กึสุกสูตร

ในห้อง 'พระไตรปิฎก เสียงอ่าน' ตั้งกระทู้โดย vilawan, 24 พฤษภาคม 2010.

  1. vilawan

    vilawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,432
    กึสุกสูตร
    [๓๓๙] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่
    ครั้นแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุ
    เป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
    ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุ เป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งผัสสายตนะ ๖
    ตามความเป็นจริง ที่นั้นแล ภิกษุนั้นไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหา
    ของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุอีกรูปหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งอุปาทานขันธ์ ๕
    ตามความเป็นจริง ที่นั้นแล ภิกษุนั้นไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหา
    ของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุอีกรูปหนึ่งแล้วได้ถามว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ภิกษุนั้นกล่าวว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งมหาภูตรูป ๔
    ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ภิกษุนั้นไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหา
    ของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุอีกรูปหนึ่งแล้วได้ถามว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล
    ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ฯ

    [๓๔๐] ที่นั้นแลภิกษุไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น
    จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ
    ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส
    ข้าพระองค์เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้น
    ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งผัสสายตนะ ๖
    ตามความเป็นจริง ทีนั้นแลข้าพระองค์ไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์
    ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไร
    เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งอุปาทานขันธ์ ๕
    ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ข้าพระองค์ไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์
    ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไร
    เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดเหตุเกิดและความดับแห่งมหาภูตรูป ๔
    ตามความเป็นจริง ทีนั้นแล ข้าพระองค์ไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์
    ปัญหาของภิกษุนั้นจึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่งถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไร
    เมื่อข้าพระองค์ถามอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดี
    ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น
    เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ทีนั้นแล
    ข้าพระองค์ไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาของภิกษุนั้น จึงเข้ามาเฝ้า
    พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ขอทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ทัศนะของภิกษุเป็นอันหมดจดดีด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ฯ

    [๓๔๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ บุรุษยังไม่เคยเห็นต้นทองกวาว
    บุรุษนั้นพึงเข้าไปหาบุรุษคนใดคนหนึ่งผู้เคยเห็นต้นทองกวาวถึงที่อยู่
    แล้วถามอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวเป็นเช่นไร
    บุรุษนั้นพึงตอบว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวดำเหมือนตอไม้ไหม้
    ก็สมัยนั้นแล ต้นทองกวาวเป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น ทีนั้นแล
    บุรุษนั้นไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาของบุรุษนั้น
    พึงเข้าไปหาบุรุษคนหนึ่งผู้เคยเห็นต้นทองกวาวถึงที่อยู่ แล้วถามว่า
    ดูกรบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวเป็นเช่นไร บุรุษนั้นพึงตอบว่า
    ต้นทองกวาวแดงเหมือนชิ้นเนื้อ ก็สมัยนั้นต้นทองกวาวเป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น
    ทีนั้นแล บุรุษนั้นไม่ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาของบุรุษนั้น
    พึงเข้าไปหาบุรุษคนหนึ่งผู้เคยเห็นต้นทองกวาวถึงที่อยู่ แล้วถามอย่างนี้ว่า
    ดูกรบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวเป็นเช่นไร บุรุษนั้นพึงตอบอย่างนี้ว่า
    ดูกรบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาวที่เกิดนานมีฝักเหมือนต้นซึก
    ก็สมัยนั้นแล ต้นทองกวาวเป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น ทีนั้นแล บุรุษนั้นไม่ยินดีด้วย
    การพยากรณ์ปัญหาของบุรุษนั้น พึงเข้าไปหาบุรุษคนหนึ่งผู้เคยเห็น
    ต้นทองกวาวถึงที่อยู่ แล้วถามอย่างนี้ว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ต้นทองกวาว
    เป็นเช่นไร บุรุษนั้นพึงตอบว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ
    ต้นทองกวาวมีใบแก่และใบอ่อนหนาแน่น มีร่มทึบเหมือนต้นไทร ก็สมัยนั้น
    ต้นทองกวาวเป็นดังที่บุรุษนั้นเห็น แม้ฉันใด ดูกรภิกษุ
    ทัศนะของสัตบุรุษเหล่านั้นผู้น้อมไปแล้ว เป็นอันหมดจดดีด้วยประการใดๆ
    เป็นอันสัตบุรุษทั้งหลายผู้ฉลาด พยากรณ์แล้วด้วยประการนั้นๆ ฉันนั้นแล ฯ

    [๓๔๒] ดูกรภิกษุ เหมือนอย่างว่า เมืองชายแดนของพระราชาเป็นเมืองที่มั่นคง
    มีกำแพงและเชิงเทิน มีประตู ๖ ประตู นายประตูเมืองนั้นเป็นคนฉลาด
    เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตนไม่รู้จัก
    อนุญาตให้คนที่ตนรู้จักเข้าไปในเมืองนั้น
    ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วน มาแต่ทิศบูรพา พึงถามนายประตูนั้นว่า
    แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าเมืองนี้อยู่ที่ไหน นายประตูนั้นตอบว่า
    แน่ะท่านผู้เจริญนั่นเจ้าเมืองนั่งอยู่ ณ ทางสามแพร่งกลางเมือง
    ทีนั้นแล ราชทูตคู่นั้นมอบถ้อยคำตามความเป็นจริงแก่เจ้าเมืองแล้ว
    พึงดำเนินกลับไปตามทางที่มาแล้ว
    ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วนมาแต่ทิศปัจจิม...
    ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วนมาแต่ทิศอุดร...
    ราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วนมาแต่ทิศทักษิณ
    แล้วถามนายประตูนั้นอย่างนี้ว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าเมืองนี้อยู่ที่ไหน
    นายประตูนั้นพึงตอบว่า แน่ะท่านผู้เจริญ นั่นเจ้าเมืองนั่งอยู่
    ณ ทางสามแพร่งกลางเมือง ทีนั้นแล ราชทูตคู่หนึ่งนั้นมอบถ้อยคำ
    ตามความเป็นจริงแก่เจ้าเมืองแล้ว พึงดำเนินกลับไปทางตามที่มาแล้ว
    ดูกรภิกษุ อุปมานี้แล เรากระทำแล้วเพื่อจะให้เนื้อความแจ่มแจ้ง
    ก็ในอุปมานั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้
    คำว่าเมืองเป็นชื่อของกายนี้ที่ประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔
    ซึ่งมีมารดาและบิดาเป็นแดนเกิด เจริญขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด
    มีอันต้องอบ ต้องนวดฟั้นเป็นนิตย์
    มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดา
    คำว่าประตู ๖ ประตู เป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖
    คำว่านายประตูเป็นชื่อของสติ
    คำว่าราชทูตคู่หนึ่งมีราชการด่วน เป็นชื่อของสมถะและวิปัสสนา
    คำว่าเจ้าเมืองเป็นชื่อของวิญญาณ
    คำว่าทางสามแพร่งกลางเมือง เป็นชื่อของมหาภูตรูป ๔ คือ
    ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ
    คำว่าถ้อยคำตามความเป็นจริง เป็นชื่อของนิพพาน
    คำว่าทางตามที่มาแล้ว เป็นชื่อของอริยมรรคมีองค์ ๘
    คือสัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ฯ
    จบสูตรที่ ๘


    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.973543/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. AddWassana

    AddWassana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    11,698
    ค่าพลัง:
    +21,186
    <TABLE cellPadding=6 width=500><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...