ตอบข้อข้องใจ (ให้สัมภาษณ์หนังสือนิตยสารดิฉัน) หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ฉลาดน้อย, 28 กันยายน 2013.

  1. ฉลาดน้อย

    ฉลาดน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,721
    เทศน์อบรม-ให้สัมภาษณ์หนังสือนิตยสาร "ดิฉัน"

    (โดย คุณหญิงทิพยวดี ปราโมช ณ อยุธยา)

    ที่กุฏิหลวงตา ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

    เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑ (เย็น)


    ตอบข้อข้องใจ

    หมอในเมืองกับหมอบ้านนอกนี่ต่างกันอยู่มากนะ พวกหมอบ้านนอกส่วนมากช่วยคนไข้จริง ๆ คนไข้วิ่งเข้าไปหานี่ จะทำไง ก็ต้องช่วยรักษาเขาเต็มไม้เต็มมือ เวลารักษาแล้วเขาไม่มีเงินให้ก็ต้องปล่อยไป ๆ แต่หมอในเมืองไม่เป็นอย่างนั้นนะ

    หมอประเภทนี้กินไปเรื่อยเสียก่อนนะ กินไปเรื่อย พอเสร็จแล้วหยูกยานี้เท่าไรเป็นเงินสักเท่าไร รีดเอา ๆ แหลก ๆ นี่ละหมอในเมืองกับหมอบ้านนอกต่างกันอย่างนี้ นี้เป็นหลักความจริงเราไม่หาเรื่องอุตริ เรื่องของมันเป็นอย่างนี้ เลยหมอทุกวันนี้กลายเป็นปอบเป็นผีไป พอเห็นคนไข้เข้ามาโรงพยาบาลแล้ว ว่าวันนี้อาหารว่างเกิดแล้ว เป็นลักษณะนั้นนะ ไม่ได้มีความเมตตาอะไรทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นใครจึงอยากจะเป็นหมอ ๆ เพราะมันเป็นหมาได้ง่าย รีดขูดกินตลอดเวลาไม่มีสนใจในเรื่องอรรถเรื่องธรรมเลย

    เวลานี้จิตใจของหมอนี้เหือดแห้งมากที่สุด เราพูดจริง ๆ ตรงไปตรงมานี้ เราเคยพูดกับหมออย่างนี้เหมือนกัน ถ้าเราจะพูดแล้วไม่มีสะทกสะท้าน เราจะต้องพูดไปตามเหตุตามผลหลักเกณฑ์เท่านั้น อรรถธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมไม่ได้พูดอ้อมแอ้ม ๆ ต้มตุ๋นหลอกลวงเก่ง ๆ นั้นเรื่องกิเลสสกปรกหาความสะอาดไม่ได้ ประดับประดาหน้าร้านให้สวยงาม ข้างในมีแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง แต่สำหรับธรรมแล้วตรงไปตรงมา เป็นภาษาที่สะอาด ภาษาตรงไปตรงมาคือภาษาธรรม ภาษากิเลสนี้สกปรกมากที่สุด

    เวลานี้โลกเต็มไปด้วยกิเลส เพราะฉะนั้นมันถึงสกปรก ไปที่ไหนมีแต่ความเดือดร้อนเต็มบ้านเต็มเมืองหาความสุขไม่ได้ ใครอยู่ที่ไหน ๆ ใครอย่าว่ามีความสุขนะ หาความสุขไม่ได้ มันประดับประดาร้านเฉย ๆ ทางจิตใจมันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันด้วยความโลภ ราคะตัณหา ความโกรธ เต็มไปอยู่ในหัวใจ บีบบังคับอยู่นั้นเอาความสุขมาจากไหนคนเรา

    สิ่งภายนอกนี้ไม่ได้มีความสุขความทุกข์อะไร มันเป็นอยู่กับหัวใจของคนต่างหากนี่นะ คนพาให้ร้อนก็ร้อน คนพาให้เย็นก็เย็น ถ้ามีธรรมะแล้วเย็น ถ้าไม่มีธรรมะแล้วไปไหนก็ไปเถอะ ใครจะว่าเป็นมหาเศรษฐีก็ตาม นั่นคือมหันตทุกข์พวกนั้นแหละ ตรงที่ว่ามหาเศรษฐี ความโลภก็มาก ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ในนั้นหมด เรื่องราวเต็มอยู่ในนั้นหมด เมื่อเรื่องราวเต็มอยู่นั้นความทุกข์จะไม่อยู่นั้นได้ยังไง กองทุกข์ต้องเต็มอยู่ในนั้นหมดนั่นแหละ นี่ละหลักความจริงของศาสนา

    ท่านทั้งหลายอยากฟังศาสนาให้ฟังเสีย นี่ละภาษาศาสนา ภาษาธรรมะ ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมา นี่ละสอนโลก เหมือนกับภาษาศาสนาเป็นน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งที่สกปรก กิเลสมันสกปรกมาก มันไม่พูดตามความจริงนะ สิ่งใดที่จะหลอกลวงต้มตุ๋น เป็นเรื่องของกิเลสออก ถ้าสิ่งใดที่ตรงไปตรงมาเป็นเรื่องของธรรม แต่ธรรมไม่ค่อยออกนะ มีแต่กิเลสตีตลาดเต็มบ้านเต็มเมือง คนจึงทุกข์ร้อนกันมาก

    ใครอยู่ในเมืองไหน ๆ อย่ามาพูดอวด ว่าเมืองนั้นเจริญเมืองนี้เจริญ มันเจริญแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทราย หัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟด้วยกันหมด เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องชุบเลี้ยง แต่นี้ยังดีนะเมืองไทยเรามีพุทธศาสนา ยังมีน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจอยู่บ้าง ถึงจะเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยว่าไม่เจริญก็ตาม ไม่เจริญตามสายตาของกิเลสต่างหาก แต่เจริญในสายตาของธรรมเมืองไทยเรา จึงต่างกันอย่างนี้นะ ไอ้ที่ว่าเจริญ ๆ นั้นมีแต่ฟืนแต่ไฟเสีย เอาตัวรอดเป็นยอดคน ๆ เอาตัวรอดเป็นยอดทุกข์ไม่ได้ว่านี่นะ

    ดูโลกแล้วจนจะดูไม่ได้เวลานี้ ศาสนาก็หมดไป ๆ จากหัวใจของคน มีแต่กิเลสตีตลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดเวลานี้ มีแต่เสกสรรปั้นยอเรื่องกิเลสทั้งนั้น เรื่องจะเสกสรรปั้นยอธรรมะนี้ไม่ค่อยมี ไม่ว่าที่ไหน ๆ แม้ที่สุดในวัดก็ไม่มี หาจะไม่เจอ บวชเข้ามาเพื่อชำระสะสางกิเลส กลับบวชเข้ามาเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกันหมด เรื่องเป็นอย่างนั้นทุกวันนี้ ไม่ได้ว่าคนนั้นคนนี้ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

    พระพุทธเจ้าท่านสอนสอนเพื่อชำระกิเลส บวชเข้ามาเพื่อชำระกิเลส ปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส ไม่ได้บวชเข้ามาเพื่อสั่งสมกิเลส ปฏิบัติเพื่อสั่งสมกิเลสอย่างสมัยปัจจุบันนี้ กิเลสเข้าไปตีตลาดในวัดในวา ในพระในเณรเต็มบ้านเต็มเมือง เรายังไม่เห็นกันเหรอ ถ้าไม่เห็นก็เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาส่องบ้างซิ ถ้าส่องแล้วจะเห็นหมด เพราะความจริงมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองทุกแห่งทุกหนไม่ปิดบัง นอกจากให้กิเลสพาหลับตาดูหลับตาพูด หลับตาแสดงกิริยามารยาทต่อกันเท่านั้น ถ้าธรรมแสดงแล้วโลกนี้จะเย็น นี้โลกไม่เย็นก็เพราะกิเลสตีตลาดล่ะซิ

    เดี๋ยวนี้ศาสนาจะไม่มีละนะ มีแต่ผ้าเหลืองถ้าเป็นพระก็ดี ไม่ว่าท่านว่าเราพอ ๆ กัน โกนผมโกนคิ้วใครก็โกนได้ ผ้าเหลืองใครก็ห่มคลุมได้ ในตลาดมีมาก แต่ความประพฤติปฏิบัติไม่ได้สนใจในอรรถในธรรม ยิ่งกว่าสนใจในกิเลสเท่านั้น เรื่องอะไรเป็นเรื่องกิเลสจะแสดงออกมาก่อน ๆ ไม่ว่าชาวบ้านชาวเมือง ไม่ว่าชาววัดชาววาพระเณร มันจะแสดงด้วยอำนาจของกิเลสด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าแสดงด้วยอำนาจของธรรมแล้วโลกนี้ต้องเย็น เพราะธรรมเป็นเครื่องทำโลกให้เย็นมานานแสนนานแล้ว

    พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้มาเพื่อโลกร่มเย็นทั้งนั้น และสอนโลกให้ร่มเย็น พอศาสนาค่อยหมดไป กิเลสเหยียบย่ำเข้ามา ๆ โลกก็ร้อนเข้า ๆ เมืองไทยเรานี่เฉพาะชาวพุทธเรานี่กำลังเริ่มร้อนนะเวลานี้ ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเดือดร้อนกันไปหมด ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ๆ วิ่งหาตั้งแต่ความสุข ได้มามีแต่ความทุกข์เต็มหัวอก ๆ อย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น การตบแต่งหน้าร้านตบแต่งได้ กิเลสพาตบแต่งทำไมจะตบแต่งไม่ได้ แต่ตบแต่งในหัวใจไม่มีใครตบแต่งล่ะซิ ให้มีความผาสุกร่มเย็นบ้าง

    เวลานี้ฟืนไฟกำลังเผาไหม้อยู่ในหัวใจ ความโลภก็เผา ความโกรธก็เผา ราคะตัณหาก็เผา เผาตลอดเวลา สิ่งที่จะระงับดับสิ่งเหล่านี้ไม่มี แล้วจะให้ไฟดับได้ยังไง เอาเชื้อเสริมไฟเข้าไปเรื่อย ๆ มันก็ร้อนล่ะซี ร้อนเต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ เต็มไปหมดนั่นแหละ

    มันสลดสังเวชนะ ใครจะว่าบ้าก็ตาม หลวงตานี้พูดอย่างตรงไปตรงมาตามภาษาธรรมะ เพราะบวชเข้ามาก็บวชเพื่ออรรถเพื่อธรรม ปฏิบัติ ๆ อรรถธรรม ก็ปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มกำลังความสามารถขาดดิ้น หัวใจจะขาดขาดไปขอให้ธรรมได้ครองใจก็พอ นี้ปฏิบัติมาอย่างนั้น เต็มกำลังความสามารถ จนกระทั่งว่าเต็มเหนี่ยวแล้ว

    เอาเปิดหัวอกให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย ว่าเอาเต็มเหนี่ยวแล้วว่าไง ตั้งแต่ออกจากการเรียนเท่านั้นขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา อยู่ในป่าช้าป่ารกชัฏเรื่อยมา ไม่ได้สนใจกับเป็นกับตาย สนใจแต่กิเลสกับเราใครจะตกเวที เอ้า ถ้ากิเลสเก่งให้กิเลสอยู่เวที เราตกเวที ถ้าเราเก่งให้กิเลสตกเวที เท่านั้นละฟัดกันเลยเอากันเต็มเหนี่ยว

    ต้องขออภัย ๙ ปีเต็ม ๆ ไม่ได้มองเมฆมองหมอก ตามีหูมี สมมุติว่าจะดูผู้เหย้าผู้หญิงอย่างนี้ไม่ดู เข้าใจไหมดูผู้เหย้าผู้หญิง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์นั่นน่ะ ไม่ดู นอกจากมองผ่านไปเห็นเสีย ถ้าตั้งหน้าจะดูนี้ไม่ดู ห้ามขนาดนั้นละห้ามหัวใจ ดัดสันดานกันขนาดนั้น หูก็ไม่ฟังถ้าเสียงไหนที่จะเกิดโทษกิเลสแล้ว ไม่ฟัง ๆ ตัดออก ๆ อยู่อย่างนี้เป็นเวลา ๙ ปี เหมือนติดคุกติดตะรางทั้งเป็น

    เขาติดคุกเขาเป็นนักโทษเขายังรับประทานข้าวหรือกินข้าววันละ ๓ มื้อ ๔ มื้อ เรานี่กี่วันถึงกิน บิณฑบาตกี่วันถึงค่อยบิณฑบาตทีหนึ่ง จนกระทั่งเขาตีเกราะประชุมกันพวกชาวป่าชาวเขา เขาตีเกราะประชุมกันไปดูเรา เขานึกว่าเราตายแล้ว เพราะกี่วันไม่บิณฑบาตไม่ฉัน ฟัดกับกิเลสอยู่ไม่ถอย เขาตีเกราะประชุม เป็นยังไง พระองค์นี้มาอยู่กับพวกเรามานี้ได้กี่เดือนแล้ว มาอยู่นี้นานหลายเดือนแล้วไม่เห็นมาบิณฑบาตเลย หายเงียบ ๆ มาตลอดตั้งแต่มาอยู่นี้ ท่านไม่ตายแล้วเหรอ พวกเรารับประทานวันหนึ่ง ๓ มื้อ ๔ มื้อ ยังทะเลาะกันได้ นี้กี่วันท่านถึงได้มาบิณฑบาต

    เขาตีเกราะไปประชุมกันนะ ตีเกราะประชุมแล้วไปดูท่านนะ เป็นยังไงพระองค์นี้ แต่เวลาไปดูเขามีข้อแม้อันหนึ่งนะ เรายังไม่ลืมนะ เขามีข้อแม้ข้อหนึ่ง แต่เวลาไปให้ระวังนะ พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดานะ เป็นมหา เดี๋ยวไปท่านเขกเอาหลงทิศ เขาพูดว่าอย่างนั้น ใครก็แห่กันมา แล้วมาอะไร จะมาแห่พระเวสสันดรเข้าเมืองเหรอ เราไม่ใช่พระเวสนะ ไม่ใช่ เขาก็เลยมาเล่าเรื่องให้ฟัง เขาว่าผู้ใหญ่บ้านตีเกราะประชุมกันให้ลูกบ้านมาดู ผู้ใหญ่บ้านไม่กล้ามา กลัวว่างั้น บอกว่าผู้ใหญ่บ้านไม่กล้ามา กลัว

    แล้วมาอะไรว่าซิ เขาก็เล่าให้ฟังอย่างนี้ละ อย่างที่เล่านี่ละ พอเสร็จแล้ว แล้วเป็นยังไง คือเขาว่าท่านตายแล้วยัง ให้มาดู แล้วเป็นยังไงตายแล้วยัง เอ๊ ก็ไม่เห็นท่านตายท่านดี ๆ อยู่นี่ นี่ให้ทราบเรื่องการอดอาหารนี่ เราอดเพื่อความเพียรจะฆ่ากิเลสต่างหาก เราไม่ได้อดเพื่อจะฆ่าเรานะ เราก็แก้ตรงนั้นเสีย แล้วมีอะไรอีก แล้วท่านยังโมโหโทโสอยู่เหรอ เวลาท่านอดอาหารหิวอาหารมาก ๆ แล้วเป็นยังไงโมโหโทโสอยู่ไหม เราก็ถามอย่างนั้นละ เอ๊ ก็เห็นท่านยิ้มแย้มแจ่มใสท่านไม่เห็นโมโห นั่นละให้รู้ ว่ากิเลสความโมโหโทโสคือกิเลส เราจะฆ่ากิเลสตัวนั้นเราจะโมโหหาอะไร พอว่าอย่างนั้น มีเท่านั้นเหรอ มีเท่านั้นละ ไป ไล่ ยังไม่ถึง ๑๐ นาทีไล่แตกฮือเลย

    นี่ละเวลาเราประกอบความพากเพียรเอาถึงขนาดนั้นทีเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าสามารถมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อย่างองอาจกล้าหาญชาญชัยไม่สะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุนี้ เราเหยียบหัวมันไปหมดแล้วเรื่องของกิเลสนี้ พูดให้มันตรง ๆ ถึง ๙ ปี จึงได้ลงจากเวที เผาศพกิเลสเรียบร้อย ในหัวใจนี้ว่างหมดจากกิเลส ไม่มีอะไรเหลือแล้วยังไม่ลงจากเวที หมู่เพื่อนเกาะพรึบเลย ลูกศิษย์ลูกหาเกาะพรึบตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ ทำประโยชน์มาได้ ๔๙ ปี ทำประโยชน์เรื่อยมา ๆ

    แล้วเวลามาสร้างวัดก็เป็นอันว่าสร้างประโยชน์พร้อมกันเลย ประชาชนอะไรเขามาติดต่อขอเรื่องโรงร่ำโรงเรียน เอ้า สร้างให้โรงร่ำโรงเรียน สร้างไม่รู้กี่หลัง เงินมีเท่าไรทุ่มลงหมดไม่เคยเก็บแม้สตางค์หนึ่ง วัดนี้ไม่เคยเก็บเงิน สร้างโรงร่ำโรงเรียน จากนั้นก็คนทุกข์คนจน สถานสงเคราะห์ สถานที่ราชการต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นมาติดต่อขอเรา เราให้ ๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่โรงพยาบาล

    ก้าวเข้าโรงพยาบาลนี้อันนี้พิสดารมาก เป็นร้อยโรงแล้วเวลานี้ แต่ละโรง ๆ นี้เป็นล้าน ๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ โรงละ ๕๐ ล้านก็มี เช่นอย่างโรงพยาบาลอุดรฯ คิดดูซิน่ะ นี่ละโรงมากที่สุดคือเราช่วยเต็มเหนี่ยวเลย เพราะนี้เป็นโรงพยาบาลศูนย์ เป็นจุดศูนย์กลาง เราจึงให้เครื่องมือพร้อม ๆ เลย

    นี่ละเรียกว่าตั้งแต่ ๙ ปีล่วงไปแล้ว เผาศพกิเลสเรียบร้อยแล้ว หัวใจนี้ว่างแล้วจากกิเลสทั้งหลาย ไม่มีกองทุกข์ที่จะมาเกี่ยวข้องกับหัวใจนี้อีกแล้ว มีตั้งแต่บรมสุขครองอยู่ที่หัวใจมานี้ ๔๙ ปีนี้แล้ว ปีนี้เราถึงได้เปิด แต่ก่อนเราไม่เคยเปิด เทศน์นี้เต็มอรรถเต็มธรรมเต็มหัวใจ หมดตับหมดปอดไม่มีอะไรเหลือเทศน์ให้โลกฟัง แต่เราไม่เคยได้เอาตัวของเราออกยันว่า เราได้พอแล้วในธรรมทั้งหลายซึ่งเราเสาะแสวงหาเป็นเวลาเท่าไรปี นี้ได้พอแล้วในหัวใจ

    เวลานี้ถ้าเป็นน้ำก็เป็นน้ำเต็มแก้วแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาเพิ่มเข้าอีกแล้ว เราจึงหันหน้ามาสู่โลกมาเพื่อประโยชน์ของโลกเรื่อยมา จนกระทั่งมาปัจจุบันนี้ บัดนี้เห็นเมืองไทยของเราเป็นอย่างนี้ ดังที่เราเห็นทุก ๆ คนนี่ละ ไม่ต้องถามกันก็รู้ แล้วพิจารณาหาทางออก พิจารณาทางไหนมันก็ไม่ได้ ๆ มีแต่ทางตีบตันอั้นตู้ไปหมด เอ๊ะ ทำยังไง ก็หมุนเข้ามาหาหลวงตาบัว

    หลวงตาบัวนี้เป็นที่แน่ใจมั่นใจที่สุดกับตัวเองในเรื่องสุจริตยุติธรรม เราไม่มีอะไรสงสัยแล้ว เราพอทุกอย่างแล้ว เราไม่มีอะไรที่จะแบ่งสันปันส่วนเอาจากพี่น้องทั้งหลายที่นำสิ่งของมาบริจาคแล้วมาเป็นของตนนี้ เราไม่มีในหัวใจเราแล้ว นอกจากความเมตตาล้วน ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นเราถึงได้เปิดอกช่วยบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เป็นผู้นำในการบริจาคเพื่อช่วยชาติของเรา

    มีเท่าไรเราจะหมุนเงินเหล่านี้เข้าคลังหลวงหมด ๆ มีกี่ประเภท พวกทองคำ พวกดอลลาร์ พวกเงินสดเหล่านี้ เราจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียวไม่ให้มีอะไรเหลือเลย เรารับผิดชอบทั้งหมดการเงินการทองจะเป็นผู้ชี้ขาด การเก็บการรักษาการจับจ่ายอะไร ๆ นี้ เราจะเป็นคนสั่งชี้ขาดด้วยความไว้ใจของเรา ทีนี้เวลาได้มาแล้วนี้ควรจะเข้าจุดไหน ๆ ที่เป็นจุดที่ปลอดภัยเพื่อชาติบ้านเมืองของเราจริง ๆ แล้ว เราจะปล่อยเข้าจุดนั้น ๆ เราถึงได้ทำ เวลานี้จึงได้ประกาศตนเป็นผู้นำ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เริ่มมาตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษาฯ จนกระทั่งบัดนี้

    เราเอาจริงเอาจังเราไม่ได้ทำเล่น ๆ นะ เราปฏิบัติตัวของเราก็ทำอย่างนี้ ฆ่ากิเลสก็บอกว่ากิเลสไม่ตายเราต้องตายเท่านั้น ที่จะให้เป็นคู่แข่งกันอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ในชาตินี้เป็นชาติที่เราจะฟัดกับกิเลสให้เต็มเหนี่ยว เอาจนกระทั่งถึงประกาศตนออกได้เลยว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วต่อไปนี้ เป็นชาติสุดท้าย ยุติกันแล้วเรื่องการเกิดการตาย หาบหามความทุกข์มาตลอดเวลาตั้งกัปตั้งกัลป์ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราในการหาบความทุกข์ทั้งหลาย เพราะกิเลสขนมาทุ่มสู่หัวใจเรา

    เราสลัดกิเลสออกแล้วก็สลัดความทุกข์ออกด้วยกัน ทีนี้บรมสุขครองหัวใจแล้ว เราจึงสอนโลกเต็มเหนี่ยวด้วยความเมตตาของเรา เราจึงไม่มีอะไรเกี่ยวกับโลก เรามั่นใจตรงนี้นะจึงนำตนออกประกาศเพื่อเป็นผู้นำของชาติบ้านเมืองของเรา เอ้า ใครจะเชื่อก็เชื่อ บ้านเมืองของเราเป็นยังไงเวลานี้ บรรดาประชาชนทั้งหลายพี่น้องชาวไทยทุกคน มอบหัวใจด้วยความไว้วางใจมาให้เราคนเดียวเป็นผู้รับ เรารับผิดชอบในหัวใจของพี่น้องทั้งหลายด้วยความไว้วางใจนั้นแต่ผู้เดียว เราจึงต้องทำให้เต็มความสามารถของเรา เอาหัวใจขาดดิ้นทีเดียว

    เพราะฉะนั้นจึงได้ปลุกใจพี่น้องชาวไทยให้ตื่นนะเวลานี้ คราวนี้เป็นคราวสำคัญมาก เป็นคราวหัวเลี้ยวหัวต่อของชาติไทยเรา หากว่าคราวนี้เราผ่านพ้นไปไม่ได้ หรืออย่างน้อยตั้งตัวไม่ได้แล้ว เอาตัวรอดไม่ได้แล้ว จะไม่มีคราวไหนนะที่จะได้ทำใหญ่โตขนาดนี้ อันนี้เราทุ่มด้วยกำลังความสามารถของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเราไม่ได้คาดได้ฝันเลยว่าเราจะช่วยโลกแบบนี้ แต่เราก็ได้ช่วยเสียแล้ว จึงต้องได้ประกาศตนออกมา ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด ต่อหัวใจพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง จึงได้ทำอย่างนี้ละ เรื่องราวก็มีเท่านี้ละ

    วันนี้พี่น้องทั้งหลายมาเยี่ยมหลวงตาบัว ได้เห็นลวดลายของหลวงตาบัวเป็นอย่างไรบ้าง สมควรจะเป็นผู้นำได้ไหม ไปพิจารณาซิ พี่น้องชาวไทยของเราสมควรที่จะยอมรับเป็นผู้นำได้ไหม ให้ไปพิจารณาก็แล้วกัน เราเปิดอกให้ฟังหมดแล้ววันนี้ ก่อนที่เราจะประกาศตนเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย เราเปิดหัวอกให้ฟังเสียวันนี้ให้เต็มเหนี่ยว

    นี่เป็นเวลาขึ้นเวที นักมวยเขาต่อยกันบนเวทีเขาต้องต่อยแบบนั้น หมุนติ้ว ๆ เลย พอลงจากเวทีแล้วก็เป็นคนธรรมดา ทีนี้เราพูดอะไรกันก็พูดกันได้แล้ว ไม่มีอะไรละ ถึงเวลาขึ้นเวทีต้องเป็นอย่างนั้น เวลาลงจากเวทีแล้วต้องเป็นอย่างนี้

    ตอบข้อข้องใจ

    “ดิฉัน” อยากจะขอกราบเรียนหลวงตาบางเรื่อง แต่ต้องขออภัยเพราะว่าความไม่รู้ไม่ทราบก็ต้องกราบขออภัย คือว่าโครงการทั้งหมด หนี้สินประเทศเราไม่ใช่น้อย ๆ เป็นแสนล้าน ไม่ทราบว่าท่านหลวงตามีโครงการนโยบายยังไง

    หลวงตา อ๋อ โครงการยังไง ให้เราดูมหาสมุทรทะเลหลวง เขาไปขนน้ำมาจากไหนมาเต็มท้องฟ้ามหาสมุทรทะเลหลวงนั้น เขาเอามาจากไหน เขาเป็นมหาสมุทรได้ อันนี้ชาวไทยของเราก็เหมือนกัน ถึงจะเป็นมหาสมุทรในเมืองไทยเราก็ตาม กำลังความสามารถของเมืองไทยเรา เหมือนกับฝนตกทีละหยดละหยาด ต่างคนต่างช่วย ๆ แล้วก็เต็มตื้นด้วยน้ำได้เหมือนกัน ต้องเต็มได้ นอกจากว่าต่างคนต่างจะปล่อยแล้วก็จม จม ๆ จมได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าจะฟื้น ให้ต่างคนต่างฟื้นแล้วได้

    “ดิฉัน”
    ตะกี้นี้หลวงตาบอกว่ากิเลสมันร้ายกาจนัก แล้วคนจะสู้ไหวหรือเจ้าคะ สู้กิเลสเพื่อจะได้มาช่วยชาติ

    หลวงตา สู้นั้นก็เหมือนกับนักมวยขึ้นเวที ถ้าเราอ่อนเขาก็ต่อยเราตกเวที ถ้าเราแข็งกว่าเขา เขาก็ตกเวทีเหมือนกัน เราต้องสู้ อย่างไรต้องสู้เสียก่อน เหมือนนักมวยขึ้นเวที ไม่ได้เอาแพ้เอาชนะกันก่อนต่อยแหละ ต้องขึ้นต่อยกันเสียก่อนเขาจึงเอาความแพ้ความชนะทีหลัง ทีนี้เราจะไปรอดหรือไม่รอด นี้เป็นความที่คาดหมายไว้ต่างหาก เป็นลมเป็นแล้ง เดี๋ยวจะมีสิ่งยั่วยวนเข้ามาหลอกให้เราอ่อนใจนะ เราทำไม่ได้ ตกลงก็แพ้ก่อนขึ้นเวที ใช้ไม่ได้เลย ต้องให้ขึ้นเวทีเสียก่อน หนักเบาแพ้ชนะต้องให้ขึ้นเวทีเสียก่อน รู้กันบนเวที นักมวยเขารู้กันอย่างนั้น นี่เรายังไม่ต่อยแพ้แล้วใช้ไม่ได้นะ เราต้องต่อยเสียก่อนซิ

    “ดิฉัน” ทีนี้โครงการที่ว่านี่ วิธีการจะทำยังไง เพราะคนบริจาคมาแล้วนี่ หลวงตาจะใช้หนี้ให้ประเทศเจ้าค่ะ

    หลวงตา ใช้ได้เท่าไรเราใช้ทั้งนั้นละ ใช้จนพอ เมืองไทยเรามีคน ๖๐ กว่าล้านคน ต่างคนต่างช่วยคนละหยดละหยาด ๆ เหมือนกับเรารับประทาน เรารับประทานคำเดียวไม่อิ่มนะ คำเดียวไม่อิ่ม สองคำเข้าไป สามคำเข้าไป สี่คำเข้าไป เอากระทั่งจนอิ่มได้ด้วยอาหารเป็นคำ ๆ อันนี้ที่เราช่วยเป็นชิ้น ๆ ช่วยไม่หยุดไม่ถอย ก็เหมือนกับป้อนอาหารให้ท้องว่างมันเต็มนั่นเองไม่ผิดกัน

    “ดิฉัน” แต่จะคอยให้ครบจำนวนก่อนหรือว่าอย่างไร

    หลวงตา เราไม่ต้องคอย เราช่วยไปเรื่อย ๆ เราไม่คอย เรื่องความครบนั้นมันจะอยู่กับความดำเนินของเรา ไม่ขึ้นอยู่กับความคอยนะ ความคอยไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่าไปคอยกันนะ การดำเนินเป็นทางเดินที่จะให้ความอิ่มพอเกิดขึ้นในประเทศ ความคอยเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์

    “ดิฉัน” แล้วทำไมถึงแยกเป็นสามส่วนเจ้าคะ ว่าส่วนหนึ่งเป็นทอง ส่วนหนึ่งเป็นดอลลาร์ อีกส่วนหนึ่งเป็นเงินบาท

    หลวงตา อ๋อ คือส่วนที่เป็นดอลลาร์นี้เราก็เพื่อใช้หนี้ เราจะใช้ได้เท่าไรเราก็เอาไปใช้หนี้ทางด้านนี้

    “ดิฉัน” หนี้ต่างประเทศใช่ไหมเจ้าคะ

    หลวงตา
    ใช่ หนี้ต่างประเทศ อันที่สองคือทองคำ เราเอาไว้ให้เป็นสมบัติประกันชาติของเรา ไว้ที่คลังหลวงด้วยกันนั่นแหละ ส่วนเงินสดนั้นได้มามากน้อยนี้ เราเห็นสมควรที่จะช่วยในจุดใด ๆ ในประเทศของเรานี้บกพร่อง เมื่อเห็นสมควรแล้วผู้นี้เป็นผู้ที่จะรับสมบัติเหล่านี้ไปเพื่อเป็นประโยชน์จริง ๆ ไม่ได้เอาไปล่มจมที่ไหน แล้วเราจะมอบให้เป็นจุดเป็นแห่งไป แล้วอย่างหนึ่งถ้าหากว่าเงินนี้มีมาก เราอาจจะหมุนมาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำเข้าคลังหลวงอีกก็ได้

    ส่วนเงินสดนี้เรายังไม่แน่นักนะ คือไม่แน่ว่าจะวางลงให้จุดไหน ๆ จุดไหนที่จะเป็นที่พอใจเรา ปลอดภัย ไม่เอาไปล่มจมเสียหายไม่เอาไปลงทะเลเสียอย่างนี้ เราจะมอบให้จุดนั้น ถ้าหากว่าเรายังไม่แน่ใจเราก็ไม่มอบ เราจะหมุนเงินเหล่านี้เข้ามาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ชาติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่ให้มีทางล่มจมจากเราผู้พาดำเนินงาน

    เพราะหัวใจพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย เวลานี้ได้มอบความไว้วางใจมาให้กับหลวงตาบัวหมดแล้ว หลวงตาบัวหอบดวงใจของพี่น้องทั้งหลายไว้แต่ผู้เดียว จึงต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้ให้เต็มเหนี่ยวเสียก่อน ก่อนที่จะออกเคลื่อนไหวไปยังไงเราจะไม่ให้ไปทางล่มจม จะให้เป็นประโยชน์แก่พี่น้องทั้งหลายสมความมุ่งหมายด้วยกันอย่างนั้น

    ดอลลาร์ก็พูดแล้ว คือดอลลาร์นี้จะเอาเข้าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เราจะเอาเข้าจุดนี้ เราได้มากน้อยเราก็ช่วยไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เราไปกว้านเอาเงินเขามาติดหนี้เป็นแสน ๆ ล้าน ทำไมเรากว้านกันมาได้ เราจะกว้านกลับคืนมาใช้หนี้เขาทำไมกลับกว้านไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราก็แพ้ก่อนต่อยซิ ใช้ไม่ได้ เราจะเอาแต่ชื่อมาชนะที่ไหนมวยเราไม่เป็นท่า ใช้ไม่ได้ เราต้องเป็นนักสู้ซิ

    เราเอามาเป็นความล่มจมแก่เมืองไทยเรายังเอามาได้ เราจะเอามาให้ฟื้นฟูเมืองไทยเราทำไมจะเอาไม่ได้ คนที่เขากอบโกยเอาไปใส่ไส้ใส่พุงหลวงเขา เขายังเอาไปได้ เราก็เป็นคนเหมือนกัน ที่จะกว้านสิ่งเหล่านี้เข้ามาหนุนเมืองไทยเรา เราทำไมจะหนุนไม่ได้ เราเป็นคนไทยทั้งชาตินี่นะ ต้องได้ เอาให้ได้ทีเดียว อย่างน้อยให้ทรงตัวได้ มากกว่านั้นให้สมบูรณ์พูนผล

    นักต่อสู้ คือเมืองไทยของเรา เป็นเมืองที่จิตใจกว้างขวางมาก ไม่ใช่เมืองคับแคบตีบตัน เป็นเมืองที่มีแก่ใจต่อกัน เป็นเมืองที่จิตใจกว้างขวางมาก เป็นเมืองเสียสละไม่ใช่เมืองเห็นแก่ตัว เป็นเมืองชุ่มเย็นด้วยพุทธศาสนา จึงแน่ใจว่าได้ไม่สงสัย นอกจากจะคอยเท่านั้นอย่างที่ว่า ถ้าว่าคอยให้สมบูรณ์ ๆ ทั้งที่ไม่ได้สนใจทำเลยเพื่อความสมบูรณ์นั้น มันก็ไม่สมบูรณ์ มีแต่จะจมไปเรื่อย ๆ เพราะความจมนั้นไม่คอยมันก็ทำอยู่ทุกวัน แต่ความที่จะหนุนนี้จะคอยเสียก่อนนี้ใช้ไม่ได้ไม่ทันกัน ต้องเอาให้ทันกันซิ ต้องขออภัยนะเราพูดตามหลักความจริงตามอรรถตามธรรม ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้

    “ดิฉัน” สรุปแล้วถ้าใครอยากจะบริจาค ไม่จำเป็นต้องเจาะจง จะเป็นดอลลาร์ เป็นทอง หรือเป็นเงินสด หลวงตาก็จัดเอง

    หลวงตา ได้ทั้งนั้น ทางนี้จะแปรมาเป็นประโยชน์เอง

    “ดิฉัน”
    แล้วทีนี้จะไว้ใจคนที่เรามอบต่อได้ยังไงเจ้าคะ อันนี้ต้องขออภัย

    หลวงตา จะไว้ใจใคร ก็ไว้ใจหลวงตาบัว หลวงตาบัวก็ประกาศความบริสุทธิ์ให้ฟังแล้ว ถ้าไม่ไว้ใจก็เป็นกรรมของหลวงตาบัวและกรรมของชาติเท่านั้นเอง

    “ดิฉัน” ไม่ใช่เจ้าค่ะ ดิฉันหมายถึงว่าหลวงตานี่คนไว้ใจทั้งประเทศแน่ แต่ว่าหลวงตามอบต่อไปใช้หนี้ให้คนที่รับหนี้ไป

    หลวงตา อันนี้เราก็มีข้อตกลงกันอย่างมัดแน่นทีเดียว ก่อนที่เราจะมอบเงินให้ มีหลักมีเกณฑ์รับรองเราทุกอย่างแล้วเราถึงจะมอบให้ ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์เราไม่มอบ เพราะเงินนี้เป็นเงินของหัวใจทั้งประเทศ สมบัติของทั้งประเทศมามอบให้เราคนเดียวนี้ เราจะไปมอบให้สุ่มสี่สุ่มห้าเรามอบไม่ได้นะ

    จะต้องมีข้อตกลงมีกฎมีเกณฑ์มีสักขีพยานยืนยันกันอย่างตายตัวว่า เงินนี้จะเข้าในจุดนี้แน่นอนแล้วเราถึงจะมอบให้ ด้วยความมีหลักฐานพยาน เราทำอย่างนั้นนะ นี่เราคิดไว้อย่างนี้ ทุกอย่างคือเราจะไม่ทำพรวดพราด เพราะหัวใจประชาชนอยู่นี้หมดแล้ว เราจะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ต้องเอาให้จริงให้จัง

    ใครเป็นเทวดามาจากไหนก็ตาม ท้าวมหาพรหมลงมานี้ จะมีอำนาจเหนือเราที่เป็นเจ้าของสมบัตินี้ไม่ได้ เราต้องเป็นผู้ควบคุมสมบัตินี้เพื่อชาติแต่ผู้เดียวเท่านั้น ใครจะมีอำนาจมาเหนือเรามาบีบบังคับเรานี้ไม่ได้ ว่างั้นเลย เราไม่ให้ คอขาดเราก็ขาดไปเฉย ๆ แต่ความสัตย์ความจริงที่จะให้ต่อชาติบ้านเมืองนี้เราไม่ยอมให้ขาด แต่เรื่องคอเราขาดนี้ขาดไปเถอะ ว่างั้นเลย เราเอาอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ได้ทำเล่น เวลานี้เราออกสนามแล้ว ออกสนามเพื่อรบ รบอะไร รบกับความจนของชาติเรานั่นซิ ไม่ได้รบกับใครแหละ รบกับความจน

    “ดิฉัน”
    แล้วชาติมีหวังรอดไหมเจ้าคะ

    หลวงตา มีหวัง ถ้าเราสร้างเหตุความหวังขึ้นให้ดีทุกคน ๆ มีหวัง ตั้งแต่เราทำให้จมลงขนาดนี้เรายังทำได้ เรายังจะทำให้จมมากกว่านี้ก็ยังได้ เพราะมันเกิดขึ้นจากคนผู้ทำ นี้ก็เกิดขึ้นจากคนผู้ทำ ส่งเสริมกันได้เหมือนกัน ทำไมไม่ได้ ต้องได้ซิ

    “ดิฉัน” แสดงว่าความหวังก็ยังมี

    หลวงตา
    ไม่มีไม่หวัง ไม่มีไม่ทำ ความหวังมีจึงต้องหวัง ความหวังมีจึงต้องทำ แล้วมีอะไรอีกล่ะ

    “ดิฉัน”
    มีเยอะแยะเจ้าค่ะ แต่ว่าถามเผื่อผิด ๆ ถูก ๆ ไม่ถูกต้อง

    หลวงตา อ๋อ อันนี้เหมือนกันแหละ ตอบก็ไม่ได้รับรองว่าถูกต้อง เป็นยังไงก็ตอบแบบผิด ๆ ถูก ๆ ไปเหมือนกันแหละ ต่างคนต่างให้อภัยก็แล้วกัน เพราะเจตนาเป็นจุดเดียวกันใช่ไหม จะผิดถูกกันอะไร เหมือนเขาต่อยมวย ต่อยผิด ๆ ถูก ๆ มันก็ต่อย แต่ว่าเขาเอาความแพ้ความชนะเป็นสำคัญ อันนี้เราก็เอาความแพ้ความชนะเรื่องประเทศชาติของเรา เวลานี้เราจะเอาชนะความจนของเรา

    “ดิฉัน”
    ท่านเจ้าคะคืออย่างนี้ ความจนนี่ หลายคนถวายเงินหลวงตาด้วยความอยากได้กุศลอยากได้อะไร ก็แล้วแต่เหตุผลของเขานะเจ้าคะ ทีนี้ให้เงินเยอะ ๆ จะช่วยชาติทั้งทีก็ต้องนึกว่าเป็นเงินจำนวนใหญ่ เป็นแสนเป็นล้าน คนจนอยากช่วยบ้างจะทำยังไงเจ้าคะ

    หลวงตา เด็กมันยังรับประทานข้าวได้ ผู้ใหญ่จะรับประทานไม่ได้เหรอ เด็กยังรับประทานได้เด็กยังอิ่มได้ ผู้ใหญ่รับประทานไม่ได้เหรอ อิ่มไม่ได้เหรอ นี่เราไม่ใช่เด็กนี่นะ เราที่จะช่วยชาติ เราเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวทุกคนทำไมจะทำให้ชาติอิ่มพอไม่ได้ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ

    “ดิฉัน เข้าใจแต่ไม่ถ่องแท้เจ้าค่ะ เข้าใจแต่ยังไม่ถ่องแท้

    หลวงตา แล้วจะให้อะไรถ่องแท้อีก ก็ยังมีเหลือแต่ไปขวนขวายเอามาให้หลวงตาดู เอาให้เต็มเหนี่ยวแล้วมันยังจะบกพร่องให้ได้เห็นเสียทีหนึ่ง ก็เท่านั้นละ ก็มีแต่จะทวงเอาเท่านั้นแหละ อย่างอื่นไม่มี

    “ดิฉัน” คือ เขามีห้าบาทเขาก็อายไม่อยากจะให้

    หลวงตา ทำไมจะไม่ได้ ฝนตกมันตกทีละโอ่งสองโอ่งเหรอ มันตกทีละสระสองสระเหรอ ฝนตกมันตกทีละหยดละหยาด ทำไมทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มได้ คนจนก็เป็นคน เงินคนจนก็เป็นเงิน ห้าบาทก็เป็นเงินห้าบาทว่าไง สิบบาทเป็นเงินสิบบาท มหาเศรษฐีมีเงินเป็นล้าน ๆ เขาไม่ให้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่เขาที่มีเงินห้าบาท เขาให้บาทหนึ่งก็เป็นประโยชน์แก่เขา ให้สิบบาทเป็นประโยชน์แก่เขา คนนี้ดีกว่าเศรษฐีที่ไม่ให้สักสตางค์เลย

    “ดิฉัน” เจ้าค่ะ ดิฉันขอกราบเรียนถามเพราะอยากได้ยินจากปากของหลวงตาว่า คนให้ล้านหนึ่งกับคนให้ห้าบาท ได้บุญเท่ากันไหมเจ้าคะ หรือต่างกัน

    หลวงตา อันนี้ขึ้นอยู่กับน้ำใจเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุด้วยน้ำใจด้วย ผู้ที่ให้ล้านบาท ให้ด้วยความเต็มใจจริง ๆ ผู้นั้นก็มีอานิสงส์มากกว่าผู้ที่ให้ห้าบาทด้วยความเต็มใจด้วยกัน เพราะสมบัติมีมากกว่ากัน กำลังใจเท่ากันก็ตาม สมบัติมากกว่ากัน ผู้ที่ให้มากก็ได้มาก ผู้ที่ให้น้อยก็ได้น้อย

    แต่อย่างไรก็ตามเราอย่าไปเข้าใจว่าช้อนนี้เล็กน้อยเหลือเกิน ช้อนนี้เราตักไม่หยุดไม่ถอยมันก็เต็มท้องเอง อันนี้ก็เหมือนกัน เราทำไม่หยุดไม่ถอย เราจะมีเล็กน้อยก็ตามทำไม่หยุดไม่ถอยก็เพิ่ม คนนี้ห้าบาท คนนี้ห้าบาท รวมเป็นสิบบาทแล้วใช่ไหมนั่น แล้วคนนี้อีกห้าบาทเป็นสิบห้าบาทแล้วใช่ไหม ถ้าหลายคนเข้าไปก็รวมขึ้นไปหนักขึ้นไป มันก็ทำให้ท้องฟ้ามหาสมุทรเต็มด้วยน้ำได้ เหมือนฝนตกนั่นแหละไม่ผิดอะไรเลย

    นี่ละถ้าเวลาจะฟื้นฟูประเทศชาติบ้านเมือง แสดงความอ่อนแอเข้ามา บทเวลาจะทำบ้านเมืองให้ล่มจมนี้มีแต่ขึงขังตึงตังด้วยกัน มันจะไม่จมได้ยังไงบ้านเมือง เป็นอย่างนั้น หลวงตายังไม่เห็นทำบ้านเมืองให้ล่มจมที่ไหนนี่นะ ยังขึงขังตึงตังที่จะช่วยบ้านช่วยเมืองได้ ทำไมลูกศิษย์ลูกหาจะทำไม่ได้

    “ดิฉัน”
    แต่อย่างนี้คนก็ใช้หลวงตาเปลืองมาก

    หลวงตา คนใช้หลวงตาเปลืองมากเป็นยังไง ตอนนี้ยังไม่เข้าใจ

    “ดิฉัน”
    คือหมายถึงว่าอะไร ๆ ก็บริจาคผ่านหลวงตา หลวงตาต้องจัดการทั้งหมด แต่จิตใจคนก็อาจจะล่มได้อีกถ้าไม่รักษาให้ได้..ใจ

    หลวงตา
    อันนี้มันล่มก่อนที่ยังไม่ล่ม แบบนี้แบบล่มก่อนที่ยังไม่ล่ม แพ้ก่อนที่ยังไม่ต่อย มีแต่แบบแพ้ก่อนยังไม่ต่อยทั้งนั้นพูดออกมานี่ มันไม่ได้ขึ้นเวทีเสียก่อนให้รู้แพ้รู้ชนะกันบนเวทีนะ อันนี้มีแต่แพ้เสียก่อนก่อนต่อย แพ้เสียก่อนก่อนต่อย บ้านเมืองจมถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจม ไม่บอกว่าหวังว่าจมไม่จมก็ตาม จม ถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าชาติไทยนี่เป็นของเราทุกคน ๆ ไม่ว่ามากว่าน้อยเอาให้เต็มเหนี่ยวด้วยกันแล้วเต็มไม่สงสัย

    “ดิฉัน”
    หลวงตาก็เหนื่อยแย่ซิเจ้าคะ

    หลวงตา
    หลวงตาเป็นผู้นำ หลวงตาไม่ได้แสดงความเห็นอย่างนี้นี่นะ ไม่ได้มีความรู้ชนิดนี้ ความรู้มันหิวมากขนาดไหน จะฟาดให้มันอิ่มถึงจะหยุด เอาตรงนั้นนะ มันหิวมากนั่นละเรายิ่งจะกินมาก มันหิวน้อยเราจะกินน้อย ไม่หิวเราไม่กิน แต่นี้มันกำลังหิวมาก เมืองไทยกำลังหิวโหย ท้องว่างไปหมดเลยจากสมบัติต่าง ๆ ในเมืองไทยที่จะบรรจุให้ เพราะฉะนั้นเราจึงขนเข้าให้เต็มเหนี่ยวซิ ให้เมืองไทยของเราอิ่มพอด้วยสมบัติเราจะได้สง่างาม ชาตินอกเมืองนอกเมืองนาเพื่อนบ้านเพื่อนเมืองเขา จะไม่ได้ชี้หน้าด่าทอเราให้เสียเกียรติของเมืองไทยเรา

    เรื่องเกียรติของเมืองไทยแล้วหน้าตาเป็นสำคัญนะ แม้แต่เด็กเขาก็สงวนหน้าตาของเขา ไปชี้หน้าเขา ดุเขาด่าเขาทอเขาดูถูกเหยียดหยามต่าง ๆ นี้เด็กจะร้องไห้ต่อหน้าทันทีเลยนะ อันนี้หน้าคนไทยเราทั้งประเทศนี่ จะให้คนเพื่อนบ้านเขามาชี้หน้าด่าทอว่าเมืองไทยนี้เป็นเมืองไม่เป็นท่า เป็นเมืองอ่อนแอ แพ้ก่อนขึ้นเวที อย่างนี้เป็นยังไงเมืองไทยเรา หน้าไหนจะมีหน้า แม้หน้าหลวงตาบัวก็ไม่เว้น ถูกเขาด่าทอแบบเดียวกันแล้วจะเป็นยังไง เราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หน้าไหนก็มีแต่หน้าถูกด่าทอ

    เพราะฉะนั้นเราจึงกันหน้าไม่ให้ถูกด่าทอนี้ ฟัดกันลงไปให้เต็มเหนี่ยว เอ้า ขึ้นเวทีเสียก่อนว่างั้นเลย ซัดกันเต็มเหนี่ยว ใครแพ้ใครชนะก็รู้กันตรงนั้น ๆ เอาให้รู้กันตรงนั้น เวลานี้เรากำลังก้าวขึ้นสู่เวทีอย่ายอมแพ้ก่อนขึ้นเวที แล้วคนที่เขามาชมมวยนั้นเขาจะเฮเอาหลงทิศไปนะอย่าว่าไม่บอก นึกว่าจะมาดูมวยแพ้ชนะ แล้วไปเซ็นแพ้ให้เขาแล้วแต่ยังไม่ขึ้นเวทีนี้ โอ๊ย เขาชี้หน้าเอานะ ชี้หน้ายิ่งกว่าเพื่อนบ้านเขามาชี้หน้าเมืองไทยเรานะ เอาให้เต็มเหนี่ยวอย่าถอย

    ชาติไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ชาติเป็นเรื่องใหญ่โตมากที่สุดเลย ต้องเอาให้เต็มเหนี่ยวทุกคน ๆ อย่าท้อถ้าอยากให้ชาติยั่งยืนถาวร ถ้าอยากเป็นอิสระ ถ้าอยากเป็นชาติไทยที่มีสง่าราศีอย่าท้อ ความท้อนี่จะทำให้ความล่มจมยิ่งลงไปกว่านี้อีกนะไม่ใช่ทางดี ไม่ใช่ของดี อย่านำมาพรรณนา อย่านำมาคิดมาอ่าน ให้เป็นความท้อใจ ให้เข้มแข็ง ต่างคนต่างเข้มแข็ง สู้ เอาเลย เอาจนได้ชัยชนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2013
  2. ฉลาดน้อย

    ฉลาดน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,721
    “ดิฉัน” ล้มก็ต้องลุกมาสู้ใหม่

    หลวงตา ไม่ต้องถาม

    “ดิฉัน” แต่เป็นห่วงนิดหนึ่งว่าวิธีการ ทฤษฎีนี่ใช้ได้ ว่าทุกคนคนละนิดคนละหน่อยแล้วแต่มีนะเจ้าคะ

    หลวงตา ก็อย่างนั้นแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องการอย่างนั้น หลวงตาบัวไม่ได้ต้องการเอาเป็นมหาเศรษฐีจากคนคนเดียวนะ เราต้องการให้ชาติบ้านเมืองสมบูรณ์ด้วยทุกคนช่วยกัน เราต้องการอย่างนี้

    “ดิฉัน” แต่ทีนี้วิธีการภาคปฏิบัตินี่จะทำยังไงเจ้าคะ

    หลวงตา ภาคปฏิบัติหลวงตาจะปฏิบัติเอง

    “ดิฉัน” หมายถึงว่าคนที่จะบริจาค อย่างเขาอยู่สุราษฎร์ธานีเขาจะบริจาคเงินช่วยชาติเขาจะทำยังไงเจ้าคะ

    หลวงตา
    เงินเข้าธนาคารได้ทุกแห่ง ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เราเป็นเจ้าของบัญชีไว้แล้วเวลานี้ คือสาขากสิกรไทยเขาก็ประกาศทั่วประเทศไทยแล้ว ว่าให้เข้าได้ทุกสาขา เขาจะโอนเข้ามาหาธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่นี้ โดยไม่ต้องเสียค่าอะไรเลย ธนาคารไทยพาณิชย์เขาก็ประกาศแบบเดียวกัน ว่าให้โอนเข้าได้ทุกสาขาของไทยพาณิชย์ทั่วประเทศไทย แล้วเขาจะโอนเข้ามานี้จุดเดียว

    “ดิฉัน” ทีนี้ทองล่ะเจ้าคะ

    หลวงตา ทองนั้นต้องถึงมือของหลวงตาเป็นสำคัญ ถึงมือ ทองคำกับดอลลาร์เราเป็นผู้รับอันนี้ อันนี้มันไม่สุดวิสัยที่เราจะรับได้ เรารับอันนี้ อันนั้นมันสุดวิสัยอยู่ทุกแห่งทุกหนที่จะส่งมาอย่างนั้น ทองคำนี้เป็นของมีค่ามาก การที่นำทองคำมาให้หลวงตานี้ก็มีอานิสงส์มากอยู่แล้วนี่ ทำไมทองคำจะไม่คุ้มค่าของการมา ต้องคุ้มค่ากัน เราคิดอันนี้เพราะฉะนั้นถึงว่าเปิดให้ใครมาถึงมือเลย เราจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว

    “ดิฉัน” แต่ทีนี้มีอันหนึ่งที่ดิฉันยังฟังสับสนนิดหน่อย คือธรรมดาปกติทั่วไป เวลาคนทำบุญ ถวายปัจจัยทำบุญนี่ ก็จะอุทิศส่วนกุศลให้คนใกล้ชิด ให้ตัวเองก็แล้วแต่ แต่ในกรณีช่วยชาตินี่ ยังต้องไปหวังให้ ก็คือให้ช่วยชาติ อุทิศให้แก่ชาติ ไม่ต้องไปหวังอย่างอื่นใช่ไหมเจ้าคะ

    หลวงตา การให้นั่นให้หลายด้านหลายทาง จะให้บุคคลผู้ใดก็ตาม เราหวังเอาบุญเอากุศลกับบุคคลผู้นั้นเท่านั้นใช่ไหมล่ะ นี่เราช่วยชาติเราก็หวังเอาบุญเอากุศลกับชาติไทยของเรา ซึ่งเต็มไปด้วยมนุษย์ ๖๐ กว่าล้านคน ทำไมมนุษย์ ๖๐ กว่าล้านคนจะไม่ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้บริจาคได้ เรียกว่ามหากุศล เราให้ทานแก่ส่วนรวมใหญ่โตอย่างนี้ ยิ่งเป็นมหากุศลใหญ่กว่าให้บุคคลเป็นบางคนเสียอีก นี่เรียกว่าเราสร้างมหากุศลเวลานี้

    “ดิฉัน” ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอกราบเรียนถามต่ออีกนิดหนึ่งว่า การที่เราทำบุญแล้วเราก็ขออุทิศส่วนกุศล นี่ผิดหลักไหมเจ้าคะ

    หลวงตา ไม่ผิด เพราะเป็นสมบัติของเราแล้ว

    “ดิฉัน” เหมือนกับเอาเงินซื้อกุศลจะถูกหรือเจ้าคะ

    หลวงตา เราไม่ซื้อ กุศลนั่นเป็นมาเอง เหมือนกับคนไปทำบาปเขาไม่ได้ซื้อบาปแหละ แต่บาปก็เกิดกับเขาเอง เราทำบุญทำกุศลเราไม่ต้องไปซื้อบุญซื้อกุศล บุญกุศลเป็นของเราเอง เหมือนกันกับทำบาปไม่ต้องไปซื้อบาปแหละ บาปก็เป็นตัวของเราเอง เช่นอย่างนักโทษไปหาฉกหาลักที่นั่นที่นี่ แล้วมันก็ไม่ต้องไปซื้อเรือนจำมันก็เป็นนักโทษในเรือนจำนั่นเองของมัน เมื่อมันเด่นเข้า ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้น

    เวลาไม่เด่นก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้มันอยู่นั้น เขาจับได้ไม่ได้ก็ตาม ไม่มีใครที่จะร้อนยิ่งกว่าคนทำผิด มันร้อนอยู่ในหัวใจของมัน ใบไม้ตกแค็กลงมานี้มันนึกว่าตำรวจจะมาแล้ว มันวิ่งแล้วเผ่นแล้ว นี่คือความทุกข์ความระแวงเข้าใจไหมล่ะ เราไม่ต้องไปหาซื้อแหละหาซื้อบาป มันหากเป็นอยู่ในนั้นเผาอยู่ในนั้นใช่ไหม การทำบุญให้ทานของเราก็เหมือนกัน เราไม่ต้องไปหาซื้อ เป็นขึ้นอยู่ในนั้นแหละ

    “ดิฉัน” อย่างที่ดิฉันสงสัยนะเจ้าคะ เช่นอย่างว่าคนทำบุญวันเกิดอย่างนี้ ก็มาทำบุญถวายสังฆทาน เหมือนว่าให้ตัวเองได้ดี มันขัด ๆ ในใจ

    หลวงตา การระลึกถึงบุญถึงคุณของตัวที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วทำบุญให้ทาน ด้วยความระลึกถึงบุญถึงคุณนี้ เป็นบุญอีกส่วนหนึ่งของเรา เรียกว่าเราไม่ลืมชาติแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา เพราะเราไม่ใช่หมาตัวหนึ่งเกิดขึ้นมานี่นะ พอที่จะลืมชาติของตัวเอง นี้มนุษย์ทั้งคนทำบุญเพื่อระลึกถึงบุญถึงคุณ ที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้ ทำไมจะไม่เกิดบุญเกิดกุศลล่ะ เข้าใจหรือเปล่า

    ถ้าทำอย่างนี้มันขัด เราก็ต้องไปเกิดเป็นหมาซี ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการทำบุญให้ทาน เป็นหมาแล้วยากอะไร ไม่ต้องทำบุญให้ทานวันเกิดละใช่ไหม ทีนี้ใครก็ไม่อยากเป็นหมา อยากเป็นมนุษย์ บุญที่ทำมาให้เราเกิดเป็นมนุษย์นี้ เราไม่มีบุญเราเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้นี่นะ เราทำบุญด้วยอำนาจแห่งความระลึกถึงบุญถึงคุณของเราไม่เสียหายอะไรนี่ มีแต่เป็นคุณโดยถ่ายเดียวเท่านั้นละ

    “ดิฉัน” โครงการนี้เริ่มแต่เดือนกุมภาฯ ใช่ไหมเจ้าคะ

    หลวงตา เริ่มรับดอลลาร์ตั้งแต่เดือนกุมภาฯ

    “ดิฉัน” ตอนนี้ได้เยอะหรือยังคะ

    หลวงตา คงไม่ต่ำกว่าล้านดอลลาร์แล้วเวลานี้ เพราะเก็บสองแห่ง เราเก็บไว้ที่ตู้นิรภัย เวลานี้ทองคำก็ดี ดอลลาร์ก็ดี เราเก็บไว้ที่ตู้นิรภัย เมื่อเห็นสมควรแล้วเราถึงจะนำออกมา เรียกว่าเป็นที่แน่ใจทุกอย่างแล้วเราถึงจะปล่อย ไม่แน่ใจเราไม่ปล่อย คอขาดเราก็ไม่ปล่อย เพราะหัวใจของพี่น้องชาวไทยด้วยความไว้วางใจทั้งประเทศ มาอยู่กับเราคนเดียว เราจึงทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เราต้องทำให้เต็มที่ของเรา เรียกว่าคอขาดก็ขาดไปเลย เพื่อชาติบ้านเมืองให้ได้ร่มเย็นเป็นสุขเราเป็นที่พอใจ แต่ความสัตย์ความจริงของเรานี้จะขาดไปไม่ได้ ต้องมอบไว้กับชาติบ้านเมืองของเรา

    เราเอาจริงจังอย่างนั้นนี่นะ เราถึงกล้าออกสนามล่ะซิ ไม่กล้าต่อยไม่กล้าออกสนาม ไม่กล้ารบไม่ออกแนวรบ นี่กล้ารบทุกอย่างแล้วจึงไม่ถอย ความจนมีมากขนาดไหนเราไม่ถอย เราจะสู้ความจนให้ชนะ จนกระทั่งมีความสมบูรณ์พูนผลขึ้นมา เข็มชัยของเราตั้งไว้ตรงนี้นะ เราไม่ได้ตั้งเพื่อความอ่อนแอ โอ๋ย ติดหนี้เขามากเห็นจะไม่ไหว ไม่ไหวก็ยิ่งล้มไปเลย ใช้ไม่ได้

    “ดิฉัน” แค่นี้ก็เป็นกำลังใจสูง คำพูดของหลวงตา

    หลวงตา ต้องอย่างนั้นซิ ธรรมชาติของเราถ้าพูดให้มันเต็มสัดเต็มส่วนเสียเลยว่า คราวนี้นะเราพร้อมทั้งศาสนา พร้อมทั้งพระมหากษัตริย์ ที่มาให้ความอบอุ่นความร่มเย็นแก่เรานะ เวลาเริ่มเปิดโครงการทีแรก ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็เสด็จไปเป็นประธาน หลังจากนั้นมาไม่กี่วันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ก็เสด็จไปเยี่ยม เพื่อไปเป็นประธานเป็นพระเกียรติให้พวกเราทั้งหลายนั่นเอง ให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้เป็นที่อบอุ่น ให้เป็นกำลังใจของพวกเราทั้งหลาย

    เรียกว่างานนี้เป็นงานมหามงคลอย่างยิ่งแล้ว คือพร้อมทั้งศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนา พระพุทธเจ้าก็ส่งหลวงตาบัวมาแทน พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ก็ทรงเสด็จด้วยพระองค์เอง พร้อมพระญาติพระวงศ์นี้เป็นยังไง เป็นมหามงคลอย่างยิ่งไม่ใช่เหรอ เป็นกำลังใจ เราไม่ได้ทำโดยลำพัง เราไม่ใช่เป็นลูกกำพร้านี่ ลูกกำพร้าพ่อแม่ไม่มี มีแต่ลูก พากันดิ้นกระวนกระวายอยู่ระส่ำระสายไปทั่วประเทศไทย ไม่มีใครเป็นผู้นำ ไม่มีใครเป็นผู้ให้ความร่มเย็น ไม่มีใครเป็นผู้ให้กำลังใจอย่างนั้น

    นี่พร้อมแล้วนี่ทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่าเราทำ มีพ่อมีแม่ มีผู้ให้ความร่มเย็น พ่อแม่ของเราคือพระมหากษัตริย์ แล้วศาสนา ก็เรียกว่าเต็มที่แล้ว เวลานี้สมบูรณ์เต็มที่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงขอให้ดำเนินตามเสด็จท่านนะ ตามเสด็จพระพุทธเจ้า ตามเสด็จพระมหากษัตริย์ของเรา ให้พระองค์ได้ทรงเบาพระทัยลงบ้าง เวลานี้เครียดเต็มที่แล้ว ใคร ๆ คาดก็ได้ด้วยกัน

    เพราะพระองค์เป็นผู้ปกครองประเทศทั้งประเทศใช่ไหมล่ะ ประชาชนราษฎรเดือดร้อนพระองค์จะเย็นคนเดียวได้เหรอ ต้องร้อน พระองค์ยิ่งจะร้อนกว่ามาก เพราะแบกคนทั้งแผ่นดิน เมื่อคนทั้งแผ่นดินช่วยพระองค์ทำไมจะไม่เย็นพระทัย จะไม่เบาพระทัยล่ะ นี่ละเอาตรงนี้ให้พระองค์เบาพระทัย เอาให้เต็มเหนี่ยวนะอย่าถอยหลัง

    “ดิฉัน” มีกำหนดเวลาไหมเจ้าคะ หรือทำไปเรื่อย ๆ

    หลวงตา ยังไม่มีกำหนดเวลา เหมือนกับเรารับประทาน เราจะอิ่มเวลาเท่านั้น หรือเราจะหยุดเวลาเท่านั้น ไม่เอา รับประทานเรื่อย ๆ มันอิ่มขนาดไหน เผ็ดเค็มเปรี้ยวหวานก็ให้รู้ในชิวหาประสาท ได้มากได้น้อยให้รู้ไปโดยลำดับ ๆ เหมือนกับเผ็ดเค็มเปรี้ยวหวาน จนกระทั่งถึงความอิ่มไปโดยลำดับ ๆ เราก็รู้ อิ่มไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงอิ่มพอแล้วก็หยุดเอง

    อันนี้เราไม่ตั้งเข็มไว้โน้นว่าเวลานั้นจะหยุด เวลานี้จะหยุด เราทำกันเหมือนรับประทาน ให้ต่างคนต่างขนเข้ามาให้ได้เห็น อย่าให้ชาติเพื่อนบ้านเขาได้ชี้หน้าเรานะ เอาให้เขาได้เห็น ให้เขาได้แหงนหน้าดู ดีไม่ดีแหงนสูง ๆ ขึ้นไปคอหักไปเป็นไร เป็นยังไง คือว่าเมืองไทยเราสูงมาก เขาแหงนจนคอเขาหักให้ได้เห็นบ้างซิ เวลานี้เขาก้มจนหลังเขาจะหัก ก้มดูเมืองไทยเราต่ำต้อย

    “ดิฉัน” แต่จะมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนกันที่จะรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมคนไทยที่บริสุทธิ์ คนที่ไม่ได้ทำผิดพลาด หลวงตาก็เป็นผู้แสนประเสริฐบริสุทธิ์จะต้องมาหนักหนาช่วยคนที่ทำลายไป

    หลวงตา เราเห็นคนตกน้ำไหม เราเดินไปนี่เห็นคนตกน้ำนี้ เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร เขาตกน้ำต่างหาก แล้วเราจะช่วยเขาหรือเราจะไปเฉย ๆ เพราะไม่ใช่หน้าที่ จะทำเฉย ๆ อย่างนี้ได้ไหม อันนี้ก็เหมือนกัน เพื่อนบ้านทั่วประเทศจมไปด้วยกันทั้งนั้นแล้วเราจะเก่งอยู่คนเดียว เดินเฉยไปคนเดียวได้เหรอ ถ้าเราเดินเฉยไปคนเดียวไม่ได้ เอ้า ช่วยกันซี นั่นถึงถูก

    “ดิฉัน” เพราะจะมีคนคิดอย่างนั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ

    หลวงตา คิดให้เขาคิดไป เราอย่าไปคิดอย่างเขา เราอย่าไปทำอย่างเขา

    “ดิฉัน”
    อยากดึงให้เขามาคิดเหมือนเราเจ้าค่ะ

    หลวงตา ไม่เหมือนเราก็ช่าง ให้เป็นเรื่องของเขาไป อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา มันเรื่องคนละเรื่อง ถ้าเอาเป็นเรื่องของเขาโลกเมืองไทยเรานี้ก็จม เขาคิดอย่างนี้ไม่ได้คิดเพื่อฟื้นฟูเมืองไทยเรานี่นะ คิดแบบคนตกน้ำแล้วลงไปเหยียบซ้ำอีก ใช้ไม่ได้ ดูได้ไหม ต้องแก้กันอย่างนั้นซิถึงทันกัน

    “ดิฉัน”
    คือเวลาเขียนลงไปนี่ อยากจะปิดประตูให้หมด ใครที่อ่านแล้วเถียงในใจจะได้เถียงไม่ได้

    หลวงตา
    ให้บอกว่าเป็นโวหารหลวงตาบัว ให้เปิดหมดเลยนะ หลวงตาบัวนี้ออกสนามแล้ว ไม่มีสะทกสะท้าน ท้าวมหาพรหมมาก็ไม่ถอย แต่ถ้าพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าไม่แตะท่าน แต่ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมานี้ ใครจะมีอำนาจวาสนาเก่งกล้าสามารถขนาดไหนก็ตาม หลวงตาบัวไม่มีคำว่าถอยเลย ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์แล้วไม่แตะนะ

    ท่านเหล่านั้นเราไม่ถอย เพราะพวกเหล่านี้มีกิเลสทั้งนั้น เมื่อกิเลสมี มันต้องมีความต่ำทรามแทรกเข้ามาด้วยที่จะได้ต่อยกัน เข้าใจหรือเปล่า ความต่ำทรามมีตรงไหนจะต่อยตรงนั้น ถ้าเป็นธรรมแล้วเราไม่ต่อย พระอรหันต์เป็นธรรมทั้งแท่งแตะท่านไม่ได้ ถ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วนั้นแตะไม่ได้นะ ผู้ยังมีกิเลสอยู่ตรงไหนนั้นละภัยยังมีอยู่นั้น ไม่มากก็น้อยยังมี จะต่อยตรงนั้นแหละ ต่อยตรงกิเลสกระเพื่อม

    “ดิฉัน” หลวงตาก็เหนื่อยแย่ ขึ้นเวทีต่อย

    หลวงตา
    เหนื่อยก็ช่างหลวงตาเถอะ ขอให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้พร้อมเพรียงสามัคคีกัน หลวงตาเป็นที่พอใจ แม้แต่นอนอยู่นี้ก็ตาม เขาบอกว่าเอาทองมาแล้ว ไหน ๆ หลวงตาจะลุกขึ้นทันที รับเลย มันเหนื่อยเมื่อไร ถ้าได้ทองแล้วไม่เหนื่อย ถ้าไม่ได้ทองแล้วไม่อยากเล่นกับคนนะ ใครมา หือ ได้ทองมาหรือเปล่า ได้ดอลลาร์มาหรือเปล่า ถ้าเขาไม่ได้ทองมาเราไม่อยากคุยด้วย พูดให้มันสนุกบ้างซิ มีตลกบ้าง ตลกแบบพระจะเป็นอะไรไปใช่ไหม แต่ประชาชนเขายังพูดได้ตลกได้มีขีดมีขั้นอะไรของเขา

    “ดิฉัน”
    มีแต่ใครบอกว่าหลวงตาดุมาก

    หลวงตา ใครบอกว่าหลวงตาดุ

    “ดิฉัน”
    ลูกศิษย์บอกเจ้าค่ะ เขาพูดกัน

    หลวงตา ไปเชื่อเขาก่อนหลวงตา เราอยากซ้ำอย่างนี้ด้วยซ้ำนะ ถ้าพูดอย่างนี้เราอยากซ้ำ ให้ไปเชื่อเขายิ่งกว่าหลวงตานะ แล้วให้ถือเขาว่า สรณํ คจฺฉามิ ด้วยนะ แทนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สรณํ คจฺฉามิ

    “ดิฉัน” ที่คิดกันเราสองคนที่จะเขียนนี้นะเจ้าคะ คือในเมื่อเราต้องการจะเผยแพร่ให้คนเข้าใจในขบวนการช่วยชาตินี่ ดิฉันขอเรียกว่าขบวนการช่วยชาติ ก็คือจะกันไว้ด้วย ไม่ใช่แค่ว่าเผยแพร่ แต่มีคนติดตามอาจจะมอง เอ๊ะ ทำไมอย่างนั้นอย่างนี้ ดิฉันถึงได้ถามอะไรแบบนอกลู่นอกทางเพื่อจะได้เขียนกันไว้ก่อน

    หลวงตา ให้ถามมาเลย เรื่องของเราก็ว่าไปตามเรื่องของเราไปเลย ส่วนเขาจะคิดวิพากษ์วิจารณ์แง่ไหนเป็นเรื่องของหัวใจเขา

    “ดิฉัน” ใช่ แต่ว่าคนเขียนก็ยังปล่อยวางไม่ได้เจ้าค่ะ

    หลวงตา ก็พยายามปล่อยบ้างซิ ยังปล่อยวางไม่ได้และไม่สนใจจะปล่อยด้วย ใช้ไม่ได้ แล้วมีอะไรอีกล่ะ

    “ดิฉัน” ที่รวบรวมได้มานี้จะเริ่มจ่ายเมื่อไรคะ

    หลวงตา อันนี้คือเราเห็นว่า อย่างน้อยต้องล้านดอลลาร์ขึ้นไป ส่วนทองคำนั้น ทองคำมีหลายประเภท ถ้าทองคำแท่งแล้วก็เก็บเป็นทองคำแท่งไว้เลยตายตัว ถ้าเป็นทองคำต่างประเภท เราจะมาหลอมเป็นทองแท่ง ๆ แล้วตีตราสวิสเซอร์แลนด์ใส่ให้เรียบร้อยเป็นมาตรฐานแล้ว เราก็เก็บเข้าตู้นิรภัย ๆ เมื่อตกลงกันกับผู้รับ เป็นหลักฐานยืนยันแน่นอนไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว เราจะมอบให้เป็นระยะ ๆ ไป แล้วจะประกาศให้ประชาชนทราบทั่วไป ว่าได้มอบทองก็ดี เงินก็ดี ครั้งนั้นเท่าไร ครั้งนี้เท่าไร เราจะประกาศเรื่อยไป เวลานี้เรายังไม่ได้อะไรพอที่จะประกาศอย่างนั้น ถ้าประกาศก่อนเขาก็จะว่าหลวงตาบัวโม้เกินไป เป็นยังไงพอใจแล้วยังที่พูดวันนี้ เป็นยังไง

    “ดิฉัน” อร่อย แต่ยังไม่อิ่มเจ้าค่ะ

    หลวงตา ตะกี้นี้ว่าหลวงตาบัวดุนั้น คือเขาดูตั้งแต่ผิวเผิน นี่พูดตามความจริงนะ เขาจะดูตั้งแต่ผิวเผิน ๆ คนนั้นเล่าให้ฟัง คนนี้เล่าให้ฟัง เชื่อหูคนอื่น เขาไม่ได้เชื่อความจริงจากปากเราจริง ๆ ผู้ที่มาอยู่กับเราจริง ๆ ขอยกตัวอย่าง เช่นอย่างพระวัดป่าบ้านตาดนะ มากที่สุดคือพระวัดนี้ แล้วท่านเหล่านี้รู้ทั้งนั้นว่าหลวงตาบัวนี้ดุ เด็ดทุกสิ่งทุกอย่าง ทีนี้บทใครเวลามาอยู่แล้ว ๆ ไล่หนีก็ไม่หนี ทำไมเป็นอย่างนั้นพิจารณาซิ

    แล้ววัดนี้ ๖๐-๗๐ นี้เราหมายถึงว่าเรากั้นเอาไว้นะ ไม่งั้นยังจะมากกว่านี้อีก ประกาศลั่นให้ขยับขยายออกไป ครั้นไปละไป ๕ เวลามาละมา ๑๐ อย่างนั้นนะ ไปละไปเพียง ๕ องค์ เวลามาละมา ๑๐ องค์ มันก็หนาแน่นขึ้นทุกวัน ๆ นั่นซิ ทีนี้ความดุด่าว่ากล่าวไปไหนหมด ตลอดถึงประชาชนทั้งหลายนี้ที่เขาเคยเกี่ยวข้องกับเราแล้ว ใกล้ชิดสนิทเท่าไร ไล่หนีก็ไม่ยอมหนี ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น หลวงตาบัวดุอะไรดุแบบนั้น พิจารณาซิ

    “ดิฉัน” อย่างที่ดุหนูเมื่อกี้นี้ก็ดี๊ดี ว่ายังไม่ขึ้นต่อยก็ยอมแพ้ อย่างนี้ดี

    หลวงตา มันต้องเห็นเหตุเห็นผลเสียก่อนซี การดุคนก็ดี ดุด้วยเหตุผลที่ควรดุ ดีด้วยเหตุผลที่ควรดี ดุก็ดุเพื่อดีไม่ได้ดุเพื่อความเสียหาย ดีก็ดีเพื่อความดีไม่ได้เพื่อความเสียหายอะไร การแนะนำสั่งสอนเจ้าของเวลาเด็ดเราก็เด็ด แต่เด็ดเพื่อดีของเรา เอาจนกระทั่งถึงว่าเอาชีวิตจะขาดเอ้าขาดไป นี่ก็เพื่อความดีสำหรับเรา

    ทีนี้การแนะนำสั่งสอนคนอื่น เราทำมายังไง ธรรมพระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง พระพุทธเจ้าดำเนินมายังไง เราก็นำนั้นมาดำเนิน ทีนี้เขาไม่เคยดำเนินตามพระพุทธเจ้า เขาไม่เคยฟังธรรมพระพุทธเจ้า เขาก็ฟังสุ่มสี่สุ่มห้า เขาก็พูดสุ่มสี่สุ่มห้า หูสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างหูเรานี้ก็ฟังได้ง่าย เชื่อได้ง่ายล่ะซิ ไม่ได้เชื่อความจริง เชื่อแต่ความจอมปลอม สุดท้ายก็มีแต่หูปลอมเต็มโลกเต็มสงสาร หูจริงจะไม่มีนะ จำให้ดีคำนี้

    “ดิฉัน” ทีนี้อันหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดที่จะเป็นปัจจัยช่วยขบวนการนี้ได้สำเร็จ คือเมตตานะเจ้าคะ

    หลวงตา
    อ๋อ เรื่องเมตตานี้เราเต็มหัวอกอยู่แล้วเราพูดจริง ๆ ทำนี้ทำด้วยความเมตตาล้วน ๆ เราไม่มีส่วนแบ่งส่วนอะไรจากใครทั้งนั้นละ เราทำด้วยความเมตตา

    “ดิฉัน” นั่นซิเจ้าคะ แต่คำว่าเมตตานี่ เราทั่ว ๆ ไปก็เข้าใจความหมายในระดับหนึ่ง อยากจะกราบขอให้หลวงตาอธิบายให้ลึกซึ้งเรื่องเมตตาเจ้าค่ะ

    หลวงตา เมตตาพระพุทธเจ้า เมตตาพระอรหันต์นั้น เป็นเมตตาเหนือโลกเหนือสงสาร เมตตาเรานี้ยังคลุมเครือไปด้วยกิเลสตัณหา มีเมตตาบ้าง ไม่เมตตาบ้าง ความเมตตาของพระพุทธเจ้านั้นเหนือโลกเหนือสงสาร ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ความเมตตาล้วน ๆ จะทำให้เป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้แล้ว จะทำให้ท่านกริ้วท่านโกรธท่านอะไรนี้ ไม่มีทาง เพราะความเมตตานั้นเหนือ อ่อนนิ่มไปกับหัวใจสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดน ท่านไม่มีอะไรแล้ว นั่นละหัวใจพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2013
  3. ฉลาดน้อย

    ฉลาดน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +1,721
    “ดิฉัน” มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา ๆ นี่ จะสร้างเมตตาในหัวใจ ทำยังไงเจ้าคะ

    หลวงตา สร้างความดีซิ สร้างความดี ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะธรรมบทใดก็ตาม ให้นั่งภาวนาบ้าง นี่ได้นั่งภาวนาหรือเปล่าละนี่

    “ดิฉัน” บ้างเจ้าค่ะ

    หลวงตา บ้าง เอะอะก็บ้าง วันหนึ่งได้พุทโธคำเดียวก็บ้างได้ ใช่ไหมล่ะ

    “ดิฉัน” มากกว่านั้นเจ้าค่ะ

    หลวงตา เพราะมันมีทางออกได้คนเรา ใช่ไหม ได้ยินคำว่าพุทโธท้ายบ้านโน่นก็ตาม เราได้ยินเท่านั้นเราก็บอกว่า”บ้าง”ได้

    “ดิฉัน” แต่ว่าการทำให้ตัวเองมีเมตตานี่ จะต้องฝึกหรือว่ามันเป็นธรรมชาติของคนเจ้าคะ

    หลวงตา คือฝึกใจให้สงบนั่นละ เมตตาจะค่อยเริ่มขึ้นด้วยกัน เมตตานี้ไม่ต้องเสกสรรปั้นยออะไรละนะ เมตตานี้คือธรรม เมื่อธรรมมีความสงบใจเป็นต้นได้เริ่มปรากฏขึ้นมามากน้อย ความเมตตา ความอ่อนโยนของใจจะเริ่มขึ้นมา ๆ และเห็นเพื่อนบ้านมนุษย์ว่ามีหัวใจอย่างไรบ้าง มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วจะเฉลี่ยถึงกัน

    เรามีความสงบร่มเย็นมากน้อยเพียงไร ความที่จิตของเรามีความสงบร่มเย็นนี้ มันพร้อมไปด้วยความอ่อนโยนของจิตนะ แล้วจะซ่านไปทุกแห่งทุกหน ยิ่งจิตบริสุทธิ์ด้วยแล้ว นิ่มไปหมดทั่วแดนโลกธาตุเลย ต่างกันอย่างนั้นนะ ไม่ต้องเสกสรร เป็นธรรมชาติอย่างนั้นเอง จะทำให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    เรายังทำอย่างนั้นไม่ได้ เราก็พยายามภาวนาทำจิตให้สงบ แล้วเราจะเห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวาย และเห็นโทษแห่งความโกรธความเคียดแค้นต่าง ๆ ในเวลาที่จิตสงบ จิตสงบไม่มีความโกรธความเคียดแค้น เป็นคุณธรรมอันสำคัญเด่นในหัวใจเรา นี่ละเป็นเครื่องเทียบเครื่องวัดกับสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลายได้ แล้วต่อไปมันก็เป็นคู่แข่งกันได้

    ที่หลวงตาพูดวันนี้เปิดโอกาสให้พูดได้หมดเลย ให้ออกได้หมด นี่เป็นโวหารของหลวงตาบัว พระป่า ว่างั้นเลย แล้วอย่าเกรงอกเกรงใจเราว่า กลัวโลกเขาจะตำหนิติฉินนินทา ให้เขาตำหนิไปเถอะ ปากเขามี หูเขามี เราอยากฟังก็ฟัง เราไม่อยากฟังก็ไม่ฟัง เราเฉยได้สบาย เขาจะชมเชยก็เป็นเรื่องของปากเขา เขาจะติฉินนินทาก็เป็นเรื่องปากเขา หูเราอยากฟังก็ฟัง ไม่อยากฟังก็เฉย ก็เท่านั้นเอง

    นี่เราพูดเพื่อเหตุเพื่อผลเพื่อหลักเกณฑ์ต่อชาติบ้านเมือง เราก็พูดตามหลักความจริงอย่างนี้ ใครจะว่าสูงไปต่ำไปให้เป็นเรื่องของเขาเอง เรื่องของเราธรรมเป็นยังไง เราจะพูดไปตามอรรถตามธรรม ให้เขียนไปตามนั้นเลย บอกว่าหลวงตาพูดอย่างนี้ ให้ว่างั้นเลย

    หลวงตานี่ออกสนามแล้วไม่ถอย ต่อยดะไปเลย อย่าว่าแต่แชมเปี้ยนเลย พ่อแชมเปี้ยนมาก็ไม่ถอย ถ้าลงได้ขึ้นเวทีแล้วเป็นไม่ถอยจริง ๆ แชมเปี้ยนมาก็ต่อย พ่อแชมเปี้ยนมาก็ต่อย ปู่แชมเปี้ยนมาก็ต่อย ต่อยไม่ถอย เอาจนหงายด้วยกันนั่นแหละ ถ้าเขาไม่หงายเราก็หงายเท่านั้นเอง ก็มีสองอย่าง

    “ดิฉัน” หลวงตาจิตเข้มแข็ง แต่ร่างกายสู้ไหวหรือเจ้าคะ

    หลวงตา
    ก็เอาที่เข้มแข็งสู้ ที่อ่อนก็อย่าเอามาสู้ซิ เอาที่เข้มแข็งล่ะซิสู้ อันไหนอ่อนก็อย่าเอามาสู้ซิ ก็มีเท่านั้นเอง อันไหนอ่อนจะไปสู้เขาได้ยังไง ต้องเอาแข็งสู้ซิ อันไหนที่จะชนะสู้แหละ

    “ดิฉัน” เอาเรื่องโครงการนี้พักไว้นิดหนึ่งนะเจ้าคะ ขอเรื่องเกี่ยวกับธรรมะนิดหนึ่ง เมื่อกี้ตอนแรกเลยนี่หลวงตาบอกว่า ตอนนี้กิเลสมันครอบงำประเทศ ครอบงำวงการต่าง ๆ ทั้งหมด แต่ทีนี้ที่จะให้คนมาศึกษาปฏิบัติธรรมมันคงไม่ง่าย แล้วเราจะทำยังไง

    หลวงตา ต้องเอาเราก่อนซิ มันควรจะสองก็ให้สองไป ไม่ควรสองก็ให้มันหนึ่งแต่เราเรื่อย ๆ ไปซิ พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช พระองค์ก็เสด็จออกเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เวลาธรรมเต็มพระทัยแล้ว ประกาศสอนธรรมได้สามแดนโลกธาตุ ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า เราก็เอาเราเป็นคนเดียวเสียก่อนซิ ต่อไปจะกระจายไปเอง เมื่อเรามีสมบัติมากแล้วเก็บไว้ไม่อยู่แหละ มันหากมาเอง ๆ เป็นเอง

    หลวงตาก็เคยพูดแล้วนี่นะ เราอยู่ในป่าในเขาเราว่าจะตายคนเดียว เราไม่ได้นึกว่าเราจะมีชีวิตรอดมา เพราะฟัดกับกิเลสไม่ถอยเลย ครั้นแล้วก็ลูกศิษย์ลูกหาเต็มเมืองอย่างนี้จะทำยังไง เราไม่ได้เชื้อเชิญไม่ได้ไปหาใครนะ หากเกาะทีเดียวพรึบ ๆ ตั้งแต่พระเณรขึ้นไปจนกระทั่งถึงฆราวาสเต็มอยู่นี้ตลอดเวลา ไม่มีเวลาว่างเลย เมื่อเป็นอย่างนั้นจะทำยังไง มันเป็นเอง เราไม่ได้หามันเป็นเอง

    เวลาเราหาธรรมเราหาอย่างนั้น เราเอาชีวิตเข้าแลกคนเดียว เราตายคนเดียว ไปคนเดียวเสียด้วยนะ เราไปปฏิบัติธรรมเราไม่เอาใครไปด้วย เราไปคนเดียว สู้คนเดียว อยากกินก็กิน ไม่อยากกินไม่ต้องกิน กี่วันก็ตามการภาวนาไม่ถอย ซัดกันจนกระทั่งอย่างว่าละ เผาศพกิเลสเรียบร้อยแล้วยังไม่ลงจากเวทีเลย พระเณรเกาะพรึบเลย จากนั้นมาก็สอนเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้

    วันนี้เป็นที่เข้าใจแล้วเหรอ ที่พูดเปิดหัวอกให้ฟังวันนี้เราไม่เคยพูด ปี ๔๐-๔๑ นี้เราพูดนะ แต่ก่อนธรรมประเภทนี้เราครองมาแล้วได้ ๔๙ ปี ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ เราพังกิเลส เผาศพกิเลสมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ แล้วหมู่เพื่อนพระเณร ประชาชนทั้งหลาย เกาะเรามาตั้งแต่โน้น เราก็พูดเต็มเหนี่ยวหมดไส้หมดพุงหมดตับหมดปอดเรื่อยมา แต่เราไม่ได้เอาตัวออกยัน

    มีแต่ของกลางเต็มเลย โจรผู้ร้ายอยู่ในท่ามกลางของกลางนั่นแหละ แต่ยังไม่ได้รับสารภาพว่าเราเป็นคนขโมยมา แต่ปี ๕๔๐-๕๔๑ นี้ได้ออกแล้ว ว่าเราเองเป็นคนขโมยมา ว่าอย่างนั้น นี่ละที่ว่าได้รู้แล้ว ว่างั้นเลย ธรรมประเภทนี้ได้รู้มาเท่านั้นปีเท่านี้ปี แล้วจนกระทั่งถึงว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา ตายแล้วเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

    เราแน่ในหัวใจเราไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านทูลถามใคร พระสาวกอรหัตอรหันต์ แม้ที่สุดจะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามปัญหา พอไปตรัสรู้ปึ๋งกลางทางแล้วกลับมาเลยไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า เป็นเพราะอะไร อันนี้ธรรมประเภทเดียวกัน ของอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร มันประจักษ์ใจ เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นในหัวใจแล้ว หยุดทันที ความสงสัยสนเท่ห์ที่เคยเป็นมาสักเท่าไร หายหมดในขณะเดียวกัน ไม่มีอะไรเหลือ

    “ดิฉัน” ทีนี้พอเปิดใจอย่างนี้แสดงว่า จะแปลเองได้ไหมเจ้าคะว่า ที่หลวงตายอมเปิดใจเปิดตัวตอนนี้ เพราะสถานการณ์เลวร้ายมาก

    หลวงตา เราไม่อยากพูดว่าสถานการณ์เลวร้ายนะ บอกว่าเราแก่มากแล้วจะเก็บไว้ทำไม เราเปิดเสียบ้าง ใครที่มีหูมีตา ที่จิตใจเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นสิริมงคล ก็ให้เขาได้ธรรมเหล่านี้ไปเป็นเครื่องระลึกในจิตใจของเขา ถ้าจิตใจที่มันต่ำทรามเหลือเกินก็ให้เป็นกรรมของสัตว์ เราก็ปล่อยผ่านไปเสียสิ่งเหล่านั้น เราจะเอาเฉพาะอันนี้ จะว่าเห็นสถานการณ์มันเลวร้ายนี้ ถึงเราจะพูดอย่างนี้ไม่พูดอย่างนี้เราก็เห็น เพราะฉะนั้นเราถึงได้ออกมาสนามรบอย่างนี้ เราก็เห็นอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเอาธรรมเหล่านั้นมาอวดมาอ้างมาเป็นพยาน เราก็เห็นอยู่แล้ว

    “ดิฉัน” อย่างเวลาคนบริจาคถวายเงินปัจจัยหลวงตามาตลอด เยอะแยะมากมาย ทำไมไม่สร้างวัดโก้ ๆ หรู ๆ

    หลวงตา สร้างอะไรโก้ ๆ เป็นเรื่องของกิเลส โก้ในธรรมซี ให้สง่างามอยู่ในหัวใจนี่ สว่างจ้าอยู่ในหัวใจนี้ เอาผ้าขี้ริ้วห่อทองพอแล้ว อย่าเอาผ้าทองคำมาห่อขี้หมาเลย เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเอาผ้าทองคำมาห่อขี้หมา วัดวาอาวาสศาสนาเลยโก้หรูไปหมดเลยนะ แต่หัวใจมันเป็นไฟ ไม่ได้มองดูหัวใจ ดูแต่ที่อิฐที่ปูนที่หินที่ทรายเพราะไม่เคยสนใจดูหัวใจ

    เราพอแล้วในหัวใจของเรา พอหมด อะไรจะหรูหรามาให้เรา ไม่หรูหรามาให้เรา เราไม่สนใจ ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมชาติที่เราครองอยู่เวลานี้แล้ว เท่านั้นพอ

    “ดิฉัน” อีกวิธีหนึ่งนะเจ้าคะ ที่เป็นวิธีหาเงินเข้าวัดได้เยอะ

    หลวงตา ไปหาทำไมหาเงินเข้าวัด หาธรรมเข้าวัดมันถึงถูก หามาอะไร เขาหาเงินกันเต็มบ้านเต็มเมือง กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมืองเพราะคนหาเงินนั่นเอง หาดีดหาดิ้นหาไม่รู้จักประมาณ หาจนจะเป็นจะตาย ถ้าหาธรรมไม่เป็น เมื่อธรรมเต็มใจแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ เสร็จแล้วงานของศาสนา กิจการงานต่าง ๆ ของธรรม งานในศาสนานี้เสร็จสิ้นแล้ว กิจอื่นที่ควรทำยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ถ้าเป็นน้ำก็เต็มแก้ว เท่านั้นพอ

    อันนี้มันมีแต่ความหิวโหยเต็มบ้านเต็มเมือง มีมากเท่าไรยิ่งดิ้นยิ่งรนยิ่งเป็นบ้ากัน มหาเศรษฐีนั่นละคือมหันตทุกข์อยู่ตรงนั้น เรามองข้ามไปทำไม มองดูมหาเศรษฐีอย่ามองดูสมบัติเงินทองข้าวของ ให้มองดูหัวใจเศรษฐี ความโลภก็มากที่สุด ความรับผิดชอบมากที่สุด เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายมากที่สุดอยู่กับมหาเศรษฐี นั่นละไฟอยู่ที่นั่น ให้ดูที่นั่นซิดูคน

    ดูตั้งแต่ข้างนอกมันก็เป็นบ้าไปด้วยกันหมดทั้งโลก อันนั้นดีอันนี้ดี เราจะเอาอย่างนั้นเราจะเอาอย่างนี้ จนกระทั่งวันตายไม่ได้อะไรเลย ตายแล้วก็นิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา อีตานี่ตายแล้วไปไหนนา ไม่เห็นได้เรื่อง

    สร้าง กุสลา ให้เต็มหัวใจเจ้าของแล้วประกาศป้างเลย นี่ประกาศแล้วนะ บอกตรง ๆ เลย บอกว่าหลวงตาบัวตายแล้วอย่านิมนต์พระมา กุสลา หนา เรา กุสลา ธมฺมา ของเราเต็มหัวใจ เราพอทุกอย่างแล้ว เราไม่ต้องการอะไรหมด บอกตรง ๆ แล้ว เราบอกแล้วนี่บอกอย่างเต็มเหนี่ยวเลย บอกอย่างไม่สะทกสะท้าน บอกด้วยความประจักษ์ใจของเรา เราไม่ต้องไปถามใคร เราอิ่มเราก็บอกว่าเราอิ่ม เวลาเราหิวเราก็รู้มาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงเราอิ่ม อิ่มแล้วพอแล้วเต็มที่แล้ว เราก็รู้ในหัวใจของเรา เราถึงไม่ไปถามใครแหละ

    ใครจะว่าบ้าก็ว่าไป ปากเขาต่างหาก ปากเราไม่เป็นบ้าจะเป็นไรไป เรื่องความสำคัญมั่นหมาย ความคิดต่าง ๆ ความติฉินนินทา หาความสิ้นสุดไม่ได้ โลกของกิเลสเป็นอย่างนั้น ถ้าโลกของธรรมแล้วพอ ควรติติ ควรชมชม ชมด้วยเหตุด้วยผล ติด้วยเหตุด้วยผล เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น

    ถ้ากิเลสแล้วติดะ ชมดะ ถ้าพอใจคนนี้ชมไปเลย มันจะเลวมาสักขนาดไหนก็ชมไปเลย ถ้าไม่พอใจแล้วติไปเรื่อย ๆ เป็นอย่างนั้นเรื่องของกิเลส ไม่มีประมาณไม่มีเหตุมีผลคือเรื่องของกิเลส ถ้าเรื่องธรรม มีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์มีประมาณ ต่างกันอย่างนี้นะ เข้าใจ

    “ดิฉัน” เข้าใจ แต่อันหนึ่งที่ข้องใจนะเจ้าคะ ว่าทำไมกิเลสนี้มันง่าย ๆ

    หลวงตา กิเลสมันอยู่กับหัวใจคน มีแต่ต่างคนต่างส่งเสริม มันก็มีอำนาจมากซิ ถ้าต่างคนต่างทำลายมัน ต่างคนต่างสั่งสมธรรมขึ้นมา ธรรมก็มีอำนาจปราบกิเลสได้ พระพุทธเจ้าบริสุทธิ์ได้เพราะปราบกิเลสนี่ พระอรหันต์ท่านบริสุทธิ์ได้เพราะปราบกิเลส ท่านไม่ใช่บริสุทธิ์ได้เพราะการส่งเสริมกิเลสนี่นะ

    “ดิฉัน” เข้าใจเจ้าค่ะ แต่ต้องเก่งกาจจริง ๆ ถึงจะปราบกิเลสอยู่ คนปัญญานิ่ม ๆ (โอ๊ย รู้แล้ว) ถอนคำถามเจ้าค่ะเดี๋ยวโดนดุ ถามไปได้ครึ่งทางนึกคำตอบออกได้

    หลวงตา หือ ว่าไง

    “ดิฉัน” เมื่อกี้นี้หนูเรียนถามไปครึ่งทาง แล้วนึกคำตอบได้เลยไม่ถามเจ้าค่ะ

    หลวงตา
    อย่างนี้ละกิเลส มันสลับซับซ้อนมาก มันละเอียดสุด ให้ขึ้นต่อกรกับกิเลสเสียก่อน เราจึงกล้าพูดได้เต็มปาก ตั้งแต่ก่อนเราไม่เคยพูดเพราะไม่เคยรู้ ไม่เคยรู้เรื่องของกิเลส ไม่เคยปราบกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือ เหนือกิเลส ทีนี้เวลาปราบให้มันอยู่ในเงื้อมมือ เหนือมันทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มันจะออกแง่ไหน ๆ นี้เห็นหมด ๆ กลมายาของมันหลอกลวงโลกชนิดไหน ๆ นี้เห็นหมดรู้หมด

    เพราะฉะนั้นจึงกล้าสามารถพูดได้หมดถ้าจะพูดนะ นอกจากอะไรควรพูดไม่ควรพูด เพื่อโลกสมมุติ สูงต่ำมันมี นี้เราก็ปล่อยผ่านไป ๆ ถ้าอันไหนที่ควรว่าเราก็ว่าไป เหมือนกับเราไม่รู้สิ่งที่เราไม่พูด ความจริงเรารู้

    นี่ก็เหมือนกันอย่างที่ว่า กิเลสนี่ความฉลาดแหลมคมของมัน อย่างที่เราจะบำเพ็ญคุณงามความดีนี่นะ แล้วใครระลึกรู้บ้างว่าเราสร้างความดีนี่มันยาก ๆ คำว่ายากนั้นคือกิเลสทำให้ยากต่างหาก การทำดีไม่ได้ยากนี่นะ ธรรมท่านไม่ได้ยาก มันกิเลสขวางทางต่างหากยาก แต่ไม่มีใครมองตรงนี้น่ะซิ แต่ธรรมท่านมองท่านเห็นนี่ เข้าใจหรือเปล่า

    เราจะทำคุณงามความดีประเภทใดก็ตาม แม้ที่สุดเราคุยกันอยู่สนุกสนานนี้นะ ถ้าระลึกถึงเวลาที่จะทำวัตรแล้ว โอ๊ย วันนี้เหนื่อยมากเห็นจะไม่ไหว นั่นเห็นไหมกิเลสสร้างแล้ว สร้างขวากหนามไว้แล้วให้อ่อนเปียกไปหมดเลย ถ้าคุยกันนี้เป็นบ้าไปเลยก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นบ้า ครั้นเวลาจะสร้างตัวให้เป็นคนดี ไหว้พระสวดมนต์ โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว นั่นเห็นไหมกิเลสสร้างให้แล้ว สร้างความอ่อนแอให้แล้ว เรารู้ไหมตอนนี้

    เมื่อเวลาผ่านมันไปแล้วก็รู้มันหมด กลมายาของมันออกแบบไหน ๆ กลลวงโลกของมันจะออกแบบไหน ๆ ไม่รู้พระพุทธเจ้าสอนโลกไม่ได้ พระพุทธเจ้าฆ่ามันไม่ได้..ไม่รู้เหนือมัน อย่างนั้นละความรู้ของพระพุทธเจ้า ความรู้ของพระอรหันต์ เป็นความรู้ที่เหนือกิเลสทุกประเภท ความรู้เหนือโลก ว่างั้นเถอะนะ เพราะฉะนั้นจึงมองโลกได้ทะลุปรุโปร่งไปหมด

    พวกเรานี้ความรู้อยู่ใต้อำนาจของกิเลส เรียนจบอะไรมาก็ตาม จะสูงจะต่ำขนาดไหนก็ตามก็เป็นเครื่องมือของกิเลส เรียกว่าเป็นนักโทษของกิเลสก็ได้ เป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น แต่เครื่องมือของธรรม เรื่องของธรรมนี้เหนือกิเลสทั้งหมด เห็นหมด นั่นมันต่างกันนี่นะ พระพุทธเจ้าสอนโลกท่านไม่ได้สอนด้วยความมีกิเลส สอนด้วยความพ้นกิเลสแล้ว เหนือกิเลสแล้ว พวกเราสอนกันสอนอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ผิดกันอย่างนี้นะ มันก็ผิดไปตามแถวตามแนวของกิเลสนั่นแหละ

    ความรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคมขนาดไหน ก็ไม่พ้นกองทุกข์ที่กิเลสจะเหยียบย่ำจนได้นั่นแหละ เพราะไม่เหนือมันนี่ ถ้าความรู้ของธรรมที่ได้ปฏิบัติทางใจจนสุดขีดแล้ว ความรู้อันใดเป็นความรู้ที่เหนือกิเลสทั้งนั้น เป็นสุขได้ ๆ

    เราเรียนธรรมะนี่ ถ้าเรียนอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของกิเลสไปเสีย เรียนสอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก มหาเปรียญกี่ประโยค ทีนี้ก็ภูมิใจว่าตัวเรียนรู้ได้เท่านั้น ๆ นั่นแบกกิเลสแล้วนั่น เวลาอยากจะรู้มันก็ขึ้นเวทีเสียก่อน ฟัดกันเสียก่อน กิเลสเหล่านี้พังลงไปถึงรู้ว่า อ๋อ เหล่านี้เป็นความสำคัญเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น มันก็รู้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนภูมิใจ ไม่รู้นะ ครั้นเวลาเหนือมันแล้วก็รู้ เห็นความโง่ของตัวเองพูดง่าย ๆ มันเคยโง่มายังไงต่อกลมายาของกิเลส เวลามันเหนือมันก็รู้

    “ดิฉัน” ของอย่างนี้สอนกันได้ไหมเจ้าคะ หรือต้องฝึกเอง

    หลวงตา
    สอนให้ฝึก สอนเฉย ๆ ไม่ฝึกไม่เอา ขี้เกียจสอน

    “ดิฉัน” แต่ถ้าสมมุติว่าไม่ได้รับการสอน ฝึกด้วยตัวเองนี้ มีทางไหมเจ้าคะ

    หลวงตา ต้องมีการแนะ อย่างสอนนี่แล้ว ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็ทำไม่ได้คนเรา ไม่เหมือนกิเลสนะ กิเลสไม่มีครูสอนมันก็เป็นไปเอง แต่ธรรมะนี้ต้องมีครูสอน ผิดกันตรงนี้ละ ผิดกัน

    “ดิฉัน” หลวงตาเหนื่อยหรือยังเจ้าคะ

    หลวงตา อ้าว แล้วมีอะไร มีข้อข้องใจตรงไหนอีกบ้างล่ะ

    “ดิฉัน”
    เมื่อกี้นี้ถามไม่จบ พอดีรู้ตัวว่าเดี๋ยวโดนเบรก คราวนี้ถามใหม่เจ้าค่ะ ทำไมวัดนี้ไม่มีวัตถุมงคลแบบให้คนมาเช่าไปบูชา โอ้โห รายได้ช่วยชาติเป็นพะเนินเลยเจ้าค่ะ

    หลวงตา อันนี้ยอมสารภาพนะ หลวงตานี้อำนาจวาสนาน้อยไม่มีวัตถุมงคลแหละ ต้องการตั้งแต่หัวใจเป็นมงคลอย่างเดียว วัตถุเป็นมงคลนี้หลวงตาไม่สนใจ พระพุทธเจ้าก็ไม่พาสนใจกับวัตถุมงคลยิ่งกว่าหัวใจเป็นมงคล เอาเท่านั้นเข้าใจหรือยัง หัวใจเป็นมงคลนั้นขลังมากนะ วัตถุเป็นมงคลนี้ทำคนให้ทะนง ลืมเนื้อลืมตัว มีพระห้อยคอไปนี้ก็เลยนึกว่าตัวมีพุทโธแล้ว มีพระขลัง ๆ แล้ว มันสำคัญไปอย่างนั้น

    เดี๋ยวนี้มันมีแต่ของขลังนอก ๆ อย่างนี้ ขลังในไม่มี มีแต่ขลังนอก ๆ พอเห็นกันแล้วเอาพระออกอวด นี่พระรุ่นนั้น นี่พระรุ่นนี้ มีแต่พระรุ่นนั้นรุ่นนี้ เจ้าของไม่ทราบรุ่นไหน ไม่สนใจ

    “ดิฉัน” วันนี้ซาบซึ้ง ธรรมดาดิฉันไปสัมภาษณ์ที่ไหน พูดเป็นต่อยหอย วันนี้ซาบซึ้งมากถามอะไรไม่ออก

    หลวงตา โอ้โห ธรรมพระพุทธเจ้าฟังซิน่ะ ถ้าไม่มีใครถามเราก็จะพูดเป็นคำสุดท้าย ธรรมพระพุทธเจ้านี้ไม่ใช่ธรรมแบบที่โลก ๆ เห็น ๆ รู้ ๆ สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่นี่นะ อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ที่โลกคลุกเคล้ากันอยู่เวลานี้ ขยี้ขยำกันอยู่นี้มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น เหมือนกับขยี้ขยำขี้หมูราขี้หมาแห้ง เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร ทองคำทั้งแท่งมันไม่มีในหัวใจ พระพุทธเจ้าท่านทองคำทั้งแท่งนี้ กับมาดูมูตรดูคูถมันต่างกันยังไง ความรู้ของพระพุทธเจ้า ความทรงอยู่แห่งธรรมของพระพุทธเจ้า กับความรู้กับความทรงอยู่ของพวกเรานี้ ต่างกันยังไง เพียงเท่านี้พอเข้าใจไม่ใช่เหรอ นั่นละเหนือขนาดนั้นละเหนือโลก

    ท่านถึงได้ท้อพระทัย เวลาตรัสรู้แล้ว โอ้โห ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนโลก เวลาตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาแล้วท้อพระทัย จะสอนไปได้ยังไงหนาแน่นขนาดนี้ แล้วจะสอนไปได้ยังไง น้ำพระเนตรก็ร่วงเลยเทียว สงสารโลก แต่ว่าในขณะนั้นว่าสุดวิสัยที่จะสั่งสอนโลก เพราะมันหนาเสียจนเกินไป สุดวิสัยที่ธรรมเหล่านี้ ที่เหนือโลกที่สุดนี้ ใครจะอาจเอื้อมถึงได้ เรามารู้อย่างนี้ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์พอแล้ว ถึงกับเกิดความท้อใจ จากนั้นมาก็ทรงทบทวน ถึงเรื่องอุปนิสัยใจคอของสัตวโลกว่ามีต่าง ๆ กัน

    ทีนี้เราเทียบนะ ก็เหมือนภูเขาทั้งลูกนี้มันหนาแน่นไปด้วยกิเลสทั้งนั้น ภูเขาทั้งลูกนี่คือกิเลสทั้งภูเขาเลย แล้วสิ่งที่เป็นสารคุณ ผู้ที่จะหลุดพ้นออกจากภูเขานี้มีอะไรบ้าง มีแร่ธาตุต่าง ๆ มีต้นไม้ มีวัตถุต่าง ๆ ที่พอจะหยิบเอามาเป็นประโยชน์ได้ ก็ไปเที่ยวถอดเที่ยวถอนเอาตรงนั้นตรงนี้ ๆ มาเป็นประโยชน์ แต่จะยกเอาภูเขาทั้งลูกนั้นกิเลสมันหวงมาก ยกไม่ได้

    ทีนี้พระองค์ก็พิจารณา ผู้ที่มีอุปนิสัยปัจจัยที่พอจะรู้จะเห็นได้นี้ยังมีอยู่ไหม พิจารณา อ๋อ มี ก็เหมือนอย่างวัตถุต่าง ๆ ที่มันแทรกอยู่ในภูเขานี้ อันเป็นสาระนี้มีอยู่ พระองค์จึงได้ทรงเล็งญาณว่ามีแล้วก็แนะนำสั่งสอนโลก แล้วก็หยิบเอาไปถอนเอาไป เท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้นนะ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มา มาสั่งสอนโลกนี้ มาถอนเอาสาระสำคัญ ๆ จากโลกจากบุคคลแต่ละราย ๆ ออกไป ๆ ส่วนที่มันหนาแน่นจริง ๆ เป็นภูเขาทั้งลูกนั้น กิเลสหวงมาก ก็เป็นอันว่าปล่อยให้มันเสีย

    นั่นละความเลิศเลอของพระพุทธเจ้าขนาดนั้นละ จนขนาดที่ว่าจะสอนโลกไม่ได้ อันนี้วิเศษขนาดไหน จนว่าสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็เคยครองโลกแบบนี้มาแล้วเหมือนกัน แต่พอมาเห็นแล้วเห็นมันหนาเสียจนเกินไป ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนพระองค์ก็หนาเหมือนกัน แต่พระองค์ทำไมไม่ว่าหนาแต่ก่อน เวลามาเห็นของเลิศของประเสริฐแล้วถึงได้เห็นว่าโลกนี้หนาขนาดไหน พระองค์ก็ทรงสั่งสอนเรื่อยมานี้ ๒,๕๐๐ ปี ต่อไปก็ ๕,๐๐๐ ปี

    คือพระโอวาทที่วางไว้เป็นบันไดเป็นแนวทางเดิน ๕,๐๐๐ ปี สัตวโลกทั้งหลายจะระลึก พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกถึงบาปถึงบุญได้แค่ ๕,๐๐๐ ปี จากนั้นกิเลสจะกลืนหมดไม่มีอะไรเหลือ คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มีความหมายในใจ คำว่าบาปว่าบุญ นรกสวรรค์ ไม่มีความหมายในใจ ตามความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วเป็นความจริงอย่างนั้น แต่จะไม่มีความหมายในหัวใจสัตว์ สัตว์จะหมุนไปตามกิเลสตัณหาทั้งนั้นเลย

    นั่นละศาสนาหมดหมดที่หัวใจสัตวโลกต่างหาก ไม่ได้หมดที่คัมภีร์ใบลาน หมดจากหัวใจโลก ขาดความนับถือทุกสิ่งทุกอย่างสนใจแต่กิเลส หมุนติ้วเป็นกงจักรไปเลย นั่นละศาสนาหมดหมดตรงนั้น นั่นละศาสนาเลิศเลิศอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นนาน ๆ จึงได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมาตรัสรู้ เพราะเป็นของที่อุบัติได้ยากที่สุด ธรรมนี้เลิศเลอที่สุดแล้ว จึงนาน ๆ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เสียองค์หนึ่ง ๆ แต่จะตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ สร้างพระบารมีมาสักเท่าไร ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป ๘ อสงไขยแสนมหากัป ๔ อสงไขยแสนมหากัป สามประเภทของพระพุทธเจ้า

    “ดิฉัน” แปลว่าอะไรเจ้าคะ

    หลวงตา
    ๑๖ อสงไขย คือถ้าเราแปลตามศัพท์ ๑๖ อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ถึง ๑๖ ครั้ง นับไม่ได้ถึง ๘ ครั้ง นับไม่ได้ถึง ๔ ครั้ง แล้วที่เหลือไปอีกยังแสนมหากัปอีกนะ แสนมหากัป ๆ ด้วยกัน นี่ก็เศษออกไปอีก เศษจากนับไม่ได้ ยังเลยนับไม่ได้ไปอีก นี่ละแต่ละพระองค์นานขนาดไหน กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นี้นานขนาดนั้น จึงได้อุบัติขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วสั่งสอนโลก สั่งสอนโลกก็เป็นไปตามนิสัยวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    เพราะนิสัยวาสนาพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็ไม่เหมือนกัน มีสูงมีต่ำต่างกัน อันดับแรกคือ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัปนี้ มีอานุภาพมีบุญญานุภาพมากที่สุด เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่ง อายุขัยก็สูง แปดหมื่นปี เก้าหมื่นปี ท่านบอกไว้ในตำราพุทธวงศ์ แล้วก็ ๘ อสงไขย นี่ก็รองลำดับกันลงมา ๔ อสงไขย นี่นิสัยวาสนา

    ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาในการทำประโยชน์ให้โลกนี้มีด้อยต่างกัน อย่างท่านแสดงไว้ในพุทธวงศ์ วงศ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านแสดงไว้อย่างนั้น แต่ละพระองค์ที่จะมาตรัสรู้นี้ สร้างบารมีมานานขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เพราะฉะนั้นเวลาตรัสรู้แล้วถึงแดนประเสริฐเลิศเลอ เหมือนหนึ่งว่าไม่มีใครเอื้อมถึง ว่างั้นเถอะนะ แต่ก็เอื้อมถึงจนได้ด้วยทางเดินที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ ก็ค่อยเดินไต่เต้าไปก็ถึงเอง ๆ

    เช่น โอวาทคำสั่งสอนแนะนำสั่งสอนไว้ อย่างในอรรถในธรรมท่านแสดงไว้นั้นคือแนวทางทั้งนั้นแหละ ให้ดำเนินตามนั้น แต่ถ้าไม่ดำเนินตาม จะแบกคัมภีร์จนหลังหักก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ผู้ปฏิบัติตามต่างหากเป็นผู้จะได้รับประโยชน์ เท่านั้นละนะ วันนี้เอากันเสียใหญ่ ต่อไปนี้จะได้ให้ศีลให้พรกัน

    อ้าว อะไรอีก ถวายเหรอนี่ ดอลลาร์เหรอ มา ทีนี้เอาดอลลาร์มา เอาธรรมก็ให้แล้ว ให้ธรรมไปแล้ว ทีนี้จะเอาดอลลาร์กลับมา เอ้า นี่ทองคำ รับ ๆ นี่เห็นไหมฝนตกทีละหยดละหยาด จะทำท้องฟ้ามหาสมุทรเต็มได้ด้วยฝนทีละหยดละหยาด ตกไม่ถอย เป็นอย่างนั้นละ เต็มได้ ท้องฟ้ามหาสมุทรเต็มได้ด้วยน้ำที่ตกทีละหยดละหยาดนี่

    เรามั่นใจว่าคราวนี้เมืองไทยเราจะไปรอด แล้วก็อยากจะพูดไว้อีกด้วยว่า ถ้าคราวนี้ไปไม่รอดและตั้งตัวไม่ได้แล้ว ก็ไม่ทราบว่าคราวไหนจะไปได้ รู้สึกจะหมดหวัง ว่างั้นเลยนะ เพราะฉะนั้นจึงเอาคราวที่ควรจะได้นี้ ให้ต่างคนต่างตักตวงให้เต็มเหนี่ยวนะ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เต็มภูมิแล้วที่นำพวกเราทั้งหลายให้ได้รับความร่มเย็น และให้กำลังใจ ให้ความอบอุ่นแก่พวกเรานี้เต็มภูมิแล้วนะ มีแต่พวกเราจะตามเสด็จพระพุทธเจ้าเท่านั้นละ เอาให้เมืองไทยเราฟื้นฟูขึ้นมา ให้เมืองนอกที่เขากำลังจะชี้หน้าเราอยู่นี้ ให้เขาได้หงายหน้าแหงนหน้าดูเป็นไร

    “ดิฉัน” ขอพรสำหรับคนที่จะอ่านเจ้าค่ะ

    หลวงตา ให้หมดแหละ ลงว่าให้ให้หมดไม่เสียดาย

    “ดิฉัน”
    หนูอยากจะขอพรพิเศษนอกเหนือจากตะกี้นี้คือว่า เราสองคนจะสามารถเขียนได้ให้ถึงใจคนอ่าน

    หลวงตา เอา ๆ ให้สามารถนะ ถ้าไม่สามารถกลับมาอีก มันบกพร่องนี่ บกพร่องตรงไหนทางนี้จะสอนอีก เอ้า ขึ้นไปต่อยต่อกรกันอีก เอาจนได้ชัยชนะกลับลงมา เอาละนะ

    จดหมายกราบเรียนถามภายหลัง

    ดิฉัน โครงการช่วยชาติของหลวงตาในครั้งนี้นั้น เป็นเรื่องของทางโลกโดยตรง ส่วนหลวงตาซึ่งเป็นผู้ประเสริฐแล้วในทางธรรม อาจไม่สันทัดในเรื่องธุรกิจการเงินระดับประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง จึงขอทราบแนวทางปฏิบัติกว้าง ๆ อย่างเช่นจะทำร่วมกับรัฐบาล หรือหน่วยงานใด ๆ ฯลฯ

    หลวงตา โครงการช่วยชาติในครั้งนี้ ยังไม่ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเป็นหลักการอย่างแน่นอน ดังที่กล่าวแล้วว่า เป็นเรื่องธุรกิจการเงินระดับประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องของทางโลกโดยตรง เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง จึงต้องรอปรึกษากับคณะกรรมการซึ่งล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ เป็นผู้รู้ผู้ชำนาญ ผู้มีความสามารถ ในทุกแขนงวิชาทางทางโลก และเป็นผู้มีคุณธรรม มีจิตใจบริสุทธิ์โปร่งใสในการทำงาน จะร่วมกันกำหนดหลักการปฏิบัติ ให้เกิดผลประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างสูงสุด เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างแน่นอนต่อไป

    ดิฉัน เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ แม้หลวงตาจะเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็จำเป็นต้องมีขบวนการและบุคคลต่าง ๆ รองรับ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความไว้วางใจสูง เพราะจำนวนเงินมหาศาล จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

    หลวงตา ดังที่กล่าวแล้วว่าหลวงตาจะเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ขบวนการและบุคคลต่าง ๆ ที่รองรับการทำงาน ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดรับใช้เราด้วยความซื่อสัตย์ มีศีลธรรม มีความละอายต่อบาปบุญคุณโทษ และทุกอย่างอยู่ในสายตาความรับผิดชอบของหลวงตาเองทั้งหมดในการตัดสินใจทุกเรื่องราว จะผิดพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะหลวงตาเชื่อในตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์

    ดิฉัน
    หากมองลึก ๆ จะเป็นการเข้าใจที่ถูกต้องหรือไม่ว่า หลวงตาไม่เพียงต้องการระดมเงินช่วยชาติเท่านั้น หากแต่เป็นความปรารถนาของหลวงตา ที่จะระดมให้คนไทยทั้งชาติเกิดความสามัคคี หันหน้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อประเทศชาติ และให้ตระหนักจริง ๆ ถึงภัยที่อาจมาถึงได้ หากขาดความเป็นใจหนึ่งใจเดียวกัน

    หลวงตา
    ความเข้าใจทั้งหมดดังกล่าวถูกต้องแล้ว หลวงตากำลังระดมทุกอย่าง เพื่อให้ชาติไทยของเรามีความผาสุกร่มเย็น ภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา และประสบความวัฒนาสถาพรตลอดชั่วกาลนาน

    ที่มา http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=1409&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...