ธรรมเทศนาเรื่อง “อภิญญา” จากหนังสือแก่นพระพุทธศาสนา โดยหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สาละ, 1 มิถุนายน 2009.

แท็ก: แก้ไข
  1. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ธรรมเทศนาเรื่อง “อภิญญา” จากหนังสือแก่นพระพุทธศาสนา


    โดยหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่


    เมื่อได้ฌานแล้วบางครั้งก็จะได้ถึงขั้นอภิญญา ซึ่งเป็นความรู้พิเศษ ผู้ที่เวลาปฎิบัติเกิดนิมิตมากๆมักจะได้อภิญญา

    เมื่อมีเหตุการณ์ใดๆที่จะเกิดขึ้น ท่านมักจะรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ เช่น จะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้จะมีผู้มาหา เป็นต้น

    อภิญญาเกิดจากฌานสมาธิ อภิญญานี้ไม่แน่นอนมักจะเสื่อมได้ หรืออาจจะเป็นวิปลาสจะพูดไม่ตรงต่อธรรมวินัย

    เมื่อผู้ที่ได้อภิญญาแล้ว ถ้าไม่รู้ทัน ก็จะทำให้เกิดความหลงได้
    ในสายของหลวงปู่มั่นนี้ ท่านที่ได้อภิญญาที่สำคัญ คือ ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร

    ท่านสามารถที่จะพูดกันได้กับท่านหลวงปู่มั่นเวลาท่านไปเยี่ยมกัน
    ท่านมักถามเป็นปัญหาว่า “เมื่อคืนรับแขกมากไหม”

    คำว่า “แขก” ในที่นี้ก็หมายถึงพวกเทพยดาในสวรรค์ชั้นต่างๆตลอดจนถึงพรอินทร์ที่ลงมากราบมาเยี่ยม

    สำหรับท่านพระอาจารย์ฝั้น ท่านประสบเหตุมามาก ท่านเคยเล่าให้อาตมาหลายเรื่อง ถ้าเขียนเป็นหนังสือ ก็จะได้เล่มหนาทีเดียว

    ท่านอาจารย์อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม ท่านเคยอยู่กับท่านอาจารย์ฝั้นหลายปี

    ท่านเคยเล่าให้อาตมาฟังว่า มีนกฮูกตัวหนึ่งมันร้องกุ๊กๆกู้ฮูก จับอยู่ที่ต้นไม้ใกล้กับที่พักของท่าน

    เมื่อได้เวลาประมาณ 2 ทุ่ม มันก็ร้องอยู่อย่างนั้นทุกคืน
    ท่านมีฌาน ท่านเลยเพ่งนกฮูก ปรากฏว่าพอท่านเพ่งไปเท่านั้นแหละ
    ขนของนกฮูกก็หลุดกระจุยเลย และก็มีเสียงตกลงดิน

    ท่านก็คิดว่ามันจะเป็นหรือตายอย่างไรหนอ ท่านกลัวจะเป็นโทษ ท่านเดินไปค้นหาซากของมัน ก็ไม่ปรากฏเห็น

    หลวงปู่มั่นท่านก็ประสบเหตุทำนองนี้เหมือนกัน คือมีบ่างใหญ่ตัวหนึ่งมาร้องอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆกับท่านทุกวัน

    พอท่านเพ่งไปที่บ่าง บ่างก็ตกดินเลย แต่ปรากฏว่าไม่ตาย
    หลวงปู่มั่นท่านว่า หลังจากที่ผมเพ่งวันนั้นแล้ว ไม่ปรากฏเห็นบ่างตัวนั้นมาร้องอีก
    แสดงว่านกหรือบ่างอาจจะกระเทือนจิตใจของมันเหมือนกัน

    พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่แตกฉานในธัมมปฏิสัมภิทา

    แตกฉานในการพูด การแสดงธรรม การแต่งหนังสือ
    โดยเฉพาะการแต่งหนังสือนั้น ท่านได้เขียนเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไว้ได้อย่างละเอียดมาก ตลอดทั้งหนังสือที่เกี่ยวกับธรรมปฎิบัติอีกหลายเล่ม

    อย่างท่านเจ้าคุณนิโรธ ฯ (พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี) ก็เคยได้ไปกราบเยี่ยมท่าน

    พักอยู่กับท่านครั้งละหลายๆวัน ท่านให้เคยให้นโยบายเทศน์ให้ฟัง แต่ท่านไม่ได้เล่าเกี่ยวกับอภิญญา
    โดยท่านมักจะปกปิด ไม่เล่าให้ฟังทั่วๆไป

    ท่านหลวงปู่มั่น หรือท่านอาจารย์ฝั้นก็เช่นเดียวกัน ท่านก็จะพูดให้ผู้ที่ไว้ใจได้ฟังเท่านั้น

    ในขณะที่มีพระเณรญาติโยมมากๆ ท่านก็จะไม่พูด เพราะท่านว่าถ้าพูดไปเขาไม่เชื่อ
    เกรงว่าเขาจะหลบหลู่ดูหมิ่น จะเป็นบาปเป็นกรรมแก่พวกเขา
    หลวงปู่มั่นท่านจะหลบหลีกหมู่(เพื่อน) ไปธุดงค์องค์เดียวหรือสองสามองค์เป็นอย่างมาก

    บรรดาหมู่คณะหรือผู้ปฎิบัติเกิดความรู้ต่างๆหรือมีปัญหาที่จะต้องกราบเรียนถาม ก็จะต้องออกตามหาท่านเอง
    ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามท่านพบเสียด้วย

    บุคคลที่มีปัญญาแก่กล้า ไตรลักษณ์จะเกิดในปฐมฌานหรือทุติยฌาน
    ส่วนบุคคลที่มีปัญญาขนาดกลาง ไตรลักษณ์จะเกิดเมื่อสำเร็จฌาน 4 แล้ว
    บุคคลใดที่สามารถสำเร็จฌาน 4 ก็มักจะไม่เกิดความกำหนัดหรือที่เรียกว่า จิตตกกระแสธรรม

    มันจะเป็นของมันเอง เรียกว่าเป็นผลของฌานสมาธิก็ได้
    ไตรลักษณ์ นี้จะเป็นเครื่องตัดสินถูกหรือผิด จะเป็นสัมมาสมาธิหรือมิจฉาสมาธิ
    ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตามหรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม

    ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิดแล้ว ก็ยังนับว่าเป็นมิจฉาสมาธิ ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด

    เมื่อพิจารณาขันธ์ 5 ธาตุ 4 เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว
    จนเกิดญาณ ความรู้พิเศษ เมื่อเกิดความรู้พิเศษแล้ว วิปัสสนูกิเลสหรือวิปลาส ก็เกิดขึ้นไม่ได้

    เมื่อสิ่งใดหรือความรู้ใดเกิดขึ้นก็จะเอาไตรลักษณ์เป็นเครื่องตัดสิน

    การพิจารณาให้ถือเอารู้รูปกายตามความเป็นจริง รู้เวทนาตามความเป็นจริง รู้จิตตามความเป็นจริง
    ให้ยึดถือความรู้นี้เป็นหลัก ความรู้อย่างอื่นไม่สำคัญ

    ถึงจะเกิดอภิญญารู้ในเหตุผลต่างๆ ครั้งแรก ๆ ก็อาจเป็นจริง
    แต่ถ้าเรายึดถือในสิ่งเหล่านั้นต่อไป ก็จะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงเรา ท่านจึงห้ามไม่ให้ถือเอานิมิตเป็นสิ่งสำคัญ

    ท่านจึงว่า ถ้าไตรลักษณญาณยังไม่เกิด ก็ยังเป็นมิจฉาสมาธิต้องทำการศึกษาและเร่งความเพียรยิ่งขึ้นไป

    พระภิกษุรูปใดเด็ดเดี่ยว ชอบไปบำเพ็ญภาวนารูปเดียว มักจะได้อภิญญารู้เหตุผลต่างๆแม้แต่ในครั้งพุทธกาล

    พระภิกษุที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ยังมีคุณสมบัติไม่เสมอเหมือนกัน
    ตัวอย่างเช่นพระอรหันต์ที่สำเร็จอย่างแห้งแล้ง แสดงธรรมสอนผู้อื่นไม่ได้ไม่มีปฎิภาณโวหาร

    แต่ก็สามารถสิ้นอาสวะกิเลส เรียกพระอรหันต์จำพวกนี้ว่า “สุกขวิปัสสโก”
    ถ้าพูดถึงความสุขของผู้ที่สิ้นอาสวะกิเลสแล้ว ก็เหมือนกันหมด มีความสุขความสบายเท่าเทียมกัน

    เป็นพระนิพพานเหมือนกันหมด
    การที่ท่านผู้ใดจะได้วิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทา 4 นั้นก็จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาของแต่ละท่านด้วย

    ผู้ที่ปฎิบัติเพียง2-3 ครั้ง ก็สามารถที่ทำจิตให้สงบได้ มีความรู้บาป บุญคุณโทษ

    ทำให้เพิ่มความเชื่อความเลื่อมใส จิตใจเยือกเย็นได้รับความสุข นี่ก็เป็นเพราะอำนาจบารมีเก่าที่ได้สะสมมา
    สิ่งที่ควรตั้งความปรารถนาให้เป็นอุปนิสัย คือ ทาน ศีล ภาวนา
    ถ้าบุคคลใดมีอุปนิสัยครบทั้ง 3 ประการนี้แล้ว หากเกิดภพชาติใดๆได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง

    หรือสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมพระเทศนาก็มักจะได้บรรลุผลในการฟัง
    ในครั้งพุทธกาล มีท่านที่สำเร็จจากการฟังเป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง

    แสดงว่าท่านเหล่านี้เคยบำเพ็ญสร้างสมอบรมมา ตั้งแต่หนึ่งชาติขึ้นไป
    ส่วนผู้ที่ปรารถนาใหญ่ เช่นปรารถนาเป็นอัครสาวก ต้องเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสร้างสมบารมีถึงแสนชาติ
    อย่างพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร เป็นต้น

    ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าได้บำเพ็ญติดต่อกัน 1-3 ชาติ ก็จะเป็นอุปนิสัย
    ถ้าได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ ก็จะทำสมาธิได้ง่าย หรือเจริญฌานได้ง่าย
    ขอให้พวกท่านจงทำกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็สามารถปฎิบัติได้เหมือนกัน เมื่อตั้งใจทำแล้ว

    จะไร้ผลเสียเลยก็ไม่มี อย่างต่ำก็เป็นการเพิ่มบุญวาสนาบารมีของเราให้แก่กล้าขึ้น

    พูดมาก็สมควรแก่เวลา........
     
  2. pawang

    pawang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +193
    เคยได้สนทนาธรรมกับครูบารูปหนึ่งที่วัดป่า
    ท่านเล่าให้ฟังว่าเพื่อนพระด้วยกันรูปหนึ่งเวลาจะไปนั่งสมาธิจะจุดเทียนเป็นเพือน เพราะกลัวผี ท่านจึงนั่งดูเทียนไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุบังเอิญท่านสามารถจำและสามารถกำหนดให้มีแสงเทียนเกิดขึ้นตรงไหนก็ได้ หลังๆพลังจิตท่านเพิ่มมากขึ้นถึงขนาดแค่ใช้มือแตะที่ขวดกระทิงแดง ฝากระทิงแดงตั้ง 5-6 ขวดเปิดแกล๊กเดียวพร้อมกันเลย
    แต่ต่อมาภายหลังท่านหลงว่าท่านสำเร็จอนาคาแล้ว แต่ครูบาอาจารย์ท่านรู้จึงช่วยแก้ให้โดยยั่วให้โกรธ พอโกรธจิตก็หลุดจากฌาณ จึงเข้าใจว่าที่แท้จิตท่านทรงฌาณอยู่เท่านั้นเองครับ
     
  3. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ผมอ่านประวัติหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ผู้เขียน เขาก็ว่าหลวงปู่ชอบนี่แหละที่สำเร็จอภิญญา สมารถพูดกับหลวงปู่มั่นได้ทุกเวลา ยังไงกันแน่ครับ
     
  4. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ผมเข้าใจว่าน่าจะมีพระหลายสิบหรือาจถึงหลายร้อยองค์ที่สำเร็จอภิญญา
    ท่าน(หลวงปู่คำดี)คงยกมาเพียงบางองค์เท่านั้นครับ

    สำหรับเทศน์นี้หลวงปู่คำดีเทศน์ไว้เอง
    ไม่ได้มีใครไปนั่งฟังแล้วจำมาเขียนครับ
    ฉะนั้นเทศน์นี้จึงสมบูรณ์ทุกประการ
    และทุกวันนี้อัฐิหลวงปู่คำดี ที่วัดถ้ำผาปู่ก็ได้แปรเป็นพระธาตุแล้วครับ
     
  5. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    เป็นการใช้ภาษาจิตคุยกัน

    นักวิชาการเรียกว่า โทรจิต ถ้ามีจิตที่เข้มแข็ง ก็สามารถรวมอากาศธาตุ

    ปรากฎเป็นโทรภาพออกมาได้

    หลายครั้งที่ผู้เขียนได้เดินทางไปขอพบเธอ เธอผู้มาเข้าข่ายในความฝัน

    ของผู้เขียน ผู้เขียนมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าเธอผู้นี้สำเร็จอภิญญาใหญ่

    ผู้เขียนไปขอพบเธอก็ไม่เคยให้พบ แต่พอกลับถึงบ้าน

    ทั้งเสียงทั้งภาพของเธอมาทั้งหมด ผู้เขียนตื้อเท่านั้นที่ครองโลก

    จนเธออนุญาตให้พบแบบไม่เป็นทางการ ทุกวันนี้สมารถพูดกับเธอได้

    ประหยัดค่าโทรศัพท์ มาเป็นค่าข้าว ค่าขนม ค่าน้ำ อยากขอบคุณเธอจริง ๆ ที่เธอดีกับผม
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    โมทนาสาธุธรรม.......พระอรหันต์ผู้สำเร็จอภิญญาแล้ว....ในสายการปฏิบัติแบบหลวงปู่มั่นมีเยอะนะครับ....แต่ท่านมักจะไม่สอนใคร...เนื่องจากไม่มีหน้าที่โดยตรง......หลายท่านได้มาเองจากการฝึก แนว สุขวิปัสโก......เนื่องจากของเก่ามารวมตัว........โมทนาครับ........
     
  7. สังสารวัฏ

    สังสารวัฏ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +5,382
    อนุโมทนาสาธุค่ะ .. (^_^)
    คงจะสั่งสมมาหลายชาติด้วยกันนะคะ ..จึงทำได้โดยง่าย
    หากเพิ่งจะเริ่มชาตินี้..คงต้องมีความเพียรอย่างหนัก

    http://palungjit.org/threads/4-ก-ค5...เด็จองค์ปฐมหน้าตัก-2-ม-วัดคลอง-14-ค่ะ.188430/

    http://palungjit.org/threads/มาบริจาค-stem-cell-กับสภากาชาดไทยกันเถิดค่ะ-^_^.189370/
     
  8. cookieberry

    cookieberry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2009
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +4,607
    ใช่เลยค่ะ เห็นด้วยอย่างมาก

    อ๋อ เราก็เพิ่งได้คำตอบเดี๋ยวนี้เอง ว่าเราไม่เห็นพระอาจารย์เราท่านสอนหรือเเนะนำมโนยิทธิให้ใครเลย ท่านเน้นเเต่สอนเราให้ปฏิบัติให้จิตอยู่กับกาย อย่าส่งจิตออกไปสู่ภายนอก ตามเเนวของสุขวิปัสโก ซึ่งเป็นคนละเเนวกับคำสอนของหลวงปู่ฤาษี เป็นเพราะเหตุอย่างนี้เอง ขอบคุณมากค่ะ สิ่งที่ติดอยู่ในใจมานานได้ความกระจ่างเเล้ว

    ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เคยบอกกับเราว่า "สมเด็จองค์ปฐมท่านเก่งนะ อย่าไปอะไรกับท่าน อยากรู้อะไรให้ปฏิบัติเอง อย่าถาม" ด้วยความที่เราไม่มีความรู้ทางธรรมมากนัก เมื่อเราฝึกตามสายสุขวิปัสโก เราไม่เห็นจะรู้จะเห็นอะไรเลย ยกเว้นเห็นลูกเเก้วลอยมา อยู่ข้างหน้าซึ่งพระอาจารย์ท่านก็สั่งห้ามเพ่งไปเเล้ว

    ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงขอถามคุณ Phanudet หนึ่งคำถาม

    ถ้าเราฝึกตามสายสุขวิปัสโก เมื่อถึงวันที่เราสมควรรู้ สมควรเห็นสมควรได้ อภิญญาต่างๆ ที่เหมาะสมก็จะมาหาเอง อันเนื่องจากบุญเก่าที่เราสะสมมา ไม่จำเป็นที่ต้องไปเร่งฝึกเพื่อให้ได้ความเป็นอภิญญาตามสายหลวงปู่ฤาษีที่ปฏิบัติทางลัดเพื่อสู่ความเป็นอภิญญาโดยตรงใช้ไหมคะ

    ที่สงสัยเพราะว่าเมื่อไม่กี่วันนี้ป้าเราพูดว่า ครูสอนมโนยิทธิสอนข้ามขั้นให้กับเรา ทั้งๆที่เราเองยังนั่งสมาธิอะไรไม่เป็นเลย อยู่ๆก็มาจับสอนมโนยิทธิเลย จริงๆเเล้วก่อนที่จะฝึกมโนยิทธิ ต้องฝึกนั่งสมาธิสายสุขวิปัสโกมาก่อนเเล้ว เเต่เพราะเราเรียนลัด ให้ใช้พื้นฐานฝึกอภิญญาเลย ดังนั้นถ้าเราควรที่ก็ต้องกลับไปนั่ง พุทโธ ตามสายของสุขวิปัสโกก่อน เหมือนย้อนวิชาลงไป

    เราอยากรู้มากเลย เพราะทุกวันนี้ก็ติดข้องในใจตรงนี้ค่ะ ขอความกระจ่างด้วยค่ะ

    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  9. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    ขออนุโมทนาในความเพียรของทุกท่านครับ.....
    ขอให้ทุกท่านมีความสุขครับ
     
  10. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    "ทำให้เพิ่มความเชื่อความเลื่อมใส จิตใจเยือกเย็นได้รับความสุข
    นี่ก็เป็นเพราะอำนาจบารมีเก่าที่ได้สะสมมา
    สิ่งที่ควรตั้งความปรารถนาให้เป็นอุปนิสัย คือ ทาน ศีล ภาวนา
    ถ้าบุคคลใดมีอุปนิสัยครบทั้ง 3 ประการนี้แล้ว

    หากเกิดภพชาติใดๆได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง

    หรือสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแล้ว

    เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมพระเทศนาก็มักจะได้บรรลุผลในการฟัง
    ในครั้งพุทธกาล มีท่านที่สำเร็จจากการฟังเป็นพระโสดาบันบ้าง

    พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง

    แสดงว่าท่านเหล่านี้เคยบำเพ็ญสร้างสมอบรมมา ตั้งแต่หนึ่งชาติขึ้นไป
    ส่วนผู้ที่ปรารถนาใหญ่ เช่นปรารถนาเป็นอัครสาวก ต้องเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสร้างสมบารมีถึงแสนชาติ"


    แล้วถ้าอย่างนี้ จะมีใครบ้างหนอ
    ที่จะได้มาเกิดทัน เพื่อพบกับศาสนาของสมเด็จพระศรีอาริยเมตรไตรบ้าง
    แม้ว่า ศาสนาของพระองค์ท่าน กว่าจะถึง ก็ปาไปอีกตั้งเป็นกับป์
    ชาติหนึ่งต่อชาติหนึ่ง ในการเกิดเป็นมนุษย์ก็สุดแสนที่จะลำบาก
    แถมยังต้อง มาทำบารมีต่ออีกด้วย การรักษาศีล ทาน และภาวนา
    นี่ยังไม่นับบาปกรรมที่ได้ทำมาก่อนที่จะมาเกิดอีก ในเมื่อเกิดมาแล้ว
    ก็ยังไม่มั่นใจได้อย่างแน่ชัดว่า จะไม่มีบาปกรรม
    (จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ไม่ให้เกิดบาป)ในชาติภพปัจจุบันอีก

    ผมลองอ่านดูแล้ว ผมรู้สึกด้วยจิตของผมเองว่า
    ทำไมมันช่างนานแสนนานขนาดนี้ นี่ขนาดปรารถนาพระอัครสาวกนะ
    ก็ปาไปตั้งแสนชาติแล้ว แต่ยังไม่นับตำแหน่งอื่นๆ ที่อยู่สูงขึ้นไปอีก
    โอ้โห นาน...แสนนาน เกินกว่าที่จะนับ...
    แต่อย่างว่าเนอะ ภพกับป์เก่าๆ เราก็ไม่รู้ว่าได้เคยปรารถนา หรืออฐิษฐาน
    กันมาหรือเปล่าว เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้อย่างหมดจด
    ถ้าอย่างนั้น ผมก็เป็นกำลังใจให้ และเอาใจช่วยผู้ที่ปรารถนา
    ทุกๆ ตำแหน่ง ก็แล้วกัน

     
  11. pawang

    pawang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +193
    อันนี้ตามความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผิดถูกอย่างไร ขอได้โปรดใช้วิจารณาญาณไตร่ตรองตามเหตุผลอันสมควรนะครับ

    เรื่องแบบนี้เป็นไปตามวาสนาบารมี
    คำว่าวาสนาก็คือนิสัยที่ติดตัวเรามา

    ลองสำรวจจิตใจตัวเองดูว่าเป็นไปในทิศทางไหนครับ
    พระอภิญญาหลายๆท่านนิสัยท่านจะโลดโผน จริงจัง บู๊ๆ ออกไปทางนักเลง โผงผางครับ
    หรืออภิญญาโลกีย์ พวกนี้ก่อนที่จะมาปฏิบัติธรรม ถ้าทำงานทางโลกผลงานที่ได้จะดีเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างถ้าเป็นนักมวยก็เป็นนักมวยไอคิว นักมวยอัจฉริยะ คือมีความสามารถที่ดูจะออกล้ำๆคนทั่วไปครับ

    ถ้าครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนให้ปฏิบัติแบบง่ายๆมักจะไม่ใคร่จะยอมทำตาม ต้องหาทางพลิกแพลงเอาหลายแบบหลายแนวจนกว่าจะหาวิธีที่ตนเองจะพอใจนู่นหล่ะครับ

    และเวลาที่ปฏิบัติเมื่อจิตสงบไปแล้วมักจะมีนิมิตให้เห็นครับและเป็นจริงอย่างที่หลวงปู่ท่านเทศน์ไว้ว่า "ผู้ที่เวลาปฎิบัติเกิดนิมิตมากๆมักจะได้อภิญญา "

    ถ้ามีเวลาก็ลองศึกษาประวัติพระป่า หรือเข้าไปสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์วัดป่าดูครับ ถ้าจังหวะเวลาดีดี และพอคุ้นเคยกับท่านบ้างแล้ว ท่านจะเมตตาบอกให้เองครับ

    พระป่านี่บางองค์อย่าไปดูถูกภูมิจิตภูมิธรรมท่านเข้านะครับ หลายๆองค์ ผมโดนท่านทักเข้าทำเอาสะดุ้งเลยครับ

    พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระมหาเถระหลายองค์ท่านเมตตาสอนว่านักปฏิบัติ 100% จะหาคนที่จะมีนิสัยวาสนามาทางนี้จะมีเพียง 5% เท่านั้น ที่เหลือก็จะไปแบบเรียบๆครับ

    ผมว่าเกือบทุกคนที่สนใจและเข้ามาศึกษาในห้องอภิญญาก็พอจะมีนิสัยมาทางนี้อยู่กันครบอยู่แล้วครับ

    ถ้าเราไปหมายเอาว่าเราต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ เวลาภาวนาจิตเราไม่สงบได้หรอกคร้บ เพราะเนี่ยเป็น อิทธิปลิโพธ ที่เราต้องละก่อนเจริญสมาธิครับ

    ถ้าเพียรปฏิบัติไปไม่หยุด ทาน ศีล ภาวนา เราไม่ขาด ถึงเวลาบารมีท่านเต็มแล้วของเก่าที่ท่านเคยฝึกกันไว้ก็จะมาเอง

    ขอทุกท่านจงประสบความสำเร็จในสิ่งที่ได้ตั้งความปราถนาเอาไว้ครับ

    อนุโมทนา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  12. Ga_t

    Ga_t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +867
    อนุโมทนา สาธุ<!-- google_ad_section_end --> สาธุ สาธุ ครับ
     
  13. Frozen

    Frozen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +33
    อนุโมทนา ครับ

    อ่านแล้วรู้สึกดี เข้าใจในหลายๆอย่างครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...