ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๒ ก.พ.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๓ ก.พ.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๔ ก.พ.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑ มี.ค.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑๗ มี.ค.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    อันที่จริงการสวดมนต์ การ"ท่อง"กับการ"สวด"มันต่างกัน อันว่าท่องมนต์เป็นยังไง ท่องมนต์ก็เรียกว่ายังจำไม่ได้ ต้องใช้ตำรับตำราเค้าเรียกว่าท่องมนต์ แต่ถ้าสวดมนต์เค้าเรียกว่าคนท่องได้แล้วท่องจำ มันไม่ต้องดูแล้ว อันนั้นเค้าเรียกว่าสวดมนต์ ท่องมนต์นี้เค้าเรียกว่าการฝึก ดังนั้นเมื่อโยมท่องแล้ว..เราก็ต้องหัดสวดบ้าง มันจะได้เกิดกำลังใจ เพราะถ้าโยมสวดมนต์ได้บทใดบทหนึ่งโดยที่โยมไม่ต้องดูตำรับตำราแล้ว มันจะมีกำลัง มีความขลังมากกว่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อเราไปติดตำราน่ะ แม้เราสวดได้เราก็ยังไม่มั่นใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ่ะ..ก็มันติดในตำราแล้ว ทีนี้เมื่อเราสวดไปแล้ว เราจะได้รู้ว่าเราสวดได้หรือยัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราสวด..อ้อ..เราสวดแล้วยังไม่ได้ก็ต้องค่อยดูกัน ไม่งั้นเค้าเรียกว่าโยมจะติดตำรา แต่ถ้าโยมสวดได้ โยมไปไหนโยมก็มีตำราติดไป เค้าเรียกว่ามีวิชา จะเข้าป่าเข้าเขา อ้อ..ไม่มีตำราไปกาง ก็ยังกางในสมองได้..ความจำ โยมเคยสวดเคยชินในจิตวิญญาณ มันบันทึกในจิตวิญญาณ อ่ะ..ถ้าสวดไปแล้วมันสวดผิดก็สวดไปเถอะ..ใช้ได้ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้ามันผิดเราก็ค่อยมาดูมาแก้ไขมัน ว่ามันผิดตรงไหนอะไร

    ดังนั้นท่องมนต์กับสวดมนต์จึงต่างกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมสวดมนต์น่ะโยมจะไม่เหนื่อย ถ้าโยมท่องมนต์จะเหนื่อย ทำไมจะไม่เหนื่อยล่ะจ๊ะก็โยมไปท่องน่ะ ใช่มั้ยจ๊ะ แต่การสวดมนต์มันออกมาจากจิต ยิ่งสวดมากจิตยิ่งมีกำลัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อาจจะออกเสียงสั้น เสียงเล็ก เสียงน้อย เสียงใหญ่ โอ้..จิตมันทำได้..จิตมันพิศดาร แต่ถ้าท่องมนต์ภาวนา..เดี๋ยวหนังสือตก..

    ดังนั้นท่องมนต์กับสวดมนต์จึงต่างกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราท่องได้แล้วก็ลองสวดดู ปากมันสวดจิตมันต้องจำออกมา แต่ตอนที่เราท่องอยู่มันอาศัยสัญญาคือความจำ แต่เมื่อจำเข้าไปแล้วมันจำเข้าไปที่ไหน มันจำเข้าไปที่จิต..คือสัญญา จำไปที่วิญญาณ..คืออารมณ์ที่เราสวด อารมณ์ที่โยมสวดโยมตั้งมั่นหรือเปล่า ทีนี้โยมสวดยังไม่ศรัทธาเลย..ไม่ตั้งมั่น โยมสวดอีกสักร้อยปีก็ยังจำไม่ได้ เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นมันอยู่ที่ความตั้งใจนั่นเอง

    โยมตั้งใจฟังอาจารย์สอนครั้งเดียวโยมก็ต้องรู้เรื่องแล้ว ถ้าโยมไม่ตั้งใจน่ะฟังกี่ครั้งก็ไม่รู้เรื่อง นี้คือความศรัทธาไงจ๊ะ มันต้องฝังไปในจิตวิญญาณ ว่าวิญญาณในขณะนั้นอารมณ์นั้นของวิญญาณที่โยมสวดในจิต..โยมตั้งมั่นแค่ไหน ถึงร้อยมั้ย ถ้าถึงร้อยน่ะ..มนต์ที่โยมสวดมันก็ให้ผลเต็มร้อย คือมนต์มันจะแก่กล้าอ่อนกำลังก็อยู่ที่จิตเรา

    มนต์..คาถา..ขลังทุกบทแหล่ะจ้ะ แต่มันอยู่ที่คนสวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันอยู่ที่จิตคนสวด ใช่มั้ยจ๊ะ คราวนี้เค้าถึงบอกว่าจิตแต่ละคนน่ะมันมีไม่เท่ากัน แต่มันเอามารวมกันน่ะ..มันก็เลยมีพลัง แล้ววันไหนไม่มีใครสวด เราต้องสวดคนเดียว บางคนพอสวดๆไป โอ้..พรุ่งนี้ค่อยต่อหลวงพ่อ อย่างนี้เค้าเรียกว่าจิตมันไม่มีกำลัง ไม่มีศรัทธานี่จ๊ะ พอไม่ศรัทธาอารมณ์อื่นก็เข้ามาแทรกแล้วทีนี้ บางคนสวดไปฟุบหน้าหิ้งพระก็มี เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะอย่างนั้นมันสำคัญอยู่ที่เราศรัทธา..ต้องมีศรัทธา

    การท่องมนต์เพื่อให้เราจำ พอเราจำได้แล้วเราก็ไปลองไปสวดดู อ้าว..แล้วการสวดมนต์จะสวดได้ตอนไหนบ้าง อ้อ..สวดได้ทุกตอนที่โยมระลึกได้ เพราะการสวดมนต์ก็เรียกเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เอาว่าเอาจิตสวดนั้นเรียกว่าเป็นธรรมทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมจะสวดภาวนา..สวดภาวนาจึงว่ามาเป็นคู่กัน มันก็ทำให้เกิดสมาธิ มันจะเป็นมงคลกับตัวเอง พอเราจำอันไหนไม่ได้เราก็ไปท่องใหม่

    การที่เราไปท่องบ่นต่อหน้าพระรัตนตรัยเค้าเรียกว่าท่องบ่นต่อหน้าครูบาอาจารย์ เค้าจะดูว่าโยมมีความพากเพียรศรัทธามากแค่ไหน เค้าถึงจะประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ บางคนสวดเป็นทำนองเค้าเรียกว่าสวดเป็นคะนองสวดตลก สวดทำเป็นเล่น ไอ้พวกนี้เค้าเรียกว่าบิดามารดาครูบาอาจารย์เค้าไม่แยแสอะไรหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นมันถึงต้องมีการขอขมาพระรัตนตรัยในการสาธยายมนต์ เพราะมนต์นี้เป็นพิธีของสูง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราทำเป็นเล่นมันก็เป็นโทษกับเรา

    เค้าถึงบอกว่าการสวดมนต์แล้ว ถ้าเราไปสวดมนต์แล้วเราไม่มี.. ถ้ามนต์บทใดนั้นมีครูบาอาจารย์ มีเทวาเทพอารักษ์คอยรักษาซะแล้ว เรามาทำเป็นเล่นซะแล้ว สติสตังเราก็ฟั่นเฟือนได้ เห็นมั้ยจ๊ะ อ้าว..แล้วถ้าเรามีการนอบน้อม ที่เราขอขมากรรม ขอบุญบารมีขอเทพเทวดานั้นเปิดทางเปิดแสงสว่าง ให้ข้าพเจ้าจดจำในพระคาถานี้ได้ ขอให้ข้าพเจ้านั้นเอาเป็นที่พึ่งรักษาเป็นมงคลแก่ข้าพเจ้า เห็นมั้ยจ๊ะ เมื่อเราได้อ่อนน้อมต่อธรรมซะแล้ว ธรรมเค้าก็เมตตาให้เรานั้นจดจำได้ง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นการสาธยายมนต์จึงเป็นอุบาย..ทำให้เรานั้นน้อมจิตเราให้ไปเพื่อให้เราลดอัตตาตัวตนนั่นเอง แล้วอัตตาตัวตนนี้แลถ้าใครละไม่ได้ ลดไม่ได้ ก็ยากยิ่งนักที่จะเข้าถึงธรรมทั้งปวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นมีเวลาน้อยก็ภาวนาเอา มีเวลามากก็สวดมนต์เอา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2018
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2018
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2018
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ อย่างเราสวดมนต์กลางคืนนี่ สวดพระปริตร สวดอะไรไปเรื่อยๆ ทีนี้พอเปิดไปเจอบทสวดภาณยักษ์ค่ะหลวงปู่ ก็ชะงัก เพราะว่ามันสมควรจะสวดที่บ้านมั้ยคะหลวงปู่ บทสวดภาณยักษ์ส่วนใหญ่จะเจอในพิธีงานใหญ่ๆน่ะค่ะ
    หลวงปู่ : โยมถามมาอย่างนี้ก็ดี โยมต้องรู้ตัวเองซะก่อนว่าการสวดนั้นเค้าสวดเพื่ออะไร มีจุดมุ่งหมายไปทางใด การสาธยายมนต์นั้น หากมนต์นั้นให้คุณแล้ว บทนั้นก็เหมาะก็ควรที่เรานั้นจะสวดจะสาธยายออกมา ดังนั้นมนต์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นถ้าไม่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณแล้ว ก็ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง เมื่อเราไปเกี่ยวข้องแล้วจิตเรานั้นแลจะเข้าไปพัวพันในกรรมทั้งหลายทั้งปวงในพิธีกรรม ก็จะเป็นการติดกรรม โยมต้องการพ้นกรรมไม่ใช่เหรอจ๊ะ
    การสาธยายมนต์นี้ เพื่อให้โยมนั้นระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เข้าถึงความสงบ เป็นอุบายให้เข้าหาความสงบ เป็นการสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คุณงามความดีในองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสอน ในพระสงฆ์หรืออริยสาวกผู้ดำเนินรอยตาม ดังนั้นบทใดที่โยมสวดไปแล้วหากว่าไม่เกี่ยวข้องในคุณงามความดีใดๆ ก็ไม่ควรเข้าไปข้องแวะ เหาน่ะมันอยู่ในหัวน่ะมันมีน้อยก็ดีอยู่แล้ว อย่าทำให้มันมีมาก โยมว่าจริงมั้ยจ๊ะ ก็เหาของโยมยังกำจัดออกไม่ได้เลยนี่จ๊ะ ชอบรึงัยจ๊ะ
    ลูกศิษย์ : คือเค้าจะอยู่ในเล่มเดียวกันค่ะปู่ พอสวดๆไปทีนี้ไปเจอบทสวดเข้า
    หลวงปู่ : อ้าว..แล้วโยมเลือกอาหารเลือกเฟ้นไม่ได้รึยังงัยจ๊ะ คนที่เลือกไม่ได้เพราะขาดปัญญา แต่คนที่เลือกได้คนนั้นมีปัญญา
    ลูกศิษย์ : ก็เลยต้องรอมาถามหลวงปู่ก่อน
    หลวงปู่ : โยมไม่ต้องรอไปถามใครหรอกจ้ะ ต้องถามตัวเอง อย่าเอาแต่ความชอบความพอใจ..แต่ต้องมีสติ นั่นคือการพิจารณา มนต์ที่โยมสวดอยู่น่ะเวลาสวดก็จะไม่มีอยู่แล้ว ถ้าโยมชอบไปเจออะไรบทไหนก็ชอบ มันไม่ต้องสวดทุกบทเลยหรือไงจ๊ะ
    ลูกศิษย์ : ก็คือคิดว่าเป็นพระปริตน่ะค่ะ เทวดานี่ชอบฟังบทสวดพระปริตรใช่มั้ยคะหลวงปู่
    หลวงปู่ : แล้วโยมรู้ได้ยังไงล่ะจ๊ะว่าเทวดาองค์ไหนชอบไม่ชอบ
    ลูกศิษย์ : อันนี้ก็ฟังเพื่อนๆเค้าว่ากันอย่างนั้นค่ะ
    หลวงปู่ : เพื่อนเจ้าน่ะไปสืบกับเทวดาได้ยังไงจ๊ะ บทไหนน่ะที่เป็นประโยชน์ ที่สาธยายออกมาแล้ว แปลออกมาแล้วเป็นมงคลพระสูตร นั่นแลเรียกว่าเป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณโดยแท้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่ไม่ไปทางฤทธิ์ไปทางเดช ไม่ได้ทำให้เกิดความเร่าร้อนจิตเร่าร้อนใจ อย่างบทอะเสวะนา จะพาลานัง การคบบัณฑิตอย่างนี้ เห็นมั้ยจ๊ะ อย่างอภิธรรม ๗ บทอย่างนี้ เมื่อเราสวดและแปลแล้วเป็นไปในทางเดินแห่งมรรค เป็นไปทางการหลุดพ้น นั่นแหล่ะจ้ะคือพุทธคุณ ธรรมคุณ เข้าถึงสังฆคุณได้ สิ่งไหนสวดแล้วไม่เข้าถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ ไม่เข้าถึงสังฆคุณ ไม่ทำให้เรานั้นเข้าไปถึงจิตใจที่เป็นสงฆ์ คือการละ คือการบวช คือการสละ..นั้นไม่ใช่พุทธคุณ ไม่ใช่บทสวดที่ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ
    แต่มนุษย์นี้ถ้าหวังความพอใจ ยึดติด ว่าสวดบทนี้แล้วจักร่ำรวย จักพ้นเคราะห์..ไม่มีทางหรอกจ้ะ บทสวดใดก็พ้นเคราะห์ไม่ได้ แต่บทสวดทั้งหลายเพียงให้สวดแล้วเป็นที่ยึดเหนี่ยว ให้โยมแค่อาศัย แต่ไม่ได้ทำให้โยมนั้นพ้นทุกข์ได้ ทุกอย่างได้แค่อาศัย โยมอาศัยบทสวดนี้แล้วโยมได้อะไรจากบทสวดนั้น สวดแล้วใจโยมสงบหรือไม่ ถ้าโยมสวดเป็นร้อยรอบใจโยมไม่สงบ แสดงว่าโยมนั้นไม่เข้าถึงในพระคาถาหรือบทบทนั้นที่โยมสวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
    เพราะโยมไม่ได้สวดด้วยความศรัทธา แต่โยมมีความอยากว่าถ้าสวดบทนี้แล้ว เห็นเค้าบอกว่าสวดแล้วจะร่ำรวย พ้นเคราะห์ เพราะมนุษย์นั้นมันไปหลงไปติดกันหมด เข้าใจมั้ยจ๊ะ พระคาถาชินบัญชรก็ไม่ได้ให้สวดเพื่อเอาฤทธิ์เอาเดช สวดให้เป็นมงคล คำว่าเป็นมงคลนี้ จึงเรียกเป็นพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อย่างน้อยก็ปกป้องดวงจิตวิญญาณของโยมนั้นให้ยึดมั่นถือมั่นในคุณงามความดี ให้จิตโยมสงบระงับจากเวรภัยนั้นแล เมื่อจิตเราระงับได้จากไฟโทสะ โมหะ โลภะได้ นี้ก็เรียกว่าเป็นทางเดินแห่งมรรคเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสวดเพื่ออ้อนวอนขอ
    การสวดเพื่ออ้อนวอนขอนี้ มันเป็นความอยากของกิเลส คนที่มีกิเลสมาสวดนี้ไม่ได้สวดด้วยศีล แล้วธรรมหรือบทคาถานั้นจะมีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ หรือเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันไม่ได้บังคับว่าโยมไม่ควรสวดหรือสวด แต่ฉันบอกให้โยมนั้นใช้ปัญญาพิจารณา ว่าสิ่งที่ฉันกล่าวออกไปนั้นมันถูกต้องหรือไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมสวดแล้วเป็นไปในทางหาความสงบเข้าถึงในธรรม มีแต่คุณไม่มีโทษ นั่นแหล่ะจ้ะบทสวดนั้นเป็นบทสวดเป็นของมงคลควรสรรเสริญ
    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    การแผ่เมตตาจิตนี้ก็สำคัญ เมื่อเรามีบุญเราก็ต้องอุทิศบุญ การอุทิศบุญนี้แลเรียกเป็นการใช้หนี้ในบุญคุณ จำไว้หนี้บุญคุณในค่าน้ำนมที่เราเกิด..มันมีค่าไม่มีประมาณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ การที่เราส่งบุญนี้แล เรียกว่าเป็นการกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาโดยตรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วเราเอากายสังขารน่ะเสียสละความสุข..นี่ก็เรียกเป็น"ทานบารมี" เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราได้บุญกุศล..เราก็อุทิศบุญกุศลให้บิดามารดาผู้มีคุณ หรืออาจารย์ทั้งหลายที่เค้าให้สรรพวิชาโยม หรือผู้มีคุณทั้งปวงที่เคยช่วยเหลือ เหล่านี้เรียกผู้มีคุณ หรือผู้ที่ให้โทษกับเรา เราก็ต้องขออโหสิกรรม ให้อภัยทานเค้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การให้อภัยทานนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อไม่ให้มีเวรต่อกันยังไงล่ะจ๊ะ มันเป็นประโยชน์ต่อเราโดยตรง เราไม่อาฆาตแค้นเราจะได้ไม่มีภัยกับเรา แล้วถามว่าเค้านั้นให้อภัยเรารึเปล่า อภัยให้รึเปล่าอันนั้นไม่ต้องสนใจ สนใจที่ว่าเรานั้นให้อภัยเค้ารึเปล่า เมื่อเราไม่มีไฟแล้ว ไม่มีความอาฆาตแค้นพยาบาทแล้ว ใครจะมาพยาบาทเรามันก็ไม่ได้ ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะเราไม่มีเชื้อ ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วถ้าไม่มีเชื้อมันก็ไม่มีสื่อรับสื่อส่งมันจะมาไอ้นี่กันไม่ได้..มันจะมีเวรมีกรรมกันไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้สร้างเวรแล้วมันจะมีกรรมได้ยังไง ก็พยาบาทกันไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะมันไม่มีเชื้อแล้ว

    โยมไม่มีเชื้อโยมจะจุดติดไฟติดมั้ยจ๊ะ ก็มันไม่มีเชื้อแล้ว นั้นถ้าใครมันจุดติดไอ้เชื้อนั้นความร้อนนั้นก็ให้ผลกับไอ้คนนั้น ไอ้คนจุดใช่มั้ยจ๊ะ มันก็ต้องเผาไหม้ไอ้คนนั้น ถ้าเราสงบดีแล้ว ดังนั้นจะมาบอกว่า..ไอ้คนนั้นมันมาพยาบาทเราทำให้เราเกิดอย่างนั้นอย่างนี้..อันนี้ไม่ใช่ ไม่มีใครหรอกจ้ะทำให้เราเป็นทุกข์..นอกจากตัวเราเอง เพราะเราไม่วางทุกข์นั้นเอง ความทุกข์เกิดจากเราไปอาฆาตพยาบาท เราไม่พอใจเค้า ไม่ให้อภัยเค้า ไม่ชอบหน้าเค้า สิ่งเหล่านี้เกิดจากเรามั้ยจ๊ะ มันเกิดจากเรา จะบอกเค้าเป็นสาเหตุ เค้าเป็นสาเหตุก็ใช่อยู่ แต่ใจต่างหากที่เป็นสาเหตุหลักใหญ่ ใช่มั้ยจ๊ะ

    "ใจ"เป็นประธานแห่งกรรม เค้าไม่ใช่ประธาน เค้าเป็นกิริยา เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นใจเราเป็นประธานแล้ว เมื่อใจเป็นประธานแห่งกรรมทั้งปวง ต้องตัดที่ใจแก้ที่ใจ ไอ้นั่นมันเป็นแค่กิริยา เมื่อไม่มีใจแล้ว เราตัดประธานได้ จะมีกิริยาไปหาพระแสงหาอะไร มันก็แปลเป็นความไม่ได้ เมื่อมันแปลเป็นความไม่ได้ มันเป็นไงจ๊ะ ก็ยอมความกันสิทีนี้ ใช่มั้ยจ๊ะ มันไม่มีความแล้วตอนนี้ มันไม่มีโจทก์ไม่มีจำเลยนั่นแหล่ะจ้ะ ทีนี้ไม่มีความแล้ว ถ้ามันมีความมันก็มีคดี ถ้ามีคดีเป็นไงจ๊ะ..มันก็อาฆาตพยาบาทกัน...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ถ้าเราจะเจริญความเพียรให้ได้นานๆต้องทำอย่างไร ไหนลองบอกหน่อยสิจ๊ะ (ลูกศิษย์ : จิตตั้งมั่นค่ะ) โยมต้องทำให้มันเป็น"วาสนา" ถ้าโยมทำอะไรที่โยมอยู่ได้นานๆแล้วโยมชอบมันไงจ๊ะ บางทีดูหนังฟังเพลง บางที่โยมฟังยันเช้า..อยู่ยันเช้า นี่มันชอบน่ะ ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้าเราทำให้มันเป็นวาสนา..มันชอบ แล้วเราก็อยู่ได้ยันเช้าใช่มั้ยจ๊ะ พอเราไม่ชอบอะไรเราก็ไม่อยากทำ ใช่มั้ยจ๊ะ ก็ทำได้ไม่นาน นี้ทำบ่อยๆให้มันชินให้มันคุ้น ให้มันเกิดวาสนา พอมันเกิดวาสนานี่แหล่ะจ้ะ มันก็จะแปลงเป็นกุศลเป็นบุญมาหนุนนำเราอีกทีนึง

    วาสนามันแปรเปลี่ยนได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ วาสนามันจะแปรเปลี่ยนก็อยู่ที่พฤติกรรมเราเปลี่ยนรึเปล่า ถ้าพฤติกรรมเราทำชั่ววาสนาก็เปลี่ยนไปเป็นชั่วมั้ยจ๊ะ คือวาสนาไม่ดี อันนี้อย่าไปโทษใคร ใครพบก็ช่วยไม่ได้ มันก็ต้องสร้างพฤติกรรมเราใหม่ ทำอยู่บ่อยๆให้มันชิน ให้มันเป็นนิสัย มันถึงจะเกิดวาสนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้ามันแก้ตัวเป็นนิสัยเค้าเรียกว่าสันดาน แต่ถ้ามันทำจนชินเค้าเรียกว่าเป็นนิสัย ทำกรรมดีเป็นนิสัยเค้าเรียกวาสนา ส่วนวาสนาก็เป็นบุญเป็นบารมี เกิดความเชื่อความศรัทธาในสิ่งที่เราทำ นั้นถ้าเราทำให้มันชินคือสะสมความชอบนั่นเอง

    คำว่า"สะสม"นี้เรียกว่าบารมีแล้ว ให้กำลังมันเต็ม พอเต็มแล้วจะทำอะไรอธิษฐานอะไร โอ้..จะอยู่ได้เท่านั้น..ทั้งคืน..มันก็อยู่ได้ แต่ถ้าบารมียังไม่เต็มไม่มีกำลังไปอธิษฐานยังไง..เดี๋ยวก็ตายกลางทาง นั่งปฏิบัติไปออกจากสมาธิหันไปหันมาไม่มีใครแล้ว..กูก็ไปเหมือนกัน อันนี้เค้าเรียกว่าไม่มีอุดมการณ์ของตัวเอง (ลูกศิษย์ : ไม่มีเพื่อน) อ้าว..ถ้าโยมมีธรรมแล้วโยมก็มีเพื่อน ทีนี้โยมไม่เอาธรรมเป็นเพื่อน โยมไม่รู้ว่าโยมจะนั่งไปอะไรประพฤติปฏิบัติไปทำไม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ทำความดีเค้าเรียกว่าอย่าได้สนใจใคร อย่าติดหมู่คณะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าสนใจใคร ทำเท่าที่เราทำ นั้นเมื่อเรามีกัลยาณมิตรที่เค้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมเราก็อาศัยเค้า อาศัยเป็นเพื่อนธรรมน่ะจ้ะ จนธรรมของเรานั้นมันเติบโตแข็งแรง เมื่อเรามีธรรมของตัวเองนั้นเรียกเราจะมีกัลยาณมิตร..เค้าเรียก"กัลยาณมิตรแท้" ซึ่งเป็นมิตรแท้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมไปอยู่ที่ใดโยมก็จะมีความไม่กลัว แต่ขณะที่โยมยังมีความกลัวโยมก็ต้องอาศัยมิตรก่อน

    ทีนี้เรากลัวอะไรเราก็ต้องฝึกบ้าง เราก็ต้องฝึกอยู่คนเดียว แต่อย่าไปถามถึงผีสางเทวดาไม่ต้องไปสนใจมันทั้งนั้น เค้าเรียกฝึกอยู่คนเดียว จริงๆแล้วเราก็คือผีนั่นเอง จึงเรียกว่าเรากลัวตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำไมถึงบอกว่าผีว่าตัวเรา เรามีผีเข้ามาสิงสู่ได้มั้ยจ๊ะ มาได้มันเป็นอารมณ์ เรามีความกลัว..จึงเรียกว่าผีทั้งนั้น ทำไมถึงเรียกว่าผี อ้าว..เราก็ยังมีเปรต ผีกระสือผีกระหัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จึงเรียกว่ามันอยู่ในตัวของเราทั้งนั้น ทำไมผีเหล่านี้ถึงยังไม่ไปเกิด ก็เพราะเราเลี้ยงผีไว้ เราไม่อุทิศบุญกุศลให้เขา

    ทำไม..มันเกิดมาจากอะไรเป็นรากเหง้า ทำไมเปรตพวกอสุรกายพวกผีพวกเหล่านี้ ผีกระสือกระหังพวกนี้ ผีกระหังมันผีตะกละ มันกินไม่เลือกเวลามันหิวตลอด..นี่เค้าเรียกผีกระสือ นั้นเกิดจากอะไร เกิดจากรากเหง้า เพราะรากเหง้ามันไม่ได้ถูกทำลาย เมื่อรากเหง้าไม่ได้ถูกทำลายไม่ได้ลดละออกไป ก็คือรากเหง้าแห่งไฟสามกองนั่นแหล่ะจ้ะ ไอ้โทสะน่ะเป็นเปรตเห็นมั้ยจ๊ะ มีอารมณ์ความหลงแล้วก็เป็นเปรตแล้ว มีความอยากมากก็เป็นผีตะกละ เห็นมั้ยจ๊ะ แล้วนี่แหล่ะจ้ะ ทีนี้เมื่อเรากำจัดอกุศลตรงนี้ไปได้..ทีนี้จิตเราจะสงบ เมื่อจิตเราสงบแล้วเราก็อุทิศบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงให้เปรตอสุรกายทั้งหลายทั้งปวง ผีห่าซาตานทั้งหลายทั้งปวง

    พอเราทำอยู่บ่อยๆจิตมันก็เกิดเมตตา ลดละอารมณ์ได้ แบบนี้..เขาก็ไปเกิด เมื่อเขาไปเกิดแล้ว บุญเราอุทิศบ่อยๆแล้วทีนี้เค้าก็พ้นได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเค้าพ้นเราก็พ้น ทำไมไอ้เปรตตัวนั้นเป็นใคร..เป็นบิดามารดาเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ กระหังตัวนั้นเป็นใคร..ก็เป็นบิดามารดาเรา อ้าว..เราจะไปผลักไสผลักส่งได้อย่างไร ใช่มั้ยจ๊ะ ก็เรามีเลือดมีเนื้อของท่านอยู่ในตัว ใช่มั้ยจ๊ะ ท่านจึงมาอาศัยเราได้ เค้าเรียกว่ามีดีเอ็นเอเหมือนกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าต้องมาสิงสู่เราได้สิจ๊ะ ก็นี่เรากลัวของเราเอง นี่เรียกว่ากลัวตัวเอง

    บ้านใดเรือนใดหรือจิตใครที่ว่ายังมีความกลัวอยู่เพราะอะไรจ๊ะ เพราะบ้านนั้นเรือนนั้นยังไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้งเป็นสรณะนั่นเอง ลองโยมสวดมนต์ภาวนาจิตตลอด..ความกลัวโยมจะมีมั้ยจ๊ะ พอกลัวก็ภาวนาอีก กลัว..ก็ภาวนา พอเรามีองค์ภาวนาเหมือนมีเทวดาเดินตามรักษาอารักขา จิตเราจะมีความอบอุ่นขึ้นมาทันที เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    การฟังธรรมกับการเข้าใจในการฟัง..มันไม่เหมือนกัน บางคนฟังได้สามคำเข้าใจแล้วนั่งเจริญไปแล้ว นี่เค้าเรียกว่าเข้าใจ บางคนแหกตาฟังไปยันเช้า..ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ได้อะไร..ได้ความเพียรอยู่ แต่ความเพียรโยมถามว่าคราวหน้าโยมจะมาอีกมั้ย..ไม่มาแล้ว เพราะรู้แล้วมานั่งทำอะไร ใช่หรือเปล่าจ๊ะ เค้าถึงบอกว่าเมื่อครั้งพุทธกาลน่ะ เค้าว่าฟังสามคำบรรลุธรรมหมด..เพราะอะไร ท่านเข้าใจว่าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสื่ออะไร นี่ฉันเตือนสติโยมให้รู้ว่าโยมมา..มาฟังธรรมทำไม

    "การฟังธรรม"นั้นเป็นอุบายทำให้โยมได้ตื่นรู้ เมื่อโยมตื่นรู้สิ่งใดโยมก็พิจารณาตัวรู้เข้าสมาธิของตัวเอง แล้วเอาเสียงนี้แล..เมื่อว่าโยมได้ยินเสียงอะไร โยมเกิดความเพลิดเพลินก็ดีเป็นเพื่อนก็ดี เห็นมั้ยจ๊ะ แต่จิตโยมต้องปฏิบัติเอง บางคนฟังธรรมเปิดฟังธรรม เปิดว่าหลวงพ่อเค้าว่าอะไร..โยมนั้นกำลังเอาจิตออกไปภายนอก แต่เมื่อโยมฟังแล้ว อ้อ..เข้าใจ..เข้าใจโยมก็ลงมือทำสิจ๊ะ ไอ้เสียงธรรมจะฟังไปก็เรื่องของเค้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อโยมเข้าใจโยมต้อง"ลงมือทำ" อ้าว..ต้องทำไปด้วย เค้าบอกก็ทำไปด้วย โอ้..ทำไปเป็นอย่างที่ว่าเลย ทีนี้โยมก็ไม่สงสัยแล้วคราวนี้ ทีนี้จิตมันก็จะสอนตัวมันเองแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่อย่างนี้โยมก็ต้องหาหลวงพ่อร้อยวัดพันวัดแล้วก็ฟังหมดเลยทีนี้ ว่าเหมือนกันรึป่าว เค้าว่าอย่างโน้น ถ้าไม่เหมือนกันไม่ใช่แล้วองค์นี้ ใช่มั้ยจ๊ะ องค์นี้ใช่ด้วย องค์นี้ไม่เหมือนไม่เหมือน..ไม่ใช่ไม่ใช่..กูดีกว่า นั้นโยมต้องปฏิบัติเอง

    ในสมัยพุทธกาลเค้าฟังสามคำสี่คำสำเร็จกันหมดเพราะอะไรเล่าจ๊ะ เพราะท่านมีภูมิธรรมอยู่แล้ว แล้วเมื่อได้สติ แล้วพระพุทธองค์ท่านก็บอกเป็นนัยว่าสื่อความหมายอะไร เมื่อท่านเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจท่านก็บรรลุธรรม ใช่มั้ยจ๊ะ มันต้องบรรลุของตัวเองเข้าใจของตัวเอง ไม่ใช่ว่าโยมต้องมานั่งอดหลับอดนอนฟังธรรม อย่างนี้เค้าเรียกมาสีซอ..ใช่มั้ยจ๊ะ

    ถ้าคนมีปัญญาจริงมันจะมานั่งหลับอย่างนี้ทำไมล่ะ ถ้าจิตโยมตื่นรู้ ตื่นรู้ก็ต้องพิจารณาธรรมได้ นี้โยมพิจารณาไม่เป็น คือฟังแล้วเมื่อโยมเข้าใจ เอาความเข้าใจคือตัวรู้มาพิจารณาตัวรู้ เมื่อพิจารณาโยมเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาจิตมันจะเกิดแสงสว่างแห่งธรรม เมื่อจิตเกิดแสงสว่างแห่งธรรม แม้โยมไปนั่งที่มืดสนิทยังไง..โยมก็ไม่มีความง่วงหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..ก็แสงปัญญาโยมเกิดแล้ว แสงธรรมมันบังเกิดแล้ว เมื่อแสงธรรมบังเกิดโยมก็จะได้ธรรม จิตมันจะสอนธรรมของโยม

    รู้มั้ยจ๊ะว่าจิตมันมีธรรมมากมาย แต่เรายังเข้าไม่ถึง คือไม่ถึงในความเพียร เข้าใจมั้ยจ๊ะ ความอดทนก็ไม่ถึง ศรัทธาก็ยังไม่ถึง สัจจะก็ยังไม่ได้..นี่โยมเป็นโจรกันหมด เค้าต้องมีสัจจะก่อน ฉันจึงบอกว่าถ้าโยมมีโอกาสดีที่ว่าก็ให้สะสมไป เมื่อมันมีกำลังแล้ว แต่ทุกอย่างโยมต้องเข้าใจ ไม่ใช่มานั่งฟังธรรม จะถามอะไรก็ถามแต่ไม่เข้าใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    อย่าได้ประมาทในความเพียร บุญเล็กน้อยหรือว่าเราเจริญภาวนาจิตก็อย่าได้ประมาท แม้จะหลับนอนก็ขอให้มีภาวนาจิต บางคนเค้าเรียกว่าหลับนอนแล้วยังขาดสติ ยังไประลึกถึงอารมณ์ทั้งปวงที่ยังมาไม่ถึง อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ยังไปเอามาคิดเป็นอารมณ์ปัจจุบันอยู่ แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะพ้นจากเราไปได้อย่างไร เพราะเรายังคิดอยู่ ยึดอยู่ เมื่อเรายึดอยู่คิดอยู่มันจะจากเราไปไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้ปล่อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะใจเรานี้เป็นประธานแห่งกรรม ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เราจะหลับนอนแล้วก็ถือว่าเราจะได้ตายไปแล้วจากโลกนี้ ก็ขอเจริญความเพียรเป็นครั้งสุดท้าย ให้ระลึกถึงองค์ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธังสรณังคัจฉามิ แล้วอธิษฐานบุญกุศลเจริญภาวนาจิต ข้าพเจ้าขอเจริญภาวนาจิตนี้เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อพระรัตนตรัย ต่อผู้มีคุณทั้งหลายทั้งปวง ต่อบิดามารดา ต่อกษัตริยาธิราชเจ้าทั้งหลาย ที่ปกป้องศาสนาเพื่อชาติบ้านเมืองทั้งหลายทั้งปวงให้ข้าพเจ้าได้มีที่อยู่ ให้อธิษฐานจิต จิตนี้เมื่ออธิษฐานจะมีพลังมหาศาล

    ที่ว่ามี"พลังมหาศาล"คือจิตมันจะสงบตั้งมั่นนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ระลึกถึงว่าเราต้องตายแล้ว เราก็ทำการเรียกว่าขอขมากรรม คำมั่นสัญญาใดๆในอดีตไม่ว่าต่อใครทั้งหลายทั้งปวง ข้าพเจ้าขอถอนคำสัญญาสาบานทั้งหลายทั้งปวง ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาจงอุดหนุนค้ำชูให้ตัวข้าพเจ้านั้นจงพ้นจากเวรภัยทั้งหลายทั้งปวง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่มีเวรภัยต่อข้าพเจ้าจงโปรดอดโทษอดอาฆาตต่อข้าพเจ้า ขอให้อโหสิกรรม ให้โมทนาบุญกับข้าพเจ้า ในค่ำราตรีคืนนี้ที่ข้าพเจ้าจะหลับนอนไปแล้ว ขอบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้ทำมาในทาน ศีล ภาวนาทั้งหลายทั้งปวง จงอุดหนุนค้ำชูปกปักรักษาให้ข้าพเจ้าพ้นจากเวรภัยพาลทั้งหลายทั้งปวง

    เราอธิษฐานบุญมันต้องให้บุญมารักษาเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เรียกว่าเรานั้นจะไม่นอนสะดุ้งผวา หากมีอะไรเพทภัยใดจะรู้สึกตัวก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเมื่อเรามีสติเมื่อเราหลับนอนไป เกิดอะไรขึ้นตัวสติมันก็จะรู้ แต่ถ้าเราไม่เคยมีสติเลย ไม่มีภาวนาเลย เค้าเรียกเทวดาจะไม่รักษา เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันก็จะหลับเพลินเลยทีนี้ ไฟจะไหม้บ้านก็ยังหลับสบาย ดังนั้นควรมีสติ เรามีกำลังเราก็ภาวนา เรามีเวลาเราก็สาธยายมนต์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    โยมเคยให้ทานอะไรไว้..ให้กับใครไว้ สักวันหนึ่งเมื่อเขาสำนึกได้เขาจะตอบแทนโยมเอง อะไรที่เราเคยทำไว้นั่นแล มันก็จะกลับมา ทำไม่ดีมันก็กลับมา มันไม่ไปไหน เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันก็อยู่ในโลกใบนี้แหละ โยมไม่ต้องกลัวเลยว่าสิ่งที่โยมทำทั้งดีและไม่ดีมันจะไปไหน หรือไปหาใคร..มันมาหาเราทั้งนั้น นั้นพยายามทำให้ดีไว้ ถ้าทำไม่ได้ก็คิดให้ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าคิดไม่ได้ก็ให้ระลึกก็ได้ อ้าว..คิดกับระลึกไม่เหมือนกันนะ คิดมันต้องมีปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้อง ระลึกนี้เค้าเรียกนึกออก ดังนั้นถ้าเรายังทำไม่ได้ ให้ระลึกก็ยังดี

    ระลึกถึงบุญกุศลที่ทำมา เหมือนว่าเราไม่มีเวลาตักบาตรเลย แต่เราระลึกถึงว่าเราเคยทำ ก็ยังเป็นอานิสงส์อธิษฐานบุญต่อได้ อะไรที่เราเคยทำมาแล้ว เรามาหวลคิดถึงปัจจุบันในขณะนั้นก็เหมือนเราได้ทำอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ไม่ใช่ว่าจะอาศัยอารมณ์นั้นอย่างเดียวเลย หมายถึงว่าถ้าเราไม่มีเวลานั่นเอง ให้ระลึกถึงบุญคือเราไม่ได้ทำ พอเราระลึกอยู่บ่อยๆมันก็จะคิดถึง เช้าไม่ทันก็ไปเพล ใช่มั้ยจ๊ะ ระลึกถึงเอา บุญกุศลเมื่อระลึกถึงแล้วมันก็ถึง

    ถ้าเราไปกล่าวอ้างอิงในบุญกุศลที่เราเคยทำ ถ้าเรายังปฏิบัติไม่ได้ เราก็ระลึกถึงองค์ภาวนา เห็นมั้ยจ๊ะ พอโยมภาวนามากๆเข้ามันมีกำลังแล้ว มันจะหอบกายสังขารขึ้นมาเอง ประกอบความเพียรขึ้นมาเอง มันจะมีความละอายเอง นี่กระแสพระโสดาบันมันเป็นอย่างนี้ มันจะทรุด จะเศร้า จะต่ำยังไง..มันก็ไม่เกินขีดสุดของมัน มันก็จะกลับมาได้ แม้มันจะออกนอกลู่นอกทางไปยังไง มันก็ยังกลับเข้าคอกมันได้ แต่คนที่ใม่มีหลักแห่งพระรัตนตรัย ไม่มีอะไรพึ่งพานั่นแหล่ะจ้ะ มันหลุดออกจากวงโคจรไปเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    "บุคคลมันต้องเกิดด้วยปัญญา แสงแห่งบุญจะสว่างไสว แม้เทพเทวดายังมาโมทนา"

    เค้าบอกว่าพระเทศน์ในตำรา..ก็ธรรมดา ยังไงเทวดาก็มาสาธุการ สาธุ..โมทนาสาธุกับพระคุณเจ้า อีกองค์นึงมานั่งถือคัมภีร์แต่ไม่ได้อ่านคัมภีร์เลย..อ่านไม่ออก แต่ว่าวาจาที่กล่าวไปเป็นธรรมที่ได้ปฏิบัติมา โอ้โห..เทพเทวดาขี้แตกขี้แตนหมด โมทนาเลื่อนลั่นสะท้านแผ่นดินพิภพหมด เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะอะไรจ๊ะ นี่..มันออกมาจากจิตจากใจ จากจิตวิญญาณ..

    ขอเชิญ..เปิดปัญญา พิจารณาธรรม หัวข้อ “ทานสิ่งใด สละแล้วได้อานิสงส์สูง”

    หลวงปู่ : สิ่งไหนเล่าจ๊ะที่มีอานิสงส์มากในร่างกาย เมื่อบริจาคไปแล้ว เมื่อผู้นั้นดับกายสังขารไปแล้ว เค้าบอกว่าจะเสวยอายุในความสุขแห่งเทวโลก พรหมโลก ไปนานเป็นแสนกัปป์ กว่าจะได้มาจุติเกิดก็ลืมไปเลยว่าเกิดเป็นอะไร โยมลองนึกสิจ๊ะ
    ลูกศิษย์ ๑ : ดวงตา

    หลวงปู่ : อ้าว..โยมจะตอบอะไรก็เรื่องของโยมเถอะ ไส้ติ่ง ฝี หนอง อะไรโยมตอบไปเถิดจ้ะ เพราะขณะที่โยมตอบเป็นบุญทั้งนั้น เพราะโยมตอบแล้วเกิดปิติ ไม่เชื่อโยมลองตอบสิจ๊ะ
    ลูกศิษย์ ๒ : หัวใจ

    หลวงปู่ : อ้าว..ฉันขอดวงตา ใครบอกว่าดวงตาอานิสงส์มาก (ลูกศิษย์ ๑ ยกมือ) แสดงว่าตานี่ก็ยังไม่ถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ใช่มั้ยจ๊ะ แต่อะไรยิ่งใหญ่กว่าตา (ลูกศิษย์ ๒ : หัวใจ) หัวใจ..ไหนยกมือสิจ๊ะ (ลูกศิษย์ ๒ ยกมือ) มีตา หัวใจ อีกข้อหนึ่งก็พอที่จะสรุปและบอกคำตอบเหตุผลได้ อีกอย่างนึงคืออะไร (ลูกศิษย์ ๓ : สังขารค่ะ) สังขารโยมต้องถามว่าตอนเป็นหรือตอนตาย
    ลูกศิษย์ ๓ : ตอนเป็นค่ะ..ชีวิต

    หลวงปู่ : อ้าว..อันดับแรกคือดวงตา อันดับสองคือหัวใจ อันดับที่สามคือชีวิตใช่มั้ยจ๊ะ ไหนโยมลองบอกซิว่า ๓ อย่างนี้อะไรสำคัญที่สุด
    ลูกศิษย์ : ชีวิต

    หลวงปู่ : อ้าว..เทวดาเค้ากำลังงงอยู่ ถ้าโยมตอบว่าชีวิต เพราะโยมได้ลอกข้อสอบไปเมื่อซักครู่นี้ ฉันเฉลยได้เลยว่า..ไม่จริง เหลือ ๒ อย่าง หัวใจกับดวงตา อะไรที่มีอานิสงส์มาก
    ลูกศิษย์ : หัวใจ

    หลวงปู่ : หือ..เทวดาอยากรู้อีกแล้ว ก็เฉลยได้ว่า..ยังไม่ใช่ แล้วข้อสุดท้ายจะเป็นคำตอบมั้ยจ๊ะ
    ลูกศิษย์ : เป็นค่ะ

    หลวงปู่ : ความเป็นจริง..ก็ไม่ใช่ อ้าว..ข้อสุดท้ายจะไม่ใช่คำตอบ แล้วอะไรคือคำตอบ โยมรู้มั้ยจ๊ะ เทวดางงแล้ว คำตอบมีอยู่ว่า มีตา หัวใจ สังขารร่างกายโยม สิ่งนี้เมื่อโยมบริจาคย่อมมีอานิสงส์มาก ฉันสรุปคำตอบว่าไม่ใช่เลย คำตอบที่ใช่ก็คืออยู่ว่า ฟังให้ดี..ไม่ว่าส่วนไหนก็ตามที่เป็นอวัยวะน้อยใหญ่ และไม่ใช่อวัยวะน้อยใหญ่ เป็นวัตถุสิ่งของก็ได้ ที่โยมรักมากที่สุด หวงมากที่สุด ยึดมากที่สุด..แล้วโยมสละได้นั่นแหล่ะจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มีอานิสงส์มากที่สุด

    เพราะถ้าโยมให้อย่างนั้น เท่ากับว่าโยมหลุดพ้นได้จากบ่วงกรรม ใช่มั้ยจ๊ะ โยมบอกให้ดวงตา แต่โยมยังมีอีกข้างหนึ่ง ใช่มั้ยจ๊ะ โยมยังไม่ที่สุด หัวใจ..ก็ยังมีหัวใจเทียม ใช่มั้ยจ๊ะ ชีวิต..ตายแล้วจบไป ไม่ได้อะไรเลย ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะโยมไม่ได้อะไรเลย แล้วความเป็นจริงโยมก็ไม่กล้าให้ด้วยซ้ำ ใช่มั้ยจ๊ะ ไม่ต้องไปดู ๓ อย่างนี้ ที่ว่ามาโยมไม่กล้าให้เลยซักอย่าง ใช่มั้ยจ๊ะ แม้แต่ดวงตาโยมที่มองแต่สิ่งสกปรก โยมก็ยังเสียดาย ใช่มั้ยจ๊ะ ฉันจึงบอกว่า..ยังไม่ที่สุด

    ที่สุดมีว่าโยมหวง..รักอะไรมากที่สุดนั่นแหล่ะจ้ะ ถ้าโยมปล่อย..สละได้..โยมจะหมดทุกข์ หลุดพ้นนั่นเอง สิ่งที่โยมหวงมากที่สุดโยมยังกล้าให้ ใช่มั้ยจ๊ะ เมตตาบารมี..ทานอันยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้น เพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งปวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ สิ่งที่โยมละได้ยาก สละได้ยาก..คือการให้อภัยทาน นั่นก็คือการยึดถือตัวตน.. เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...