกไม่มี ความโลภก็ไม่มี ความโกรธไม่มี ราคะตัณหาไม่มี ผัวเมียไม่ต้องทะเลาะกันอย่างนี้ไม่เห็นมี ไปที่ไหนเห็นแต่ผัวแต่เมียทะเลาะกันเรื่องกามกิเลส มันทำไมไม่ครึไม่ล้าสมัยไปบ้างกับเขา มรรคผลนิพพานทำไมครึทำไมล้าสมัยไปหมด แต่กิเลสมาครองบ้านครองเมือง อำนาจมันใหญ่โตมาจากไหน ให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณา แล้วฟัดมันลงไปขาดสะบั้น ผัวเมียจะอยู่ด้วยกันสบายนะ
    เอาละพอ
     
  5. pongsri183

    pongsri183 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +1
    อนุโมทนา สาธุ ชอบอ่านและฟังเทศน์องค์หลวงตามาก ชอบทุกกัณฑ์
     
  6. xmen123

    xmen123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอ กราบ โมทนาบุญ มาก ๆ ครับ +++
     
  7. สมบัติธรรม

    สมบัติธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบพระคุณครับ
    กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
     
  8. เดือนสาม

    เดือนสาม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +45
    กราบอนุโมทนา.........สาธุ คิดถึงหลวงตากมากค่ะ
     
  9. P.S._FabriNET

    P.S._FabriNET เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2010
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +803
    ขอบพระคุณครับ อนุโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...