งานฉลองพระเจ้าพรหมมหาราช

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 20 มิถุนายน 2024.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,799
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,518
    201419_0.jpg

    งานฉลองพระเจ้าพรหมมหาราช



    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา เมื่อเดือนที่แล้ววันฉลองพระเจ้าพรหมมหาราช วัดท่าซุง ลูกได้มีโอกาสไปและก็เวียนเทียนรอบพระจุฬามณีและรอบพระเจ้าพรหมมหาราช

    ในขณะเวียนเทียนนั้นปรากฎว่าน้ำตาของลูกไหลร้องไห้ เอาไม่อยู่สะอึกสะอื้นเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่มีปีติอะไรเลย แต่ก็ประหลาดอาการอย่างนี้ได้เกิดขึ้น

    ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่าในขณะนั้นพระเจ้าพรหมมหาราชท่านโศกเศร้าอะไรหรือ ทำให้ลูกต้องร้องไห้ตามท่านไปด้วยเจ้าคะ

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ๆๆ นั่นปีติ เจ้าของไม่รู้ว่าปีติ แต่ความจริงน่ะปีติ ปีติตัวที่ 2 ไง ขนพองสยองเกล้า น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง หรือว่าเป็นนักรบรุ่นเก่าด้วยกันใช่ไหม ชนะข้าศึกมาด้วยกัน กู้ชาติไทยเป็นครั้งแรกโดยพระเจ้าพรหมมหาราช

    ผู้ถาม : เป็นต้นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ประเทศไทย

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ต้น ต้นกษัตริย์ที่กว่าจะถึงพระเจ้าพรหมนี่ 60 ตำแหน่งกว่าหรือ 60 รัชกาลกว่า แต่ว่าไม่มีสงคราม มามีสงครามสมัยพระเจ้าพังคราช เพราะอ่อนแอเกินไปใช่ไหม

    ทีนี้ขอมดำมันก็กำเริบคิดจะยึดประเทศไล่คนไทย ก็ไล่ไปอยู่ที่เวียงสีทอง เวียงสีทองด้านแม่สาย พระเจ้าพรหมเกิดมาถึงอายุ 12 ปี ก็สั่งพ่อบอกเลิกส่งบรรณาการ เตรียมขุดบ่อน้ำ เกรงว่าถ้าข้าศึกมาล้อมใช่ไหม จะได้มีน้ำกิน เตรียมการรบเต็มที่ และได้ช้างพลายประกายแก้วเป็นโขลงนำ

    ต่อไปพระเจ้าพรหมก็สร้างบุญบารมีหนักตีแหลกเหลวเลย กวดเข้าสันทรายขึ้นไปถึงเมืองเชียงแสน เข้าตีในเมืองโผล่ไปอีก มันหนีมาทุ่งยั้ง กองทัพวิ่งมา 3 วัน ต้องสั่งยั้งตัว กินข้าวยั้งตัวเสียทีหนึ่ง พอกินข้าวทีอิ่มแล้วไล่ตีต่อไปอีก สร้างบุญบารมีมาก

    ฉะนั้นฉันอาศัยที่เป็นลูกศิษย์พระเจ้าพรหมจึงต้องป่วยมากนี่

    ผู้ถาม : ลูกศิษย์พระเจ้าพรหม

    หลวงพ่อ : ลูกศิษย์พระเจ้าพรหม

    ผู้ถาม : เลยป่วยตามพระเจ้าพรหมไปด้วย

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ

    ผู้ถาม : ฉะนั้นคนที่ร้องไห้นี่ก็หุ้นส่วนด้วยในสมัยนั้น

    หลวงพ่อ : ไม่ต้องห่วงละ หุ้นแหงๆ ที่นั่งนี่

    ผู้ถาม : และที่นั่งประจ๋อประแจ๋ต้องแหงๆ

    หลวงพ่อ : ต้องแหงๆ กินหัวเผือกหัวมันมาด้วยกัน ไอ้ที่เขาไล่ออกจากเมืองไม่มีข้าวจะกิน กินหัวเผือกหัวมัน ต้องทำกะทะใหญ่ๆกินกัน มีอะไรก็มาผสมกินกัน แล้วเขาเก็บส่วยทองคำ ต้องร่อนทองคำส่งส่วยเขา

    เขตที่เขากั้นให้คนไทยอยู่แต่ไหน เราล้ำเข้าเขตเขาไม่ได้ทั้งที่เป็นเมืองของเรา มันไล่ตีไล่ฟัน นี่ความเจ็บใจของเด็กมันมีอยู่ใช่ไหม

    พระเจ้าพรหมมหาราชเป็นแม่ทัพคราวนั้นอายุแค่ 16 ปี แต่ก็ดีนะการตีทัพคราวนั้น พอมาถึงศรีสัชนาลัยได้เมียเลย แหม แจ๋วแว๋ว

    ผู้ถาม : ตีเก่งน่ะได้ทั้งเมืองทั้งเมีย

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ ได้ 2 ม.

    ผู้ถาม : แหม เจ้าชู้น่าดูพระเจ้าพรหมนี่

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่เจ้าชู้ เขายกให้เอง ก็มีพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านบอกว่าในเมื่อถึงศรีสัชนาลัยล้อมเมืองเขา เขาไม่ยอมให้ผ่านเขต ก็จะไล่ขอม ขอมก็วิ่งหนีไปใช่ไหม ถึงศรีสัชนาลัยก็ตั้งทัพกันเลย ไม่ยอมให้ผ่านเขตก็ต้องรบกัน

    ในเมื่อกำลังของเรามากกว่า หัวเมืองต่างๆที่ทราบว่าพวกเราไล่ขอมใช่ไหม เขามาสมทบมีกำลังมากกว่าเขาเลยตั้งทหารรับมาเชิญ มาเชิญก็ไม่ต้องออกไปรบ แต่ว่าเขามีปืนตั้ง 200 กระบอก เราไม่มี ทหารหัวเมืองเข้าไปอาสาตีตายไปหลายคน พระเจ้าพรหมเลยสั่งไม่ต้องตี ล้อมแบบนี้ให้มันอดข้าวเอง มันยอมเอง

    เห็นท่าหลายวันก็มีพระองค์หนึ่งท่านได้อรหันต์นะเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านทราบว่าพระเจ้าพรหมกับลูกสาวเจ้าเมืองนี่เคยเป็นคู่ครองมาในชาติก่อน ก็บอกเจ้าเมืองให้ยกลูกสาวให้พระเจ้าพรหมเสียจะได้เลิกสงคราม เขาก็ยกให้

    ยกให้แล้วพระเจ้าพรหมได้ 2 ม. จะเอา ม. เดียวใช่ไหม ทีแรกจะเอาเมือง ทีนี้ได้ ม.เมียด้วย พอได้ ม.เมียเลยเลิก

    ผู้ถาม : พอเขาให้ ม.เมีย เราก็ไม่ต้องไปตีกันอีก

    หลวงพ่อ : เราก็ได้ ม.เมืองด้วย จะไปตีทำไม

    ผู้ถาม : แล้วชื่อของ ม.ที่ 2 ชื่ออะไร

    หลวงพ่อ : ปทุมวดี ยังจำได้ตอนนั้นฉันเป็นทหารเลว (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : เลวอยู่แถวไหนครับ ?

    หลวงพ่อ : เลวแถวคอช้าง (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : นี่คงเป็นอานิสงส์ตอนนั้น ถึงได้ป่วยในตอนนี้

    หลวงพ่อ : มันไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว มาอีกหลายชาติ นำทัพเข้าไปตีอีก ไอ้การสงครามนี่ฆ่าสัตว์กี่ตัวใช่ไหม ต้องฆ่าวัว ฆ่าควาย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ เลี้ยงทหารน่ะมันเยอะแยะ ไอ้บาปนี่มันเต็มอัตรา ของฉันนี่ตาชั่งมันชั่งไม่ได้แล้ว ก็เขาเอาแค่นี้ก็บุญตัวแล้ว เอาแค่นี้มึงก็เอาไปเถอะ กูเหลืออีกชาตินี้นะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้เล่นหลบกันเลย

    หลวงพ่อ : ไม่หลบ หนีเฉยๆ แต่นี้จะเอาไงก็เอาเถอะ มีเท่านี้ถูกฟ้องลัมละลายแล้ว (หัวเราะ) ยอมใช้ เขาเอาเฟื้องให้เฟื้อง เอาสลึงให้สลึง ช่างมัน

    ผู้ถาม : อ้อ..เจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่าง

    หลวงพ่อ : ช่าง ก็รู้อยู่ตามยถากัมมุตาญาณ เราจะทราบทันทีว่าป่วยไข้ไม่สบายเรื่องมันเกิดเพราะอะไรเป็นเหตุ

    ถอยหลังเข้าไปดูปั๊บ อ้อ..เราทำเขาอย่างนี้ เวลานี้เรามีโทษแค่นี้ เราฆ่าเขาน่ะนับพันนะ ชุดนั้นน่ะ และเราก็แค่ป่วยไม่ถึงตาย และต่อมาก็เกิดอีกหลายชาติจากพระเจ้าพรหมหลายชาติกว่าจะมาถึงตอนนี้ดะทุกชาติ สร้างบุญบารมีดะทุกชาติ

    ผู้ถาม : นับจำนวนคนที่ตายไปนี่สัก..

    หลวงพ่อ : เลยแสน

    ผู้ถาม : ถึงว่า มาชาติสุดท้ายถึงได้ป่วยหนักนัก

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่หนัก นี่ป่วยเบา ไม่ถึงตาย

    ผู้ถาม : ใจแข็งนะ นี่ยังใจแข็งนะ ลูกหลานใครเจ็บไข้ได้ป่วยนะ และเวลาตอนบำบัดน่ะให้ดูหลวงพ่อเป็นตัวอย่างนะ

    หลวงพ่อ : ก็ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องคิดว่าเราฆ่าขอมกันมามาก เราฆ่าศัตรูซึ่งเป็นคนไทยกันเองก็มีมากที่แข็งเมือง เราฆ่าพม่ามาก็มาก มันทวงแค่นี้ช่างมัน เราไปนิพพานดีกว่า

    ***เห็นไหมหลวงพ่อท่านก็ตัดสินใจอย่างนี้เหมือนกัน เจ็บป่วยอย่างไรก็ช่างมัน ตายเมื่อไรไปนิพพาน***

    (จาก ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 115 เดือนกันยายน 2533 หน้า 22-24)
     

แชร์หน้านี้

Loading...