นักเทศน์เก่า เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีฯ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย pong-sit, 8 ตุลาคม 2006.

  1. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=right><TD><TD align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    อัจฉริยะการแสดงธรรมของนักเทศน์เก่า
    เล่าโดยหลวงพ่อฤาษีฯ

    ปกติแล้ว ที่อำเภอเสนา สมัยคุณประมวล มังสินธุ เป็นนายอำเภอ (ต่อมาอีกไม่นานก็ได้เป็นผู้ว่า) มักจะจัดให้บรรดาข้าราชการฟังธรรมะกันเป็นประจำ โดยนิมนต์พระมาเทศน์หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป
    พระองค์อื่นๆท่านเทศน์กันครึ่งชั่วโมงบ้าง หนึ่งชั่วโมงบ้าง แต่เราไปเทศน์ทีไรไม่เกิน ๑๐ นาที ซักที รับศีล ๕ นาที เทศน์อีก ๕ นาที จบแล้ว ก็จะไปเทศน์อะไรกันมากมายเล่า เพราะเจ้าพวกนี้มันทนฟังเทศน์นานกันไม่ได้
    "วันนี้ มีลูกน้องขาดบัญชีกันมั่งหรือเปล่าล่ะ" จำได้ว่าเคยถามนายอำเภออย่างนั้น
    "โอ๊ะ ไม่มีหรอกครับ ถ้าเป็นเวรท่านไม่มีใครเขาขาดหรอกครับ"
    นั่นน่ะซี เพราะมันแค่ ๑๐ นาที เท่านั้น ใช่ไหม ? ถ้าหากเทศน์หนึ่งชั่วโมงก็น่ากลัวเหมือนกัน ดีไม่ดีเกิดร้อง "ผ่อง" ขึ้นมาอีก ก็ซวยเท่านั้นเอง (ผ่อง เป็นคำที่ใช้ประกอบในการเล่นไพ่ผ่อง ...เต้อ)
    วันนั้น ก่อนที่จะไปเทศน์ให้เขาฟัง ก็เลยไปจังหวัดสุพรรณก่อน ไปหาหลวงพ่อเรื่อง โอ๊ะ...ท่านเก่งมาก เก่งรองจากหลวงพ่อปาน ท่านเป็นรุ่นน้องหลวงพ่อปาน สำหรับหลวงพ่อเรื่องนี้ ท่านมีอภินิหารแปลกๆเยอะ
    อย่างคราวหนึ่งจะไปสร้างโบสถ์ที่ราชบุรี ก็มีงานวางศิลาฤกษ์ ของคนอื่นเขาจะต้องมีละคร มีลิเกกัน ส่วนของเรามีแต่หนังตะลุง ไอ้หนังตะลุงนี่ก็ไม่ได้ไปหงไปหาที่ไหนมาหรอก มันมาเล่นหาข้าวสารน่ะ เราจึงบอกว่า
    "เออ...ดีล่ะ ! เอ็งมาเล่นที่นี่ก็แล้วกันวะ ข้าให้เอ็งคืนละ ๒๐ บาท แถมข้าวสารหนึ่งถัง"
    "เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับหลวงพ่อ ผมขอแค่ข้าวสารคืนละถังก็พอ"
    ข้าวสารตอนนั้นถังละ ๒๐ บาท ก็เป็นอันว่ากลง หลวงพ่อเรื่องกับหลวงพ่อเล็กก็มาร่วมงานด้วย ก็ไม่มีอะไรกันมาก ท่านไปหาเสามาปักเล็กๆเข้า เป็นเขตสำหรับเป็นที่สร้างโบสถ์เท่านั้น
    พอถึงกลางคืน ตามธรรมดาแล้ว เราจะมองเห็นดาวอยู่สูงและไกลมาก แต่ที่นั่นไม่เป็นอย่างนั้น ใครเข้ามาในเขตวัดจะมองเห็นดาวสูงแค่เสาที่ปักเป็นเขตสร้างโบสถ์เท่านั้น มองดูสุกสว่างมาก ถ้าเดินเข้าไปใกล้ๆเสา ดาวจะหายไปเลย ต้องถอยหลังออกไปประมาณสัก ๒ เมตร จึงจะมองเห็นได้เหมือนเดิม
    ทีนี้แหละ...มึงก็มา กูก็มา ดูมั่งทำบุญมั่ง กลางวันคนมาเรื่อยๆ พอถึงกลางคืนคนเต็มเลย ดีกว่ามีลิเก ละคร เสียอีก เพราะเราไม่ต้องเหนื่อยเที่ยววิ่งเต้นเลี้ยงดูปูเสื่อให้เขา ค่าจ้างก็ไม่ต้องเสีย สู้มาดูดาวหยั่งงี้ไม่ได้ เรานอนสบายเลย
    ปรากฏว่า มีงาน ๑๕ วัน ได้เงินสร้างโบสถ์ตั้ง ๕ แสนกว่า เป็นไง ? ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลย เสียค่าข้าวสารคืนละถังกับไม้ปักเป็นเขตอีก ๔ อัน ได้เงินมา ๕ แสนกว่า ในระหว่างที่มีงานก็มีการแจกพระด้วย
    ทีนี้ ก็มีเจ้าพวกคริสเตียน มันเอาพระที่แจกไปลองกันหลังวัด ลองกันไปลองกันมา ยิงไม่ติดสักที ไอ้เราชักรำคาญ มันลองกันได้ทุกวัน เย็นวันหนึ่งจึงบอกกับหลวงพ่อเรื่องว่า
    "หลวงพ่อครับ บรรจุอีกหน่อยเถอะครับ"
    "ทำไมวะ...แค่นี้ก็พอแล้ว"
    "ยังไม่พอครับหลวงพ่อ"
    "ว๊ะ ! แล้วมึงจะเอายังไง"
    "เอาให้มันยิงกระบอกแตกครับ"
    ฮึ่ย...อย่าเลย"
    "เอาเถอะครับ มันลองกันแบบนี้ต้องเอา"
    "เอ้า งั้นคืนนี้มึงขนมาให้กู"
    คืนนั้น เราก็ขนของไปให้ท่านปลุกเสกหมดเลย พอตอนเช้าจึงถามท่านว่า
    "เสร็จหรือยังครับหลวงพ่อ"
    ฮึ่ย...เสร็จแล้ว ขนออกไปแจกได้เลย"
    มีเจ้าคริสเตียน ๒ คนพี่น้อง มันมาแต่เช้ายังไมได้กินข้าวกันเลยมั้ง พอมาถึงก็ถามว่า
    "อย่างไหนที่ยิงไม่ออก"
    มีนายแพทย์คนหนึ่งมาช่วยงานและนั่งอยู่ที่รับทำบุญด้วย จึงพูดว่า
    "ทุกอย่างยิงไม่ออกหมด ยกเว้นอั๊ว" แกคงกลัวเจ้าสองตัวนั่นจะลองมั้ง จึงรีบบอกเสียก่อน
    เจ้าสองคนนั่นก็เลยเอาพระไปองค์หนึ่ง พอไปถึงหลังวัดเอาปืนเล็กยิงไป ๒ ที ไม่ติด
    เฮ้ย ! ไอ้ปืนเล็กนี่มันลูกเก่า ลองอีกที...ลูกซองดีกว่าลูกใหม่"
    หนึ่งในสองคนนั่นบอก พอลั่นไกเช๊ะ เสียงดัง "โป้ง" สนั่นหวั่นไหวเลย เลือดแดง หน้าตาฉีกไปตามๆกัน
    พอเสียงปืนลั่นโป้งหลังวัด หมอที่นั่งอยู่ด้วย ขยับตัวลุกขึ้นทันที
    "ถ้ามันมาตามหาผม ก็บอกมันว่า ไม่รู้ผมไปไหนนะครับ" หมอไม่ยอมคัดเลือด ไม่ยอมอยู่รักษาแผล รีบเผ่นหายไปเลย มันจะได้เข็ด แต่ก่อนนั้นมันลองไปหมดไม่ว่าอะไร แม้แต่ใบเซียมซีมันก็ลอง เพราะเวลาทำพิธีพุทธาภิเษก ของทุกอย่างแม้แต่ใบเซียมซีก็ต้องนำเอาเข้าในพิธีหมดทุกอย่าง ที่หลวงพ่อเรื่องบรรจุใหม่นี้ ยิงนัดแรก นัดที่สองไม่ติด ถ้าลองนัดที่สามเป็นไม่ได้ จะเปลี่ยนปืนเป็นกระบอกใหม่ก็ตาม นัดที่สามกระบอกปืนจะแตกทันที ปรากฏว่า ได้ผล ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าลองกันอีกเลย
    แหม...ท่านเก่งหลายอย่าง ที่วัดท่านมีดาบกับหัวลิงใหญ่ เราเห็นเข้าจึงถามท่านว่า
    "หลวงพ่อไปเอามาจากไหนครับ"
    ข้าขุดได้น่ะ"
    ก่อนที่ท่านจะไปขุด มีเทวดามาบอกว่า เป็นของเก่าของท่านสมัยที่เป็นนักรบ แล้วดาบนั้น มองดูเห็นเนื้อเหล็กเขียวปัด
    "หลวงพ่อครับ แล้วมีดดาบ กับหัวลิงใหญ่นี่ มีความหมายอย่างไร"
    "มึงอยากดูเรอะ ?...จะดูอะไรล่ะ"
    "อยากดูฝนตกครับ"
    ท่านบอกได้ๆ ลุกออกไปกลางแจ้งแกว่งดาบสองสามทีเท่านั้นเอง ฝนตั้งเค้ามามืดแล้วตกทันทีเลย
    "เฮ้อ ! ...ไม่ใช่แค่ฝนตกอย่างเดียวนะ ให้ไฟไหม้ยังได้เลย จะทำอะไรได้ทุกอย่าง" ท่านว่ายังงั้น
    "แล้วหัวลิงล่ะ หลวงพ่อ"
    เฮ้ย ! หัวลิงนี่ต้องเอาไว้กลางคืน ใช้เฝ้าวัดได้"
    พอมืด...ท่านก็เอาหัวลิงไปวางไว้กลางลานวัด ใช้ไม้เคาะที่หัวลิงดัง "โป๊กๆ" สามที
    "ถ้าใครมา มึงกวดเขาเลยนะ แต่อย่าฆ่าเขานะ ไม่ว่าใครทั้งหมดแหละ เอาแค่กวดอย่างเดียวพอ"
    ประมาณสัก ๒ ทุ่มกว่าๆ มีคนเดินผ่านเข้ามาในลานวัด มันเป็นลิงตัวใหญ่ๆนะ ขาวโพลนเลย มันวิ่งไล่กวดคนเขาจริงๆ เสียงคนวิ่งหนีกันเจี๊ยวจ๊าวๆ ไอ้เราก็นั่งดูอยู่ มองเห็นอย่างนั้นจริงๆ ไอ้คนนั้นไม่มีละ วิ่งพรวดพราดๆ เข้ากุฏิพระหายเงียบไปเลย
    อีกอย่างหนึ่ง เวลามีงานมีการหรือวัดท่านทำท่าจะอด ท่านจะว่าคาถาบทหนึ่งทันที ได้ยินเสียงด่าโขมงโฉงเฉงๆ ด่าเหมือนชาวบ้านเขาด่ากันนั่นแหละ เอะอะมะเทิ่งอยู่คนเดียว
    พอด่าแบบนั้นเดี๋ยวเดียวเท่านั้น โน่น ! มากันเป็นแถวเลย ทั้งหมู เห็ด เป็น ไก่ มากันเป็นหาบๆเลย ข้าวสงข้าวสารมาหมด หาบเอามาให้เยอแยะ แต่ละรายก็มาจากบ้านไกลๆทั้งนั้น
    "หลวงพ่อครับ ทำไมถึงต้องด่าอย่างนั้นด้วยครับ"
    "อ้าว ก็คาถาเขาเป็นหยั่งงี้นี่"
    เฮอะ ! คาถาแปลกๆ แบบนี้ก็มีด้วย ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของคาถา
    "แล้วหลวงพ่อเรียนมาจากไหนครับ"
    ฮึ ! ข้าเดินๆไปในป่าช้า มีคนเขาบอกข้า"
    เสร็จกัน...แค่นี้ ! ไม่ต้องถามะไรกันมาก
    วันที่จะไปเทศน์ที่อำเภอเสนา เราก็ขนชาอย่างดีที่สุดไปถวายท่าน คุยไปคุยมาพอได้เวลา เราก็จะลาท่านกลับ ท่านจึงหันไปสั่งลูกศิษย์ของท่านว่า
    "เฮ้ย ไอ้เล็ก มึงเข้าไปหยิบชาให้ท่านมหาสัก ๔ ห่อเถอะวะ แล้วเดินให้ดีๆล่ะ เดี๋ยวจะเหยียบแก้วของกูแตก"
    เอ...เราเอาชาอย่างดีไปถวายท่าน แต่ท่านกลับให้ชาเราอีกทั้งๆที่เราก็ไม่ฉันชา ไอ้ชาที่ท่านให้รึกก็โกโรโกโส เป็นชาตราปั้นธรรมดาๆ นั่นเอง
    ถ้าลองแบบนี้ละก็ ท่านให้หวยแหงๆเลย
    พอดีตอนนั้น มียายคนหนึ่งแกเข้าไปขอหวย
    "หลวงพ่อเจ้าคะ วันนี้จะให้กัณฑ์อะไร คาถาพันกัณฑ์ไหนเจ้าคะ"
    หลวงพ่อเรื่องท่านก็นั่งเฉย ยายคนนั้นแกขออยู่หลายครั้ง เราจึงบอกว่า
    "โยม...หลวงพ่อท่านให้แล้วหละ ชา ๔ ห่อนี่ แล้วก็มีแก้ว มันก็ ๙๘๐ ยายคนนั้นแกคงไม่เชื่อ จึงพูดขอซ้ำอยู่อย่างนั้นแหละ ท่านฟังๆคงชักรำคาญ จึงให้กัณฑ์มหาพรว่า
    "อีดอกทอง...เขาพูดแล้วมึงไม่ฟัง เดี๋ยวพัดเอาเสากระทุ้งแม่มันเสียหรอก"
    เท่านั้นเอง...ยายคนนั้นร้องไห้โฮลงเรือไปเลย
    "แม่เป็นอะไรไปล่ะ" นางลูกสาวที่มาด้วยร้องถาม พอดีเราจะลงเรือกลับเหมือนกัน จึงเรียกลูกสาวแกเข้ามาบอก
    "อีหนู...แกมานี่ หลวงพ่อท่านบอกให้แล้วนะ ๙๘๐ แต่แม่เอ็งไม่ยอมฟัง สงสัยแม่เอ็งไม่มีลาภแน่ เอ็งเป็นคนเอาไปเล่นก็แล้วกัน"
    พอนั่งเรือมาถึงอำเภอเสนา ก็ขึ้นไปเทศน์ แค่ ๑๐ นาทีเท่านั้น แล้วก็คุยกัน คุยไปคุยมาได้พักหนึ่ง เจ้าปลัดอำเภอตัวดีก็ลุกขึ้น
    "หลวงพี่ครับ สงสารหลานๆที่บ้านมั่งเถอะครับ"
    "อะไรวะ" ชักงง ! ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนกันแน่
    "ลูกผมมันยังเล็กๆอยู่ เงินเดือนผมมันก็น้อย"
    "แล้วทำไม"
    "ขอหวย"
    แหม...ไอ้ระยำ นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร ที่แท้ก็ขอหวย จึงหันไปถามนายอำเภอกับพวกตำรวจว่า
    "ข้าราชการเล่นหวยได้ไหม"
    "ไม่ได้ครับ ผิดกฎหมาย" นายตำรวจตอบ
    "แต่ให้เมียเล่นได้ครับ" นายอำเภอรีบเสริมทันที ชะ ! ไอ้พวกนี้ มันครอกเดียวกันจริงๆ มันเล่นไม่ได้แบอกให้เมียเล่นได้...ระยำ
    "เฮอะ...พวกมึงหากินด้วยกันนี่หว่าเนี่ย เออ...เอาหยั่งงี้ก็แล้วกัน หวยน่ะ ! ข้าไม่มีหรอก แต่ว่าวันนี้ ข้าไปวัดใหม่พิณสุวรรณมา หลวงพ่อเรื่อง ท่านว่าอย่างงี้...ท่านใช้ให้คนของท่านเข้าไปหยิบชามาให้ข้า ๔ ห่อ แล้วระวังให้ดีนะ จะไปเหยียบแก้วของท่านแตกล่ะ...มึงคิดได้ก็ได้ ถ้าคิดไม่ได้ก็แล้วกันไป เรื่องของมึง"
    โอ๊ะ ! พอบอกเท่านั้นแหละ มันไม่ได้ลาเราเลย พรึ้บพรับๆ ไปกันไม่เหลือเลย ปล่อยใหเรานั่งจ๋อง ไอ้เราก็นึกว่า...เอ...ไอ้พวกนี้มันเป็นยังไงของมันวะ ไม่มีมารยาทเลย...ปล่อยให้เรานั่งจ๋องอยู่คนเดียว
    ซักพักหนึ่งเห็นจะได้ เห็นภารโรงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาบอก
    "หลวงพ่อครับ นายอำเภอสั่งให้ผมเอาเรือยนต์ไปส่งหลวงพ่อให้ถึงวัดเลยครับ ท่านถึงบ้านแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้ท่านไปกรุงเทพฯแล้วครับ"
    แหม ไอ้พวกนี้มันระยำ...พอได้หวยแล้วพากันเปิดแน่บเลย พระเจ้าลืมหมด ไม่มีใครอยู่ซักคนห่อแน่บเข้ากรุงเทพฯกันหมดเลย
    ปรากฏว่า...ไอ้คราวนั้น เจ้ามือในกรุงเทพฯจ่ายไป ๓ ล้านกว่า
    นี่ ! มันเป็นยังงั้น หลวงพ่อเรื่องท่านให้ชัด แต่ยายคนนั้นแกไม่มีลาภเอง เข้าใจว่าเจ้าพวกระยำนี่คงจะมีลาภมากกว่า ท่านถึงได้ให้มา เมื่อพบท่านอีก
    "เป็นไง...เขาถูกกันเยอะไหม"
    "ถูกกันเยอะครับ"
    "แล้วบอกเขายังไงล่ะ"
    ผมก็บอกตามที่หลวงพ่อพูดมานั่นแหละครับ ออกหรือไม่ออกก็ช่าง แล้วเขาก็มาหาหลวงพ่อกันมั่งหรือเปล่าละครับ
    "มันมาน่ะซิ ! กูถึงได้ถามมึง"
    ซวยเลยเรา...เจ้าพวกนั้นพอมันถูกแล้วจึงได้นึกขึ้นได้ ว่าเอามาจากหลวงพ่อเรื่องวัดใหม่พิณสุวรรณ จึงเอาเงินมาถวายท่านเยอแยะ ท่านจึงเอาเงินที่ได้ไปสร้างวัด
    เสียดาย...ที่ตอนนี้ท่านตายเสียแล้ว พูดถึงพระให้หวย ทำให้นึกถึงหลวงพ่อเขียนขึ้นมาได้ สำหรับองค์นี้ท่านให้หวยจนมีชื่อ
    วันหนึ่งไปเยี่ยมท่าน มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเอากล้วยน้ำว้าสุกมาถวายท่าน ๒ หวี ความจริงแกตัดมา ๒ เครือ แต่ทิ้งไว้ข้างนอกห้อง พอถวายกล้วยแล้วแกก็นั่งคุย สักพักหนึ่งหลวงพ่อเขียนจึงบอกว่า
    "โยม...อย่าคุยนาน เดี๋ยวหมามันจะกินกล้วยนะ"
    โยมคนนั้นแกรีบลาออกมาข้างนอก ก็จริงของท่าน เห็นหมามันล้อมกันแล้ว แหม...ตัวอยู่ในห้อง แต่ตามองเห็นข้างนอกได้
    คราวหนึ่งมีคนเข้าไปขอหวยท่าน ท่านก็เขียนให้ทันที
    "เรามันชื่อเขียน เขียนเสียอย่าง...เขียนมันดะ ใครขอเรา เราก็เขียนเรื่อย ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง" ท่านเคยบ่นให้ฟังอย่างนั้น
    อันที่จริงแล้ว เวลาไปขอหวยหลวงพ่อเขียน ต้องขอให้เป็น ถ้าขอเป็น รับรองถูก
    "หลวงพ่อครับ ขอหวยให้ผมสักงวดเถอะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ จะไม่มารบกวนหลวงพ่ออีกแล้ว" ถ้าขอแบบนี้ รับรองว่าถูกแน่นอน แต่ท่านไม่ได้ให้ชุดเดียวนะ อาจจะให้มาสองสามชุด ถ้าลาภน้อยก็ถูกน้อยหน่อย ถ้าลาภมาก ท่านให้มาชดเดียวถูกเลย แบบนี้จะได้เงินมาก ส่วนไอ้คนที่ไม่มีลาภ ถึงจะให้มาหยั่งไงๆ เวลาเอาไปเล่นก็ไม่ตรงตามนั้น นั่นเป็นเพราะลาภของเขายังไม่มี
    มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านเกิดให้ตรงๆขึ้นมา เวลาไปขอท่านก็บอกว่า
    "ไข่เจ็ดๆ"
    ไข่ นี่มันหมายถึงศูนย์ ส่วนอีกองค์หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน ท่านก็ให้
    "ศูนย์ จอ จอ" แหม...ไอ้จอนี่ มันจะแปดไปได้ยังไงใช่มั๊ย โอ๊ะ...ถูกกันหนักเลยคราวนั้น ไอ้คนที่เป็นเจ้ามือก็โกรธเอาซี คิดฆ่าหลวงพ่อเขียน เขาก็มานิมนต์ท่านไปฉันเพลที่บ้านของเขา หลวงพ่อเขียนก็สั่งลูกศิษย์ว่า
    "แกเอายาหมู่ไปด้วยนะ พอข้าลงมือฉันข้าว เอ็งก็ฝนยาทันทีนะ พอข้าจะกินน้ำ เอ็งก็ส่งยามาให้ข้า" ท่านสั่งแค่นั้น ไม่ได้บอกใครเลย ว่าท่านจะถูกวางยาพิษ พอไปแล้วเขาก็ให้กินยาพิษจริงๆ ท่านฉันเสร็จแล้ว ก็เดินกลับ พอถึงวัดก็นอนไป ๓ วัน มันลุกไม่ไหว มีคนเข้าไปถาม
    "หลวงพ่อรู้ไหม ว่าเขาจะวางยาพิษ"
    "รู้"
    "ก็เมื่อรู้แล้ว ทำไมหลวงพ่อถึงไปล่ะครับ"
    "เอ้า ! ก็เขาให้ไปนี่...เขาให้ไป ข้าก็ไป"
    "แบบนี้ เขาจะบาปไหมครับ หลวงพ่อ"
    "ข้าไม่รู้ บาปหรือไม่บาป เอ็งต้องไปถามไอ้คนทำซี"
    "ถ้าอย่างนั้น แบบนี้จะมีโทษถึงไหน"
    "โน่นหละ...มันเอาไฟเผาบ้านเอง"
    อีก ๒ วัน ไฟไหม้โรงสี นี่ ! โทษแบบนี้ โดนไฟเผาบ้าน นี่ท่านไม่ได้แช่งนะ แต่โทษมันเป็นแบบนั้น ถ้าท่านจะแช่ง ก็มีอยู่คำเดียว ใครต่อใครเชากลัวกันมาก
    "ใครอย่าฝ่าฝืนนะ ถ้าใครฝ่าฝืนตาแตก" แค่นั้นแหละ ถ้าท่านคิดจะแช่ง และถ้าจะดูกันจริงๆแล้ว ก็ไม่ใช่คำแช่งอะไร เป็นคำสำหรับปรามคนมากกว่า
    พูดถึงวาจาสิทธิ์ของท่าน ก็เห็นมีอีกเรื่องหนึ่ง ปกติท่านมีม้าอยู่ตัวหนึ่ง มีคนเขาถวายให้ท่าน ไอ้ม้าตัวนี้มันก็เที่ยวกินหญ้ากินฟางไปตามภาษาของมัน วันหนึ่งมันคงจะเพลินไปหน่อย จึงไปกินเอาข้าวของเขาเข้า เจ้าของข้าวจึงเอาปืนมายิงเข้าให้ ไอ้ม้ามันถูกยิงก็วิ่งเข้ามาถึงหน้ากุฏิท่าน ยืนเลือดท่วมตัวทำท่าจะตาย ท่านโผล่หน้ามาพูดว่า
    "เออ...เอ็งจะมาตายตรงนี้ได้เร๊อะ ใครเขายิงเอ็ง เอ็งก็ไปตายหน้าบ้านเขาซิ ใครเขาทำเอ็งหยั่งไง ก็เป็นอย่างงั้นแหละ"
    ท่านพูดเท่านั้นเอง ไอ้ม้าก็วิ่งกลับไป พอไปถึงหน้าบ้านกำนัน มันก็ล้มตาย แหม...ดีเหมือนกันแฮะ สั่งให้วิ่งกลับไปก็ได้
    ต่อมาอีก ๒ วัน กำนันก็ถูกยิงตาย เราเลยถามท่านว่า
    "หลวงพ่อไปแข่งเขารึ"
    "ก็กรรมของมันเป็นอย่างนั้น แล้วเอ็งจะให้ข้าพูดยังไงล่ะ"
    ก็เป็นอันว่า หมดเรื่องกันไป สาเหตุที่รู้จักกับท่านก็เพราะเลขท้าย ๓ ตัว รางวัลที่ ๑ นั่นแหละ ไอ้เรื่องราวการพนันนี่ฉันไม่ได้เล่นเลย จึงนึกสงสัยว่า เขาเล่นกันยังไงนะ กับรางวัลที่ ๑ มันมีตั้งหกตัว แล้วนี่เล่นกันแค่ ๓ ตัวเท่านั้น นั่น เรามันฉลาดถึงขั้นนั้น
    ต่อมา ก็ขึ้นไปทางมโนรมย์นี่แหละ เขาก็พูดกันถึงเรื่องเลขท้าย ๓ ตัวกันอีก ทนเก็บความสงสัยหนักเข้าไม่ไหว จึงถามนายตำรวจคนหนึ่งที่นั่งคุยอยู่ด้วย เขาก็อธิบายให้ฟัง
    "แถวนี้ พระที่ให้หวยแม่นๆ น่ะ มีบ้างไหม"
    "มีครับ หลวงพ่อเขียน วัดบางสำเนียง" นายอำเภอที่นั่งคุยอยู่ด้วยตอบ
    "แกรู้จักไหม" หันไปถามาผู้กอง
    "รู้จักครับ"
    "พรุ่งนี้ไปด้วยกันไหมล่ะ หวยออกพอดี"
    วันรุ่งขึ้น มีนายอำเภอคนหนึ่ง ผู้กองคนหนึ่ง แต่งกายนอกเครื่องแบบและเราอีกคนหนึ่ง ไปถึงอำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร แล้วจ้างมอเตอร์โซด์ไปอีกต่อหนึ่ง กว่าจะถึงก็เกือบ ๔ โมงเย็นแล้ว สมัยนั้นหวยออก ๕ โมงเย็น
    พอขึ้นไปก็เห็นชาวบ้านนั่งล้อมหลวงพ่อเขียนอยู่เกือบ ๒๐๐ คนมั้ง หวยมันจวนออกแล้วนี่ ใช่ไหม ชาวบ้านเขาก็มานั่งฟังกันซิ พอเราโผล่หน้าขึ้นไปเท่านั้น
    "เฮ้ย ! พวกเรา วันนี้จะมีคนดีเขามาลองดีเราโว้ย...เอาซิ เราก็มีจะอวดเหมือนกัน" ท่านว่าเข้านั้น
    ฮึ ! เอากับท่านซิ นักเลงจริงๆ นะเนี่ย พอเราเข้าไปกราบๆ ท่านก็ถามว่า
    "มาธุระอะไร"
    "หลวงพ่อทราบแล้วก็ไม่ต้องพูดกันมาก กระผมมาตามที่หลวงพ่อทราบ"
    เฮ้ย ! เล่นทันมั๊ยเนี่ย" ท่านหันไปถามคนข้างๆ
    "ไม่ทันแล้วครับ ใกล้จะออกแล้ว ไม่มีเจ้ามือ"
    "เออ...งั้นดีละ ! เอ้า ! ทุกคนที่อยู่ในนี้ ห้ามลุกไปไหนนะ ถ้าใครลุกก่อนหวยออกให้ตาแตก"
    พวกชาวบ้านนั่งกันจ๋องไม่กล้าลุกไปไหน เพราะกลัวตาแตก
    "เอ้า ! ต้องการรางวัลอะไร+ ท่านหันมาถาม
    "รางวัลที่ ๑ ครับ"
    "จะเอากี่ตัว"
    "เอา ๓ ตัวครับ"
    "ฮึ่ย ! หกตัว รางวัลที่ ๑ ไม่มี ๓ ตัว" ท่านว่าแล้วก็เขียนให้ทั้งหกตัว
    "เอารางวัลที่ ๒ มั๊ย"
    "ไม่เอาครับ ขอรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว"
    "เอา ๒ ตัวอีกมั๊ย ข้าแถมให้" ว่าแล้วท่านก็เขียนเลขท้าย ๓ ตัวทั้งหมดและเลขท้าย ๒ ตัวให้อีกรางวัลหนึ่ง
    ตอนนั้น เราเอาวิทยุติดตัวไปด้วย ก็เปิดฟังดู พอหวยออก ปรากฏว่า ถูกหมดทุกตัว ไม่มีผิดเลยซักตัวเดียว ออกตรงหมดเลย
    รุ่งขึ้นก็เข้าไปลาท่านกลับ ท่านจึงถามอีกว่า
    "เออ แกอยากได้อีกไหม"
    "จะเอาไปทำไมครับ"
    "เอ้า ก็เอาไปเล่นน่ะซิ"
    "พระเล่นหวยได้หรือครับ"
    อื่อ...จริงฮิ! พระเล่นไม่ได้ เอ้า! เล่นไม่ได้ ข้าเขียนไปให้ดูซัก ๒๐ งวด" ว่าแล้วท่านก็เขียนเลขรางวัลที่ ๑ ครบทั้งหกตัว เลขท้าย ๓ ตัว และเลขท้าย ๒ ตัว เขียนให้จนครบทั้ง ๒๐ งวดเลย แล้วท่านก็ส่งให้
    "เอ้า ! เอาไปดู ๒๐ งวด แต่ห้ามให้คนอื่นดูนะ ถ้าให้ใครดู แกตาแตก"
    ซวยเลยเรา...แหม ที่จริงน่าจะให้คนแอบดูตาแตก เราจะไม่ว่าซักคำ ถ้าเราโกรธใคร จะได้ให้มันดูซ๊ะ ตาแตกเลย นี่ดันบอกให้เราตาแตกถ้าให้คนอื่นดู ฮื่อ ! เป็นงั้นไป
    "ถ้าแกต้องการจะรวย แกมาเอาเลย งวดที่ ๒๑ ฉันจะให้ แกจะรวยงวดนั้น"
    "ผมไม่เอาหรอกครับ ถ้าผมต้องการจะรวย ผมสึกดีกว่า ถ้าผมยังนุ่งสบงห่มจีวรอยู่ ผมไม่ยอมเล่นแน่"
    "เออ...ดีๆ"
    "หลวงพ่อครับ! แล้วมันรู้ได้ยังไงครับ"
    "โอ้...ไอ้แกมันระยำ...สตางค์มีอยู่ในกระเป๋า ใช้ไม่เป็นนี่หว่า เขาใช้อนาคตังสญาณ แหม...ไม่น่าจะโง่บัดซบเลย" ที่จริงน่าะชมว่า เราฉลาดนะ
    "ใช้ยากไหมครับ หลวงพ่อ"
    "ไม่ยงไม่ยากอะไรหร๊อก อย่าใช้มันหนัก ให้ใช้เบาๆ"
    พอเราลาท่านกลับ เจ้าสองคนนั่นก็รายงานเลย
    "หลวงพ่อครับ ผมมาเนี่ย ค่ารถไฟผมก็เสีย ค่าอาหารผมก็เสีย ค่ารถมอเตอร์ไซด์ผมก็เสีย ส่วนพระไม่ได้เสียสตางค์เลย"
    โฮะ ! กูไม่ได้ใข้มึงมานี่หว่า ไอ้ห่า...ไอ้นี่เป็นนายอำเภอใช่มั๊ย แล้วก็ไอ้นี่ เป็นผู้กองใช่มั๊ย...มึงจะมาจับกูเร๊อะ"
    "ครับ ! ผมตั้งใจมาจับ แต่ไม่ได้จับหลวงพ่อ ผมตั้งใจมาจับตัวเลข"
    เออ...มึงพูดถูกฮิ พระต้องการอยากจะรู้จริง ว่าคนรู้จริงมันเป็นอย่างไง แต่นี่มึงมันมาคนละเรื่องเลยนี่หว่า กูให้ไม่ได้ เดี๋ยวพวกมึงก็ทำพวกเจ้ามืฉฉิบหายหมด"
    ไอ้เจ้าสองตัวนั่นทำหน้าซีด
    "ให้มันไปเถอะครับหลวงพ่อ ไอ้สองตัวนี่ มันก็ไดัแค่เงินเดือน แล้วก็ได้ไม่ครบด้วย เพราะมันคอยช่วยผมอยู่เรื่อยๆ" เราก็เลยบอกท่านไปตามตรง
    "เอ้า ! ถ้าแกยืนยันอย่างนั้น ข้าก็จะให้...๓ ตัวเนี่ย รางวัลที่ ๑ นะโว้ย มึงเอาไปไม่ต้องกลับ เล่นไปตามนี้เลย"
    เท่านั้นแหละ...เจ้าสองตัวนั่น ดีอกดีใจกันยกใหญ่ หน้าตาผ่องใส รีบก้มกราๆ พอเงยหน้าขึ้นมา
    "เฮ้ย ห้ามเล่นเกินคนละ ๒๐ บาทนะโว้ย ใครเล่นเกิน ๒๐ บาทให้ตาแตก" เท่านั้นเอง หน้าที่มีเลือดฝาดก็ซีดเป็นไก่ต้มเหมือนเดิม
    "เฮ่ย ๒๐ บาท มึงก็ได้เลยทุนที่ออกไปให้พระแล้วนะโว้ย"
    ขณะที่นั่งกันมาในรถไฟ ไอ้สองตัวนั่นก็บ่นกันหงุงหงิง หาว่าได้แค่ ๒๐ บาทเท่านั้น ไม่พอกิน
    "พวกมึงได้เงินเดือนเท่าไหร่วะ ๑๒๐ บาทใช่ไหม นี่ท่านให้แทง ๒๐ บาทก็ได้ตั้งหมื่นกว่าแล้ว มึงรับเงินเดือนกี่ปีวะ ถึงจะได้เท่านี้"
    "แหม...หลวงพี่เก๊าะ หนี้สินพวกผมมันก็มีเสียด้วย"
    แน่ะ ! ฟังมัน ดันวัดหนี้ขึ้นมาอวดซ๊ะแล้ว เราจึงถามมันว่า
    "เมื่อกี้ หลวงพ่อท่านสั่งมาว่ายังไงวะ"
    "ห้ามเล่นเกินคนละ ๒๐ บาทครับ"
    "ทุด ! ไอ้พวกมึงนี่ควรจะลาออกได้แล้ว"
    อ้าว ทำไมละครับ" เจ้าสองตัวนั่นตีหน้าเหรอหรา
    "ก็โง่บัดซบหยั่งงี้...ราษฎรบรรลัยหมดซิ"
    "ทำไมละครับ" ยังไม่ยอมฉลาดอีก
    "ไอ้ขี้หมาเอ้ย...ก็ท่านไม่ได้จำกัดว่า ให้มึงเล่นคนเดียวนี่หว่า ท่านสั่งไม่ให้เล่นเกินคนละ ๒๐ บาท ก็ไปให้เมียมึงเล่นซิ ๒๐ บาท มีลูกกี่คนๆก็คนละ ๒๐ บาทๆ..."
    แหม...มันดีอกดีใจกันยกใหญ่ พอกลับไปถึงบ้าน มันมีลูกกี่คนๆ เล่นแทนหมด มีเมียมีคนในบ้านเท่าไหร่ พวกมันเล่นแทนหมด ไอ้คนที่ถูกเล่นแทนไม่รู้เรื่องเลย
    พอหวยออก ปรากฏว่าถูกกันคนละหลายแสน มันให้คนที่เล่นแทนคนละร้อยมั่งสองร้อยมั่ง ไอ้พวกที่ถูกเล่นแทนดีใจกันใหญ่ อยู่ๆก็ได้รับแจกคนละตั้งร้อยสองร้อย ที่ไหนได้ไอ้ระยำสองตัวนั่นมันซัดไปซ๊ะไม่รู้เท่าไหร่ สมัยนั้นร้อยสองรอ้ยก็มากโขแล้วนะ พอเจอหน้ากันมันบอก
    "จะให้ผมออกงานเมื่อไหร่ก็ได้"
    แน่ ! ฟังมันคุยมั่ง คราวนั้นเล่นเอารวยกันจมไปเลย แต่ว่าไอ้ตัวนายอำเภอมันได้มากกว่าเขาหน่อย เพราะมันมีลูกมากกว่าเขา
    "เฮ้ย...แล้วพวกมึงได้เล่นแทนหมากันมั่งหรือเปล่าวะ"
    "โอ้โฮ...ผมลืมไปครับ"
    "ทุด ! ไอ้ระยำ...ควรจะแทนหมาอีกตัวละ ๒๐ บาท แมวกี่ตัวๆ ก็ตัวละ ๒๐ บาท จิ้งจก ตุ๊กแก มีกี่ตัวๆจดไว้ แล้วเล่นแทนให้หมดตัวละ ๒๐ บาทๆ"
    ไอ้สองตัวนั่น ตบอกผาง ครางดังเฮ้อ...
    แหม ! ...มันไม่ฉลาดเหมือนพระเลยนิ
    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จบแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
    สวัสดี

    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๒
    <!--IBF.ATTACHMENT_787-->
    <!-- THE POST -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...