คำสั่งพิเศษ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 2 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    คำสั่งพิเศษ<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    (เล่าเมื่อ 17 สิงหาคม 2517)
    มีข่าวพิเศษ จะบอกให้เอาไหม วันนี้เป็นวันพระ แต่จะเป็นวันพระ หรือไม่วันพระก็ตาม เฉพาะพวกที่ได้ วิชชาสาม ที่มีมโนมยิทธิขึ้นไป เขาก็ขึ้นไปไหว้พระทุกวันที่ๆ เป็นแดนไหว้พระ ก็คือ จุฬามุนีเจดีย์สถาน และถ้าใครเป็นพระอริยเจ้า ก็เลยไปนิพพาน ที่ของใครๆ ก็ไป ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเขาไปของเขาได้ เขามีที่อยู่ แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้า ที่เป็น สุกขวิปัสสโก ก็ไปไม่ได้ เห็นผีเห็นเทวดาก็ไม่ได้ ประเภทนี้ แกก็นั่งเป็นตอตะโกอยู่ข้างล่าง พอขึ้นไปที่ จุฬามุนี ทีแรกก็ต้องแวะไปหาโยมก่อน นี่เป็นเรื่องธรรมดา พ่อแม่อยู่ผ่านไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเข้าไปแสดงความเคารพก่อน ไงๆ ก็เป็นพ่อเป็นแม่
    เราจะดีได้ จะเลวได้ ก็อาศัยพ่อแม่เป็นแดนเกิด อันนี้ทิ้งไม่ได้
    ถ้าเลยพ่อแม่เมื่อไร ก็ลงอเวจี เมื่อนั้น ถือว่า เป็น อนันตริยกรรม บรรดาพ่อแม่ทั้งหลาย ที่ไม่ได้เป็นคน ท่านก็ไปประชุมกันที่นั่น ถือว่า ต้องคอยรับการ เคารพถือเป็นกิจประจำ จากนั้นท่านบอกว่า ให้รีบเข้าจุฬามุนี มีเรื่องสำคัญ
    พอเข้าไป แหมไม่นึกไม่ฝัน เป็นเรื่องใหญ่มาก คือปรากฏว่า มีพระอริยเจ้า ที่ได้มโนมยิทธิประชุมกันที่ นั่นถึง 732 องค์ นี่ไม่ได้หมายความว่า เป็นพระเป็นสามเณรทั้งหมดนะ ที่เป็นฆราวาสก็มีฆราวาสที่เป็น พระโสดาบันขึ้นไป ท่านก็นับเป็นพระด้วย นะย่องๆ เข้าไปน่ากลัวจะเป็นคนสุดท้าย เพราะพอเข้าไปท่าน ก็บอกว่า มากันครบแล้ว พวกที่ยังไม่ตายนะ คือ ท่านบอกว่า วันนี้พระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป มาประชุมเป็นมหาสมาคม 732 ท่าน ก็มีพระองค์หนึ่ง ถามว่า ถ้ารวมทั้งสุกขวิปัสสโก ที่ไม่ขึ้นมามีเท่าไร ท่านบอกว่า พันเศษ ๆ พันสามร้อยเศษๆ แล้วส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศไทย คนที่จะเป็นพระอริยเจ้าต่อไปก็มีมาก แต่ว่า ไม่เข้าใจเรื่องธรรมะ คำว่า "ไม่เข้าใจ" ท่านอธิบายว่า เวลาสอนน่ะสอนยากเกินไป ให้พระอริยเจ้าทั้งหมด แสดงความจริงให้ชัด อันนี้รู้สึกว่า จะเป็นคำสั่งนะ ไม่ใช่คำแนะนำ เป็นคำสั่งพิเศษ ให้แสดงตนให้ชัดคือ พูดให้ชัด ออกมาชาวโลก จะได้มีความเข้าใจว่า ความจริงของพระพุทธศาสนามีเพียงใด
    พระองค์หนึ่งเขาเก่ง เป็นพระอรหันต์ ท่านถามเพื่อนคนอื่น คือถามว่า ถ้าแสดงออกไปให้ชัดแล้วจะมีอันตรายไหม สมเด็จท่านก็ย้อนบอกว่า พระอริยเจ้ากลัวอันตรายด้วยรึ กลัวการกลั่นแกล้งด้วยรึ ท่านบอกว่า คำว่า อริยะนี่เขาไม่กลัวการกลั่นแกล้ง องค์นั้น ท่านก็ไม่กลัวแล้วละ ท่านถามว่า ถ้าองค์ใดองค์หนึ่ง พูดไปตามตรงแล้วผลจะเป็นยังไง ท่านตอบว่า คนที่เขาแสดงความจริงออกมามีกี่คนแล้วล่ะเวลานี้น่ะ
    อีกประการหนึ่ง การแนะนำ พุทธบริษัท ให้ใช้วิธีแนะนำที่ง่ายที่สุด เพราะว่า ไอ้การจะได้จริงๆ มันง่าย อย่าไปแนะนำให้ยาก ตนได้ผลมาด้วยวิธีไหน ให้พูดแบบนั้น
    องค์หนึ่งถามว่า เวลานี้โลกเต็มไปด้วยความเร่าร้อน คนที่เคารพความจริงหาได้ยาก ส่วนใหญ่ มักจะเป็น คนเอาเปรียบกัน คอยจะเบียดเบียนกัน ถ้าจะเทียบแล้ว บรรดากลุ่มที่เคารพความจริง นับถือธรรมะมันมี น้อยจริง ๆ จะทำยังไง ถึงจะแก้ไขได้ ท่านก็ตอบว่า หากเป็นกฏของกรรม ที่เป็นอกุศล ละเราแก้ไขไม่ได้ แต่ทว่า ธรรมะอุปมาเหมือนน้ำ คนเราเปรียบอุปมาเหมือนกองไฟ คนที่อยู่ในกลุ่มของกองไฟ ก็มีความเร่าร้อนมานาน น้ำนี้ถึงแม้ว่า จะมีปริมาณน้อย แต่ถ้าหากเขาทราบว่า น้ำนี่เย็นนะ ก็จะมีคนวิ่ง เข้ามาดื่มน้ำมาก ดีกว่าอยู่ในกลุ่มไฟ เพราะมันมีแต่ ความเร่าร้อน ดังนั้น บรรดาพระทั้งหลาย ก็ควรแสดงธรรม เบื้องต้นให้มากที่สุด นั่นคือ สังคหวัตถุ เพราะว่า เป็นธรรมที่แนะนำให้ประชาชน รู้จักสงเคราะห์ ซึ่งกันและกัน เป็นสัญญาณแห่งการผูกมิตร สร้างความรัก สร้างความสามัคคีในกลุ่ม
    ความรัก ความสามัคคีในกลุ่มเล็กๆ นี้ มันก่อให้เกิดความสุข ทีนี้คนส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นทีละน้อยๆ ว่า เอ ไอ้คนที่เขารักกันนี่มันดี คนนี้ขาดอย่างนี้ คนนั้นขาดอย่างนั้น เขาก็มาช่วยกัน ความสุขในกลุ่มเล็ก ๆ มันก็เกิดขึ้น ทีนี้คนในกลุ่มใหญ่ก็จะค่อย ๆ ถอนจากความรู้สึกเดิม ที่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน หันมาสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน โลกก็จะเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
    แล้วท่านพูดออกมา อีกคำหนึ่งว่า พระพุทธศาสนา ที่ตั้งหลักมั่นจริงๆ ก็เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น
    ต่างประเทศยังไม่ทรงตัว การฝังรากฝังโคนยังไม่แน่น ที่แน่นจริงๆ เป็นหลักเป็นฐาน คือในประเทศไทย แล้วสมเด็จพระพุทธทีปังกร ท่านก็บอกว่า ไอ้ที่เละจริงๆ มันก็ในประเทศไทยอีกน่ะแหละ
    บรรดาเพื่อนอีก 2 องค์เขาขึ้นไปด้วย เจ้านั่นเขาถามว่า ดีจริง ๆ มีอยู่ในประเทศไทย แล้วทำไมถึงได้มีเละจริง ๆ คือ เลวที่สุด ก็อยู่ในประเทศไทยด้วยล่ะ ท่านตอบว่า เมื่อดีที่สุดอยู่ในเมืองไทยแล้ว ถ้ามีเลวก็ต้องนับเป็นเลวที่สุดอย่างต่างประเทศน่ะ เขายังมั่นคงไม่พอ เมื่อเขาเลวก็จะถือเป็นเลวที่สุดไม่ได้
    ท่านบอกว่า ไม่ต้องไปกลัวคนเลว จริงอยู่เวลานี้ นักบวชทุศีลอยู่ในระยะมีกำลังและมักจะข่มขี่พระที่มีศีล สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ์ แต่ไม่เป็นไร เพราะว่า คนที่มีความบริสุทธิ์มีบุญบารมีมาก ก็มีเหมือนกัน ถ้ามีการแสดงความจริงออกไปให้ชัดหลายๆ สายมึงก็รับรอง กูก็รับรอง ในที่สุดพวกมีจิตคิดทำลายศาสนาก็จะสิ้น กำลังไปเอง
    วันนี้ดีใจ ที่เป็นมหาสมาคมใหญ่ ความจริงเขาไม่เคยขึ้นไปพบกันแบบนี้หรอก พบน่ะพบบ้าง แต่ไม่ครบ สำหรับพวกได้ฌานโลกีย์ มีอีกกลุ่มหนึ่ง ท่านไม่นับ ท่านพูด แล้วชี้ให้ดู เวลาชี้ก็มองเห็นใจ คนกลุ่มใหญ่ อยู่ในเมืองไทย ต่างประเทศก็มีเหมือนกัน แต่มันน้อย เพราะต่างประเทศเขาติดอย่างอื่นกันมาก ท่านบอกว่า คนที่ยังหมิ่นๆ อยู่มีเยอะ ด้วยอำนาจของท่านนะ มองเห็นเหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยง เห็นอยู่ใกล้ ๆ ท่านชี้ลงมา บอกว่า เห็นไหมกำลังใจคนที่เข้าถึงอยู่แล้วนี่มันเยอะ ตอนนี้กำลังขึ้น หนักแต่ว่า พวกเราชอบใช้ไอ้คำยากๆ แล้วไปเกรงใจพวกทุศีล ถ้าไม่ปล่อยความจริงออกมา แล้วเมื่อไหร่พระพุทธศาสนาจะก้าวหน้าถึงที่สุด ถ้าพุทธศาสนา ไม่ก้าวหน้าเต็มกำลัง โลกก็เร่าร้อนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าหากกำลังของพระพุทธศาสนาก้าวขึ้นเต็มที่ โลกมันจะเยือกเย็น เพราะว่า น้ำดับไฟได้ ท่านว่าอย่างนั้น
    ที่ท่านสั่งอย่างนี้ คือให้เปิดให้มากนั้นเป็นการรับรองไปในตัวว่า เวลานี้พระอริยเจ้ามีได้ ไม่ใช่ว่าหมดพระอริยเจ้า นี่มันเป็นพันที่สาม พระพุทธเจ้าท่านประกาศศาสนาไว้ 5,000 ปี
    พันที่ 1 เป็นยุคของพระอริยเจ้าขั้นที่มากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
    พันที่ 2 มากไปด้วย ฉฬภิญโญ คือ พระอภิญญา แต่ไม่ได้หมายความว่า มีไม่ได้ มีเหมือนกัน แต่ปริมาณด้อยลงไป
    มาระหว่างนี้ เป็น พันที่ 3 มีพระอริยเจ้า มากไปด้วย วิชชาสาม ส่วนอภิญญา 6 และ ปฏิสัมภิทาญาณก็มีได้ แต่ว่าน้อยลงไป
    ถ้า พันที่ 4 ท่านบอกว่า มากไปด้วย สุกขวิปัสสโก ส่วนท่านที่เป็นปฏิสัมภิญาณ อภิญญา 6 และ วิชชา 3 ก็ยังมีอยู่แต่น้อย
    พันที่ 5 จะมากไปด้วย พระอนาคามี
    นี่เป็นเรื่องของพระศาสนา ที่พระอริยเจ้าจะหมดลงไปจุดใดจุดหนึ่ง มันไม่หมดหรอก จะหมดไม่ได้ ท่านบอกว่า ถ้ามรรค 8 ยังครบถ้วนเพียงใด เมื่อนั้นก็ยังมีพระอริยเจ้าอยู่เสมอ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...