ทุกขสัจ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    <TABLE borderColor=#0000ff cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" border=1><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=left> ทุกขสัจ
    (วันที่ 3 พฤษภาคม 2521)
    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว
    ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านตั้งใจสงบจิต มีความสำรวมใจ คิดไว้ว่าสำหรับวันนี้หรือเวลานี้เราตั้งใจจะประกอบความดีเพื่อความพ้นทุกข์ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ท่านกล่าวว่า
    ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
    ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
    มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
    โสกปริเทวทุกขทมนัสสุปยาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ การพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ เป็นต้น
    เป็นอันว่า สภาพที่เราเกิดขึ้นนี้ไม่มีอะไรดี มันมีแต่ความทุกข์
    ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะความเกิดเป็นเบื้องต้น ขณะที่เกิดมามันก็มีทุกข์ อยู่ในครรภ์ของมารดามันก็มีทุกข์
    เราทุกข์มาตั้งแต่วันเกิด
    การที่อยู่ในครรภ์ของมารดาเป็นทุกข์ก็ลองคิดดู เราต้องไปนอนคุดคู้อยู่ในครรภ์ของมารดา เต็มไปด้วยความไม่สะดวกไม่สบายด้วยประการทั้งปวง เรานั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่ในครรภ์ของมารดาสิ้นระยะเวลานานถึง 10 เดือนลองนั่งคิดดู
    ฟังไปแล้วก็ใคร่ครวญไปด้วย ว่าอาการอย่างนี้มันเป็นอาการของความสุขหรือว่าเป็นอาการของความทุกข์
    ถ้าไม่แน่ใจ ก็ลองนั่งกอดเข่าเล่นโก้ ๆ เพียงใช้เวลาไม่มากสัก 3 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีการขยับเขยื้อนไปไหนมันจะมีความรู้สึกยังไง
    สำหรับนั่นใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง แต่ถ้าหากว่าเราจะต้องใช้เวลาทรมานกายอย่างนี้ถึง 10 เดือน จะมีความรู้สึกยังไงมันจะสุขเพียงใดหรือมันจะทุกข์เพียงใด ข้อนี้ท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณาเอา
    เป็นอันว่า เมื่อการอยู่ในครรภ์ของมารดาก็เป็นทุกข์
    ขณะที่อยู่ในครรภ์ของมารดา นั่งหลับตานึกสภาพในท้องของคน มันมีอะไรบ้าง มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง สิ่งที่เข้ามาทำความโสโครกแปดเปื้อนสกปรกต่อร่างกาย
    รวมความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในครรภ์ของมารดา เต็มไปด้วยความสกปรก
    อาการที่จะพึงมีขึ้นได้ ก็เพราะอาศัยมารดาเป็นเหตุ ถ้ามารดาบริโภคของร้อยเกินไป เผ็ดเกินไป เปรี้ยวเกินไป เค็มเกินไป ร่างกายของเรามีทุกข์
    รวมความว่า เราทุกข์มาตั้งแต่วันเกิด
    และก็ทุกข์อย่างสาหัส ต้องทรมานอยู่ในที่แคบ ๆ จะเหยียดมือเหยียดเท้าก็ไม่ได้
    ถ้าจะถามว่าเด็กที่อยู่ในครรภ์ของมารดา ทำไมจะต้องคุดคู้ เหยียดมือเหยียดเท้าไม่ได้หรือ
    ก็ลองพิจารณาดูว่า ครรภ์ของมารดาใหญ่โตขนาดไหน เด็กที่คลอดมาวันเดียวโตขนาดไหน ไปเทียบเคียงกับครรภ์ของมารดาแล้ว ก็จะเห็นว่า มันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ก็จำใจจำอยู่ จำใจจะต้องทน จำใจที่จะต้องนั่งอยู่อย่างนั้น
    เป็นอันว่า จำจะต้องทุกข์ทั้ง ๆ ที่เรา ไม่ปรารถนาที่จะต้องทุกข์ มันก็ต้องทุกข์
    เมื่อออกจากครรภ์มารดาใหม่ ๆ อยู่ในร่างกายของมารดามีแต่ความอบอุ่น ไม่เคยกระทบกระทั่ง กับความร้อนจัด หนาวจัด หรือ อากาศปกติ เพราะว่าอุณหภูมิในครรภ์ของมารดามีสภาพปกติ อุ่นสม่ำเสมอกัน ออกมาข้านอกกระทบกับความร้อนที่มีความร้ายแรงยิ่งกว่า กระทบกับความเย็นที่มีความร้ายแรงยิ่งกว่า กายทั้งกายก็แสบ เมื่อออกจากครรภ์มารดา ทนต่อความแสบกายไม่ไหวจึงร้อง
    เป็นอันว่า
    ตอนนี้ออกจากครรภ์มารดาใหม่ ๆเราก็ทุกข์
    ต่อมาก็ความทุกข์มันเกิดขึ้นอีก อยู่ในครรภ์ของมารดา ทุกข์เพราะการคุดคู้ ออกจากครรภ์มารดา เหยียดมือ เหยียดแขน เหยียดขา เหยียดเท้า เหยียดมือ ได้ตามอัธยาศัย
    แต่ทว่าร่างกายของเรายังไม่มีกำลังแม้แต่จะพลิกซ้ายพลิกขวา มันก็ยังไม่มี ยังไม่สามารถที่จะทำได้ ความไม่สบายกายไม่สบายใจมันก็เกิด เกิดตรงไหน เกิดตรงที่เราไม่สามารถ ที่จะเปลี่ยนอิริยาบถได้
    การที่จะต้องนอนอยู่ในสภาพเดิมนั้น ได้แต่ชักมือ ชักแขน ชักขา ขึ้นมาน้อย ๆ ตะแคงซ้าย ตะแคงขวาไม่ได้ มันเป็นทุกข์ ถ้าไม่แน่ใจว่ามันเป็นทุกข์ก็ลองนอนดู นอนอยู่อย่านั้นสักสามวัน ไม่ต้องเอามาก ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ที่เราคิดว่าเรานอนสบาย ลองนอนดู ก็จะพึงรู้ว่า การนอนอย่างนั้นมันเป็นทุกข์
    เบื่อการเกิดหรือยัง
    ในเมื่อเราทราบสภาวะความทุกข์มันเป็นอย่างนั้น เบื่อหรือยัง เบื่อการเกิดหรือยัง มันยังไม่ทุกข์แต่เพียงเท่านั้น อาหารที่เราจะต้องการบริโภคคืออาหารที่เราจะต้องการบำรุงร่างกาย เรายังพูดไม่ได้ ยังไม่ได้ศึกษาในวาจา หรือยังไม่ได้ศึกษาในสำเนียง
    ก็เป็นอันว่าเวลาเราหิว มารดาไม่รู้ว่าเราหิว เวลาปวดอุจจาระปัสสาวะมารดาหรือว่าพี่เลี่ยงไม่รู้
    ถ้าไม่รู้จะทำยังไง หิวต้องร้องเขาถึงจะรู้ หิวจัดมีสภาพเป็นยังไง มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ ท่านฟังแล้วก็โปรดพิจารณาตามไปด้วย จงอย่าใช้แต่เพียงสัญญา
    คำว่า สัญญา ก็คือ ความจำ จำไว้เฉย ๆ ไม่มีประโยชน์
    จำแล้วก็ต้องคิด คิดแล้วก็ต้องหาทางหนีความทุกข์
    การที่เรามีความหิวกว่ามารดาหรือพี่เลี้ยงจะนำอาหารมาให้ มันก็ทุกข์ แล้วการปวดอุจจาระปัสสาวะมันทุกข์ขนาดไหน ในเมื่อทนไม่ไหวก็ต้องปล่อยให้อุจจาระปัสสาวะมันหลั่งไหลออกมา
    ตอนนี้จงนึกถึงสภาพความเป็นจริง
    จงอย่าคิดว่าเวลานั้นเราไม่มีจิตใจ มีสภาพเหมือนหัวหลักหัวตอมันไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้สึกมันมีแล้ว
    การที่ต้องการความสกปรกโสโครกอย่างนั้นไม่มีสำหรับเรา แต่ว่าเราทำไมต้องทำอย่างนั้นก็เพราะว่าเรามีความจำใจ เป็นเหตุสุดวิสัยที่เราจะสามารถเปลื้องตัวได้ มันเป็นอาการของความสุขหรือความทุกข์ขอท่านทั้งหลายได้โปรดจงพิจารณาด้วยปัญญาของท่าน
    นอกจากนั้นเมื่อเดินได้พูดได้ แต่ก็ยังต้องอาศัยมารดาและพี่เลี่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความปรารถนา ต้องการร้อนอาจจะได้เย็น เพราะเขาจะให้อาหารเฉพาะที่เขาพอใจ
    ถ้าสิ่งใดไม่เป็นความปรารถนาของเขา เขาก็ไม่ให้ เขาไม่เคยถามเราเลยว่า เราต้องการอะไร
    ยามป่วยไข้ไม่สบายกว่าจะแสดงออกเรายังบอกไม่ได้ เขาก็ต้องอาศัยการที่แสดงออกทางกาย รวมความว่าเป็นวินิจฉัยของหมอหรือพี่เลี่ยงหรือว่ามารดา แต่ไอ้การที่วินิจฉัยอาการอย่างนั้น มันจะตรงกับความประสงค์ของเราหรือไม่มันก็ไม่แน่ ก็เป็นอันว่าเราก็ต้องนั่งทนทุกข์และทรมานกันต่อไป
    เมื่อเติบโตขึ้นถึงความเป็นหนุ่มสาว ความปรารถนามันมีมากยิ่งกว่านั้น ต้องทุกข์เพราะการประกอบกิจการงานทุกอย่างเพื่อการทรงตัวและเป็นไปตามคำบังคับบัญชาความปรารถนาของผู้ใหญ่
    บางทีสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นที่ไม่เต็มใจสำหรับเรา แต่ทว่าเป็นความพอใจของผู้ใหญ่ เราก็จำเป็นจำใจจะต้องประพฤติปฏิบัติตาม การกระทำด้วยการไม่เต็มใจมันเป็นอาการของความสุขหรือความทุกข์ ท่านลองนั่งนึกดู เพราะว่าเราไม่มีอิสระ ทั้งนี้เราก็อย่าไปโทษผู้ใหญ่
    เพราะเวลานั้นปัญญาแห่งความรู้สึกความรับผิดชอบของเรามีน้อยที่เราเห็นว่าก็ดี แต่ทว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันอาจเป็นปัจจัยของความทุกข์ ในเมื่อมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ความเดือดร้อน ผู้ใหญ่จะปล่อยให้เราทำอย่างนั้นไม่ได้
    เพราะว่าผู้ใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว เด็กทำชั่วเขาก็ด่าว่าเป็นเพราะผู้ใหญ่ไม่ดี
    แต่ทว่าอารมณ์ของเรานี้ปรารถนาจะทำอย่างนั้น ก็เรามานั่งนึกความฝืนใจที่เราไม่ปรารถนาจะทำอย่างนั้น เรามีความต้องการอย่างหนึ่ง แต่ทว่าผู้ใหญ่ต้องการอีกอย่างหนึ่ง เมื่อความปรารถนาไม่สมหวังอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา มันก็เป็นทุกข์
    นอกจากนั้นยังเป็นทุกข์จากการศึกษาวิทยาการต่าง ๆ การเรียนหนังสือเพื่อความรู้มันก็เป็นทุกข์
    การประกอบกิจการทุกอย่างที่หาจุดจบไม่ได้ในชีวิต รวมความว่างงานประกอบอาชีพนี้ไม่มีจุดจบ จนกว่าจะสิ้นชีพตักษัยลงไปเมื่อไหร่นั่นจึงมีอาการหมดงาน
    การทำงานแต่ละอย่าง ค้าขายก็ดี รับราชการก็ดี รับจ้างก็ดี ทำไร่ไถนาก็ดี ใช้วิชาคาถาเวทมนตร์ก็ดี แต่ละอย่างต้องใช้ความเพียรพยายาม ต้องอดทนต่อความเหนื่อย ความร้อน ความหิว ความกระหาย เราจะนอให้มันสบาย ๆ มันก็นอนไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าไปนอนเข้ามันก็ไม่มีกิน บางรายเกิดในกองเงินกองทอง แต่ทว่ายังไม่พอ หาความพอไม่ได้ ยังตะเกียกตะกายด้วยประการทั้งปวง อาการอย่างนั้นมันก็เป็นอาการของความทุกข์
    รวมความว่าทุกสิ่งทุกอย่างมาจากความทุกข์
    ความรักเป็นทุกข์
    เมื่อถึงคราวที่แต่งงาน อยู่คนเดียวคิดว่ามันไม่มีสุข แต่ความรักเกิดขึ้นในระหว่างเพศ สิ่งใดถ้าเรารักสิ่งนั้น
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่ามันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ตามพระบาลีว่า
    ปิยโต ชายเต โสโก
    ปิยโต ชายเต ภยัง
    ซึ่งแปลว่า
    ความเศร้าโศกเสียใจมาจากความรัก ภัยอันตรายที่เกิดขึ้นกับเราก็อาศัยความรักเป็นปัจจัย
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะสิ่งใดถ้าเราไม่รัก เราก็ปราศจากการหวงแหน ใครผู้ใดที่ไหนมีความปรารถนาอะไร นั่นเราก็คิดว่าจงทำตามนั้นทำตามปรารถนาของเธอ สิ่งใดที่เขาชอบใจจงเอาไปในสิ่งที่เราไม่รัก วัตถุก็ดี บุคคลก็ดี
    ถ้าเป็นสิ่งที่เรารัก ใครมายื้อแย่งเราก็โกรธ เพียงแค่ต้องการเราโกรธ ถ้าเขามายื้อแย่งอาจจะต้องประหัตประหารกัน
    เป็นอันว่าความรักเป็นปัจจัยของความทุกข์ ภัยความรักเป็นปัจจัยทำให้เกิดอันตรายต่าง ๆ
    ต่อมาความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นกับเรามันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อาการเสียดแทงต่าง ๆ
    โรคะ แปลว่า โรค แปลว่า ความเสียดแทง
    เมื่อโรคเกิดขึ้นมาจุดใดจุดหนึ่ง มันก็หาความสบายกายสบายใจไม่ได้ เราต้องตะเกียกตะกายหาหมอมารักษา
    สำหรับหมอเราแน่ใจไหมว่า หมอจะมีความเข้าใจในทุกขเวทนาของเราทุกอย่าง ความจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเราโทษหมอไม่ได้ หมอก็ทำตามความสามารถเท่าที่หมอมีอยู่ แต่ทว่าเราก็ยังเสวยทุกขเวทนากว่าอาการเสียดแทงทั้งหลายเหล่านั้นมันจะหายไป ปัจจุบันหรือโบราณ
    ถ้าโบราณเราก็ต้องกินยาขม กินยาฝื่น กินยาขื่น ทุกข์จากร่างกายไม่ดีมันมีอยู่แล้ว ก็ต้องมาทุกข์เพราะรสน้ำยาขม หรือรสยาฝื่น เป็นต้น
    ในสมัยปัจจุบันเราถูกแทงด้วยเข็มมันก็เจ็บ ถ้าเป็นยาฉีด เป็นอันว่าเราต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส เมื่อเรามีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นเพราะร่างกาย
    ต่อมาความแก่เกิดขึ้น
    ความแก่นี่หูก็ฝ้า ตาก็ฟาง กำลังก็ไม่ดี ความจำก็เลอะเลือน ทุกสิ่งทุกอย่างช่วยตนเองได้ยาก ความทุพพลภาพของร่างกาย เมื่อความปรารถนาสิ่งใดในสมัยความเป็นหนุ่มเป็นสาว เราจะต้องการทำอะไรก็ทำได้ตามใจนึก เพราะว่ากำลังวังชาดี
    แต่ทว่าพอเราแก่เข้าแล้วนี่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ตามใจเรา มือและเท้ามันอ่อนเพลีย เราอยากเดินให้มันไวมันก็ไวไม่ไหวเพราะกำลังมันตก อยากจะทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างตามที่สมัยเป็นหนุ่มเป็นสาวเราก็ทำไม่ได้ กำลังไม่ดี หูที่จะฟังสิ่งต่าง ๆ มันก็ฟังไม่ค่อยถนัด ตาก็ฝ้าฝางมองไม่ถนัด อาการอย่างนี้เป็นปัจจัยความสุขหรือว่าความทุกข์
    ถ้าเราจะตอบกันอย่างสามัญชนคนธรรมดาก็ชื่อว่าเป็นความทุกข์
    ต่อมาเมื่อสิ่งที่เรารักพลัดพรากจากกัน
    เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างต้องจากเราไปทั้ง ๆ ที่เรายังมีความรัก เราปรารถนาในสิ่งนั้นยังมีอยู่
    องค์สมเด็จพระบรมครูทรงกล่าวว่า นี่มันเป็นปัจจัยของความทุกข์
    ต่อมาภัยใหญ่ จะถึงกับเราคือร่างกายมันจะตาย
    ถ้าจิตใจของเรายังเกาะร่างกาย ถือว่ามันเป็นเราเป็นของเรา มีอารมณ์ฝืนกฎของธรรมดา เกิดเป็นเด็กอยากเป็นหนุ่มเป็นสาว อันนี้ตามธรรมดา
    พอถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาว เราไม่อยากแก่ ฝืนธรรมดาแล้ว เมื่อร่างกายเราเกิดมาไม่ต้องการจะมีโรคภัยไข้เจ็บ นี่ก็เป็นอารมณ์ฝืนธรรมดา
    มรณภัย ในที่สุดความตายมันก็เข้ามา เราก็ไม่อยากตายบนบานศาลกล่าวกับปู่เจ้าทั้งหลายว่า
    ขอข้าพเจ้าจงอย่าตาย จงอย่าป่วยไข้ไม่สบาย
    แล้วจะมีผู้ใดมีอำนาจเกิดกว่า พระยามัจจุราช
    พระยามัจจุราชจะห้ำหั่นไม่ว่าใครทั้งหมด ไม่ว่าคนหรือสัตว์เล็ก หรือสัตว์ใหญ่ ย่อมไม่ให้อภัยแก่ใคร สามารถที่จะบดขยี้ชีวิตคนและสัตว์ทั้งหลายให้พินาจไปด้วยพลังอำนาจของตน
    องค์สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ใน ธัมมนิยาม ว่าเหมือนกับภูเขาใหญ่ เหล็กใหญ่ลุกจนไฟแดงโชน กลิ้งมาทั้ง 4 ทิศ บดขยี้ร่างกายของคนและสัตว์ให้พินาศไปฉันใด มรณภัยคือความตายที่มีสะภาพเช่นนั้น ไม่เคยให้อภัยกับใคร จะเป็นใครอยู่ในฐานะใดก็ตาม ก็ตายด้วยกันหมดเมื่อถึงเวลาจะตาย
    นี่แหละบรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลายที่พูดมานี้เพื่อให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า
    ความเกิดมันเป็นทุกข ์
    ความแก่เป็นทุกข์
    โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดกับร่างกายมันเป็นทุกข์
    ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์
    ความตายเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเราไม่อยากจะตาย
    โมกขธรรม
    ในเมื่อเราเกิดมาเพื่อตายอย่างนี้ เพื่อแสวงหาความทุกข์อย่างนี้ เราจะเกิดชาติไหน หรือว่าเกิดชาตินี้ จะมีฐานะอะไรก็ตาม มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะตั้งใจอยากจะเกิดต่อไปหรือยังไง
    ถ้าเราเกิดต่อไปเราก็ไม่พ้นความทุกข์ ก็ไปนั่งนึกดูถึง พระโมคคัลาน์ และ พระสารีบุตร เป็นลูกมหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์มาก
    แต่ทว่าท่านได้พิจารณาเห็นแล้วว่า คนทุกคนที่มานั่งดูมหรสพตายหมด ผู้แสดงมหรสพไม่ช้าก็ตาย แม้แต่ท่านทั้งสองก็จะต้องตายเหมือนกัน จึงได้คิดว่า
    ธรรมใดที่จะทำให้คนตายมีอยู่ ก็ต้องมีธรรมที่ทำให้คนไม่ตายมีอยู่เหมือนกัน
    เพราะในโลกนี้มีแต่ของคู่กัน ของเดี่ยวไม่มี มีความสุขและก็ต้องมีความทุกข์ มีสว่างแล้วก็มีมืด
    เป็นอันว่ามันต้องมีคู่กันอย่างนี้ จึงได้แสวงหาความดีคือ โมกขธรรม คือ ธรรมที่เป็นเครื่องพ้น
    นี่สำหรับพวกเราทั้งหลายที่อยู่ร่วมกัน มีใครบ้างไหมที่ยังมองไม่เห็นทุกข์ คนที่ยังมองไม่เห็นความทุกข์ก็คือ คนที่แสวงหาความโลภเป็นปัจจัย ยึดถือความโกรธ ความพยาบาท จองล้างจองผลาญ ระแวงสงสัยบุคคลทั้งหลายและบุคคลอื่น ว่าคนทั้งหลายเป็นศัตรูกับเรา นี่ยังมีความหลงอยู่มาก
    และหลงใหลใฝ่ฝันยึดว่าขันธ์ 5 และทรัพย์สินทั้งหลายจะทรงอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย รวมความว่ามีใจติดอยู่ในโลกธรรมทั้ง 8 ประการคือ
    อยากได้ลาภ ได้ลาภมาแล้วดีใจ ไม่ได้คิดว่าลาภกับเราจะอยู่ด้วยกันได้นานขนาดไหน เมื่อลาภหมดไปก็เสียใจ
    อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ได้ยศฐาบรรดาศักดิ์มาก็ดีใจ ไม่ได้คิดว่ายศทั้งหลายเหล่านี้เขาให้เราได้ มันก็สลายลงได้
    นึกอยากจะปรารถนาความสุข สุขที่อิงไปด้วย อามิส คือสิ่งของเมื่อความสุขมันมีมาก็ไม่ปรารถนาความทุกข์ แต่มันของคู่กัน สุขมีที่ไหน ทุกข์มีที่นั่น เป็นอันว่าเราก็ไม่พ้นความทุกข์
    และก็ต้องการนินทาและสรรเสริญ ใครเขานินทาไม่ชอบใจ ใครเขาสรรเสริญชอบใจ อาการอย่างนี้ทั้งหมดเราจะหาทางเลี่ยงด้วยอาการอย่างไร
    รวมความว่าที่มันจะมีเหตุอย่างนี้ได้ก็อาศัย ความเกิด เป็นปัจจัย
    สำรวมใจอยู่ในขอบเขตของความดี
    อันดับต้น ขอให้บรรดาท่านทั้งหลายรวบรวมกำลังใจของตน ไม่ใช่เฉพาะเวลานี้ ผมถือว่าต้องใช้อาการอย่างนี้ตลอด 24 ชั่วโมง นั่นก็คือ
    สำรวมใจอยู่ในขอบเขตของความดี
    อันดับแรกกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นรู้อยู่ เป็นการคุมสติสัมปชัญญะ ถ้าจะใช้คำภาวนาเวลาหายใจเข้าภาวนาว่า พุท เวลาหายใจออกภาวนาว่า โธ ไม่ต้องออกเสียงนึกในใจ รวบรวมกำลังใจของเราไว้ในขอบเขตเพียงนี้ นี่เป็นอันดับต้นของการเจริญพระกรรมฐาน แต่ผมว่าไม่ต้นสำหรับท่านทุกคน เพราะบางท่านเจริญกรรมฐานมานับเป็นปี ๆ ก็ยังมีอารมณ์ฟุ้งอารมณ์ซ่าน มีอารมณ์ทะเยอทะยาน แสดงว่าไม่ได้ลดอะไรลงไปเลย การไม่ลดของการบวชก็แสดงว่าเป็นการเพิ่มโทษของกิเลสให้มันเพิ่มขึ้น หากว่าท่านทั้งหลายพยายามฝึกใจเพียงเท่านี้
    วีธีฝึกใจของท่านทุกคนจงลง พรหมทัณฑ์ ตัวเอง หมายความว่า ถ้าไม่จำเป็นใด ๆ เราจะไม่พูดกับใครทั้งหมด กำหนดจิตไว้อย่างนี้ เพราะว่าเราจะถืออารมณ์ คุมอารมณ์ไว้ในด้านของความดี คือจิตไม่ยอมรัยสภาวะของกิเลส ไม่ยอมเคารพอารมณ์ของกิเลส ถ้าไม่จำเป็นจงอย่าพูดกับใคร ถ้าพูดกับใครก็จงพูดโดยธรรม พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์
    และก็ไม่ก้าวก่ายพาดพิงไปถึงอำนาจของความรัก อำนาจของความโลภ อำนาจของความโกรธ อำนาจของความหลง
    เจรจาโดยธรรม ก็คือว่าเจรจาเฉพาะเหตุที่จะทำยังไงให้เราพ้นทุกข์
    เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่าอย่างนั้น อันนี้เป็นของไม่ยาก
    ถ้าคิดอย่างนั้นมันไม่สบายใจ มีคาสเซ็ท มีเครื่องบันทึกเสียง เอาคาสเซ็ทไปฟังตามอัธยาศัย ใจมันจะอยู่ที่ธรรม
    เมื่อใจมันอยู่ที่ธรรม หูมันก็อยู่ที่ธรรม อย่างนี้จิตใจมันก็สงบ ความฟุ้งซ่าน ความเดือดร้อนมันก็ไม่มี อารมณ์ระยำอัปรีย์ คือความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะเบาบางไปทีละน้อย ๆ เพราะอาศัยใจของเราที่ไม่คบกับมัน
    นี่แหละบรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่าน การแก้อารมณ์จากมารที่เป็นเหตุปัจจัยของความทุกข์ แก้แบบนี้ ค่อย ๆ ทำไปทุกที ๆ นานเข้าอารมณ์มันจะชิน ในที่สุดจิตเราก็จะมีแต่ความสงบ สามารถที่จะบังคับให้อารมณ์ที่เป็นอกุศล ไม่สามารถที่จะมายุ่งกับอารมณ์ของจิตของเราได้ เราก็จะสบาย
    จุดนี้ถือเป็นจุดปัจจัยอันหนึ่งที่จะเหตุให้ทำให้เราพ้นทุกข์
    เอาละ ท่านทั้งหลาย สำหรับวันนี้พูดมาก็ครบ 29 นาทีแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    ต่อไปนี้ขอทุกท่านทั้งหลายพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านทั้งหลายจะเห็นว่าสมควร และเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเวลานี้ผมจะไม่ตั้งเวลาไว้ให้ และจะไม่เตือนใจเวลาสำหรับเลิก เพราะว่าบางทีบางท่านพอได้เวลาอย่างนั้น พอได้ยินเสียงการกรวดน้ำก็ตกใจ แต่ไอ้ความที่มีจิตยังสบายอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายทำไปตามสะดวก ทำตามความประสงค์ของตน จึงจะไม่เร่งรัด ให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนอยากจะทำนานเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าเราอยู่คนเดียว
    เอาละ ต่อแต่นี้ไปขอทุกท่านจงตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าที่ท่านจะเห็นว่าสมควร

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...