ของที่พระฉันได้ยามวิกาล

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 11 ตุลาคม 2010.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,173
    ถาม : ของที่ให้ฉันได้ยามวิกาล นี่คือ..?

    ตอบ : ยามวิกาลท่านหมายเอาหลังเที่ยงไปแล้ว ท่านอนุญาตให้ฉันของบางอย่างได้ อย่างเช่นว่า "สัปปิ นวนีตัง เตลัง มธุ ผาณิตัง" แปลเป็นไทยก็คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น

    น้ำอ้อย สมัยนี้ก็คือสารพัดของที่เป็น น้ำตาล แต่ให้ระมัดระวังพวกบรรดา น้ำผลไม้ ต่างๆ ที่เป็น มหาผล คือประมาณว่า โตกว่ากำปั้น คือ โตกว่าลูกมะตูม ท่านห้ามไว้ อย่างเช่น พวกแตงโม ส้มโอ มะพร้าว สับปะรด ฯลฯ

    เผลอๆ ก็ไปเจอน้ำสับปะรดเข้าไปอีก โยมเขาไม่รู้เขาถวายมา พระก็อย่าไปไม่รู้ด้วยแล้วกัน ระวังไว้นิดหนึ่ง ท่านปรับโทษเท่ากับฉันข้าวเลย

    ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าท่านปรับโทษแรงขนาดนั้น หลังจากสองพันกว่าปีมาแล้ว ตอนหลังนี่เองที่ฝรั่งเขาตามทัน เขาไปศึกษาและวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่า พวกผลไม้ที่เป็นมหาผลประกอบไปด้วยฮอร์โมนสูงมาก

    พระหนุ่มๆ ฟาดฮอร์โมนเข้าไปเยอะอยู่บ่ได้ดอก..กระจาย..!


    สมัยก่อนเขาห้ามคนท้องกินน้ำมะพร้าว ใช่ไหม ? สมัยนี้หมอบอกว่า กินไปเยอะๆ มีฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์แก่เด็กเยอะมากเลย

    ถาม : แล้วผลไม้อะไรฉันในเวลาวิกาลได้ ?

    ตอบ : ท่านอนุญาตพวก สมอ มะขามป้อม ดีปลี พิลังกาสา ฯลฯ เพราะว่าเป็นยาช่วยรักษาท้อง ช่วยให้ถ่ายได้


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔



    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2181



    .
     
  2. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    พระฉันอะไรได้บ้าง


    ๑. สิ่งที่พระฉันได้เช้า-เที่ยง (ยาวกาลิก)
    ๒. สิ่งที่พระฉันได้ตลอดทั้งวัน (ยามกาลิก, สัตตาหกาลิก, ยาวชีวิก)
    ๓. สิ่งที่พระฉันไม่ได้ ห้ามแม้แต่การรับประเคน
    สิ่งที่พระฉันได้เช้า-เที่ยงได้กล่าวแล้วในข้อที่ว่าด้วยยาวกาลิก กล่าวง่าย ๆ คือโภชนะ หรือภัตตาหารทั่ว ๆไป
    สิ่งที่พระฉันได้ตลอดทั้งวัน (ยามกาลิก เก็บไว้ฉันวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง, สัตตาหกาลิก เก็บไว้ฉัน ๗ วัน, ยาวชีวิก เก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต) ท่านได้กล่าวไว้แล้วในกาลิกนั้นๆ ในที่นี้กล่าวรวม ๆ ว่าฉันได้ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่น้ำผลไม้ต่าง ๆ ที่ไม่มีกาก เภสัชทั้ง ๕ มีเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย (น้ำตาล) และสิ่งที่ใช้ประกอบเป็นยา ที่นิยมใช้กันก็ได้แก่ มะขามป้อม ผลสมอ พริก เกลือ กระเทียม และมีสิ่งอื่น ๆ ที่ท่านจัดเข้าในกลุ่มนี้ เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ชา กาแฟ น้ำขิง ผงโกโก๊หรือช๊อกโกแล๊ตนั่นเอง (ต้องไม่มีส่วนผสมของอาหาร เช่นถั่วเป็นต้น) หรือน้ำตาลรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นน้ำตาลหรือน้ำอ้อย ไม่มีส่วนผสมของอาหารอย่างอื่น ท่านก็อนุโลมเข้าในสิ่งที่จะพึงฉันได้ แม้ในวิกาล
    ในกลุ่มที่พระสามารถฉันได้ในเวลาวิกาลนี้ อาจแยกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ๑.ปานะหรือน้ำปานะ หมายถึงน้ำผลไม้ต่าง ๆ ที่ควรแก่พระ (ที่ไม่ควร หรือลักษณะที่ไม่ควรก็มี) ที่เหลือนอกจากนั้นเรียกว่า เภสัช
    สิ่งที่พระฉันไม่ได้ ห้ามรับประเคน ชาวบ้านไม่ควรนำถวาย ก็ได้แก่ เนื้อดิบทุกชนิด ปลาร้าเมื่อจะทำน้ำพริก หรือประกอบส้มตำถวายพระ ต้องทำให้สุกเสียก่อน นอกจากนี้ยังมีเนื้อต้องห้ามอีก ๑๐ ชนิด ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้องู เนื้อสุนัข เนื้อหมี เนื้อราชสีห์ (สิงโต) เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อเสือเหลือง เนื้อเหล่าแม้สุก ก็ห้ามนำเข้าประเคน
    บกพร่องประการใด ผู้รู้แนะนำเพิ่มเติมได้

     
  3. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    <DD class=style53>แต่พระภิกษุในยุคปัจจุบันนี้ ไม่ได้ให้โยมทำกัปปิยะ เวลาโยมเอาผลไม้ ผักบุ้ง บัวบก ข่า ขิง หอม และกระเทียม เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชผักผลไม้ที่จะเกิดขึ้นได้มาถวาย พระรับประเคนแล้วก็ฉันเลย โดยไม่คำนึงถึงวินัยข้อนี้

    การประพฤติวินัยเกี่ยวกับการทำกัปปิยะที่มีอยู่ในเวลานี้จะเห็นได้บ้างก็เฉพาะพระที่ยังใคร่ศึกษาพระวินัยอยู่บางแห่งเท่านั้น นอกนี้แล้วไม่ปรากฎให้เห็น คงเป็นเพราะไม่รู้ หรือคิดว่าเป็นเรื่องจุกจิก หยุมหยิม วุ่นวาย หรือเพราะชอบอะไรง่าย ๆ ดังนั้นขึ้นชื่อว่าพระวินัยบัญญัติแล้วจะยากง่ายอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกประพฤติตามใจชอบของตนได้
    <DD class=style53>พืช ผัก ผลไม้ที่ต้องทำกัปปิยะ


    <DD class=style53>ผลไม้ทั้งหมด ที่มีเมล็ดงอกขึ้นได้ ปลูกขึ้นได้ เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด มะปราง ส้ม ส้มโอ แตงโม ลางสาด สมอ มะขามป้อม และพริก เป็นต้น ผลไม้เหล่านี้ ถ้าโยมเอาเมล็ดออกแล้ว ก็ไม่ต้องทำกัปปิยะ ผลไม้อ่อนที่ไม่มีเมล็ด หรือมีเมล็ดแต่ยังใช้เพาะพันธุ์ไม่ได้ ผลไม้แก่ที่มีเมล็ดลีบใช้เพาะพันธุ์ไม่ได้ หรือไม่มีเมล็ด เช่น องุ่น แตงโม ฝรั่ง เป็นต้น ในปัจจุบันนี้และผลไม้ที่สามารถแกะเมล็ดออกได้ เช่น ละมุด ขนุน ทุเรียน ส้มโอ แตงโม ลำไย และลิ้นจี่ เป็นต้น ในเวลาฉัน ให้เอาเมล็ดออกก่อนค่อยฉัน ไม่ต้องทำกัปปิยะ เพราะเป็นกัปปิยะในตัว

    (วิ.มหาวิ.อฏ. ๒/๒๘๒)</DD>
    ที่มาhttp://palungjit.org/threads/พืช-ผัก-ผลไม้ที่พระฉันได้และฉันไม่ได้.136385/
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...