ทำยังไงถึงจะรู้ว่าเรา ปราถนาพุทธภูมิ?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ukitake, 18 ธันวาคม 2014.

  1. ukitake

    ukitake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +140
    ผมอยากทราบว่า ตัวผมเองปราถนาพุทธภูมิหรือเปล่า บางทีใจก็รู้สึกอยากสงเคราะห์ คนอื่น แต่ด้วยกำลังทรัพย์ที่ไม่พร้อมนักจึงทำให้ถอดใจ บางทีก็มีใจอยากจะอยู่เพื่อช่วยเหลือสังคม แต่บางทีก็เบื่อหน่ายกับชีวิต

    ถ้าหากผมปราถนาพุทธภูมิจริง ทำยังไงผมถึงจะสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้นได้

    ขอบคุณครับ:cool:
     
  2. choto

    choto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +330
    ทำยังไงจะให้ทราบว่าตัวเองปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่า

    ก็ต้องถามตัวเราเองว่าเราปรารถนาหรือเปล่า ถ้าเราปรารถนาก็หมายหมายความว่าเราเป็นโพธิสัตว์ทันที

    แล้วเรื่องกำลังใจอยากสงเคราะห์แล้วติดขัดที่กำลังทรัพย์ ในความคิดผมนะถ้าเราปรารถนาพุทธภูมิแต่กำลังทรัพย์ไม่ถึง ก็เอาเท่าที่เราทำได้ก็แล้วกัน อย่างผม ผมก็กำลังทรัพย์ไม่ถึง ผมก็ทำเท่าที่ผมสามารถ เวลาทำบุญทำทานทีไรก็ตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิทุกครั้ง คือการบำเพ็ญบารมีของพุทธภูมิมีตั้ง ๑๐ ประการ ที่เรียกกันว่า บารมี ๑๐ อ่ะ

    ชาตินี้เราไม่สามารถทำมหาทานเหมือนมหาเศรษฐีได้ ก็ทำทานเท่าที่เราทำได้ แล้วก็ไปสะสมบารมีประการอื่นๆ อย่างเช่นถือศีลอุโบสถในวันพระเป็นต้น

    ส่วนเรื่องกำลังใจที่ท้อถอย ผมเองก็เป็นบางทีก็คิดนะว่า เบื่อมนุษย์เหลือเกิน โลกนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย บางครั้งผมก็คิดจะลา แต่นั่งคิดไปคิดมา เรามุ่งเอาผลใหญ่ก็ต้องเข้าใจโลก เพราะโลกมันเป็นแบบนี้ เหมือนคำพูดของนักปลุกพลังที่เขาพูดอ่ะครับว่า จับจ้องที่จุดหมายไม่ใช่อุปสรรค หวังผลใหญ่ใจต้องหนักแน่น

    เรื่องการสร้างกำลังใจหากท่านปรารถนาพุทธภูมิ ในส่วนนี้ผมว่าต้องอธิษฐานบ่อยๆ อย่างผมเองสวดมนต์วันไหน ผมก็จะกล่าวอธิษฐานขอให้ถึงซึ่งพระโพธิญาณทุกครั้ง ทำบุญเล็กน้อยหรือทำความดีขออธิษฐานถึงพระโพธิญาณทุกครั้งไป เป็นการสร้างความหนักแน่นในใจตัวเอง

    ว่างๆก็เข้ามาสืบค้นข้อมูลในห้องนี้มีพุทธภูมิหลายๆท่านคอยให้คำแนะนำ หรือมีการปฏิบัติที่เป็นแบบอย่าง หรือ หาหนังสือมุนีนาถทีปนีมาอ่านก็ได้ครับ เพื่อเป็นกำลังใจในการสู้ต่อ หรือหากไม่หวังผลใหญ่คือพระโพธิญาณก็เอาผลเล็กคือสาวกภูมิไปเลยครับ

    สุดท้าย คำแนะนำของผมอาจมีความผิดพลาดอยู่เนื่องจากยังรู้น้อย ก็ขอให้ท่านที่เป็นบัณฑิตให้อภัยด้วย รอท่านอื่นมาแนะนำที่จะเอียดกว่านี้

    ขอบคุณครับ
     
  3. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    การปรารถนาพุทธภูมิให้มองระยะยาวครับ แม้ตอนนี้กำลังทรัพย์เราจะน้อย ในเมื่อเราปรารถนาพระสัพพัญญูเรื่องทรัพย์ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เราสามารถสร้างทรัพย์ขึ้นมาได้มากมายมหาศาล สรุปคือ จิตใจต้องกว้างขวาง ยิ่งใหญ่แผ่ไพศาล ทำการใหญ่ได้

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า การให้ทานมากมายมหาศาลน้อยกว่า การรักษาศีล
    การรักษาศีลยังน้อยกว่า การภาวนา. ท่านukitake ลองพิจารณาการให้ทานตามสมควรแก่ฐานะ บริหารทรัพย์ให้เหมาะสมกับกำลังของตนครับ

    ส่วนการสร้างกำลังใจอย่างง่าย เมื่อมีโอกาสได้ทำบุญบารมีใดๆก็ตามให้มีสติรู้ว่าเราทำบารมีส่วนใดอยู่

    ทศบารมี
    1. ทาน การให้
    2. ศีล การรักษาศีลให้เป็นปกติ
    3. เนกขัมมะ การออกจากกาม
    4. ปัญญา ความรู้
    5. วิริยะ ความเพียร
    6. ขันติ ความอดทนอดกลั้น
    7. สัจจะ ความตั้งใจจริง เอาจริง จริงใจ
    8. อธิษฐาน ความตั้งใจมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง
    9. เมตตา ความรักด้วยความปรานี
    10. อุเบกขา ความวางเฉย

    เมื่อท่านระลึกได้จึงเกิดปิติ สุข กำลังใจ และบุญบารมีทั้งหมดจะใหลรวมลงสู่จิตใจของท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2014
  4. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ลองอ่านประวัติการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าดูก่อนครับ แล้วลองถามใจตัวท่านเองว่าท่านชอบหรือปรารถนาที่จะบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์แบบพระพุทธองค์ไหม

    สุภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า
    ต้นไม้ต้นใหญ่ เกิดจากกล้าไม้ ต้นเล็กๆ
    หอสูงเสียดเมฆา ฐานรากเตี้ยติดดิน
    การเดินทางหลายพันลี้ เริ่มจากการก้าวเท้าก้าวแรก

    เรื่องกำลังใจเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ครับ เมื่อเราเริ่มเดินทางสายนี้ก็หมั่นทำบุญสร้างกุศลเอาไว้เป็นทุนไว้ก่อนครับ คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้ทำไปตามกำลังของเราจะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อแท้ครับ และหลีกเลี่ยงการทำบาปอกุศลต่างๆ เมื่อทำบ่อยๆเป็นประจำก็จะติดเป็นอุปนิสัยปัจจัยติดตัวไปยังภพหน้าได้ครับ การอธิษฐานจิตเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อทำบุญทุกครั้งควรรู้จักอธิษฐานบุญให้เกื้อหนุนในการบำเพ็ญบุญบารมีของเราเพื่อพระโพธิญาณในอนาคต

    หมั่นศึกษาหาความรู้จากคำสอนใพระไตรปิฎกและหาครูอาจารย์ที่เป็นสายพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีสูงๆ จะได้เรียนรู้แนวทางในการบำเพ็ญบารมีที่มีประโยชน์กับเราได้มาก จะได้ไม่เสียเวลาในการลองผิดลองถูกมากไป

    เมื่อทำบุญสร้างกุศลไปเรื่อยๆข้ามภพข้ามชาติไปย่อมก่อให้เกิดบารมีหรือกำลังใจที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆเองครับ อย่าเป็นห่วงว่าจะบำเพ็ญในสิ่งที่ทำได้ยากไม่ได้ ต้นไม้กว่าจะโตเต็มที่และออกดอกออกผลได้ย่อมต้องใช้เวลาฉันใด การบำเพ็ญบารมีก็เช่นกัน เมื่อถึงวาระที่สะสมบุญบารมีได้เต็มที่แล้ว ก็ย่อมสำเร็จผลได้ฉันนั้น

    สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่าความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายนั่นแหละคือหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด

    ผมขอเป็นกำลังใจให้ครับ

    ที่มาสุภาษิตจีน สุภาษิต คำคมจีน
     
  5. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,268
    ที่มาของการอธิษฐานเป็นพุทธภูมิ​


    มีหลายแบบ เช่น

    ๑. บางท่าน ก็อธิษฐานทันที ไม่รอเวลา

    ๒. บางท่าน ก็ศึกษาคำสอนต่างๆเรื่องพุทธภูมิด้วยตนเอง
    เมื่อมั่นใจในผลการศึกษา แล้วจึงอธิษฐาน

    ๓. บางท่าน ก็ลงมือช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์หรือทำงานสาธารณกุศลบ่อยๆ
    เมื่อแน่ใจว่าชอบจริง แล้วจึงอธิษฐาน

    ๔. บางท่าน ก็ลงมือปฏิบัติสมถะกรรมฐาน(สมาธิ)จนได้ฌาน๔ตาทิพย์
    แล้วใช้ญาณระลึกชาติ หรือ ถามพระ/พรหม/เทวดาในโลกทิพย์
    เมื่อได้ทราบคำตอบ แล้วจึงอธิษฐาน

    ๕. บางท่าน ก็ลงมือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนถึงโคตรภูญาณ
    ก็จะรู้ด้วยตนเอง
    เมื่อได้รู้ แล้วจึงอธิษฐาน

    ๖. บางท่าน ก็ไปถามพระสงฆ์สุปฏิปันโน(มนุษย์)ที่ตนศรัทธา
    เมื่อได้ฟังคำตอบจากท่าน แล้วจึงอธิษฐาน

    ฯลฯ

    สรุปว่า ถ้าทำข้อ ๑. ไม่ได้ ก็ขอแนะนำ คือ

    ให้ทำข้อ ๒, ๓, ๔ หรือ ๕ อย่างน้อยหนึ่งข้อให้ได้
    เพื่อเป็นการพิสูจน์ด้วยตนเองก่อน


    แล้วสุดท้ายต้องทำข้อ ๖. เพื่อเป็นการสอบทานให้ถูกต้องในที่สุด


    ขออนุโมทนาบุญ และขอให้โชคดี ครับ


    (f)(f)(f)
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) จะเป็นพระโพธิสัตว์ หรือไม่นั้น ไม่สำคัญ สำคัญที่กำลังใจ ของเรา ต้องการหรือไม่ ถ้าต้องการ จิตใจมันเป็นตั้งแต่คิดแล้วครับ เมื่อชอบแบบไหน ก็อธิษฐาน ทับไปเลย เพื่อประโยชน์อันสูงสุดครับ อธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ก็มาทันที ตามขั้นบารมี ต้น กลาง และ ปลาย ครับ ตามกำลังของเรา

    การสร้างบารมี ไม่จำเป็นต้องมีเงิน มาก เสมอไป มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก คำว่าพุทธภูมิ หรือ พระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อ เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ จะถึงหรือไม่ถึงนั้น อีกเรื่องหนึ่ง ต่างหากครับ เขาทำทุกๆอย่าง ทุกๆเรื่อง ในการเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างไหนพ่อง ก็ต้องไปทำอย่างนั้นๆ อย่างเดียว บางเรื่อง ต้องเกิดทำซ้ำๆซากๆ ไม่รู้กี่ร้อยชาติ ตัวอย่างเช่น พระมหาชนก ทำความเพียร ว่ายน้ำในมหาสมุทร ถึง ๕๐๐ ชาติ ความเพียรนำหน้า บารมีทุกตัว ก็มาสนับสนุนทันที

    ลองคิด เอาดูเองก็ได้ เมื่อว่ายน้ำ ไม่มีขันติ อดทนจะไปรอดไหม มันต้องอดทนอย่างยอดยิ่ง คนไม่มีปัญญา จะว่ายน้ำไปได้ อย่างไร ต้อง ๗ วัน คนอื่นตายหมด เพราะขาดปัญญา ก่อนเรืออัปปาง พระมหาชนก ตรียมตัว พร้อมสัป เพราะใช้ปัญญา ถ้าเป็นเราๆ ตายซี่แหงๆ ตอนก่อน บ้วน ปาก รักษาศิล ๘ เพราะเป็นวันพระ ศิลพรหมจรรย์ ถึงไม่ใช่ ศิลพรหมจรรย์ ท่านก็มีศิล ๕ อยู่แล้ว ท่านนึกถึงทานการให้ ที่ท่านบำเพ็ญมาแล้ว จนอเนกชาตินับไม่ถ้วน ระหว่างที่บ้วน ขี้ฟัน อาหารอาจติดปากท่านอยู่ ถ้าท่านคิด จะสงเคราะสัตว์ เล็กๆน้อยๆต่อสัตว์เล็ก ให้อาหารเป็นทาน ก็ยังได้อนิสงฆ์เลยครับ



    ท่านมีเมตตาบารมี กรุณา สงสารสงเคราะ ต่อสัตว์โลก ท่านมีบุญญาบารมี จนต้อง ร้อนไปถึง นางมณีเมตขลา ที่ดูแลมหาสมุทร จึงต้องเหาะ มาทางนภากาศ แล้วอุ้มมหาโพธิสัตว์ เหาะไปวางไว้ที่ โคนต้นมะม่วง แล้วพระองค์ได้เป็นกษัติย์ ทุกๆชาติที่พระองค์ว่ายน้ำ การอธิษฐานบารมีของท่าน จึงร้อนไปถึง นางมณีเมตขลา ถึงในการ ทำความเพียร ของท่าน อธิษฐานถือ อุโบสถศิล ไม่ว่าจะมองแค่ไหน บารมีทุกตัว มันสอดคล้องกันหมดครับ คุมหมด ว่ายน้ำจะถึง ฝั่งหรือไม่ พระองค์ทำใจ เป็นอุเบกขา จะตายหรือไม่ก็ตาม พระองค์วางใจเป็นกลางๆ วางเฉย นี่ การบำเพ็ญ บารมีของพระองค์ มาถึงพร้อมด้วย บารมี ๓๐ ทัต



    เพราะเป็นเอทัตคะ ชาติ สุดท้ายใน บารมีนั้นๆนำหน้า แล้วบารมีทุกๆตัว เสริมมาหมดครบบริบูรณ์ แล้วเจ้าของกระทู้ ไม่มีเงินใช่ไหม ในการสร้างบารมี ผม ขอกว่าว ย่อๆไว้ๆเป็นในดังนี้ แม้ อาหาร ถ้าใจคุณเป็นกุศล แม้อาหารอยู่ในปาก เอาน้ำบ้วน ลงในดิน ที่มีสัตว์ อยู่ เช่นมด ทุกๆชนิด หรือสัตว์ บางชนิด ที่ชอบอาหาร นี่เห็นไหม บุญเกิดแล้ว ใช้แรงกาย ไปทำ ช่วยงานสาธารณะประโยชน์ ต่างๆมีมากมาย ที่จะพรรณนา ให้ฟัง ใช้ปัญญา คิดเอาเองครับ หรือช่วยใครก็ได้ ที่เขาเดือดร้อน คนสัตว์ได้ทั้งนั้น มันต้องทำเอง คนอื่นช่วยไม่ได้ สำหรับโพธิสัตว์


    ครูเขาก็แนะนำ สั่งสอนเท่านั้น การทำคือหน้าที่ของคุณครับ ผมเคยพูด ในพลังจิต หลายกระทู้ นับเป็นร้อยเรื่อง วันนี้เลยอยากเข้ามา ในกระทูของคุณ แค่อนุโมทนาสาธุ บุญก็เกิดแล้ว ทาน ศิล ภาวนา หลักสำคัญ ของโพธิสัตว์ พุทธภูมิ มันต้องทำ ทุกๆอย่างทุกๆเรื่อง ไม่งั้นไปเป็นครูเขาไม่ได้หรอก ต้องรองทำ คิดเอง ทำเอง กินเอง ชงเอง และต้องสร้าง บริษัท บริวาร ช่วยได้ทุกๆเรื่อง เมื่อถึงเวลา ถ้าบารมีเต็มแล้ว อะไรๆก็ทำได้หมด ทำได้ยากยิ่ง ที่บุคคลธรรมดา จะทำได้ เพราะนั้นฝึกมาดีแล้ว จึงทำได้



    พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า การเป็นพระพุทธเจ้านั้น อะไรๆก็ทำได้หมด ท่านบอก ไม่อัศจรรย์ เลย เพราะถึงความพร้อมแล้ว จึงทำได้ แต่ที่น่า อัศจรรย์ที่สุด คือ ตอนท่านเกิด เป็น สัตว์ หรือคน ที่ธรรมดา อธิษฐานได้ผล ในหลายๆเรื่อง หรือ หลายๆตอน นั่นน่ะ อัศจรรย์ จริงๆหนอเอวังก็มีด้วยประการฉนี้ต้องขอลาก่อนครับ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2014
  7. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    เรื่องที่จะทราบว่าตนเองปราถนาพุทธภูมิหรือไม่เป็นเรื่องลำบากมากๆ ขนาดพระอชิตะภิกขุผู้ที่จะได้ตรัสเป็นพระศรีอารย์ท่านยังไม่รู้ตัวเลย จนพระพุทธเจ้าเราพยากรณ์ให้จึงทราบ

    ถ้าจะเอาความรู้สึกเป็นตัวตัดสินว่าเราปราถนาหรือเปล่าผมว่ามันดูสุ่มเสี่ยงเกินไปอาจจะเป็นความตั้งใจหลอกๆที่จิตปรุงขึ้น รวมถึงนั่งสมาธิระลึกชาติสิ่งรับรู้ก็อาจเป็นนิมิตที่เราปรุงขึ้มาหลอกตนเองได้

    วิธีที่ดีที่สุดในการหาคำตอบว่าตนปราถนาพุทธภูมิหรือเปล่าคือต้องไปถามเอากับพระอรหันต์ที่มีญานหยั่งรู้น่าจะแม่นที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรแม่นยำเท่ากับไปถามพระพุทธเจ้าโดยตรง

    และสิ่งที่ควรทำของคนที่ไม่มั่นใจว่าเป็นพุทธภูมิหรือเปล่าคือ "ภาวนา" เอาให้ถึงสังขารรุเบกขาญาน ตอนนั้นจิตของเราจะเป็นกลางต่อดีและชั่ว ไม่ลำเอียงเพราะชอบหรือชัง ถ้าจิตยังมั่นคงต่อพุทธภูมิแสดงว่ามีโอกาสที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ของจริง ถ้าตนเองไม่ใช่พุทธภูมิก็เอามรรคเอาผลเข้านิพพานไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2014
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) คุณเข้าใจผิดแล้ว พระอชิตะ ภิกขุ ท่านเป็นพระศรีอริยเมตตรัย บารมีเต็มแล้ว ที่จะมาตรัสรู้ หลังจาก พระพุทธเจ้าองค์ปัจุบัน พุทธภูมิเขารู้ตัว ตั้งแต่ บารมี กลางแล้ว บารมีต้น อาจไม่แน่ใจ ท่านจึงต้องเกิดมา สร้างบารมีให้เต็ม และส่วนใหญ่ ที่ลาพุทธภูมิกัน บารมีเกิน สาวกไปแล้วทั้งนั้น บารมีใกล้เต็ม บารมีเต็มแล้ว รอคิวแล้ว ไม่รู้ตัวเองไม่มีหรอก นอกจากพระภูมิเท่านั้น ไปหาอ่านให้ดีๆ อย่าเอา ใจตัวเองมาตัดสิน

    ไปหาอ่าน ๑๐ ทศชาติๆ ๑๐ ชาติสุดท้าย ท่านจะกล่าว ถึงพระโพธิญาณ เสมอๆ คนกินเกลือ ก็รู้ว่าเค็ม คนไม่กินจะรู้ได้ยังไง ไม่ต้องไปอ่าน ทศชาติก็ได้ ในปัจจุบันเยอะแยะ ไปหาหรือตามศึกษา กับท่านเหล่านั้นได้ และที่ลา พระที่สำคัญๆ ในประเทศไทยเยอะแยะ ท่านลาแล้วจบกิจ ถ้าใจคุณไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ท่านจะสงเคราะเอง อย่า มา วิเคราะส่งเดช ให้คนที่ ยังบารมีอ่อนเข้าใจผิด หลวงปู่ปาน ท่านก็จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ หลังจากพระราม ท่านก็รู้ สั่งสอน หลวงพ่อฤาษี และลูกศิษย์ ให้เป็น ทั้งพระโพธิสัตว์ และพระอริยเจ้ามากมาย


    จะว่าคนอื่นตัดสิน ผิดๆ แค่คิด เขาก็เป็นแล้ว แต่ถ้าไม่ตั้งใจบำเพ็ญ ต่อ มาเป็นสาวก ก็อีกเรื่องหนึ่ง ในเมื่อตัวเอง ไม่ได้ทำ อะไรเลย คนที่เขามาอ่าน ในห้องนี้ ผมถือว่า ทุกคนมีปัญญา แล้วทั้งนั้น จะมากหรือน้อย นั่นอีกเรื่องหนึ่ง จะบอกว่าไม่รู้เรื่องนั้นไม่ได้ แล้วมาพูดแบบนี้ ผมถือว่า ใจทราบ หยาบช้า ไม่ควร เอามาพูด หรือแสดงออกแบบนี้ เป็นการปรามาส พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอดีด ถึงอนาคตไปด้วย เพราะท่านทั้งหลาย เหล่านั้น บำเพ็ญ บารมีมาเหมือนกันหมด และปรามาส พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ในอดีด ถึงอนาคตไปด้วย ไม่รวม พระอริยเจ้านะนี่

    ถ้าถาม พอให้อภัย ถือว่าไม่รู้ นี่ดัน ออกความเห็น บอก ท่านทั้งหลายสุ่มเสี่ยง ลองคิดดู คนที่นั่ง สมาธิ ว่าใจเขาสงบหรือไม่ ภาวนาอยู่หรือใจไปอยู่ที่อื่น ถ้าคนไหน บอกไม่รู้ นั่นมัน ไอ้บ้าแล้วครับ:cool:
     
  9. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    ใจเย็นครับ ผมพูดมีเหตุผลของผม และพอมีหลักฐานยืนยันในความเชื่อของผม

    ก่อนอื่นเลยผมขอ่าวไว้ก่อนเลยว่าเวลาผมใช้ข้อมูลอะไรตัดสินผมใช้พระไตรปิฏกเป็นหลัก ส่วนคำของครูอาจารย์ผมถือเป็นชั้นรองถ้าขัดกับพระไตรปิฏกผมเลือกเชื่อพระไตรปิฎก

    1 ที่ว่าพระโพธิสัตว์ไม่รู้ว่าตนปราถนาพุทธภูมิ(รวมถึงไม่แน่ใจ)ก็มีตัวอย่างใน. "ปัญจอุโบสถชาดก"ตามชาดกนั้นพระพุทธเจ้าของเราเป็นดาบสแต่มีความหยิ่งในตระกูล(มานะจัด) จนทำให้ไม่สามารถทำสมาธิจนเกิดณานได้ พระปัจเจกองค์หนึ่งรู้วาระจิตจึงมาสั่งสอน โดยลอยบนอากาศให้ละอองเท้าโปรยบนศีรษะดาบส แล้วท้าว่าแน่จริงก็ลอยตัวขึ้นมา จากนั้นพระปัจเจกก็บอกแก่ดาบสว่า ตัวท่านนั้นเป็นสัตว์สำคัญจะได้ตรัสรู้ในภายหน้าในกัปป์นี้แหละ ขอให้ท่านจงละความหยิ่งทนงตนแล้วบำเพ็ญณานให้เกิด จากนั้นพระปัจเจกก็เหาะไป ดาบสสลดใจที่ตนออกบวชแล้วยังตระหนี่ในตระกูลจึงละความคิดนี้เสียแล้วบำเพ็ญณานจนสำเร็จ

    2 เรื่องที่ผมเหมือนดูถูกพระโพธิสัตว์ นั้นไม่จริงผมนับถือพระโพธิสัตว์ที่มีน้ำใจช่วยเหลือสัตว์ทุกองค์ แต่ผมก็มีความเป็นห่วงพระโพธิ์ที่มีเจตนาแห่งความปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพราะ อยากดี อยากเด่น อยากเก่ง อยากๆๆๆ เพราะถ้าเริ่มเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะกรุณาในหมู่สัตว์ โอกาสสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแทบเป็น ศูนย์.สู้ตัดตรงเข้านิพพานดีกว่า และวิธีที่จะสำรวจใจตัวเองว่าเป็นพระโพธิสัตว์เพราะเหตุใด ก็ให้สำรวจผ่านการภาวนาจนถึงสังขารรุเบกขาญาน เพราะที่ญานนี้ใจจะบริสุทธิ์พร้อมที่จะบรรลุธรรม ถ้าใจตรงนี้ยังห่วงสัตว์มากกว่าตนเองจิตใจดวงนี้จึงจะมีกำลังพอที่จะฝ่าความทุกข์ยากเพื่อจะเอาพระโพธิญานได้สำเร็จ(แต่อนาคตก็ไม่แน่จนกว่าจะได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า)

    3 เรื่อง การลาพุทธภูมิ ผมทราบว่าคุณนับถือครูบาอาจร์ยของคุณ ผมไม่อยากจะทะเลาะเพราะจะกระทบจิตใจกัน ผมอยากให้คุณลองนึกดูว่าในโลกนี้จะหาใครที่ประเสริฐกว่าพระพุทธเจ้าเป็นไม่มี ต่อให้พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีจนเต็มแต่ถ้ายังไม่ตรัสรู้ก็ไม่มีทางมาเทียบกับพระพุทธเจ้าได้ เรื่องนี้พระโพธิสัตว์ทุกองค์ทราบดี ที่นี้คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าผมถือว่าคือที่สุด ไม่มีสอง เที่ยงแท้ ไม่มีใครทัดทานแก้ไข ในเมื่อพระพุทธเจ้าในอดีตตรัสพยากรณ์แล้ว ใครจะไปแก้ไขได้ พระโพธิสัตว์ที่ท้อแท้หมดกำลังใจในการบำเพ็ญบารมีจนขอลาพุทธภูมิ แต่ถ้าได้รับพยากรณ์แล้วอย่างไรเสียก็จะต้องกลับใจมาบำเพ็ญบารมีต่อไป ลาอย่างไรก็ไม่ขาดสนิทถึงเจ้าตัวจะเข้าใจว่าลาขาดแล้วแต่นั้นเป็นการเข้าใจผิดไปเองทั้งสิ้น. ส่วนที่ขาดมีเพียงพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์ อย่างหลวงปู่มั่นเป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2014
  10. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    เพิ่มเติม

    ผมนึกถึงพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิไม่ขาดที่มีชื่อเสียง คือท่าน อาจารย์ สิงห์ ขันตยาคโม ศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงปู่มั่น ตัวท่านบำเพ็ญเพียรอย่างหนักแต่ไม่ได้มรรคผล ท่านทราบว่าปราถนาพุทธภูมิและพยายามลาพุทธภูมิแต่ลายังไงก็ลาไม่ขาด.

    จนตัวท่านถึงกับออกปากว่าถ้าใครแก้/ช่วยให้ท่านสำเร็จมรรคผลได้จะนับถือเป็นอาจารย์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามาถทำได้ ทั้งที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นผู้เป็นอาจารย์แต่หลวงปู่มั่นก็ไม่สามารถช่วยท่านในเรื่องนี้ได้
     
  11. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น
    ที่จริงไม่อยากแสดงความคิดเห็น
    แต่ในฐานะที่ผมปรารถนาพุทธภูมิคนหนึ่ง อ่านแล้วมีประเด็นเล็กน้อย
    ที่คุณ Veeravit เขียนมานั้น เห็นด้วยครับ
    และยอมรับในข้อมูลอ้างอิงทำให้น่าเชื่อถือ
    บ่งบอกว่าเป็นผู้มีจุดยืน มีเอกสารหลักฐานยืนยัน ตามหลักวิชาการ

    แต่ขอจะแสดงความคิดเห็นที่อาจจะขัด หรือแย้ง กับสิ่งที่คุณ Veeravit ได้อ่าน ได้เรียนรู้ ได้ศึกษามา

    สิ่งนั้น ก็คือ วิสัยพุทธภูมิ ของผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ
    หรืออาจจะกล่าวได้ว่า วิสัยพุทธภูมิ เป็นอจินไตย ที่บุคคลทั่วไป อาจคิดไม่ถึง เพราะไม่อยู่ในตำรา นอกจากพุทธภูมิ คือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล

    ที่จริงตั้งใจจะเขียนแค่นี้พอ
    แต่ขอเพิ่มสักหน่อย ไม่มีในตำรา และอาจไม่ตรงกับผู้ใด

    - ผู้ที่ทรมานพุทธภูมิ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปักเจกพุทธเจ้า พุทธภูมิด้วยกันเอง พุทธภูมิที่ลาแล้วได้อรหันต์ ครูบาอาจารย์ที่มีกรรมผูกพันกัน

    - เรื่องลา ไม่ลา เป็นเรื่องของพุทธภูมิ ถึงแม้ได้รับพยากรณ์ ก็ขออนุญาตลาต่อพระพุทธเจ้าได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผล เหตุปัจจัย และความเหมาะสม ซึ่งต้องใช้กำลังใจ ความตั้งใจอย่างสูง

    - พระไตรปิฏกที่มีอยู่ ไม่ค่อยอธิบายวิสัยพุทธภูมิ เพราะเป็นเรื่องของพุทธภูมิ เป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้พ้นทุกข์ พระไตรปิฏกจึงไม่สามารถอธิบายวิสัยพุทธภูมิได้ทุกเรื่อง

    - ถ้าจะกล่าวว่า แดนพระนิพพาน มีจริงจะเชื่อไหม

    - ถ้าจะกล่าวว่า พระอรหันต์ ที่เข้านิพพานแล้ว มาปรากฏกายให้เห็น จะเชื่อไหม
     
  12. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559

    ผมค้นมาให้อ่านครับ แล้วแต่จะพิจารณา

    ฟอกจิตโดยหลักธรรมชาติ

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อค่ำวันที่ ๑๑ เดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๘
    เทศน์อบรม ณ กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม กรุงเทพมหานคร

    หลวงปู่สิงห์ ได้ทราบว่าเป็นพระธาตุแล้วนะ ก็สมชื่อสมนามที่ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่วัดสาลวัน โคราช ท่านเป็นลูกศิษย์เรียกว่าต้นปีละ (ถ้านับก็ ๑๙ ครับ ถ้านับหลวงปู่สิงห์ก็ ๑๙ หลวงปู่ปิ่นครับ) หลวงปู่สิงห์นี้ชัดแล้วเป็นพระธาตุ คือวัดส่วนหยาบต้องเอาพระธาตุวัดกันตามหลักเกณฑ์ของตำรับตำราบอกไว้อย่างชัดเจน อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้นั่นคืออัฐิของพระอรหันต์เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น ชี้ขาดเลย เมื่อออกมาอย่างนี้ก็ประกาศป้างเลยชัดเจน ธรรมดาผู้ที่จะออกมานี้ท่านทราบก่อนแล้วแหละ ตั้งแต่ยังไม่ตาย ครูบาอาจารย์องค์ไหนองค์ใดเป็นยังไงในวงปฏิบัติ ลูกศิษย์ลูกหาท่านทราบมาชัดเจนตลอด

    อันนี้มาประกาศตอนสุดท้ายของท่านที่ล่วงไปแล้วเท่านั้นเอง สำหรับภายในที่ท่านอยู่ด้วยกัน ศึกษาอบรมมาด้วยกัน ท่านทราบกันมาตลอดๆ เลย เพราะวิถีจิตวิถีธรรมอาจารย์กับลูกศิษย์ไม่พูดต่อกัน จะพูดต่อใคร การเทศนาว่าการเรื่องจิตใจ การดำเนินก้าวเดินเป็นยังไงๆ เพื่อมรรคเพื่อผลขั้นใดภูมิใด ท่านจะชี้แจงแสดงเหตุผล ท่านไม่ได้บอกว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นนั้นๆ ก็ตาม แต่ธรรมชาติที่ท่านนำออกนี้คือธรรมล้วนๆๆ ออกเป็นขั้นเป็นภูมิไปเลย นั่น ใครจะไม่ยอมรับ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ใกล้ชิดติดพันท่านทราบกันหมด เป็นแต่ว่าท่านไม่พูดเฉยๆ เงียบๆ เท่านั้นเอง อันนี้ออกมาเปิดเผยแล้วจึงประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ

    พระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว : “หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม”

    แสดงกระทู้ - พระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว เกี่ยวกับ “หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม” • ลานธรรมจักร
     
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงตอบปํญหาธรรมเรื่องพุทธภูมิ


    <TABLE style="LINE-HEIGHT: 150%" border=0 borderColor=#000080 cellPadding=2 width="98%" ,><TBODY><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="18%">ผู้ถาม</TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="82%">"หลวงพ่อครับ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินี่จะทราบได้อย่างไรเขาบำเพ็ญบารมีแบบไหนครับ....?" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="18%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="82%">
    "ตัวของเขาทราบเอง เหมือนคุณกินเกลือ คุณรู้ว่าเค็มหรือเปล่า....?"




    </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="18%">ผู้ถาม</TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="82%">(หัวเราะ) "แล้วเหตุใดพระโพธิสัตว์บางองค์จึงลาจากพุทธภูมิครับ....?" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="18%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="82%">
    "เพราะอยากลา นี่ตอบไม่อยาก คือภาระของพุทธภูมินี่เวลาเขาทำๆ ไป ถ้าตั้งระยะไว้ไม่ยาว พวกนี้เขาช่วยพระพุทธศาสนา เขาก็ทำกิจของพุทธภูมิเช่นกัน แต่ว่าถ้าหากจะช่วยพระพุทธศาสนา ถ้าความเข้มแข็งไม่มีมันช่วยไม่ได้ เพราะพวกนี้อารมณ์ของเขามีอย่างเดียว คือไม่ห่วงตัวเอง ถ้าตัวเองไม่มีกิน ถ้าคนอื่นกินได้ ไอ้นี่เขาพอใจ แต่พวกที่ลาจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็ใกล้พระนิพพานแล้ว ถ้าไม่ใกล้เขาไม่ลา ลาแล้วไม่กี่วันก็ได้พระอรหันต์ เพราะกำลังเขาเกิน อย่างคุณเรียนเตรียมอุดม ถ้ากลับไปทำงานประเภทหลักสูตรแค่ ม.๓ คุณไม่ต้องใช้กำลังมาก ใช่ไหม....?"




    </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="18%">ผู้ถาม</TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="82%">"ใช่ครับ" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="18%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="82%">
    "เหมือนกัน คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณเรียกว่า พระโพธิสัตว์ ทีนี้พวกที่ใกล้ที่สุดอย่างเช่น ถ้าเป็นปัญญาธิกะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องสงไขยที่ ๔ ในกัปนั้นแหละ ท่านจะบรรลุมรรคผลหรือกัปนั้นแหละที่บารมีจะเต็ม สำหรับพวกที่ปรารถนาเป็นสาวกภูมินี่ใช้เวลาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนกัป
    ส่วนอัครสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนกัป เข้าใจไหม...?"





    </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="18%">ผู้ถาม : </TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="82%">"เข้าใจครับ...หลวงพ่อครับ หลวงปู่ปานท่านก็บำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาพระโพธิสัตว์เหมือนกันใช่ไหมครับ....?" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="18%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="82%">
    "หลวงปู่ปานรู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ตอนแรกๆ ไม่รู้ว่าเต็มหรือไม่เต็ม เต็ม หมายความว่า ปรมัตถบารมีเต็ม มารู้ทีหลัง คือว่าเวลาทำบุญ ท่านเปล่งวาจาปรารถนาพระโพธิญาณกลางที่ชุมนุมชน คือท่ามกลางสมาคม ท่านเปล่งชัดออกมาเลยว่า "ผลงานนี้ขอให้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ" ไม่ใช่งุบงิบๆ ถ้างุบงิบละก็ยังอีกนาน กลัวเขาจับได้"





    </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="18%">ผู้ถาม</TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" bgColor=#ffa87d vAlign=top width="82%">"หลวงพ่อคะ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะต้องฝึกอภิญญาไหมคะ....?" </TD></TR><TR><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="18%"></TD><TD style="LINE-HEIGHT: 100%" vAlign=top width="82%">
    "ก็ต้องฝึก ถ้าอุปบารมีนี่ จะทำงานในเรื่องของอภิญญาเป็นปกติ ถ้าอุปบารมีไม่ต้องห่วงหรอก เหาะเกือบทุกชาติเกิดชาติไหนก็เหาะชาตินั้น ต้องได้อภิญญาทุกชาติ พระโพธิสัตว์นี่ถ้าถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้วก็ไม่ลงนรก ตอนนี้เข้าขั้นตัดนรก แต่ถ้าอุปบารมีนี่ยังเป็นลูกผีลูกคน ยังแยกไปได้ ๒ ทาง
    ถ้าปรมัตถบารมีต้องทำ ๑๐ ชาติ พอถึงชาติสุดท้ายตีรวมบารมีเลย พอเข้มข้นหมด เต็มอัตราปั๊บ ท่านก็ยิ้มไปอยู่ชั้นดุสิต รอจนกว่าจะถึงวาระ
    พอถึงวาระแล้วก็ต้องลงมาเกิดเป็นคนก็ต้องบำเพ็ญบารมีอีก รวบรวมกำลังบารมีแล้วก็ตรัสรู้ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือ บรรลุอรหันต์ด้วยตัวเอง"





    </TD></TR></TBODY></TABLE>คัดลอกจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 ธันวาคม 2014
  14. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    "เรื่องที่จะทราบว่าตนเองปราถนาพุทธภูมิหรือไม่เป็นเรื่องลำบากมากๆ ขนาดพระอชิตะภิกขุผู้ที่จะได้ตรัสเป็นพระศรีอารย์ท่านยังไม่รู้ตัวเลย จนพระพุทธเจ้าเราพยากรณ์ให้จึงทราบ"

    ตอบ เรื่องที่ว่าตัวเองความปรารถนาพุทธภูมิหรือไม่นั้น อยู่ที่ความชอบของตนเองครับ
    ถ้าเราชอบช่วยเหลือสรรพสัตว์ ชอบแนวทางการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า แสดงว่ามีอุปนิสัยปัจจัยอยู่ในกาลก่อน เมื่อได้ศึกษาและทราบแนวทางจึงรู้สึกได้เลยว่านี่แหละ เป็นเส้นทางที่เราชอบ เราจึงปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง คล้ายๆกับเวลาเราเรียนหนังสือ เราก็จะรู้ด้วยตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบเรียนวิชาอะไร ซึ่งไม่ต้องให้ใครมาบอก เราก็สามารถรู้ได้ด้วยตัวของเราเอง ซึ่งความชอบเหล่านี้จะปรากฏให้เห็นได้ชัดเมื่อเราได้มีโอกาสเรียนหรือศึกษามาได้ระยะหนึ่งแล้ว

    ส่วนในกรณีที่พ้นยุคสมัยพระพุทธศาสนาไปแล้ว ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิที่มีบารมีน้อยอยู่ ยังระลึกชาติไม่ได้ หรือจำความไม่ได้ว่าเคยปรารถนาอะไรไว้ แต่จากที่เคยตั้งใจปรารถนาเอาไว้ อธิษฐานจิตเอาไว้ จะส่งผลให้มีโอกาสได้ทำความดี ได้เจอเหล่าท่านที่บำเพ็ญบารมีมาทางสายนี้ ตามที่ได้อธิษฐานไว้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าตนเองปรารถนาอะไรไว้บ้าง แต่การที่ตั้งใจบำเพ็ญความดีมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นอุปนิสัยที่ดีสั่งสมไว้เรื่อยๆ (บางครั้งก็มีกิเลสเข้ามาแทรกเป็นเหตุให้ทำบาปอกุศลจนพลาดพลั้งไปสู่อบายภูมิ ก็เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ปรับตัวใหม่ จึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการฝึกฝนขัดเกลาอุปนิสัยตนเอง) และเมื่อมาพบพระพุทธศาสนาอีกครั้งก็จะทราบว่าตนเองชอบช่วยเหลือสรรพสัตว์ และรักพระพุทธเจ้ามากเมื่อได้อ่านเรื่องราวการบำเพ็ญบารมีของท่าน จึงตั้งใจปรารถนาที่จะทำความดีช่วยเหลือสรรพสัตว์แบบพระพุทธองค์ต่อไปตามความรู้สึกเดิมๆที่เคยปรารถนามานั่นเอง

    สำหรับเรื่องที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ให้นั้น เป็นคนละประเด็นกันครับ ไม่ใช่ว่าพุทธภูมิท่านจะไม่ทราบว่าท่านชอบหรือปรารถนาอะไร เพียงแต่การพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการยืนยันว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่แน่วแน่ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ (นิยตโพธิสัตว์)

    -----------------------------------------------------------------------------------------

    "ถ้าจะเอาความรู้สึกเป็นตัวตัดสินว่าเราปราถนาหรือเปล่าผมว่ามันดูสุ่มเสี่ยงเกินไปอาจจะเป็นความตั้งใจหลอกๆที่จิตปรุงขึ้น รวมถึงนั่งสมาธิระลึกชาติสิ่งรับรู้ก็อาจเป็นนิมิตที่เราปรุงขึ้มาหลอกตนเองได้"

    ตอบ อย่าไปคิดแบบนั้นครับ ท่านใดชอบอะไรย่อมรู้ได้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ ถ้ายังไม่มั่นใจแต่ก็อยากทำความดีช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่สะสมไปก่อน พอเห็นว่าพอทำได้และมีความสุขที่ได้ทำ จึงเริ่มตั้งความปรารถนาไว้ในใจลึกๆและทำไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้บอกใคร ก็ถือว่าเป็นบารมีต้นแล้วครับ แค่ตั้งความปราถนาไว้ในใจก็ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว(จัดว่าเป็นอนิยตโพธิสัตว์เพียงแต่บารมียังอ่อนอยู่) ก็ทำความดีไปเรื่อยสะสมบุญบารมี ขัดเกลาจิตใจตัวเองไปเรื่อยๆ นับภพนับชาติไม่ถ้วน พอเริ่มมั่นใจมากขึ้นแล้วก็จะกล้าเปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิ ถือว่าเข้าเขตบารมีขั้นกลางแล้ว ก็บำเพ็ญต่อไปอีกนาน... จนในที่สุดบารมีแก่กล้ามากแล้ว ได้ธรรมสโมธานครบ ๘ ประการในชาติใดแล้วเมื่อพบพระพุทธเจ้า แล้วเปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิ พระพุทธองค์ก็จะทรงพยากรณ์ให้ครับ ก็ถือว่าเข้าเขตบารมีปลาย(ปรมัตถบารมี) ก็บำเพ็ญต่อไปเรื่อยๆจนบารมีเต็มแล้วจึงรอคิวมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป

    การจะคิดว่าจิตปรุงแต่ง หรือนิมิตหลอกตนเอง ไม่ใช่เหตุผลในการที่จะมาตัดสินเรื่องความปรารถนาพุทธภูมิแต่อย่างใด ที่จริงสังเกตดูได้จาก ถ้าคุณชอบอะไร แล้วคุณพยายามทำเพื่อสิ่งนั้นหรือเปล่า ก็สามารถตัดสินได้แล้วครับว่าคุณปรารถนาหรือไม่
    ----------------------------------------------------------------------------------------

    "วิธีที่ดีที่สุดในการหาคำตอบว่าตนปราถนาพุทธภูมิหรือเปล่าคือต้องไปถามเอากับพระอรหันต์ที่มีญานหยั่งรู้น่าจะแม่นที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรแม่นยำเท่ากับไปถามพระพุทธเจ้าโดยตรง

    และสิ่งที่ควรทำของคนที่ไม่มั่นใจว่าเป็นพุทธภูมิหรือเปล่าคือ "ภาวนา" เอาให้ถึงสังขารรุเบกขาญาน ตอนนั้นจิตของเราจะเป็นกลางต่อดีและชั่ว ไม่ลำเอียงเพราะชอบหรือชัง ถ้าจิตยังมั่นคงต่อพุทธภูมิแสดงว่ามีโอกาสที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ของจริง ถ้าตนเองไม่ใช่พุทธภูมิก็เอามรรคเอาผลเข้านิพพานไปเลย"

    ตอบไปหมดแล้วข้างบนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2014
  15. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    ถ้าให้ไปถามพระอรหันต์ แล้วเราจะรู้ และมั่นใจได้แค่ไหนว่าใครถึงขั้นไหน ถึงรู้ท่านก็ไม่บอกเราหรอกครับ เพราะ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำนาย ทายทักใคร มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ เนื่องจากสามารถมองไกลกว่า แทงตลอดธาตุเป็นอย่างดี ความแม่นยำสูงกว่ามาก

    การปรารถนาพุทธภูมิอยู่ที่จิตใจครับ
    ปัจจัตตัง คือ รู้ได้เฉพาะตน

    "ดูกรอานนท์
    บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
    กระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต
    ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคล
    และอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษ
    ของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2014
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับคุณ ที่แสดงความคิดเห็นมาระดับหนึ่ง ได้ใจผม ผมชอบตรงไปตรงมามากกว่า ตำรานั้น เป็นแนวทางเดินเท่านั้น การทำ การปฏิบัติเป็นของจริง ที่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายสรรเสริญ พระอริยเจ้า ทั้งหลายพระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย ยอมรับ ถ้าเปรียบเทียบ ตำรา เป็นดิน การปฏิบัติ เป็นฟ้า มันต่างกันแบบนี้ครับ ผมคิดว่า คุณเข้าใจ ขอบคุณครับ :cool:
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) ครับคุณ หาหลักฐานมายืนยันได้ดีที เดียว ผมอ่านประวัติ หลวงปู่มั่น สายหลวงปู่ นับเป็นสิบๆพระองค์ ตอน พ.ศ. ๒๐ เศษๆ แต่ละองค์มีเอกลักษ์ ที่น่าเลื่อมใสมากครับ แต่ก็ลืมไปตาม สัญญา คือความแก่ ความเสื่อม เหมือนกับร่างกายของผม นั่นแหละครับ มันไม่เที่ยงสักเรื่องครับผมจำเรื่องหลวงปู่หลุย มาได้นิดหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ถ้าท่านไม่เป็นลูกศิษย์ พระเทวทัต ท่านลาพุทธภูมิในสมัย พระพุทธองค์ ก็คงจบกิจ ในสมัยนั้นแล้วแหละครับ ฉนั้นท่านบอก ต้องโดนเตะโด่ง มากลาง กรึ่งพุทธกาล นี่แหละครับ ท่านจึงได้มรรคผลครับ ขอบคุณครับ คนเรามองหลายด้านแบบนี้ครับ ไม่มีใครไม่ผิดหรอกครับ แต่ควรยอมรับ ซึ่งกันและกัน และมีเหตุผล:cool:
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับ พี่พีซีโอ การที่ท่านเอาคำสอน ของพ่อมาให้อ่านกัน และให้ชนทั้งหลาย ได้รู้ได้เข้าใจ ในการปราถนาพุทธภูมิ ความรู้ของผมที่มีที่รู้ เกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นมาจากท่าน ยังไงๆ ก็ ๙๐ เปอร์ เซ็น หลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ และประสพการณ์อีก ๑๐ เปอร์เซ็น ท่านกว่าวไว้หมดแล้ว ทั้งหัวข้อใหญ่ และเล็ก ท่านกว่าไว้เยอะมาก สุดที่จะนำกว่าวได้หมดครับ :cool:
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับคุณ ผมเองไม่ได้ ให้คุณออกความคิดเห็นแบบนั้น ที่คุณตอบผม ผมข้องใจตอนนี้ครับ หัวข้อของคุณ กับไปอ่านให้ดี ตำราเป็แนวทางเดิน การปฏิบัติ เป็นของจริง และการกระทำ บุญหรือ บาปก็ตาม การกระทำ ให้เสร็จแล้ว จึงได้ชื่อว่า ทำแล้ว ตำราๆยังไง มันก็คือ ตำรา หรือ คำสอน ถ้ายังไง ก็ไปหากินเอง ชงเอง ทำเอง มันจึงจะรู้ เอาตำราหรือ พระไตรปิฏก มาอ้างอิง มันผิดมากว่าถูก แต่ถ้า ยังไง อ่านตำราแล้ว ทำด้วย จะดีมาก มันจะได้หายสงสัย ไม่อ้างตำราอย่างเดียว เอาคำสอนหรือตำรา มาเป็นประโยชน์ สิครับก็จะได้ประโยชน์อันสูงสุด


    พระพุทธเจ้าท่านบอก มี นรก เปรต อสูรกาย (สัตว์ เดรัชฉาน)มองเห็นด้วยตาเนื้อ สัมผัสอยู่ ทุกวัน ถ้าผี เทวดา พรหม และนิพพาน ให้รู้ งูๆปลาๆก็ยังดีไม่รู้เลยครับ ผมเอง สัมผัสมาพอสมควรแล้ว พระอริยเจ้า ที่กระดูกเป็นพระธาตุ และ ไม่เป็น ทั้งพระโพธิสัตว์ พระ ฆราวาส ผู้หญิง ผู้ชาย แม้เกิดสัตว์ เสวยเป็น สัตว์เดรัชฉานก็สัมผัสมาบ้างแล้ว จึงไม่สงสัยอะไรเท่าไหร่ครับ ผมก็เห็นมาบ้างผีนะ เทวดา พรหม ถึงนิพพาน เมื่อก่อนนะ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้วครับ


    ทำบุญไม่ถึง บาท บาทสองบาท ๕-๑๐-๕๐-๑๐๐-๕๐๐-๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐ ผมทำได้แล้วในชาตินี้ สร้าง โบสถ วิหาร กุฏิพระ ส้วม พระพุทธรูปน้อยใหญ่ เหรียญพระ ลอยองค์ นับเป็นแสนๆองค์ในชาตินี้ ใช้ทั้ง แรงกายใจ ปัดกวาดเช็ดถู ล้างนับเป็นปีๆ หรือหลายปี ในชาตินี้ แจกของ ให้ทาน กฐินผ้าป่า ใส่บารตพระ นับ เกือบ ๒๐ ปี บวช เป็นฤาษีชี ไพร เถร เณรชี พระ อยู่ในหุบเหว ภูเขา ถ้ำเงื้อมผา เดิน ป่าเขา นับเป็นพันๆลูก อยู่ในป่าในเมือง มาพอสมควร ทำงานมา ๑๐๐ กว่าชนิด ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร

    นี่ผมเองก็ยังไม่ได้อะไรเลย ยังเอาตัวไม่รอด คำว่ารู้ มันก็คือรู้ จะรู้ขนาดไหนล่ะครับ คำว่าผี ก็ยังมีอีกมาก แล้วไอ้ผี ชั้นเดียวกัน ก็ยังมีอีก หลายชั้น ยังไม่ต้องขยับไปชั้นอื่นหรอกครับ คำว่ารู้ตัวเดียว มันก็คุม ทั้งจักวาลแล้ว คนอย่างเราๆ คงอธิบายไม่ได้ ถ้าจะอธิบายก็คงได้นิดหน่อยเองครับ ทางโลกเรียนยังไงก็ไม่จบ เกิดเท่าไหร่ ก็ไม่จบ เรียนทางธรรม พระท่านบอก มีวันจบหลักสูตรแน่นอนครับ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นครับ


    ผมขอย้ำว่า คนกินเกลือ มันรู้ตัวเสมอครับ ว่าเค็ม ไอ้คนไม่ได้กิน ไม่มีวันรู้หรอกครับ ให้พูดจนตายก็ไม่รู้ พระโพธิสัตว์ ที่บารมีเต็มแล้ว ต้องได้รับพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าหลายๆพระองค์ เพื่อเป็นการย้ำ และความมั่นคง และผมคิดว่า เป็นพุทธประเพณีด้วย ด้วยการที่ ยังไม่ได้ ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า มันมีขั้นตอนของมัน ในการทำบารมีครับ ของใครของมัน ผมน่ะไม่ได้ เอาตำรา มาเป็นสักขีพยาน แต่อ่านตำรา ของครูบาอาจารย์ทั้ง ทั้งหลาย ทั้งในสาย หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด และอีกหลายๆพระองค์ แล้วนำมาเป็นแนวทางเดินของผม พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า คนที่เชื่อถือได้จริงๆคือ พระโสดาบันขึ้นไป


    คนมีศิลก็ยังกลับลำได้ครับ และผมขอเอาพระโพธิสัตว์ ที่มีบารมีเต็มด้วยครับ ที่ไว้ใจได้ แล้วคนที่ใช้ ตำราอย่างเดียว แม้อ่านจบพระไตรปิฎก ทรงพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า เถรใบราณเปล่าเท่านั้น ยังไม่จัดว่าเป็นพระครับ แค่พระโยคาวจร

     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) ตอนหลังนี้ จัดว่า อ้างเหตุดีครับ ถ้ายังไง เอาคำสอน ในพระไตรปิฎก มา ปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์ อันสูงสุดดีกว่าครับ ได้แค่ไหนแค่นั้น จะได้ พอหายสงสัยบ้างครับ จะได้รู้ว่า ตำรา กับ การปฏิบัติ อย่างไหนกินอร่อยกว่ากันครับสวัสดี:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...