คุณตาผู้เกรียงไกร - เรื่องราวของคุณตาของผม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ืniranam2008, 15 มิถุนายน 2012.

  1. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    สวัสดีครับ....

    ติดตามอ่านเวบนี้มานาน สมัครเป็นสมาชิก ก็พักใหญ่แล้ว...

    ชีวิตผูกพันกับเรื่องพลังจิต เรื่องลึกลับ เรื่องผีสางนางไม้ มาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณตาของผมเป็นคนปราบผี ภาพที่คุ้นตา เห็นเป็นประจำตอนเด็กๆคือ มีคนพาคนที่ผีเข้าร่างมาให้คุณตาช่วยเอาออก ...หลายครั้งที่นั่งบีบๆนวดให้คุณตา คุณตาจะขนลุกเกรียว บอกว่า เดี๋ยวจะมีคนผีเข้ามารักษาอีกล่ะ ผีตนนั้น มันรู้ มันเลยมาหยั่งเชิง ก่อน หากเข้ามาในรัศมี คุณตาก็จะรับรู้ได้เลย...

    ในห้องของคุณตา จะมีโต๊ะหมู่บูชา มีพระพุทธรูป แต่จะมีอยู่มุมหนึ่งที่วางพานเก่าๆ บนพานจะมีห่อผ้าเก่าคร่ำคร่าห่อหนึ่ง มีดาบเล่มใหญ่ มีมีดหมอสลักสวยงาม มีหมากพลูที่คุณตาซื้อมาไหว้ ฯลฯ...

    คุณตาผม ท่านเสียชีวิตไปเกือบ 20 ปีแล้ว ท่านเสียชีวิตตอนอายุ 93 ปี ท่านเกิดปี พใศ. 2444...ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงรัชกาลที่ 5...ก็หลายแผ่นดินอยู่....

    ก่อนท่านจะจากไป ผมเคยขอรับถ่ายทอดวิชาอาคม เพื่อสืบทอดต่อ และไม่อยากให้วิชาอาคมทั้งหลายทั้งปวงของท่านต้องสูญหายไปกับท่าน แต่คุณตาไม่ยอมถ่ายทอดให้ บอกว่า แกร่ำเรียนไปทางวิทยาศาสตร์แล้ว จบวิศวะแล้ว เห็นทีจะรับช่วงต่อวิชาทางไสยศาสตร์ยาก เพราะ หากทำไม่ดี มันก็จะเข้าตัวแกเอง มันอันตราย...

    ในที่สุด เมื่อท่านจากไป วิชาอาคมทั้งหลายของท่าน รวมทั้งมีดหมอ ดาบโบราณ ชุดครูบาอาจารย์ที่ท่านบูชา ฯลฯ ท่านสั่งเสียไว้ว่า ให้เผาไปกับร่างท่านให้หมด อย่าเก็บเอาไว้เป็นอันขาด...มันจึงต้องสูญสลายไปกับร่างของท่านด้วย...น่าเสียดายเป็นยิ่งนัก...

    แต่เมื่อผมได้เข้าไปเก็บกวาดห้องท่าน ก็ได้พบกับ ...สมุดบันทึก!!!...ที่คุณตาท่านได้เขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆของท่าน รวมทั้งคาถาอาคมต่างๆมากมาย ผมขนลุกเกรียว ค่อยๆเปิดมันออกดู มันเป็นสมุดที่คุณตาจดบันทึกด้วยลายมือของท่านตั้งแต่ปี 2465 ก็เกือบ ร้อยปีมาแล้ว...

    ลองทัศนาได้จากไฟล์ที่แนบครับ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Image-01.JPG
      Image-01.JPG
      ขนาดไฟล์:
      197.5 KB
      เปิดดู:
      495
  2. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    จากสมุดบันทึกของคุณตา บวกกับเรื่องราวที่คุณตาเคยเล่าให้ฟัง และจากการสอบถามจากผู้ที่ใกล้ชิดท่าน ไม่ว่า จะเป็นคุณแม่ของผม... ญาติๆที่บางแพ ราชบุรี...ในที่สุด มันก็เกิดเป็นเรื่องราวที่พรั่งพรูออกมา จนผมสามารถนั่งเขียนออกมาเป็นเรื่องราวประวัติชีวิตของคุณตา บางครั้ง เหมือนมีอะไรมาดลใจให้เขียน...

    และนี่คือที่มาของเรื่องราวที่ผมเขียน และ ตั้งชื่อเรื่องว่า


    "คุณตาผู้เกรียงไกร"....

    หมายเหตุ. - ผู้เขียนขอกราบขออนุญาตคุณตาภักดิ์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ในการที่ได้นำเรื่องราวอัตชีวประวัติของคุณตาภักดิ์ มาเขียนในรูปแบบของเรื่องราวเชิงนิยาย ที่แฝงไว้ด้วยเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในยุคนั้นสมัยนั้น และนำมาเผยแพร่เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้สาระและความบันเทิงไม่มากก็น้อย หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นที่ล่วงเกินผู้ใดในอดีต ขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ และหากผู้ใดต้องการนำไปเผยแพร่ต่อ กรุณาแจ้งที่มาของเรื่องราวนี้ด้วย...ขอบคุณครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มิถุนายน 2012
  3. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    อรุณรุ่งที่ทุ่งบางแพ

    พ.ศ. 2444…ณ ตำบลหนึ่งใน อ. บางแพ จ. ราชบุรี…..

    ท่ามกลางสายหมอกยามรุ่งอรุณ นกกาเริ่มขับขาน โบยบินออกจากรัง แสงไฟจากไต้และแสงเทียนยังคงแสงริบหรี่ในบ้านริมทุ่งหรือจะเรียกว่ากระท่อมริมทุ่งก็เห็นจะได้….ควันไฟจากกองฟางที่สุมให้ควายในคอกยังคงลอยอ้อยอิ่งละเลียดยอดหญ้า…..

    “ไอ้จุ่นโว้ย…เอ็งรีบไปตามยายจีบบ้านหัวคุ้งโน่นมาหน่อยเร็ว บอกว่าเมียข้าเจ็บท้องแล้ว เดี๋ยวข้าจะรีบตั้งหม้อต้มน้ำร้อนไว้คอยท่า ไปเร็ว!”

    เสียงตะโกนอย่างร้อนรนทำลายความเงียบสงบของบรรยากาศท้องทุ่งยามเช้าไปแทบสิ้น ไอ้จุ่นกระโดดผลุงจากที่นอนขดอยู่บนเสื่อ วิ่งแจ้นไปตามคำสั่งของน้าชายทันที…

    “อุแว้…อุแว้…” เสียงเด็กทารกร้องลั่นมาจากในกระท่อม ทำให้สีหน้าเคร่งเครียดกระวนกระวายของนายเพิ่มผู้เป็นพ่อที่รออยู่หน้ากระท่อมปรากฏรอยยิ้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    “ว่ากระไร ยายจีบ ข้าได้ลูกสาวหรือลูกชายกันล่ะ” ผู้เป็นพ่อตะโกนถามเข้าไปทันที

    “ลูกชายโว้ย..เอ็งเข้ามาดูได้แล้ว อ้วนจ้ำม่ำน่าเกลียดน่าชังเชียวล่ะพ่อเพิ่ม ดูมัน ดูมัน แหกปากร้องซะลั่นทุ่ง สงสัยโตขึ้นคงเอาการอยู่นา ข้าว่า..” เสียงยายจีบ หมอตำแยประจำหมู่บ้านตอบสวนมาจากข้างใน….

    หลังจากได้ดื่มนมแม่ไปหนึ่งอิ่ม เด็กชายที่เพิ่งออกมาสัมผัสโลกภายนอกก็หลับอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่อย่างอบอุ่น “ลูกเรามันดูคมคายละม้ายเอ็งมากเลยนะพ่อเพิ่ม” เสียงแม่จันเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาพูดกับพ่อเพิ่มที่นั่งจ้องทั้งแม่ทั้งลูกอยู่ข้างๆ

    “เออ..ข้าก็ว่างั้นล่ะ โตขึ้น มันต้องหล่อเหลาเหมือนอย่างข้านี่ล่ะวะ…ว่าแต่ว่า จะตั้งชื่อมันว่ากระไรดีล่ะ”

    แม่จันเหลือบตามองไปยังรูปรัชกาลที่ 5 ที่ติดอยู่ที่ฝาขัดแตะ “ข้าว่าให้มันชื่อ ภักดิ์ ดีไหม ดังเช่นที่เราจงรักภักดิ์ต่อเสด็จเหนือหัวท่าน ซึ่งข้าเองได้ขอให้ท่านคุ้มครองให้ลูกออกมาปลอดภัย”

    “ก็ดี ก็ดี เอาเป็นว่าชื่อมันคือ ภักดิ์ …ว่าอย่างไรไอ้ลูกชาย เอ็งพอใจไหมวะ…”

    ผู้เป็นพ่อถามลูกชาย แต่หาสังเกตไม่ว่าเด็กน้อยที่หลับอยู่นั้น ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย……
     
  4. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    อ่านกันเล่นๆ เหมือนอ่านนิยายนะครับ...แต่ทั้งหมดนี้ แฝงไว้ด้วยเรื่องจริงจากสมุดบันทึกของคุณตาด้วยนะครับ...

    **********


    คนพิเศษ

    เสียงเห่กล่อมของแม่ประสานกับเสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อย ดังแว่วไปถึงหูของผู้เป็นพ่อที่กำลังดำนาอยู่กลางทุ่ง

    นายเพิ่มเหยียดกายขึ้นตรง ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่บนใบหน้าที่ดำกร้านแต่ไม่อาจบดบังความหล่อเหลาคมคายไปได้ เขานึกถึงภาพว่าป่านนี้แม่จันคงอุ้มเจ้าลูกชายขึ้นแกว่งจนแขนล้าไปแล้วเป็นแน่แท้ เออ ไอ้เจ้าลูกชายของข้านี่มันก็ช่างกระไรเลย ร้องไห้ได้ทั้งวัน จนสะดือจะจุ่นเหมือนไอ้จุ่นลูกของพี่สาวซะแล้วสิ หึ หึ กลับไปกินข้าวแล้วช่วยแม่จันมันหน่อยดีกว่า
    .........................

    “พ่อเพิ่มจ๊ะ ข้าว่าลูกชายของเรา มันร้องไห้เกินเด็กบ้านอื่นๆอยู่นา ข้าว่าเราน่าจะพาไปให้หลวงตาดูมันหน่อยจะดีมั๊ยหึ”

    “ก็ดีนะแม่จัน ข้าเองก็ไม่ได้ไปกราบหลวงตาหลายวันแล้ว เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้า ข้าจะเด็ดผักเก็บไข่มาต้ม แม่จันก็หุงข้าวทำน้ำพริกรสอ่อนๆจัดสำรับไปถวายหลวงตาท่านนะ”
    ..........................

    “เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะโยม อาตมาได้ข่าวว่าได้ลูกชายเรอะ คงยุ่งวุ่นวายล่ะสิท่า ไม่เห็นโยมแวะเวียนมาคุยตั้งหลายวันอยู่นา”

    “ก็ยุ่งวุ่นวายกับเจ้าลูกชายนี่ล่ะขอรับหลวงตา มันร้องไม่หยุดไม่หย่อน เลยพามาให้หลวงตาช่วยดูหน่อย”

    “เออ..มันอ้วนท้วนน่าเกลียดน่าชังนะ ไหนอุ้มมาให้อาตมาดูใกล้ๆซิ”

    ทันทีที่มือของหลวงตาจับต้องที่หน้าผากเด็กน้อย หลวงตาถึงกับสะดุ้งหดมือกลับทันที

    “โยมเอ๊ย ลูกชายของโยมนี่ไม่ธรรมดานะ น้อยคนนักที่จะเป็นอย่างนี้” หลวงตาพูดพึมพัมพลางมองหน้าเด็กน้อย

    “เป็นอย่างไรหรือขอรับ/เจ้าคะหลวงตา” เสียงพ่อแม่ถามกลับแทบจะพร้อมเพรียงกัน

    “อาตมาก็บอกไม่ได้ เพียงแต่สามารถรับรู้สัมผัสได้ ขอบอกโยมว่า เด็กคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนพิเศษ ที่หาไม่ได้ง่ายๆ เอาไว้มันโตขึ้นหน่อยแล้วขอให้โยมเอามาบวชเรียนอยู่กับอาตมาเถิด ที่มันร้องมากอาจเกิดจากหลายสาเหตุ อย่างไรซะ อาตมาจะพรมน้ำมนต์ปัดเป่าให้ก่อน แต่ถ้าหากไอ้หนูมันท้องผูกก็คงร้องไห้โยเยอยู่เหมือนกันนา ถ้าเป็นเช่นนั้นให้โยมเอากะลามะพร้าว เผาไฟให้ไหม้แล้วเอาแช่ในอ่างน้ำ จากนั้นให้ตากน้ำค้างไว้ 1 คืน รุ่งขึ้นก็เอาไอ้หนูลงอาบตามธรรมดาแล้วเอาขึ้นจากอ่าง ไม่นานนักมันก็จะถ่ายท้องออกมาเองนะ”

    หลังจากได้รับน้ำมนต์จากหลวงตา เด็กน้อยก็ร้องไห้น้อยลง เมื่อไรที่ลูกท้องผูก แม่จันก็ทำตามที่หลวงตาบอกก็ได้ผลดีทุกครั้งไป เด็กน้อยก็กินได้นอนหลับ เติบโตขึ้นเรื่อยๆมา
     
  5. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    เด็กชายภักดิ์

    เด็กชายภักดิ์ เติบโตขึ้นผ่านฝนผ่านแล้งไปหลายฤดูกาล จนตอนนี้อายุอานามประมาณ 5 ขวบแล้ว

    “พี่จุ่น ไปเล่นในทุ่งกันเถอะ พ่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว” เด็กน้อยวิ่งหน้าระรื่นมาชวนพี่ชายที่บ้านป้า

    “เออ เออ ประเดี๋ยวข้าจะลงไป” เสียงเจ้าจุ่นตอบมาจากบนเรือนยกไต้ถุนสูง
    ......................…..

    “เอ็งอยากเป่าปี่ฟางข้าวมั๊ยวะไอ้ภักดิ์ เดี๋ยวข้าจะสอนทำให้” เจ้าจุ่นถามน้องชายที่มันชอบเรียกชื่อสั้นๆพลางขยับผ้าขาวม้าคาดเอว ดึงเอามีดพกอันเล็กๆที่บรรจงทำเองและพกติดตัวตลอดเวลาออกมา

    “ดีจ๊ะพี่ ทำอย่างไรล่ะ”

    “นี่ นี่ เอ็งต้องเลือกฟางข้าวปล้องโตๆและกลวง เอามีดตัดใต้ปล้องด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ตัดใต้ปล้อง ให้ปลายมันเปิดอย่างนี้ แล้วเอ็งก็เอามีดบากตรงเหนือปล้องที่โคน เท่านี้เอ็งก็เป่าเล่นเป็นปี่ได้แล้ว เอ๊าลองดู”

    หลังจากนั้นเสียงปี่ปล้องข้าวผสานเสียงหัวเราะของเด็กทั้งสองที่วิ่งเล่นไล่จับกลิ้งเกลือกบนฟางข้าวก็ดังลั่นทุ่ง…
    ............................

    “เอ๊ยไอ้เข้ม มึงดูซิวะว่าใครส่งเสียงหนวกหูรบกวนการนอนของกูวะ” เสียงไอ้เดช ลูกชายนายไกรผู้ร่ำรวยเป็นเจ้าของที่นามากมายในหมู่บ้านนั้น ที่ลืมตาขึ้นถามลูกสมุนวัยไล่เรี่ยกันที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ

    “เสียงไอ้จุ่นกับไอ้ภักดิ์น้องมันเล่นในทุ่งนาใกล้ๆเรานี่ล่ะลูกพี่”

    “เออ ดี กูคันไม้คันมือ วันนี้ไปหาเรื่องชกกับพวกมันดีกว่า ไปโว้ย ไอ้เข้ม ไอ้มา ไอ้โกก”
    ................................

    “เฮ้ยไอ้ภักดิ์ ดูโน่น พวกไอ้เดชมาเดินมาเป็นกลุ่ม ข้าว่าข้าได้กลิ่นไม่สู้ดีนา เรารีบกลับกันเถอะ”

    “กลัวอะไรพี่จุ่น หากพวกมันมาหาเรื่อง ข้าจะสู้มันเอง”

    “พวกมันมาตั้งสี่ อายุอานามก็รุ่นข้า เรามีแค่สอง แถมเอ็งยังอายุน้อยกว่าตั้งสี่ซ้าห้าปี จะไหวเรอะ”

    ภาพที่เกิดขึ้นในวันนั้น หากใครได้พบเห็น ก็จะเห็นเด็กเล็กหนึ่งใหญ่หนึ่ง เอาหลังพิงกันสู้ยิบตาต้านพายุหมัดพายุเท้าจากเด็กโตอีกสี่คนที่กลุ้มรุมล้อมได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และสามารถตอบโต้ได้ไม่น้อยไปกว่ากัน ผลสุดท้าย แทบทุกคนก็ได้แผลปากแตกแก้มปูดไปตามๆกัน หลังจากนั้นเป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้านว่า ทั้งสองฝ่ายเจอกันเมื่อไรเป็นต้องหาเรื่องประลองหมัดประลองเท้ากันอยู่ร่ำไป
    ........................……

    “อิมัสมิงวิหาเรา อิมังเตมาสัง วัสสัง อุเปมิ” (หมายเหตุ .. จากตำราของคุณตา)

    เสียงหลวงตาพึมพัมว่าคาถาเป่าเสกไปที่ขนมตาลที่อยู่ตรงหน้า แล้วยื่นส่งให้นายเพิ่มและนายไกรที่มาปรึกษาหลวงตาให้ช่วยหาหนทางให้เด็กทั้งสองกลุ่มเลิกทะเลาะวิวาทกัน

    “เอาขนมนี่ไปให้เด็กทุกคนกินให้หมดนะโยมทั้งสอง อาตมาได้บริกรรมคาถากันการวิวาทใส่ไปแล้ว คงได้ผลนะ”

    หลังจากที่เด็กทั้งสองกลุ่มได้กินขนมตาลไปแล้ว สิ่งที่เหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้น นั่นคือ ชาวบ้านไม่ได้เห็นการทะเลาะวิวาทจากเด็กทั้งสองกลุ่มอีกต่อไปเลย…..
     
  6. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    เณรน้อย

    ฝนหยุดแล้ว…ฟ้าหลังฝนดูสดใส บรรยากาศท้องทุ่งเต็มไปด้วยความสดชื่นเย็นชุ่มฉ่ำ มองไปทางไหนก็เห็นทุ่งนาและต้นไม้ดูเขียวขจี… เสียงหยดน้ำจากหลังคาที่ร่วงลงในตุ่มน้ำยังดังกังวาลประสานกับเสียงขลุ่ยแผ่วแว่วหวานจากริมฝีปากเด็กน้อยที่นั่งบรรเลงเพลงอยู่บนแคร่ไม้ใผ่ข้างบ้าน….

    แม่ไก่เริ่มชักชวนบรรดาเหล่าลูกไก่น้อยออกเดินจิกตามพื้นหาของกิน เจ้าแมวยังนอนหวด เจ้าหมาน้อยยังบิดตัวอย่างเกียจคร้าน…. กลิ่นข้าวต้มโชยความหอมกรุ่นออกมาจากครัวหลังบ้าน ปลุกเด็กน้อยให้ตื่นจากภวังค์ เขาลดมือวางขลุ่ยลงข้างตัวเปิดยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นแม่ไก่พาลูกไก่น้อยหลบเม็ดน้ำฝนที่ร่วงมาจากกิ่งใบต้นมะขามหน้าบ้านยามมีลมเย็นๆพัดโชยมา… (หมายเหตุ…ปัจจุบันต้นมะขามต้นนั้นยังคงยืนต้นตระหง่านอยู่ที่เดิม ที่บางแพ ..แม้จะล่วงเลยมานับร้อยปีแล้วก็ตาม)
    ...............................…….


    “ลูกแม่ ปีนี้เจ้าอายุย่างเข้า 7 ขวบแล้วสินะ พ่อกับแม่ปรึกษากันแล้วเห็นว่าเจ้าน่าจะบวชเรียนไปอยู่กับหลวงตา จะได้ศึกษาตำรับตำรา จะได้อ่านออกเขียนได้ เจ้าจะว่ากระไร” แม่จันหันไปถามลูกชายที่ก้มหน้าก้มตาจัดการข้าวต้มกับปลาช่อนแห้งทอดอยู่ตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย

    “หนูก็อยากร่ำเรียนเหมือนกันนะแม่ พ่อ แต่ใครจะช่วยพ่อแม่ทำนาล่ะจ๊ะ”

    “นี่ นี่ เอ็งไม่ต้องมาทำสำบัดสำนวน ข้ากับแม่เอ็งใช่ว่าจะไร้ญาติขาดมิตร เพื่อนบ้านรอบข้างก็ล้วนเป็นญาติพี่น้องกันทั้งสิ้น เอ็งมิต้องห่วงดอก” ผู้เป็นพ่อตบหัวลูกชายด้วยความเอ็นดู

    “แล้วพี่จุ่นละจ๊ะ จะบวชด้วยหรือเปล่าจ๊ะ”

    “โอ๊ย รายนั้นมันไม่ยอมเรียน ขี้เกียจตัวเป็นขนออกอย่างนั้น พี่ปริก เขาเลิกรบเร้าให้มันบวชเรียนไปนานแล้ว”
    .....................……….

    งานบวชเสร็จสิ้นลง เสียงจอแจในวัดก็เริ่มแผ่วเบาลงตามผู้คนที่เริ่มทะยอยออกจากวัดกลับบ้านไป ต่างคนต่างหิ้วหม้อไห ที่ใส่สำรับกับข้าวมาช่วยงานบุญในครั้งนี้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ….

    “พ่อเณรน้อย ของแม่ เจ้าต้องทำตัวดีๆนะ ขอให้สนใจร่ำเรียนวิชาจากหลวงตาและบรรดาอาจารย์ต่างๆ อย่าได้เกียจคร้านเชียวนะ” เสียงผู้เป็นแม่บอกกล่าวต่อเณรน้อยที่นั่งพับเพียบดูผ่องใสอิ่มเอิบอยู่ตรงหน้า

    “จ๊ะ แม่ เออ โยมแม่” เณรน้อยตอบอย่างรู้สึกขัดๆเขินๆ ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ท่ามกลางสายตาของหลวงตาที่นั่งมองอยู่ด้วยความเอ็นดู

    “ไม่ต้องห่วงหรอกโยมทั้งสอง อาตมาดูหน่วยก้านแล้ว ก็พอจะกล้ารับประกันได้ว่า ลูกชายของโยมต้องขยันหมั่นเพียรร่ำเรียนวิชาไปได้ดีแน่นอน”
    .........................…….

    พ่อและแม่ ลุกเดินกลับออกไปแล้ว สายตาของเณรน้อยมองตามไปจนลับสายตา รื้นน้ำตาปรากฏขึ้นทั้งสองตาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อนึกถึงความผูกพันที่เคยนอนกอดแม่ เคยได้ไออุ่นจากแม่ บัดนี้ จำต้องแยกตัวออกมา นอนในกุฏิที่วัด ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและวังเวง จิตใจของเณรน้อยไหนเลยจะสะกดความรู้สึกเช่นนี้ได้ น้ำตาที่คลอหน่วยเริ่มไหลรินออกมาอาบแก้ม พลันเสียงหลวงตาเรียกให้ตามไปดังแว่วกระทบโสต เณรน้อยรีบยกชายจีวรขึ้นเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นหันกายเดินตามหลวงตาไปทันที…..
     
  7. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    สำนวนวิดวะบ้านนอก อาจเฉิ่มเบ๊อะหน่อยนะครับ อิ อิ....ไม่รู้เรื่องราวพอจะเข้ากับบอร์ดนี้หรือไม่...

    *********


    วิชาเหนือวิชา

    การเรียนวิชาการต่างๆของเณรน้อยรุดหน้าไปมากด้วยสมองอันเลิศด้วยปัญญา ทั้งหลวงตา หลวงอา และบรรดาเหล่าหลวงพี่ต่างๆที่ช่วยกันพร่ำสอนต่างทึ่งในความสามารถเรียนรู้ของเณรน้อยผู้นี้เป็นยิ่งนัก ทั้งภาษาบาลี ทั้งภาษาไทย การคำนวณ ต่างทำได้ดี มีความจำเป็นเลิศ ผ่านไปหนึ่งปี แทบจะเรียนวิชาการจากเหล่าอาจารย์ไปแล้วทั้งสิ้น

    บ่ายวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวของหน้าแล้ง ลมร้อนหอบเอาฝุ่นฟุ้งกระจายไปตามถนนหนทาง แต่ภายในวัดกลับยังคงมีความเยือกเย็นและสงบ ด้วยต้นไม้ที่ขึ้นอยู่หนาแน่น เสียงกอใผ่เสียดสี เสียงใบต้นโพธิ์ ต้น ไทร กระทบกันดังเกรียวกราวตามกระแสลม เมื่อมองเข้าไปในบริเวณวัดก็จะเห็นเณรน้อยนั่งฝึกท่องบทสวดมนต์อยู่กับหลวงตาใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ในวัด

    “เออ นี่ก็ครบขวบปีแล้วสินะ เจ้าเณรน้อยเอ๊ย เจ้ามันเป็นคนพิเศษ ไม่ผิดไปจากที่หลวงตาคิดเอาไว้จริงๆ สามารถเรียนรู้วิชาการต่างๆได้รวดเร็ว แต่หลวงตาว่า ความพิเศษของเจ้าคงไม่ใช่มีเพียงแค่นี้ดอก” หลวงตาพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาเนิบนาบ ด้วยอายุขัยที่ใกล้ 90 ปีแล้ว

    “กระผมเป็นคนพิเศษอย่างไรหรือขอรับ”

    “หลวงตาเองก็ตอบไม่ได้แน่ชัด หากแต่ว่า ถ้าคืนนี้ หลวงตาจะให้เจ้าไปนั่งสมาธิในป่าช้าหลังวัด เจ้าจะกล้าหรือไม่หึ?” หลวงตาถามพลางจ้องตาเณรน้อยเขม็ง

    “เออ…กระ..กระผมได้ยินจากตะ..ตาคำ(สัปเหร่อ) ที่เคยละ..เล่าว่า ในป่าช้านั้นอย่าได้ย่างกรายเข้าไปในยามค่ำคืนเป็นอันขะ..ขาดเพราะผะ..ผีดุเหลือเกิน จริง..จริงหรือเปล่าขอรับหลวงตา” เณรน้อยที่เคยส่งเสียงเจื้อยแจ้วกลับกลายเป็นพูดติดอ่างลิ้นคับปากขึ้นมาทันใด

    “แล้วเจ้าเชื่อหรือเปล่าล่ะ เจ้ามาอยู่นี่ หนึ่งขวบปี มีคืนไหนบ้างไหมที่เจ้าเห็นผี” หลวงตาอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของเณรน้อย บ่งบอกถึงความกลัวอย่างเห็นได้ชัด

    “ก็ไม่เคยนะขอรับ กระผมอยู่กุฏิเดียวกับหลวงตาก็รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยดีขอรับ”

    “นั่นประไร เจ้าไม่เคยพบไม่เคยเห็นแล้วจะกลัวไปใย ว่ากระไรล่ะ ที่หลวงตาถาม เจ้าจะทำได้หรือไม่”

    เณรน้อยยังนั่งนิ่งเงียบ

    “เอาอย่างนี้ไหม หลวงตาจะให้คาถาขับผีไปหนึ่งบท เจ้าจงจดจำเอาไว้ หากแม้นเจ้าประสบพบเห็นผีตนใด ก็ให้ท่องบทคาถานี้ 3 จบ ผีเหล่านั้นก็จะหายไปโดยสิ้น เอ๊า จงฟังไว้นะ…

    "อิติปิโส นะมะภัทะคะวา จะพะกะสะ กะระมะทะ อิสะวาหัตสะ” (หมายเหตุ – จากบันทึกของคุณตา)

    สิ้นเสียงหลวงตา เณรน้อยรีบท่องตามซึ่งก็สามารถท่องตามได้ไม่ผิดเพี้ยนแม้ได้ฟังเพียงเที่ยวเดียวก็ตาม สุดท้าย เณรน้อยก็รวบรวมความกล้าตอบรับคำของหลวงตาทั้งที่ในใจยังหวาดประหวั่นพรั่นพรึง ตลอดบ่ายวันนั้น หาได้ท่องบทสวดมนต์อื่นใดไม่ มีเพียงบทเดียวที่ได้มาจากหลวงตาที่เณรน้อยท่องแล้วท่องเล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย…
     
  8. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    หากท่านผู้รู้ท่านใด เคยเห็นบทคาถาใดๆที่ผมโพสบอกไว้ ที่บอกว่า มาจากสมุดบันทึกของคุณตา หากมันผิดเพี้ยนไปอย่างไร ช่วยบอกด้วยนะครับ หากผิดพลาดประการใด ผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เป็นเพราะ สมุดมันเก่าคร่ำคร่าจริงๆ จะเปิดจะอ่านแต่ละที ต้องระมัดระวังสุดฤทธิ์ แถมการขีดเขียน คุณตาใช้ดินสอ มันก็จางๆ บางประโยคอาจเลือนๆ ขาดหายไปบ้าง....
     
  9. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    คาถากันทะเลาะวิวาท น่าจะลองเอาไปบริกรรมพ่นใส่อาหารให้เด็กช่างกลที่ชอบตีกันทานนะครับ เผื่อจะได้ผลบ้าง อิ อิ...
     
  10. saisiam

    saisiam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +14
    โห แต่งเรื่องเก่งสุดๆ อ่านแล้วเพลินเลยค่ะ น่าจะไปเป็นนักเขียนเนอะ :cool:
     
  11. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ขอบคุณครับ คุณ saisiam...ผมก็ไม่รู้ว่า เขียนออกมาได้ยังงั้นได้ยังไง แหะๆ....
     
  12. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ผีในป่าช้า (1)

    ค่ำแล้ว...มืดแล้ว….คืนนั้นเป็นคืนแรม 15 ค่ำ ในยามนั้นยังไร้ไฟฟ้ามองไปทางไหนก็ล้วนมืดมิด แสงจากเปลวเทียนในกุฏิส่องให้พื้นที่ได้จำกัดและยังส่องวูบวาบไปตามกระแสลมเอื่อยๆที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา เณรน้อยยังคงนั่งข้างหลวงตาอย่างไม่ไหวติงเหมือนกับว่ามีรากงอกอยู่ที่ก้น ริมฝีปากดูแห้งผาก มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นแต่ความมืด เสียงหริ่งเรไรดังไปทั่วบริเวณ เสียงนกฮูกร้อง ฮูกๆ อยู่บนหลังคา ฟังดูมันช่างวังเวงกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เณรน้อยเหลือบตาขึ้นมองหน้าหลวงตาที่มองจ้องหน้าเณรน้อยอยู่แล้ว เณรน้อย รอ รอ เหมือนรอคำประกาศิตหรือคำพิพากษา

    “ว่ากระไร เณรน้อย เจ้าพร้อมหรือยังล่ะ”

    เณรน้อยสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงหลวงตาพูดทำลายความเงียบขึ้น

    “พร้อมกระไรหรือขอรับ หลวงตา” เณรน้อยทำเป็นไขสือ

    “เออ ดู ดู …เจ้าสัญญาไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าจะไปนั่งสมาธิที่ป่าช้าหลังวัดในคืนนี้”

    “เออ เอาไว้คืนพรุ่งนี้ดีกว่าไหมขอรับ คืนนี้กระผมจะได้ช่วยบีบนวดให้หลวงตาก่อน” เณรน้อยขอต่อรองตามประสาเด็ก

    “เจ้าไม่ต้องมาต่อรองดอกนะ วันนี้หรือพรุ่งนี้ก็เช่นกัน เจ้าจงอย่าทำลายคำสัญญาและจงอย่าเป็นคนผลัดวันประกันพรุ่งเลย”
    .........................……..

    เสียงเท้าน้อยๆเดินย่ำไปบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตัดความเงียบวังเวงของบริเวณป่าช้าหลังวัด ถึงแม้ว่าเณรน้อยจะคุ้นเคยเส้นทางนี้แต่วันนี้ทำไมหนอเส้นทางที่ไม่ไกลนักนั้นทำไมมันดูไกลกว่าทุกวัน ขาที่สั่นระริกค่อยๆย่างก้าวออกไปแต่กว่าจะก้าวเท้าออกไปได้แต่ละก้าวมันยากเย็นเหลือเกิน ในที่สุดก็มาถึงโคนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใจกลางป่าช้าจนได้ เณรน้อยทรุดกายลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน เหงื่อไหลโทรมกายเหมือนผ่านการเดินทางไกลมายังไงยังงั้น

    หลังจากจัดท่านั่งได้เหมาะสมแล้ว เณรน้อยก็เริ่มหลับตา นึกถึงหลักการนั่งสมาธิที่หลวงตาพร่ำสอนมา หายใจเข้า…..พุท….หายใจออก….โธ….แต่คืนนี้ทำไมจิตใจมันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว บางครั้งหายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกก็ดันเป็น พุท อีก หรือไม่ก็ทั้งเข้าและออก เป็น โธ ดูสับสนวุ่นวาย นี่ถ้าเป็นตอนอยู่ต่อหน้าหลวงตา คงโดนเขกหัวสักป๊อกเป็นแน่แท้ เปลือกตาที่เคยปิดสนิทขณะนั่งสมาธิ มาวันนี้ ดูมันฝืนๆ หลับ ดูหน้านิ่วคิ้วขมวดยังไงพิกล แถมยังหรี่ๆมองรอบข้างซะอีก เฮ้อ เณรน้อย ถอนหายใจด้วยความวิตกกังวล นี่เราจะสามารถนั่งสมาธิผ่านคืนนี้ไปได้ไหมนี่

    “แคว่กๆ” เสียงนกแสกร้องขณะบินโฉบมาเหนือศรีษะ ทำเอาเณรน้อยสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นถี่หลับตาปี๋ อ้อ มันเป็นแค่นกน่า ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เณรน้อยนึกปลอบใจตัวเองอยู่ในใจ คงไม่มีผีที่ไหนหรอก น่าจะเป็นผู้ใหญ่แกล้งหลอกเด็กให้กลัวซะมากกว่า นึกได้อย่างนี้ทำให้คลายความกลัวลงได้ระดับหนึ่ง สามารถท่อง พุท….. โธ….พุท….โธ… ไปได้ต่อไปอย่างสงบมากขึ้น….หลังจากนั้นไม่นานนัก ….ความรู้สึกว่าพื้นที่นั่งอยู่นั้นมันสั่นสะเทือนเป็นจังหวะ ปลุกให้เณรน้อยหลุดจากสมาธิอีกครั้ง เณรน้อยลืมตาขึ้น “เอ๊ะ!….นั่น!.……..
     
  13. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    เอิ่ม...จะต่อดีมั๊ยเนี่ย มันจะดึกแร้วว อิ อิ....

    ว่าแล้วก็หันไปมองซ้าย มองขวาก่อน....
     
  14. saisiam

    saisiam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +14
    เขียนให้จบก็พอค่า วันไหนก็ได้ ตามอ่านอยู่ อย่าหยุดไปกลางคันน่ะเจ้าค่ะ อารมณ์มันค้างอ่าา:boo:
     
  15. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    ผมเขียนไปได้แค่ 20 กว่าตอนครับ

    หาสมุดบันทึกคุณตาไม่เจอแล้ว สงสัยว่า จะจมไปกับน้ำท่วมปีที่แล้ว น่าเสียดายมากๆเลย....เศร้า....

    เขียนไปได้ถึงตอนที่คุณทวดทั้งสองจากคุณตาไป...ชีวิตหลังจากนั้น ยังโลดโผน คุณตาได้พบกับคุณยาย (ลูกสาวนายไกร) จนได้สึกออกมา แล้วพากันหนีจากบางแพ เดินทางหนีการตามล่าลงไปทางใต้ จนไปตั้งรกรากอยู่ที่ จ. ตรังครับ...ช่วงชีวิตที่ว่า ผมยังไม่ได้เขียน ว่าจะ ว่าจะ จนในที่สุด บันทึกก็หายไป คงต้องอาศัยความจำ รื้อฟื้นมาเขียนต่อในภายหลัง...ชีวิตคุณตา เหมือนนิยายจริงๆเลยครับ...
     
  16. วสันตฤดู

    วสันตฤดู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,321
    ค่าพลัง:
    +8,714
    จะติดตามอ่านต่อไป ฝีไ้ม้ลายมือยังกับกวีเลยนะคะ
     
  17. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    งั้น ลงรวดเดียว ให้ถึงตอนสุดท้ายที่ผมเขียนเอาไว้นะครับ...เอาไว้ว่างๆ ก็ค่อยๆมาทะยอยอ่านกันก็ได้นะครับ...

    **************


    ผีในป่าช้า (2)

    ….สิ่งที่เณรน้อยเห็นตะคุ่มๆอยู่ตรงหน้า มันละม้ายต้นตาล แต่ เอ..ในป่าช้านี้หามีต้นตาลขึ้นอยู่แต่ก่อนไม่ จะมีก็เห็นจะเป็นแถวๆชายทุ่ง แล้วสิ่งที่คล้ายต้นตาลตรงหน้านี่ล่ะ มันคืออะไร มันยังเคลื่อนไหวเข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกการเคลื่อนไหว จะสามารถรับรู้ได้จากพื้นดินที่สั่นสะเทือน มะ..มันคืออะไรกัน….โอ…ใช่แล้ว มันคือ….เปรต!!….ร่างเปรตที่สูงชะลูดนั้นได้มาหยุดอยู่ตรงหน้า ร่างยืนโงนเงน มือที่ใหญ่โตกวัดแกว่งไปมา…

    เณรน้อยหัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความกลัวพุ่งขึ้นจับจิต สามารถรับรู้ได้ว่าขนจากทุกขุมขนลุกชี้ชัน ดีนะที่บนหัวไม่มีผม ไม่งั้นคงเห็นผมชี้ขึ้นทุกเส้นเป็นแน่ เบื้องล่างก็ไม่สามารถควบคุมได้จำต้องปลดปล่อยน้ำภายในให้ไหลออกมาเปียกจีวรจนชุ่ม เณรน้อยรีบหลับตาปี๋ท่องนะโม วนเวียนหลายรอบ ไหนเลยจะนึกถึงบทสวดที่ได้จากหลวงตาและท่องจำมาตลอดบ่ายได้

    ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง….เณรน้อยค่อยๆหรี่ตาเปิดขึ้นมองไปรอบๆกาย เปรต ตนนั้นยังยืนเฉยอยู่ที่เดิม เมื่อมองไปทางซ้ายก็พบเห็นเงาคนเดินมาหนึ่งคน เณรน้อยสุดแสนจะดีใจ คาดว่าหลวงตาคงมาช่วยแล้ว จนเมื่อร่างนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ เอ๊ะ นั่นมัน….ใช่น้าเพียรนี่นา แต่น้าเพียรก็ตะ…ตายไปเมื่อสองเดือนก่อนหลังจากลูกในท้องหยุดดิ้นและตายในท้องไปก่อนหน้านั้นแล้ว ร่างน้าเพียรเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างพร้อมกับส่งเสียงเห่กล่อมลูกที่อยู่ในอ้อมกอด บนใบหน้าขาวซีดออกเขียวจางๆ เณรน้อยยังเห็นเธอยิ้มให้ด้วย แต่มันช่างเป็นยิ้มที่เณรน้อยไม่อยากได้รับและไม่สามารถยิ้มตอบได้เลย ความดีใจที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ได้อันตรธานหายไปสิ้น

    เมื่อมองไปรอบๆกายอีก ก็พบว่าไม่เพียงเปรตและน้าเพียรเท่านั้น แต่ยังมีเงาร่างยืนตะคุ่มๆอยู่รอบกายเต็มไปหมด บางร่างก็พอคุ้นเคยว่าเป็นใคร บางร่างก็ไม่สามารถแยกแยะได้ เมื่อเห็นผีทุกตนเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้เณรน้อยเกิดความกลัวถึงขีดสุดตะโกนเรียกหลวงตาออกมาสุดเสียง “หลวงตาาาาา…” แล้วก็หมดสติล้มพับไปใต้ต้นไม้นั้นเอง…..
    ..........................…….

    “เณรน้อยเอย…เจ้ารู้สึกตัวแล้วหรือ” เสียงอันปราณีของหลวงตากระทบโสตของเณรน้อยทันทีที่เริ่มรู้สึกตัว

    “หลวงตา…ฮือๆๆๆ” เณรน้อยปล่อยเสียงร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อาย

    “หลวงตาเข้าใจ เจ้าไม่ต้องร้องไปดอก ความกลัวของมนุษย์ปุถุชนย่อมมีกันทุกคน เจ้าเองก็ยังเล็กนัก หลวงตาไม่น่าให้เจ้าไปที่นั่นเมื่อคืนนี้เลย จิตของเจ้ายังไม่สามารถควบคุมให้เป็นหนึ่งดั่งที่เรียกว่า ”เอกัคคตาจิต” ได้ เมื่อจิตไม่เป็นหนึ่ง ก็จะทำให้จิตมันกระเจิงไม่สามารถควบคุมได้ หากแม้เจ้าได้ฝึกฝนจิตจนถึงขั้นบรรลุ “เอกัคคตาจิต” ได้แล้วไซร้ ยามเกิดเหตุการณ์ใดเจ้าย่อมมีสมาธิและสามารถรวบรวมสมาธิเข้าสู่ “เอกัคคตาจิต” ได้เพียงเสี้ยววินาที มิต้องนั่งรวบรวมสมาธิอีกต่อไป จากนี้ไป หลวงตาจะสอนและช่วยชี้นำให้เจ้าฝึกสมาธิเข้าสู่ชั้นสูงขึ้น จวบจนเจ้าพร้อมอีกเมื่อใด ค่อยให้เจ้าไปนั่งสมาธิที่ป่าช้านั้นอีกครั้ง”
    ......................…….

    หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น…. ทุกค่ำคืน ภาพที่เห็นในกุฏิของหลวงตาก็คือ ภาพ พระภิกษุชราและเณรน้อย นั่งหลับตาทำสมาธิ ปากของหลวงตาจะขมุบขมิบส่งเสียงแผ่วเบาพร่ำสอนลูกศิษย์ต่างวัยอยู่ตลอดเวลา…..หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าระยะหลังๆ ร่างของทั้งสองที่เข้าสมาธิอยู่นั้นหยุดนิ่งไม่ไหวติง ดูเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นว่าร่างของทั้งสองหาได้นั่งอยู่บนอาสนะไม่ กลับลอยอยู่เรี่ยพื้น!!!! …….
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มิถุนายน 2012
  18. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    เอกัคคตาจิต

    6 เดือนผ่านไป….ยามนี้ได้ผ่านช่วงออกพรรษามาแล้ว เณรน้อยรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเติบโตขึ้นหลายปี หาใช่เพียง 6 เดือนไม่ ใบหน้าดูอิ่มเอิบผ่องใส ตอนเช้ามืด ก่อนออกบิณฑบาตกับหลวงตา เณรน้อยก็เดินจงกรม ทุกๆย่างก้าวเต็มไปด้วยความมีสมาธิ รู้ย่าง รู้ก้าว รู้ทุกลมหายใจเข้าออก ระยะหลัง ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ เณรน้อยจะรู้สึกความมีปีติ ร่างกายเบาหวิวเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกเหมือนไร้ตัวตน จนเกิดนิมิตเห็นบางสิ่งบางอย่างแต่ก็ต้องควบคุมความลิงโลดไม่ให้เกิดขึ้นตามที่หลวงตาได้บอกกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว…..

    ( หมายเหตุผู้เขียน : ผมเคยฝึกนั่งสมาธิอยู่ระยะหนึ่งก่อนไปอเมริกา ช่วงแรกๆจะรู้สึกว่าเมื่อยมาก จิตมันพะวงอยู่แต่ความเมื่อยที่ขา แถมเป็นเหน็บชา ปวดมาก จนได้รับการชี้แนะจากคุณตาว่าอย่าไปคิดว่าปวดเมื่อย คำพูดหนึ่งที่ได้จากคุณตาคือ ตัวเราไม่ใช่ตัวเรา คิดเสียว่าความปวดมันไม่มีตัวตน มันไม่เกิดขึ้นจริง น่าประหลาดมากที่ต่อๆมา ผมรู้สึกว่าความเมื่อยมันลดน้อยลงจนแทบไม่รู้สึกเมื่อยอีกต่อไป จากเดิมหากนั่งสมาธิเพียง 30 นาที ต้องขยับกายนับสิบครั้ง กลายเป็นว่าสามารถนั่งท่าเดิมได้ตลอดการนั่งสมาธิเลยทีเดียว นอกจากนี้ หากนั่งไปเรื่อยๆจนจิตเริ่มสงบ อาการที่จะพบตอนแรกก็คือ จะเกิดความปีติ ขนจะลุกซู่ซ่า ไม่ทราบว่ามีใครเคยนั่งสมาธิแล้วเป็นอย่างนี้หรือไม่ครับ น่าเสียดายที่ตัวเองต้องหยุดลงกลางคันเพราะต้องไปทำงานที่อเมริกา ไม่มีเวลาได้ฝึกอีกต่อไป….)

    “เณรน้อยเอย..เท่าที่หลวงตาสังเกตตัวเจ้า หลวงตาค่อนข้างมั่นใจว่า เจ้าได้สำเร็จการฝึกจิต จนเข้าสู่ขั้น “เอกัคคตาจิต” แล้ว ยากนักที่จะเห็นเจ้าที่เป็นเพียงเณรน้อยจะสามารถฝึกฝนสำเร็จมาถึงขั้นนี้ได้โดยใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น” หลวงตากล่าวต่อลูกศิษย์น้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมสายตาที่มองด้วยความชื่นชม

    “หลวงตาเคยฝึกฝนอบรมศิษย์อยู่หลายคน มีเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่ก้าวขึ้นสู่ขั้นนี้ได้ แต่บรรดาศิษย์เหล่านั้นล้วนบวชเป็นพระแล้วทั้งสิ้น นอกจากนั้นแต่ละคนยังต้องฝึกฝนกันหลายปี เจ้าเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าใครอื่น ที่พูดมานี้หาใช่จะเยินยอเจ้าให้เหลิงดอกนะ เจ้าจงภูมิใจได้ แต่อย่าทะนงตัว นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่เจ้าควรเรียนรู้ยังมีอีกมากมายนัก หลวงตาจะทยอยสั่งสอนให้เจ้ารับไว้ เพื่อที่วิชาที่เหนือวิชาจากการถ่ายทอดมาแต่ละรุ่นแต่ปางก่อนจะได้มีคนสืบสานต่อไป…”

    “ว่าแต่ เจ้ายังจำคาถาขับไล่ผีที่หลวงตาให้เมื่อหลายเดือนก่อนได้หรือไม่รึ ? ”

    “ยังจำได้ขอรับ” ว่าแล้ว เณรน้อยก็ท่องให้หลวงตาฟังอย่างถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน

    “ดีแล้ว กระนั้น คืนนี้ เจ้าพร้อมจะไปนั่งสมาธิที่ป่าช้าอีกครั้งหรือไม่ล่ะ ? ”

    “พร้อมขอรับ” คราวนี้ เณรน้อยสามารถตอบอย่างมั่นใจได้ทันที เณรน้อยเองก็รู้สึกประหลาดใจที่ว่า คราวนี้เมื่อได้ยินหลวงตาถาม ตัวเองรู้สึกว่าไม่มีความหวาดหวั่นและลังเลหลงเหลืออยู่อีกเลย

    “คาถาขับไล่ผีที่ให้นั้น ขอให้เจ้าใช้กับผีที่มีจุดประสงค์ร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายเจ้าเท่านั้นนะ เพราะมันจะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวแก่ผีตนนั้น หากผีตนใดเพียงปรากฏกายขึ้นมาหลอกหลอนด้วยความคึกคะนองเจ้าก็เพียงท่องบทสวดมนต์แผ่เมตตาให้ไป ผีตนนั้นก็จะได้ความความเมตตาและจะเกิดความยำเกรงหายไปเอง”

    “ขอรับหลวงตา กระผมจะจดจำไว้”…..

    การเข้ามานั่งสมาธิในป่าช้าค่ำคืนนี้ช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับครั้งแรก จิตใจมีแต่ความสงบนิ่ง น่าประหลาดนักที่เณรน้อยสามารถนั่งสมาธิผ่านไปได้ตลอดคืนโดยไม่มีเหตการณ์ที่น่าตื่นตระหนกเกิดขึ้นเลย เหล่าบรรดาผีทั้งหลายหายไปไหนกันหนอ….
     
  19. ืniranam2008

    ืniranam2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +215
    เณรน้อยออกธุดงค์

    หน้าแล้งเวียนมาอีกครั้ง.. เณรน้อยต้องช่วยบรรดาหลวงพี่ทั้งหลายกวาดลานวัดที่เต็มไปด้วยใบไม้ที่ร่วงมากระจายเกลื่อนไปทั่วบริเวณ

    “พ่อเณร หลวงตาให้มาตาม ไปหาท่านที่กุฏิ เดี๋ยวนี้เลยนะ” หลวงพี่รูปหนึ่งเดินมาบอกเณรน้อย

    เมื่อเณรน้อยเดินเข้ามาในกุฏิหลวงตา ก็เห็นพระภิกษุแปลกหน้ารูปหนึ่งนั่งสนทนากับหลวงตาอยู่ พระรูปนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวคล้ำเหมือนสีทองแดง แขนขาที่โผล่ออกมานอกจีวรสามารถมองเห็นรอยสักอยู่ทั่วไป ใบหน้าดูแข็งกร้าวแต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อท่านได้ยินเสียงเณรน้อยเข้ามา ก็หันหน้ามามองเณรน้อย ดวงตาที่คมวาวของท่านนั้นได้สบกับสายตาของเณรน้อยที่มองอยู่ก่อนแล้ว เณรน้อยรู้สึกเหมือนมีพลังลึกลับมาปะทะ ทำให้ขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เณรน้อยย่อกายลงนั่งก้มกราบหลวงตา และพระรูปนั้นอย่างสำรวม

    “เข้ามาใกล้ๆสิ เณรน้อยเอ๊ย หลวงตาขอแนะนำให้รู้จักหลวงลุงผู้นี้ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงตารุ่นแรกๆ ซึ่งก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนึ่งอยู่ที่ประจวบ นี่ก็เป็นหนึ่งในบรรดาศิษย์ของหลวงตาที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาเหนือวิชาไปจากหลวงตามากมาย แต่ไม่เพียงเท่านั้นดอก ท่านยังชอบธุดงค์เข้าป่าดงพงไพร ยังได้ร่ำเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมอีกมากมาย พอเข้าย่างเข้าหน้าแล้งท่านก็จะออกธุดงค์ไปอีกแล้ว ครั้งนี้เห็นว่าจะเข้าไปเขตพม่า ผ่านมาทางนี้ก็เลยแวะมาหาหลวงตาก่อน จะกลับมาอีกครั้งก็ก่อนเข้าพรรษาโน่นแน่ะ หลวงตาเห็นเป็นโอกาสอันดีจะได้ทำความรู้จักเอาไว้ เผื่อจะได้ขอคำแนะนำบางประการจากหลวงลุงเขาได้”

    เณรน้อยก้มกราบหลวงลุงอีกครั้ง แล้วก็นั่งสำรวมสงบนิ่ง มองเห็นหลวงลุงยกมือและผงกศรีษะรับการคารวะพร้อมกับมีรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

    “นี่หรือขอรับ พ่อเณรน้อยที่หลวงตากล่าวขวัญถึง ไม่น่าเชื่อเลยนะขอรับว่าจะสามารถฝึกวิปัสนาจนสำเร็จขั้นเอกัคคตาจิตได้แล้ว ดูยังเป็นเด็กเล็กนัก” หลวงลุงผู้นั้นกล่าวต่อหลวงตาด้วยเสียงที่ทุ้มกังวาล พลางกวาดสายตาอันคมกริบมองเณรน้อยอย่างรู้สึกทึ่งระคนชื่นชม

    “ไม่ทราบว่าหลวงตาได้สอนวิชาเหนือวิชาอะไรให้บ้างแล้วขอรับ”

    “ยังไม่เท่าไรหรอก ก็ค่อยๆรับไปทีละน้อย หลวงตาไม่อยากให้รับเร็วไปเดี๋ยวเด็กมันจะสับสน”

    “หากกระผมจะชวนพ่อเณรน้อยให้ออกไปธุดงค์ครั้งนี้กับกระผมด้วย หลวงตาจะว่ากระไรไหมครับ”
    เณรน้อยเมื่อได้ยินก็รู้สึกลิงโลดเป็นยิ่งนัก เงยหน้าขึ้นมองหลวงตา รอว่าหลวงตาจะตอบว่ากระไร

    “มันยังเป็นเด็กเล็กนัก หลวงตาเกรงว่าจะไปเป็นภาระของท่านนะสิ”

    “เห็นทีจะไม่เป็นไรดอกขอรับ ดูหน่วยก้านแล้วหากเกิดเหตุคับขันคงพอเอาตัวรอดได้”

    “เอาเถอะ หลวงตาก็ไม่ขัดนะ แต่กระนั้น ก็คงต้องให้เณรน้อยกลับไปถามโยมพ่อโยมแม่ดูเถิดว่าจะยอมให้ไปไหม”

    ผู้เป็นพ่อแม่ไหนเลยจะยอมให้ลูกซึ่งอายุเพียง 10 ขวบ ออกไปธุดงค์ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ไหนจะสิงสาราสัตว์ ไหนจะไข้ป่า ถึงแม้เณรน้อยจะอ้อนวอน พูดจาหว่านล้อมอยู่นานสองนาน ก็ไม่เป็นผล จวบจนพ่อแม่ได้รับคำยืนยันจากหลวงตาว่าหลวงพี่ผู้นี้มีความเก่งกล้าสามารถปกป้องลูกตัวเองได้ ก็เลยจำยอมอนุญาตให้ไปได้ แต่ภายในใจนั้นยังเต็มไปด้วยความเป็นห่วงกังวลยิ่งนัก

    เย็นนั้นเณรน้อยได้เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นตามที่หลวงลุงบอกจนพร้อมสรรพ…อา…เช้ามืดพรุ่งนี้แล้วสินะที่เราจะต้องออกไปธุดงค์เป็นครั้งแรก เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ …เณรน้อยได้แต่คิดสับสนวุ่นวาย จนนอนไม่หลับสุดท้ายต้องลุกมานั่งสมาธิจึงทำให้จิตใจสงบลงได้….
     
  20. วสันตฤดู

    วสันตฤดู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,321
    ค่าพลัง:
    +8,714
    น่าอ่านมากเลยค่ะ เหมือนกับดูหนังเลยนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...