จิตดับแล้วไปไหน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Ghosty Rat, 5 เมษายน 2005.

  1. Ghosty Rat

    Ghosty Rat บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    จิตดับแล้วไปไหน

    พระนรินทร์ สุภากาโร





    อาตมาได้มีโอกาสสนทนากับ แม่ชีสมคิด มาลีหอม หัวหน้าแม่ชีไทยวัดอัมพวัน ถึงเรื่องประสบการณ์จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แม่ชีได้กรุณาเล่าให้ฟังบางส่วน เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงขออนุญาตแม่ชีมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้

    แม่ชีสมคิด มาลีหอม เกิดเมื่อวันพุธ เดือน ๘ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๔๙๓ บ้านเกิดอยู่ที่ ต.ป่าโมก จ.อ่างทอง

    บวชเป็นแม่ชีที่วัดอัมพวัน เมื่อ ๗ ธันวาคม ๒๕๒๖ อายุ ๓๓ ปี ได้ศึกษาจบธรรมศึกษาตรี พ.ศ. ๒๕๒๗ ธรรมศึกษาโท พ.ศ. ๒๕๒๘ และธรรมศึกษาเอก พ.ศ. ๒๕๓๐

    เหตุที่มาบวช แท้จริงไม่ได้เกิดจากความศรัทธาในการบวช หรือ การปฏิบัติอย่างใดเลย แต่บวชด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วย และคิดว่าการบวชอาจจะช่วยให้หายจากการเจ็บป่วยได้

    แม่ชีไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน ไม่เคยได้ยินชื่อท่านคุณหลวงพ่อมาก่อน มาเรื่อย ๆ ด้วยความทุกข์ใจ ไม่รู้จักสภาวธรรม มีอุปาทานยึดมั่นว่า ชีวิตเกิดมาแล้วต้องเป็นทุกข์ เพราะไม่เคยปฏิบัติธรรม

    จนกระทั่งมีคนมาบอกว่า ที่วัดอัมพวันมีสำนักแม่ชีใหญ่ที่พอจะรับบวชได้ จึงได้มาพบหัวหน้าแม่ชี คือ หลวงแม่ชีจันทร์ บุญเปี่ยม ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อปี ๒๕๓๐

    ปัจจุบันเป็น หัวหน้าแม่ชีไทยวัดอัมพวัน ทำหน้าที่แนะนำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแก่ผู้ปฏิบัติที่มาใหม่

    แม่ชีได้เล่าประสบการณ์ที่ได้ เผชิญกับทุกขเวทนาอย่างหนักจนจิตดับไปถึง ๓ ครั้ง ให้อาตมาฟังว่า

    แม่ชีเข้ามาในวัดนี้เมื่อวันที่ ๔ ธ.ค. ๒๖ วันรุ่งขึ้น ๕ ธ.ค. ๒๖ มีโอกาสไปโบสถ์ ฟังหลวงพ่อบรรยายธรรมเป็นครั้งแรก รู้สึกสนใจ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ได้เคยได้ยินคำว่าวิปัสสนากรรมฐาน คือการปฏิบัติตนให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแท้จริง เกิดศรัทธามาก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้บวช จึงได้ตั้งใจฟัง

    ตอนที่โยมมาบวชครั้งแรก ไม่มีการสอนอย่างใกล้ชิดเหมือนปัจจุบันนี้ ผู้ศรัทธาจะตั้งใจฟังหลวงพ่อ และต้องมีศรัทธาจริง ๆ เท่านั้นถึงจะปฏิบัติได้ โยมก็ตั้งใจฟังและตั้งใจปฏิบัติ

    มีแม่ชีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง คือ แม่ชีกัลยา คุ้มแจ้ง เป็นแม่ชีที่มีปฏิสันถารดีมาก คอยช่วยแนะนำการปฏิบัติให้ การปฏิบัติธรรมของเขาระยะนั้นดีมาก โดยมเคารพภูมิธรรมในตัวเขามาก แต่อยู่กับเขาได้ ๕ ปี เขาก็จากสำนักนี้ไป

    โยมไม่ค่อยจะมีความเพียรและอดทนเท่าไรนัก บางครั้งก็รู้สึกเกียจคร้านและท้อถอย แต่ระเบียบของวัดต้องปฏิบัติตาม

    ในวันพระต้องลงปฏิบัติธรรมทั้งรองค่ำและรอบดึก หลวงพ่อจะแสดงธรรมให้ฟังสองรอบ ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ก็พยายามปฏิบัติตามระเบียบของวัดมาเรื่อย ด้วยความตั้งใจ

    ความท้อถอยนั้นมีเป็นบางครั้งเพราะขณะนั้น ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ตอนแรกเป็นที่เต้านม และเปลี่ยนลงไปในปอด พอเป็นมากก็ทำให้ไอและปวดมาก มีอาการเหนื่อยมาก



    ตายครั้งที่ ๑

    เวลาทำงานหรืออยู่เฉย ๆ ก็เหนื่อย ตอนกลางคืนจะไอมากและไออยู่ถึง ๔ เดือน จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๘ มีอยู่คืนหนึ่งจำวันที่ไม่ได้ คืนนั้นมีอารมณ์โกรธ โกรธความทุกข์ทรมาน
    วันนี้นึกในใจว่า คืนนี้เราจะไม่ไออีกแล้ว ไอจนผู้อยู่ใกล้ชิดรู้สึกรำคาญทั้ง ๆ ที่เราก็ห้ามไม่ได้ ยิ่งตอนดึก ๆ จะไอมาก จนทำความรำคาญให้คนอื่นที่เขาอยู่ใกล้ ๆ

    ถึงกุฏิจะห่างกัน อยู่ข้างล่างหรือข้างบน ห้องพระ กุฏิแม่ชีที่อยู่ปัจจุบันนี้ เสียงก็ได้ยินถึงกันหมด

    เวลาขณะนั้นประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน กำหนดไปเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปประมาณ ๒ ชั่วโมง ด้วยแรงที่โยมกลั้นไอ มันเหมือนกับการกลั้นใจ รู้สึกเหมือนจะตาย เวทนามันเข้ามาในอารมณ์มาก

    มีอาการเหมือนกับเลือดมาเลี้ยงสมองไม่พอ รู้สึกวูบ จิตกำลังจะดับ เหมือนกับหัวใจเต้นแรงแต่ก็อ่อนแล้วก็สั่นมาก ก็กำหนดว่า รู้หนอ รู้หนอ ไปเรื่อย ๆ

    แต่ต้นจิตของโยมจริง ๆ ขณะนั้นกำลังมีโทสะ คือ โกรธอาการเจ็บป่วย โกรธโรคภัยไข้เจ็บที่มารบกวน การกำหนด รู้หนอ ก็เลยทำให้ไม่มีสมาธิ สติไม่มั่นคง

    อาการวูบเมื่อจิตจะดับ มันวูบใจสั่น วูบที่หนึ่งโยมก็กำหนด รู้หนอ ได้ทัน วูบที่สอง โยมก็กำหนดได้ รู้หนอ พอวูบครั้งที่สาม จะเกิดขึ้นเร็วมาก มันมีสีดำหมุนมาข้างหน้า ก็เลยไม่ทันกำหนดว่าเห็นหนอ กลัวมาก แล้วจิตก็ดับ วุ้บ! เข้าทันที

    จิตก็ตามไปเลย ตามความหมุนไป ตรงจุดกลางของสิ่งที่หมุนเป็นสีดำ ดำเหมือนสีย้อมผ้า มืดมาก น่ากลัวมาก

    พอวูบไปเหมือนน้ำดูด รูปที่เห็นเป็นน้ำทั้งหมด แต่ที่โยมรับสัมผัสขณะจิตดับวูบ ไม่ใช่น้ำ เป็นเหมือนอากาศที่มีแรงดูดมาก ดูดโยมหมุนลงไปลึกมาก มีแรงดูด มีควันดำมืด แล้วก็ร้อนมาก ทรมานมาก ดูดลงไปเหมือนไม่มีอากาศหายใจ

    แรงดูดนั้นดูดลงไปแล้ว ก็หมุนดูดโยมขึ้นมาอีก โผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่งก็ร้อง เฮือก! (เสียงสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง) หายใจได้ครั้งหนึ่ง

    แล้วก็ดูดลงไปอีกอยู่อย่างนั้นแหละ ดูดลงไปร้อน ไม่มีอากาศหายใจ เสวยทุกข์ทรมานมาก และนานมากในความรู้สึกของโยม รู้สึกว่าทุกข์ทรมานมากที่สุด ร้อน หายใจไม่ออก แน่น แต่ก็ไม่ตาย

    พอเราจะขาดใจ ก็ปล่อยเราขึ้นมา หมุนดูดขึ้นมา ตัวพุ่งขึ้นมา แล้วก็ดูดลงไปอีก

    นานจนกระทั่ง พอโยมถูกหมุนขึ้นมาอีกครั้ง มีลมเป่าวูบที่หน้าผาก โยมก็จำได้ว่าเป็นลม แต่ไม่ทันกำหนดรู้อะไร ก็ถูกดูดลงไปอีก

    ขณะที่โยมได้รับความทรมาน จำไม่ได้ว่าโยมเป็นอะไร เป็นใคร และทำอะไรอยู่ รู้อย่างเดียวว่ามันทุกข์ทรมานมาก จนกระทั่งได้รับสัมผัสลมที่ถูกเป่า แล้วก็ถูกดูดลงไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็หมุนให้โยมขึ้นมาอีก

    พอถูกลมครั้งที่สองเป่าพรวดออกมา โอ้โฮ! นึกขึ้นได้ มีกลิ่นยานัตถุ์ นึกถึงหลวงพ่อ โอ้! นึกถึงตัวเองได้ว่า เอ๊ะ! ขณะนี้เราเป็นแม่ชีนะ เรากำลังปฏิบัติกรรมฐานนะ สติก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอทันที แต่ใจสั่นมาก สั่นแล้วร้อนมากที่สุดเลย ก็กำหนดรู้หนอ รู้หนอได้อย่างเดียว กำหนดสั่นหนอก็ไม่ได้ กำหนด รู้หนอ รู้หนอ อยู่นาน

    การที่โยมระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้ คือได้สัมผัสกับลมที่เป่านี้ ที่จำได้เพราะแรก ๆ ที่โยมปวดทนไม่ไหวก็ไปหาหลวงพ่อ ท่านก็จะเป่าให้อย่างนี้ จึงได้จำลม สัมผัสลมได้ว่า สิ่งนี้เป็นลม

    และสัมผัสกลิ่นได้ว่านี่เป็นกลิ่นยานัตถุ์ ระลึกถึงหลวงพ่อได้ก็คือมีกลิ่นยานัตถุ์ เมื่อถูกสัมผัสลมครั้งที่สอง

    โยมรูสึกว่าระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้ ก็ระลึกถึงหลวงพ่อ ระลึกว่าเราเป็นแม่ชีนะ กำลังปฏิบัติกรรมฐานอยู่นะ กำหนดรู้หนอ รู้หนอ จิตมันก็เกิดมาในรูป คือรูปที่โยมนั่งอยู่

    แต่มีเวทนามาก ตัวสั่นพึบพั่บ ๆ ใจก็สั่น ใจจะขาดไม่ขาด เหมือนกับคนเป็นลม ก็กำหนดอยู่นาน

    โยมเกิดเวทนาประมาณ ๔ ทุ่ม พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งว่าได้รับสัมผัสลม ระลึกได้ว่าเราเป็นแม่ชี แล้วกำหนดรู้หนอ รู้หนอ ประมาณ ๖ ทุ่มกว่า เกือบตี ๑

    แล้วกำหนด รู้หนอ สั่นหนอ สั่นหนอ แล้วเอนหนอ เอนหนอ นอนลงไปได้ แต่ก็กำหนดสั่นหนออยู่ตลอด เพราะมันไม่หายหรอก กำหนดอยู่ตลอดจนกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาตี ๓

    พอดีหลวงพ่อกดออดทีกุฏิท่าน เสียงดังไปถึงห้องพระที่เรือนชี ได้ยินเสียงท่านเรียก
     
  2. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,067
    ค่าพลัง:
    +7,067
    อืมค่ะ เตือนสติดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...