เสียงธรรม ความลงใจ

ในห้อง 'ธรรมเพื่อความหลุดพ้น' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 29 เมษายน 2011.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    พระให้ตั้งใจนะ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ดีนะ มาศึกษาอบรมดูให้ดีทุกอย่าง ใช้สติใช้ปัญญาจึงเป็นทางเดินของศาสดาเราที่เคยได้ผลและสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายเรื่อยมา ทำสักแต่ว่าทำ อยู่สักแต่ว่าอยู่ ไม่ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาไม่เกิดประโยชน์อะไร สติปัญญาเป็นสำคัญมาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไรๆ สติปัญญาจะกระเพื่อมๆ นั่นละผู้ถอดถอนกิเลสท่านทำอย่างนั้น ไม่ใช่อยู่ไปกินไปๆ ใช้ไม่ได้นะ ไม่ใช่ทางของศาสดา ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ

    แล้วพระที่มาภาวนาในวัดนี้ ผมไม่เคยรบกวนเลย เพราะผมเห็นธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว จะทำอะไรๆ ก็ตามต้องไม่มาแตะต้องธรรมให้เอนเอียง ให้ธรรมคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดเวลา อันนี้แหละจะยังสัตว์โลกให้มีความสงบร่มเย็น เฉพาะตัวเราเองผู้บำเพ็ญอย่างนั้นแล้วเรียกว่าเลิศเลย ให้พากันสนใจกับการปฏิบัติ การศึกษาเล่าเรียนมานี้ก็เรียนเพื่อปฏิบัติ ไม่ใช่เล่าเรียนเพื่อมาโอ้มาอวด ได้แต่ความจำแล้วก็มาโอ้มาอวดกัน มีแต่น้ำลาย การปฏิบัติต่างหากที่จะเอาผลออกมาโชว์ในหัวใจตนเอง แล้วก็โชว์ทั่วโลก ไม่ประกาศมันก็เป็นอยู่ในตัวนั่นแหละ ถ้ามีภาคปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติ ปฏิเวธคือความรู้แจ้งแทงทะลุ จะเป็นไปตามการปฏิบัติของตน

    เพียงเรียนจำมาเฉยๆ อย่าเอามาอวดนะ ศาสนาพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยยกย่องในการเรียนเฉยๆ โดยไม่มีภาคปฏิบัติ ถ้าเรียนแล้วเพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือปฏิเวธ ค่อยรู้ไปเรื่อยๆ ตลอดถึงรู้แจ้งแทงทะลุ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามประการนี้แลคือแก่นของศาสนา อยู่ตรงนี้นะ ไม่ได้อยู่ตั้งแต่การศึกษาเล่าเรียนมาอวดความรู้วิชาแบกคัมภีร์ไป เห็นไหมล่ะเรียนมากๆ เวลานี้ ผู้ที่เรียนมากๆ เวลานี้เป็นยังไง กำลังเป็นข้าศึกกับศาสนาอยู่เวลานี้ นี่ละมีแต่การเรียนล้วนๆ กลายเป็นข้าศึกมาทำลายศาสนา ทำลายศาสดาและพระสงฆ์ทั่วประเทศไทย กลายเป็นความเดือดร้อนไปตามๆ กัน จากการศึกษาเล่าเรียนโดยไม่สนใจปฏิบัติ ให้กิเลสควบคุม ก็เอาการศึกษามาเป็นเครื่องมือสังหารธรรมได้โดยไม่สงสัย ดูเอา นี่ละการเรียน ผลของการเรียนดูซิ เสริมให้คนให้พระเป็นมหาโจรได้ ทำลายศาสนาได้ เรียนจากศาสดานั้นแหละ แต่เป็นเครื่องมือของกิเลสไปเสีย แล้วสังหารศาสนาให้แหลกเหลวไปหมด ดูเอานะ การเรียนทุกวันนี้ดูเอา

    ผู้ที่ก่อกวนวุ่นวายให้เกิดความเดือดร้อนแก่โลกแก่ศาสนาอยู่เวลานี้ มันเรียนน้อยเมื่อไร มีแต่พวกเรียนๆ ทั้งนั้น นี่ละเวลาเป็นภัยเป็นภาคปฏิบัติ ปฏิบัติตามกิเลสก็เป็นภัยต่อตนเองและศาสนา ตลอดโลกทั่วๆ ไปได้ ให้พากันจดจำเอานะ ให้ตั้งใจปฏิบัติ ใครอยู่ที่ไหนๆ ให้มีสติประคับประคองตนเองเสมอ การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ให้ถือเป็นกิจสำคัญของพระผู้มาชำระกิเลสตามทางของศาสดา อย่ามานั่งๆ นอนๆ อยู่นะ เป็นขอนซุงเต็มวัดเต็มวาใช้ไม่ได้นะ เอาละให้พร


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a01-03-47.wma
      ขนาดไฟล์:
      8 MB
      เปิดดู:
      191
  2. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    หลังจังหัน

    วันนี้ไม่ฉันมาก เบื่อ ฉันมากเดี๋ยวมันจะอาเจียน เมื่อวานนี้เงียบไปนะ เพราะฉันไม่มาก มันเบื่อก็พอดีกับฉันไม่ได้มาก และท้องเงียบตลอดมา เมื่อวานนี้ก็ทั้งวันตลอด ไม่แสดงอาการอะไร เทศน์ก็หลงหน้าหลงหลังเมื่อวานเห็นไหมละ หนักเข้านะ อยู่บนธรรมาสน์เทศน์ไป อ้าวมันถึงไหนแล้วละนี่น่ะ พอไปไอ้ที่ต่อไปนี้มันขาดปุ๊บเลยนะ สัญญามันตัดปุ๊บ ลืม หายเงียบเลย ระลึกย้อนมาระลึกไม่ได้ก็ตั้ง ใหม่ขึ้นเลย เอาละเริ่มแล้วหนักเข้าๆ นะ อยู่บนธรรมาสน์ก็ได้ถามแล้ว อ้าวเทศน์ถึงไหนแล้ว ถามขึ้นข้างหลัง เราจำไม่ได้ละ หลงหน้าหลงหลัง นี่ใช้ขันธ์ สัญญา สังขาร สังขารปรุงออกมา สัญญาความจำจับยึดใส่กันเรื่อย พอสัญญาตัดขาดปุ๊บล้มเหลวไปเลย ไม่ได้เรื่อง อย่างที่ว่าหลงลืมนั่นแหละคือสัญญาพอเทศน์ไปๆ ความจำมันขาดปั๊บ เลยไม่ทราบว่าเทศน์อะไรต่ออะไรมาถึงไหน มันจำไม่ได้
    ทองคำได้ไปคราวนี้ได้สักกี่กิโลนะ ทองแท่งที่ว่าเอาไปเมื่อวาน (๙ กิโล) ที่เอาไปคราวนี้นะ (ครับ) เรานึกว่าจะได้แค่ ๓ หรืออย่างมากก็ ๔ กิโล นี่ก็มาอีกแล้วหนึ่งกิโล ปุ๊บปั๊บ ๑๐ กิโลแล้ว

    (หลวงตาทักทายลูกศิษย์คนหนึ่ง) นึกว่าไม่สบาย เพราะส่วนมากที่เคยมาๆ ไม่เห็นมา มักจะไม่สบาย (ถวาย ๑๐,๐๐๐ บาทครับ) อาจารย์จินตนานี่เราสงสาร เราบุกเข้าไปเยี่มถึงบ้านนะ เพราะไม่ได้พบนานแสนนาน ที่มี คุณมากนะ อาจารย์จินตนาก็มีคุณมากอยู่ วัดกกสะทอนเราซื้อที่ให้เขา ปุบปับเงินไม่พอ ทางนี้เพิ่มปุ๊บให้เลย นี่ก็ถึงใจเหมือนกัน เห็นป่วยนาน ไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว เราก็คิดถึง เมตตาสงสาร เลยบุกเข้าไปถึงบ้านเลยละ ถามไปจนกระทั่งถึงบ้าน ที่อยู่ปากน้ำอยู่โรงเรียนอะไรไม่รู้แหละ ได้พยุงกันมา น่าสงสารนะ มีลูกชายคนเดียวชื่อนกมาบวชอยู่ที่นี่ ๓ เดือน กับใครนะบวชพร้อมกัน เอ้อดูจะเป็นท่านจันทร์ที่วัดป่าหลวงตาบัว เพราะนานมา

    ยังขอให้ลูกชายมาบวชที่นี่ เพราะตามธรรมดาก็ทราบอยู่แล้ววัดนี้อัดแน่นตลอดๆ ทีนี้เจ้าของก็จำเป็น จะให้บวชที่ไหนก็ไม่สนิทใจ ก็สนิทใจที่นี่ ที่นี่ก็เต็มตลอดเวลา เอ๊ยังไงน้า เลยตัดสินใจเขียนจดหมายมาหาเรา พอมาหาเรา เราอ่านเรียบร้อยแล้วเราก็ถามดูพระ หาที่ที่จะให้นกนี่บวช กับอีกองค์หนึ่ง ท่านจันทร์ ให้พิจารณาโดยด่วน พอพระพิจารณาเรียบร้อยแล้วก็มาบอก เราก็เขียนจดหมาย ตอบไปหาอาจารย์จินตนา เราตอบไป จำได้เป็นจดหมายเรา “จิตใจมันยังไง ไม่อยากอ่านจดหมาย” คืออ่านก็จะอ่านความผิดหวัง ว่างั้นเถอะน่ะ อ่านก็จะอ่านผิดหวังเลยไม่อยากจะอ่าน รู้แล้วว่าจดหมายของเรา ก็จะตอบมาบอกว่ารับไม่ได้จะต้องผิดหวัง ท้อใจเลยจับมาอ่าน โหยคึกคักขึ้นเลย แน่ะอย่างงั้นนะ ท่านรับได้ยังไง ๆ นั่นละมาอยู่นี้ปีหนึ่ง ลูกชาย ก็มีลูกชายคนเดียว บวชดูเหมือนเป็นคู่กับท่านจันทร์ ท่านจันทร์ก็อยู่ตลอดมาหลายปี พอออกจากนี้ไปก็ไปเมืองกาญจน์ เพราะฉะนั้นเราจึงให้มาเป็นสมภารวัดที่นั่น วัดเสือ

    มันก็มีหลายวรรคหลายตอน เป็นกลางๆ ก็มี สม่ำเสมอเป็นวรรคเป็นตอนก็มี เข้มข้นก็มี ยกตัวอย่างเช่นพวกเดียรถีย์นิครนถ์ ผู้ใดคือศาสนาอื่เดียรถีย์นิครนถ์ เขาจะมาบวชในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าวางกฏเกณฑ์เอาไว้ ว่าใครจะมาบวชในพุทธศาสนานี้ ในบรรดาเดียรถีย์นิครนถ์ ศาสนาอื่น ๆ มาบวช ท่านก็วางกฏเกณฑ์เอาไว้ ให้อยู่อบรมสี่เดือนก่อน เมื่อเห็นสมควรจะบวชได้แล้วจึงจะตกลงใจบวชให้ ถ้ายังไม่สนิทใจที่จะบวชก็ยังไม่บวชให้ ถึงสี่เดือนแล้วก็ไม่บวช ไม่ดีก็ไม่รับไปเลย

    พอดีมีเดียรถีย์นิครนถ์คน หนึ่งเข้ามาฟังอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า เขาพอใจมาก เกิดความเชื่อความเลื่อมใสอย่างล้นพ้น มาขอบวชทันทีเลย มาขอบวช พระพุทธเจ้าก็รับสั่งกลาง ๆ อย่างนี้ ตามกเกณฑ์ ที่ว่าไว้ก็ว่า พวกภายนอกศาสนาจะมาบวชในศาสนานี้ต้องได้อยู่อบรมถึงสี่เดือนก่อน เมื่อเห็นสมควรแล้วค่อยบวชให้ ทางนี้ตอบขึ้นมาทันที “โหย อย่าว่าตั้งแต่สี่เดือนเลย สี่ปีข้าพระองค์ก็จะอยู่”เอ้าถ้างั้นบวชเดี๋ยวนี้ นั่นเห็นไหมละ มันรับกัน ก็อย่างงั้นละมันมีหลายวรรคหลายตอนที่ควรพิจารณา ธรรมพระพุทธเจ้าวางไว้เป็นกลางๆ ก็มี ที่จะตัดเข้ามาตามเหตุที่จำเป็นก็มี ที่ควรก็มีอย่างงั้น

    ที่นกขอมานี่ เราตอบจดหมายไป แม่ไม่อยากรับจดหมาย ถ้ารับก็จะผิดหวังว่างั้น พออ่านขึ้นมาก็คึกคัก เหมือนจะเหาะขึ้นฟ้านู่นน่ะ รับแล้วนี่ คึกคักเลยทันที ก็อย่างงั้นแล้วว่าไง ท่านมีกฎมีเกณฑ์อย่างงั้นเรื่องศาสนา พุทธศาสนาเรานี้ไม่มีคำว่าเสียหายตรงไหน ถ้าปฏิบัติตามพระโอวาทนี้แล้วไม่มี เราพิจารณาเต็มกำลังของเราแล้วไม่มี ได้ผลมากน้อยตามกำลังที่ปฏิบัติตามเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเป็นทางราบรื่นถูกต้องดีงามตลอดตั้งแต่พื้นเลย จึงเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร ไม่ใช่ศาสนาปลอมแปลง เป็นศาสนาแท้ของผู้สิ้นกิเลสโดยแท้

    ที่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าสมพระนามโดยตรงทุกพระองค์เหมือนกันหมดคือเป็นศาสนาแบกโลกแบกสงสาร เดินตามได้อย่างราบรื่นดีงามทุกสัดทุกส่วนปฏิบัติตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าแล้วมีแต่ผลดีทั้งนั้น ถ้าแยกจากนี้แล้วก็เสีย เพราะท่านตรัสไว้แล้วไม่ให้ออก มันออกไปก็เสีย ถ้าเดินตามนี้แล้วจะไม่มีเสียเลย ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างงั้น เราจึงเรียกว่าหมดเนื้อหมดตัว มอบหมดเลย องค์ศาสดานี่นะ ไม่มีอะไรเสียาย รองลงมาก็หลวงปู่มั่น เรียกว่าหมดเลยเชียวกับพระพุทธเจ้า เพราะได้พิจารณาเต็มสัดเต็มส่วนทุกอย่างๆ จากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นที่เทศน์สอนมานี้ก็พิจารณาเต็มสัดเต็มส่วน เต็มเปี่ยมเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นจึงอยู่บนหัวใจเราตลอดเวลา

    ถ้าสมมติว่านี่มหาองค์นี้เราเปลี่ยนชื่อมันจากมหา มันใกล้เคียงกันนะกับอีกอันหนึ่ง เราเปลี่ยนตัวพยัญชนะ มหานั้น เอาตัว “ห” ไปไว้ข้างหน้าเสีย แล้วเอา“ม” ไว้ข้างหลัง แล้ว “สระอา” คงเส้นคงวาแปลว่าหมา ว่างั้นนะ นี่มันอยู่หนักโลก ทั้งโง่เงาเต่า ตุ่นทุกอย่าง ตายเสียดีกว่า ทางนี้จะเรียนถามทันที จะเอาเมื่อไร ปุ๊บเลย ขาดสะบั้นไปเลยไม่มีเสียดาย เพราะความลงใจแล้วลงหมดทุกอย่างไม่มีเหลือ ถ้าใจไม่ลงทำยังไงก็ไม่ลง มันอยู่กับใจคนเรา

    เพราะฉะนั้นตัวที่มันไม่ลง ไม่ลงในทางดีก็มี ไม่ลงในทางชั่ว เช่น คนดีจะไปลงใจในทางชั่วไม่ลง คนชั่วไม่ลงใจในทางดี อย่างเขาฝืนเขาไม่อยากทำดี ห้ามเขาไม่ได้ บังคับเขาไม่ได้ คือใจเขาไม่ลง ถ้าใจลงแล้วก็ “อย่าว่าแต่สี่เดือนเลย สี่ปีข้าพระองค์ก็จะอยู่” นั่นเห็นไหมตรัสรับกันทันทีว่า “เอ้าถ้างั้นบวชเดี๋ยวนี้” นี่ละความลงใจเป็นสำคัญนะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่สอนโลกให้ลงใจเชื่อถือ ไม่ ได้สอนโลกให้ฝ่าฝืนนะ พวกเราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธอย่าพากันฝ่าฝืนพระพุทธเจ้า ให้พากันลงใจปฏิบัติตาม ลงใจมากน้อยจะเบาเรื่อยๆ ลงใจมากเท่าไรยิ่งเบาหวิว ลงใจสุดขีดเป็นธรรมธาตุเลย เลิศเลอ นี่ความลงใจในธรรมเป็นอย่างนี้

    ถ้าความลงใจกับกิเลสแล้วจมเลย อย่างนรกอเวจีนั้นสำหรับพวกที่ลงใจกับกิเลส ทำตามกิเลส กิเลสว่ายังไงไม่ยอมพินิจพิจารณาผิดถูก ชั่วดี วิ่งตามไปเลย แล้วก็ลงเลย นี่เรียกว่าลงใจกับฝ่ายกิเลสฝ่ายชั่ว ผู้ลงใจในฝ่ายธรรมท่านสอนแง่ใดภูมิใดอยู่ในวิสัยของเรายังไงให้ บืนไปๆ แล้วก็คืบคลานขึ้นเรื่อย ๆ แต่การปฏิบัติธรรมนี้มีใจเป็นสำคัญ อบรมใจไปด้วย ฟังด้วย เข้ามาอบรมใจด้วย แล้วใจก็มีกำลัง ก็ดูดดื่มในธรรมเรื่อยๆ ทีนี้เรียกว่าลงใจในธรรมแล้วไม่ลงใจกับความชั่ว กับกิลส

    ลงใจในธรรมสุดขีดแล้ว อย่างที่ว่าเอ้าจะฆ่าเมื่อไรเอาได้เลย ไม่มีอะไรเสียดายธรรมเลิศเลอสุดยอดแล้ว ลงอยู่ในหัวใจหมดแล้ว นั่นตรงนั้นละนะ นี่ละจึงได้ว่า ความลงใจนี้มีได้สองอย่าง ลงในใจกิเลสตัณหาพาโลกให้ทุกข์ ให้เกิดความเดือดร้อน ถ้าลงใจในอรรถในธรรมแล้วจะเป็นไปเพื่อความดีงาม สูงขึ้นเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงขั้นเลิศเลอสุดยอด หมดเสี้ยนหนามความทุกข์ทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุนี้ สลัดออกหมดโดยสิ้นเชิง เหลือแต่บรมสุขล้วนๆ นี้คือความลงใจในธรรม นำบุคคลให้พ้นทุกข์ได้อย่างนี้ ถ้าความลงใจในกิเลสก็นำลงไปถึงนรกอเวจี จึงให้พากันพินิจพิจารณา

    ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าสอนให้โลกลงใจ เพื่อความดีของตนเองจะได้เพิ่มพูน สิ่งใดที่ไม่ดีได้แก้ไขดัดแปลงออกไป ตัวเองก็จะได้เบา เบาจากความชั่วที่ให้เป็นทุกข์เป็นลำดับลำดาไป นี่เป็นของสำคัญมากนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำให้ดี นี่ได้พูดถึงเรื่องความลงใจเป็นอย่างงั้น ถ้าได้ลงใจแล้วขาดไปเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย อย่างที่ว่าบุรุษคนหนึ่งเขาจะไปฆ่าคู่อริของเขา เขาลงใจที่จะฆ่าโดยถ่ายเดียว นี่ละกิเลสกับธรรมเหนือกันอย่างนี้นะ ลงใจกับกิเลสนี้จะไปฆ่าคู่อริ ถือปืนไปเลยเชียว จะฆ่าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ได้ฆ่าจะอยู่ไม่ได้

    ตัดสินใจแล้วเดินเข้าไปเลยเทียว มันจะอยู่มีเพื่อนมีฝูงกี่ร้อยกี่พันคน จะบุกเข้าไปฆ่าเลย ถึงขนาดนั้นแหละ ถึงใจของกิเลส เข้าใจไหมล่ะ คือจะฆ่าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถือปืนไปเลยเทียว เคียดแค้นอย่างสุดขีด ทีนี้กรรมดีของแกยังมีอยู่ เดินเข้าไปเรียกว่า โดยตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ยังแต่เวลาที่จะเหนี่ยวไกปืนป้างเท่านั้นเอง เดินกึ๊กๆ ไป อำนาจวาสนาของแกยังมีอยู่ คือด้านธรรมะเหนือกว่าที่แกตัดสินใจ นั่นละธรรมเหนือกิเลสเหนืออย่างนั้น ฟังเอาซิ เดินไปดีๆ นี่ละ ตั้งหน้าตั้งตาเป็นสมาธิแหละ ภาษาธรรมเรานะ คือมุ่งที่จะฆ่าโดยถ่ายเดียว ไปดีๆ หลวงปู่มั่นเรานี่ไม่ทราบว่าผุดขึ้นมาได้ยังไง ผุดขึ้นมาตรงหน้าเลย ยืนจังก้า ครองผ้าเต็มยศ ไม่มีใครเลย มาจากไหนนี่ ฟังให้ดี อำนาจแห่งกรรมดี ดวงชะตาของตัวยังดีอยู่ มีธรรมชาติฉุดลากไว้ได้ ไม่งั้นก็จะเป็นกรรมเป็นเวรต่อกันอีกกี่กัปกี่กัลป์

    พอไปถึงนั้นท่านอาจารย์มั่นก็ผุดขึ้นมาในเวลา นั้นเลย พอไป นี่จะไปตกนรกหลุมไหนอีกน่ะ ว่างั้นนะ ตั้งแต่นรกหลุมนี้มันก็พอแล้ว ยังจะไปตกนรกหลุมไหนอีก พอมองเห็นหลวงปู่มั่นเท่านั้นปืนหลุดมือเลยเทียวนะ กราบราบเลย นี่ตัดสินใจในทางชั่ว ทีนี้ทางดีเหนือกว่า พอเห็นท่านอาจารย์มั่น โถ เรามีวาสนาอยู่ ยังมีผู้มาฉุดลากจากนรกทั้งเป็นนี้สดๆ ร้อนๆ กราบเลย ตั้งแต่นั้นมาคนๆ นี้กับเรากลายเป็นมิตรเป็นสหายกันเลย ทั่วโลกดินแดนเราจะไม่เบียดเบียน จะไม่ทำลายใคร แสดงว่าเรามีวาสนา นั่นเห็นไหม ถ้าไม่มีวาสนาแล้วเรากับคนนี้ต้องเป็นคู่กรรมคู่เวรกันตลอดไป นี่ก็มีพ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นดวงวาสนาของเขาเองผุดขึ้นมา นี่จะไปตกนรกหลุมไหนอีก ท่านว่างั้น พูดแบบขู่เสียด้วยนะ โห ทางนี้ปืนหลุดมือเลย

    หมอบกราบราบ พอกราบเสร็จแล้วมองไปทีนี้หายแล้ว ไปไหนไม่รู้ ตอนนั้นมาเอากันอย่างจังๆ ทีเดียว เห็นชัดเจนหายสงสัยว่างั้นเถอะว่าเป็นใคร ไม่สงสัยแล้ว
    โอ๊ย เรายังมีวาสนา ยังมีผู้มาฉุดลากออกจากนรกทั้งเป็นทั้งตายอีกนะ ตั้งแต่นั้นมาคนๆ นั้นกับคนนี้ ใจก็เลยพลิกปุ๊บเลยเป็นมิตรเป็นสหาย และทั่วโลกเป็นมิตรเป็นสหายไปหมด คนเรามีกรรม นี่เราจะไปทำกรรมอย่างหนักนี้ยังมีกรรมดีมาตัดทอนไม่ให้เราไปทำ โห กรรมมีอย่างนี้เองๆ นั่นละเรื่องราวเห็นไหมล่ะ นี่พูดถึงว่าลงใจแล้วที่จะไปฆ่า แต่ธรรมะเหนือกว่าแสดงเรื่องท่านอาจารย์มั่นขึ้นมา ลงท่านอาจารย์มั่น อันนี้เลยล้มไป ใช่ไหมล่ะ นี่ละธรรมะเหนือกว่าอย่างนี้ ลงไปเลย เป็นอย่างนี้แหละเรื่องบุญเรื่องกรรม

    สดๆ ร้อนๆ นะนี่ ก็เดินหยกๆ ไปไม่มีใครเลย อยู่ๆ ท่านอาจารย์มั่นผุดขึ้นมา ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้านั้นเลย ยืนขวางหน้าอยู่นั้น พูดอย่างเข้มข้นเสียด้วย ขึงขังด้วย ทางนี้ก็ปืนหลุดมือแล้วกราบทันที ก็เป็นอย่างนั้นแหละ อำนาจแห่งกรรมดีเหนือกรรมชั่ว กรรมชั่วเขาตัดสินใจแล้ว ยังแต่เวลาที่จะเหนี่ยวไกปืนเท่านั้นเอง มันจะอยู่กี่ร้อยกี่คนก็ตามห้อมล้อมอยู่นั้น เราจะบุกเข้าไปฆ่าจนได้ นู่นน่ะฟังซิ แต่ทีนี้ก็ไม่เหนือธรรมอันดีงาม วาสนาของเขาเอง ก็มีหลวงปู่มั่นแสดงภาพขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เอากันเดี๋ยวนั้น ลงเดี๋ยวนั้นเลย ตัดสินใจทางนี้ที่นี่ เข้าใจไหมล่ะ ทีนี้ตัดสินใจทั่วโลกดินแดน จะไม่เบียดเบียนทำลายใคร อันนี้เป็นต้นเหตุ แสดงว่าเรามีวาสนามาก ถึงขนาดที่เราจะสุดจะสิ้นแล้วยังมีเงื่อนต่อมาได้อย่างนี้ เลยสืบต่อเงื่อนนี้ไปเลย แล้วจะไม่เบียดเบียนไม่ทำลายใคร อดก็อด ตายก็ตายเถอะเรา เรามีวาสนาอย่างนี้แล้ว แกก็ปฏิญาณตนเป็นคนดีไม่เบียดเบียนใครเลย เหมือนเป็นตุ๊กตาว่างั้นเถอะ ใครจะว่าอะไรแกไม่สนใจ แกเชื่อกรรม นั่นเห็นไหมล่ะอำนาจแห่งกรรม ได้เอามายกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายฟัง เรื่องกรรมใครจะไปคาดไม่ได้นะ คาดผิดทั้งนั้น เพราะคำว่ากรรมนี้ธรรมเหนือโลกเหนือสงสาร วันนี้ก็จะไม่พูดมากแหละ เอาแค่นี้ก็เอาแหละนะ มันเหนื่อย


     
  3. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    โยม เมื่อวานนี้หนูเล่าเรื่องผลภาวนาแต่ไม่มีเหตุ ก็เลยจะเอาเหตุมากราบเรียนหลวงตาค่ะ การปฏิบัติธรรมของหนู หนูปฏิบัติโดยอาศัยการทำงาน การทำงานนั้นมีองค์ประกอบ เช่น การยืน เดิน นั่ง พูด คิด ทุกอย่างนี้เป็นองค์ประกอบของการทำงาน เพียงแต่เรากำหนดสติลงไปกับปัจจุบันที่เราทำงานอยู่ ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา สติตัวนี้ก็จะมีกำลังขึ้นมา เมื่อสติมีกำลังขึ้นมาการทำงานของเราจะมีความเพลิดเพลิน เมื่อเพลิดเพลินสติก็จะมีกำลังมากขึ้น บางครั้งจะเกิดอาการวูบวาบๆ ขึ้นมาที่จิต นั่นคือสมาธิที่เกิดขึ้นจากการฝึกสติ สมาธิตัวนี้เริ่มมีพลังขึ้น ความสงบก็จะมีมากขึ้น เมื่อเราทำงานไป จิตบางครั้งก็จะคิด เพราะการทำงานมันต้องคู่กับความคิดโดยธรรมชาติ ความคิด การทำงานและความว่าง สติจะหมุนอยู่ในลักษณะนี้ทั้งสามลักษณะ

    บางครั้งเราทำงานไปสติอยู่ที่ทำงาน แล้วมันวูบมาบางทีมันก็เกิดความคิด พอคิดสติก็จะมาอยู่ที่ความคิด พอคิดไปถึงช่วงหนึ่งมันก็จะถอนออกมา แล้วมันก็จะวูบลงไปเป็นความว่างอีก สติก็จ่อไปที่ความว่างอีก คือความคิด ความว่าง การทำงาน บางครั้งจะมาสงบอยู่ที่กายที่ใจของเรา แต่จะสงบอยู่ที่ไหนมันจะเป็นยังไงก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของสตินั้น ต่อมาสติตัวนี้ก็ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมา มีพลังขึ้นมา การทำงานจะมีความขยัน จะมีความรับผิดชอบต่องานมากขึ้น และทำให้เรามีความขยัน มีความอดทน เรียกว่าได้พลังแห่งสติ แห่งความเพียรและขันติ และได้สัจจะในการทำงาน

    หนูมีอาชีพทำเสริมสวย บางครั้งหนูคิดว่าหนูจะต้องซอยผมให้กับลูกค้า หนูทำสมาธิกับงานเสริมสวย หนูก็เลยมีแบบผมแบบใหม่มา หนูก็เอาแบบผมมาคิดว่าเราจะซอยแบบไหน เราไม่ต้องไปกำหนดว่า ซอยหนอ ตัดหนอ เพียงแต่ให้เรามีสติอยู่กับการซอย เพราะว่าจิตนี่ธรรมชาติเขาเป็นธาตุรู้ธาตุนึกธาตุคิดของเขาโดยธรรมชาติ ก่อนที่จะซอยผมเราเห็นแบบผม มันจะคิดออกมาเลยว่าจะซอยแบบไหนถึงจะสวย แล้วพอสรุปลงได้แล้วว่าอย่างนี้สวย อย่างนั้นไม่สวย พอมันลงตัวแล้วมันจะสงบวูบลงไปอีก พอสงบวูบลงไปจิตก็จะสว่างโพลงขึ้นมาในขณะที่คิดรูปแบบของผมเสร็จเรียบร้อย แล้ว สักพักหนึ่งก็จะมีลูกค้าเข้ามาตัดผมในขณะที่จิตมันสว่าง

    ลูกค้าคนนั้นพอมาถึงเขาก็พูดเลยว่า พี่ช่วยตัดผมทรงนี้ให้หน่อย พอหนูมาดูแบบผม ปรากฏว่าแบบผมนั้นตรงกับที่หนูพิจารณาเอาไว้ ทีนี้หนูถึงได้ยืนยันว่า สมาธินี่เราสามารถที่จะทำงานได้ ลืมตาทำก็ได้ และสมาธิในการทำงานนั้น สามารถที่จะมาอุดหนุนกิจการงานของเราทุกอย่างได้เป็นอย่างดี งานทุกอย่างที่เราทำไปด้วยสติจะไปอุดหนุนงานของเรา และบางครั้งเราจะรู้ด้วยว่าลูกค้าจะมาไหม จะมาตอนไหน จะมีหรือไม่มี ยิ่งถ้าเรามีสติทำสมาธิไปด้วย ยิ่งจิตสว่างเท่าไรลูกค้าก็ยิ่งมามากเท่านั้น อันนี้ก็เหมือนกับว่าสมาธิอุดหนุนงานการ

    (เอ้า ย่นเข้าไปๆ) หนูก็แน่ใจมั่นใจว่าการทำงาน (อาการของจิตนั่น ย่นเข้าไป) ย่นเข้าไปก็จะเห็นโทษของความทุกข์ ในขณะที่เราทำงานแล้วลูกค้าเข้ามามากๆ เราไม่มีโอกาสที่จะกินข้าวกินน้ำและพักผ่อน แต่อาศัยกิเลสคือตัวความโลภนี้ ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่และเป็นฆราวาส ความโลภนี้มีประโยชน์ ถ้าเราโลภอยากได้เงินเยอะๆ เราก็ทำให้มันเยอะๆ ถึงแม้เราจะไม่ได้กินได้นอนก็ช่างมัน แต่อาศัยว่าเราได้กำลังทางสติ และอีกอย่างเรายังมีภาระจะต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องทำให้มันมากๆ อาศัยกิเลสเป็นตัวผลักดันภายในจิต กิเลสนี้จะผลักดันอยู่ภายในจิตให้เรามีความดีดดิ้นก็จริง แต่การดีดดิ้นนี้มันมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง หนูก็คิดว่าคงไม่ผิด

    ในจุดนี้หนูได้มีโอกาสเข้ามากราบหลวงตา และได้อาศัยธรรมะของหลวงตา ในขณะที่หนูรับผิดชอบต่อครอบครัวนั้น หนูฝึกสติไป ทำงานไป บางครั้งหนูก็คิดว่าหนูทำความเพียรไป บางครั้งสองสามวันหนูไม่ได้หลับได้นอนก็มี เพราะพลังในการทำงานมีกำลังมาก มันหนุนอยู่ตลอดเวลา ถ้างานไม่เสร็จไม่หยุด( เอ้า ย่นเข้ามาๆ มีแต่ไปคอยซอยผมๆ เราคอยจะฟังจิตตัวไปซอยผมเป็นยังไง)
    เราทำงานแล้วเราก็เห็นทุกข์ ถ้าเราเห็นทุกข์นั่นแหละคือปัญญาที่เกิดขึ้น พอเห็นทุกข์ก็ ต้องมีสุข ทุกข์สุขมันก็ปนกันอยู่อย่างนั้นเจ้าค่ะ ทีนี้ทุกข์สุขในเมื่อมันปนกันเราก็จะเริ่มปล่อยวางแล้ว ทีนี้จิตเริ่มเห็นแล้วว่าทุกข์กับสุขนี้เป็นโทษ ก็เลยคิดว่าสุขนี้มันเป็นมายาของจิต ทุกข์เท่านั้นที่ว่าเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ หนูก็เลยกำหนดดูที่ทุกข์ เมื่อกำหนดดูที่ทุกข์มันก็ยิ่งเห็นทุกข์มากขึ้น ๆ ๆ (เออ มันต้องอย่างนั้นซิ เอ้า ว่าไป)

    ทุกข์มากขึ้นหนูก็เลยคิดว่าทุกข์นี้มันมีอยู่ ตลอดเวลา เราปฏิบัติธรรมมาทำไมมันไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์เสียที หนูก็เลยคิดว่าเอาละ ในเมื่อกายส่วนกายใจส่วนใจ ทุกข์มันก็ไม่ใช่ของจริง เพราะฉะนั้นหนูจะไม่ยอมทุกข์มันอีก ทีนี้มันก็ดับวูบไป พอดับวูบไปจิตมันหยุดกึกขึ้นมาก็ปรากฏว่ามีโลกโผล่ขึ้นมาใบใหญ่ มันก็มาหมุนให้หนูดู หนูก็เลยคิดขึ้นมาว่าธรรมชาติของโลกนีมัน มีการหมุนรอบตัวเอง เมื่อโลกมีการหมุนรอบตัวเองแล้วนี่มันทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ เช่น ร้อน หนาว แต่ทีนี้จิตของมนุษย์ของเราก็มีการหมุนรอบตัวเองเหมือนกัน เมื่อมีการหมุนรอบตัวก็ทำให้เกิดฤดูกาลเหมือนกับโลกคือเกิดสุขเกิดทุกข์ ตรงนี้หนูก็เลยคิดว่าต่อไปหนูจะไม่ทุกข์แล้ว

    แต่ที่ไหนได้พอเรามีสติกำหนดอยู่ทุกข์ๆ ความรู้ไม่รู้ว่ามันหลั่งไหลมาจากไหน ทางโลกนี้เหมือนกับเป็นไฟลุกท่วมโลกเลยค่ะ จนมีความรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองนี้มันสะท้านมันหวั่นไหวตลอดเวลา แล้วพอต่อมาหลวงตาก็เทศน์ครั้งสุดท้ายนี้ หลวงตาบอกว่าหลวงตาจะขุดดินขุดให้ลึกลงไป ลึกแค่ไหนก็จะขุดมันเพื่อให้ได้เพชรกับพลอย อย่างอื่นเราไม่เอาเราจะเอาแต่เพชรแต่พลอยเท่านั้น หนูก็เลยมาคิดว่าตอนนั้นไฟทางโลกกำลังลุกท่วมเลยค่ะ เรื่องลูกเรื่องงานเรื่องการทุกอย่าง มันลุกขึ้นมาปุ๊บหนูก็ใช้พลังธรรมของหลวงตาดับลง แล้วก็เห็นว่าพลังของกิเลสของโลกมันมีแต่ผลักดัขึ้น พลังธรรมของหลวงตานี่มีแต่กลบมันเอาไว้

    หนูก็เลยคิดว่าในเมื่อไฟทางโลกมันลุกบึมขนาด นั้นหนูก็อาศัยธรรมดับ ๆ ๆ แล้วจิตหนึ่งมันก็บอกว่าอย่างอื่นจะไม่เอาอีกแล้ว เพชร นิล จินดา ลูก งาน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น มันก็เลยดับเหลือแต่จิตขึ้นมา เหลือแต่จิตขึ้นมาทีนี้จิตก็รู้สึกว่าเหลือแต่จิตแล้วไม่มีอะไรแล้วมันดับ หมดแล้วเหลือแต่จิตอย่างเดียว หนูก็ขึ้นไปที่กุฏิอยู่บนกุฏิก็ร้อนรู้สึกร่างกายร้อน (มันดับหมดแล้วเหลือแต่จิตอย่างเดียว เอ้าว่าไปทีนี่)

    มันก็สะท้านในร่างกายหวั่นไหวไปตลอด หนูก็เลยอยู่ที่กุฏิไม่ได้หนูก็เลย เอ๊ะ จะต้องไปอยู่กับป่า เพื่อหาความร่มเย็นให้กับจิตสักหน่อย พอหนูไปที่ป่า พอไปถึงป่าเสร็จมันรู้สึกมันมีแยบขึ้นมาเหมือนกับไฟของทางโลกค่ะ มันลุกขึ้นมา ทีนี้มันก็มีจิตตัวหนึ่งกดทับดับไว้ พอดับปุ๊บมันก็พุ่งปรูดขึ้นไปบนยอดไม้เลยค่ะ เห็นเป็นร่างของหนูมีแต่โครงกระดูกค่ะ มันพุ่งปรูดไป แรงมากเร็วมาก แล้วโครงกระดูกนั้นก็ถล่มลงมา ถล่มลงมาพรวดกองอยู่ที่พื้น ในขณะนั้นธรรมชาติทุกอย่างที่หนูเห็นอยู่นั้นมันกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียว กัน เช่น ดินเป็นดิน ใบไม้เป็นใบไม้ น้ำเป็นน้ำ ธรรมชาติทุกอย่างนี้กลายเป็นตัวของตัวเองขึ้นมา จิตก็ได้แต่ผุดขึ้นมาว่าธรรมชาตินี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจนี้ได้ยังไง เสร็จแล้วก็ได้ยินเป็นเสียงของพระพุทธเจ้า ท่านมาพูดว่า เธอเห็นตถาคตแล้วหรือยัง ตถาคตคือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้ว

    เสร็จแล้วจิตของหนูก็สวดมนต์เป็นการกราบไหว้พระพุทธเจ้า อรหํ สมฺมาสมฺพุทโธ ภควา พระ ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แล้วหนูก็สวดมนต์ไปตลอด เสร็จแล้วมันก็ลึกซึ้งในธรรมของพระพุทธเจ้าในสิ่งที่หนูไม่เคยเห็นไม่เคยเจอ มาก่อน ทำไมตั้งแต่ไหนแต่ไรหนูไม่เคยเห็น ใบไม้นี้ก็เป็นธรรม ดินก็เป็นธรรม น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้เป็นธรรมหมดทุกอย่างเจ้าค่ะ และเสร็จจากนั้นหนูก็พิจารณาธรรมแล้วก็ร้องไปทั้งคืน ร้องอยู่ตลอดเวลาแต่ร้องเบาลงเจ้าค่ะ (ร้องอะไร)

    ร้องไห้นะค่ะ พิจารณา แต่ตอนแรกนี้มันร้องไห้ดังมาก ตอนที่ร่างกายมันถล่มลงมากับพื้นนะคะ หนูร้องแบบดังจนมีคนวิ่งเข้ามาจับหนูเอาไว้นะค่ะ ตอนที่ร่างมันถล่มลงมากอง ตอนดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ไฟเป็นไฟ มันถล่มมา ตอนนั้นหนูร้องไห้แรงมากแล้ว ก็มีคนเข้ามาจับหนูว่าเป็นอะไร แต่ในขณะนั้นที่หนูจมลงไปเป็นดินเป็นทรายเป็นทุกอย่างเป็นธรรมชาติทุกอย่าง แล้วนี่ สักพักหนึ่งก็มีพระพุทธเจ้ามาเทศน์ให้ฟังว่า เธอเห็นแล้วหรือยังตถาคต ตถาคตคือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้ว แล้วหนูก็สวดมนต์กราบไหว้พระพุทธเจ้าตลอดเวลา แต่ตอนช่วงระยะนี้จะร้องไห้เบาลงค่ะ แต่ตอนแรกนี้จะร้องเสียงดังสนั่น แล้วก็มีความรู้สึกว่าไอ้โครงกระดูกที่มันถล่มทลายมันเป็นการถล่มทลายของโลก ค่ะ โลกมันถล่มลงมาในขณะนี้ร้องดังมาก แต่พอตอนหลัง ๆ นี้ก็ร้องไหแบบ ร้องเรื่อย ๆ ไป เวลานึกถึงธรรมะของพระพุทธเจ้ามันเกิดความลึกซึ้งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันก็ร้องอยู่ตลอด บางคนอาจจะนึกว่าหนูเป็นบ้าก็ได้ แต่หนูก็ว่าหนูไม่บ้าค่ะ เพราะว่าสิ่งที่หนูรู้นี้หนูไม่เคยรู้มาก่อนหนูไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วหนูมาเจอตอนนี้หนูก็เชื่อว่าหนูไม่บ้า

    หลวงตา เอ้า ๆ ให้ลงจุดยุติ เข้าใจแล้วละ ว่าอะไรต่อไปอีกมันก็เป็นปริยายไปอีกแล้วนี่

    โยม ทีนี้ก็มีความสำคัญตนขึ้นมาท่ามกลางความสว่างไสว ตัวตนบางครั้งมันสว่างจนร่างกายนี้ไม่มีเลยเจ้าค่ะ มันมีแต่ความสว่างไสวอย่างเดียว แล้วบางครั้งก็ยิ้มหัวเราะขึ้นมา แล้วบางครั้งก็มีความรู้สึกว่าธรรมชาตินี้เป็นเราได้ยังไง แล้วมันก็มีความสุขมากกับธรรมชาตินะค่ะ อยู่กับป่ามีความรู้สึกว่าป่าไม้เป็นบิดาแห่งธรรมค่ะ ก็มีความอบอุ่นแล้วก็ฝังแน่นดินดอนที่หนูไม่เคยนอนกับดินหนูก็มานอน รู้สึกว่าอยากนอนกอดดินกอดต้นไม้ไปเลยนะค่ะในขณะนั้นมันมีความสุขมาก เสร็จแล้วบางครั้งก็ยิ้ม

    หลวงตา เอ้า มีอะไรอีกละ ก็เท่านั้นละ นี่เป็นกิริยาไปแล้ว

    โยม เสร็จแล้วความสว่างมาก็เลยสำคัญตนเองว่าเป็นพระอรหันต์เจ้าค่ะ สำคัญตนขึ้นมาว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วพอต่อมา เอ๊ะ ทำไมเป็นพระอรหันต์ทำไมมันยังมีทุกข์จิต ใจยังมีเศร้าหมอง ยังมีเบิกบาน มีทุกอย่างท่ามกลางความสว่างนั้น แล้วเราจะเป็นพระอรหันต์ได้ยังไง หนูก็เลยคิดว่า เอ้า ก็มันยังมียังเป็นอยู่มันจะเป็นอรหันต์ได้ยังไงอัน นี้มันไม่ใช่อรหันต์แล้วมันอรหอยแล้ว หนูก็เลยมาคิดดูว่า เอ้า ถ้ามันยังมียังเป็นอยู่มันก็ไม่ใช่อรหันต์ แต่ถ้ามันยังมีอยู่มันยังเป็นอยู่มันก็ไม่ใช่หนูก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นฉันไม่เป็นแล้วอรหันต์ ฉันจะเป็นยายหญิงคนเดิม

    หลวงตา เป็นอะไร

    โยม เป็นยายหญิงก็คือจิตใจก็สบายลงค่ะ จากที่ตอนนั้นมันเหมือนมันแบกมันหามพระอรหันต์ตลอดเลย พอว่าเป็นยายหญิงเหมือนเดิมจิตใจก็เลยปล่อยวางสบายเป็นยายหญิงอยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะเดินจะเหินอยากจะนั่งอยากจะคิดอะไรก็เป็นยายหญิงเหมือนเดิมเจ้าคะ

    หลวงตา จบแล้วนะ

    โยม ขอจบแค่นี้ก่อนเจ้าค่ะ

    หลวงตา ให้รักษากิริยามารยาทของตนให้ดี ที่พิจารณามันรู้มันเห็นนั้นมันถูกต้องแล้วแหละ ไปรักษากิริยาของตนที่มีต่อสมมุติให้ดี การผาดโผนในกิริยานั้นเป็นไปได้ในเรื่องขันธ์ แต่สิ่งที่เหนือกว่ากิริยาที่จะให้วางตัวลงในความสวยงามนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งเข้าใจเหรอ ร้องไห้ ๆ ใครก็มีน้ำตา ร้องไปอะไรนักหนา ร้องพอรู้จักประมาณมันก็มีระหว่างจิตกับขันธ์มันบังคับกันอยู่บังคับกันได้เข้าใจเหรอ เอาละยังไม่ตอบว่าเป็นอะไรก็ดี แล้วนี่อะไร

    ฟังธรรมะก็ฟังดีอยู่ เพราะฉะนั้นจึงฟังซิ นี่ละเห็นไหมละถ้า มันเป็นในธรรมแล้วความรู้แปลกๆ ที่จะนำมาพูดมันมาเองของมัน ใครไปเรียนที่ไหนที่พูดเหล่านี้ไม่มีในที่เรียน มันหากมีขึ้นในหลักธรรมชาตินั่นละ เวลานี้แตกกระจายแล้วมันไปหมดก็ยังบอกแล้วนี่ เข้าใจเหรอ เพียงเท่านี้ก็เป็นตัวอย่างได้แล้วมิใช่เหรอ พอที่จะเป็นข้อคิดต่อไปอุบายวิธีการต่างๆ ที่เกิดจากจิตมีน้อยเมื่อไร ครอบโลกธาตุโนน ให้ปฏิบัติอยู่ในวงนั้นละนะ วันนี้หยุดเสียก่อนเราจะตายแล้ว
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    กราบ กราบ กราบ หลวงตามหาบัวเจ้าค่ะ_/i\_
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบพระคุณในธรรมทานค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...