นุ๊ก-สุทธิดา ชีวิตในวันนี้มีแต่ธรรมะ

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 26 พฤศจิกายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [​IMG]

    โดย : พิมพ์พัดชา กาคำ

    นุ๊ก-สุทธิ ดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา เริ่มเสาะแสวงที่สงบจิตจากคนใกล้ตัว...พี่ช่างแต่งหน้าที่อาร์เอสฯ เขาแนะนำให้ไปวัดหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

    เธอวัดปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อายุ 18 ปี ขอบคุณน้องชายที่เป็นแรงบันดาลใจ และแรงฮึด "เริ่มจากน้องชายไปบวช กลับมาก็เล่าเรื่องสนุกๆ พ่อแม่ก็ปลื้มเห็นลูกชายบวช ได้เกาะชายผ้าเหลือง คิดว่าเราเป็นลูกผู้หญิง บวชเป็นพระไม่ได้แต่ใช่ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้เลย ต้องทำให้ยิ่งกว่านั้นอีก" สาวร่างบางคุ้นตาเล่าชีวิตนอกร่มกาสาวพัสตร์

    ปกติเธอจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะเวลาไปปฏิบัติธรรมมักมีคนถามว่า อกหักมาเหรอ ? เกิดอะไรขึ้น? เจอคำถามเดิมทุกครั้ง เลยไม่เคยปริปากแม้แต่เพื่อนสนิท
    3 วันแรกแห่งการปฏิบัติธรรม มีแต่คำถามให้กับตัวเองว่า "นี่เรามาทำไม.." ใจหนึ่งคิดว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีบาปกรรม ไม่มีอะไรที่เราคิดไว้เลย แล้วเรามาทำไม ทำไมเราไม่ไปอยู่กับเพื่อน แล้วสรวลเสเฮฮา อีกใจหนึ่งคิดว่า น่าจะเจออะไรดีๆ ในเมื่อตัดสินใจมาแล้วต้องอยู่ให้ครบ 8 วันสิ จะล้มเลิกกลางคันไม่ได้

    พอขึ้นวันที่ 4 ตั้งใจไว้ว่าถ้าจะต้องข้ามพ้นทุกขเวทนาไปให้ได้ เพราะเวลานั่งสมาธิจะเจ็บปวดปวดเมื่อย ทำให้ต้องอดทนจนถึงที่สุด เธอตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่า เธอจะยอมตายสมาธิเป็นคนแรกของโลกถ้ามันทนไม่ได้จริงๆ

    "พอนั่งสักพักก็เจ็บ เหงื่อแตกทุกรูขุมขน แล้วจู่ๆ ก็มีจุดหนึ่งไม่รู้สึกเจ็บ ขณะที่เราข้ามพ้นปุ๊บวินาทีแรกภาพตอนเด็กที่เราเคยฆ่าปลา ฆ่ามดแดง ก็ปรากฏขึ้นมา คิดได้ว่าเพราะเราเห็นว่ามันเป็นเพียงสัตว์ตัวเล็กๆ เราเล่นด้วยความคึกคะนอง สนุกมีความสุข ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาเป็นฉาก รู้สึกได้ว่านี่ไงเจ็บปวดเมื่อยที่เรานั่งสมาธิ ยังไม่เท่ากับเจ็บที่เราไปฆ่าเขา

    เธอเล่าประสบการณ์สมาธิครั้งแรกว่า เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเหมือนแค่ 5 นาที หลับสบายมากเลยเหมือนอยู่ในท้องแม่

    ตั้งแต่เปลี่ยนสถานภาพเป็นคุณแม่ เธอหาโอกาสนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน เช่น ก่อนนอน ไม่ละเลยการปฏิบัติธรรม

    แม่ของลูกสองคน เธอพยายามทำหน้าที่ของแม่อย่างดีที่สุด หนึ่งในนั้นคือ การค้นหาว่าลูกชอบอะไร มีความสามารถเก่งกาจด้านไหน เพื่อส่งเขาไปในจุดที่เขาจะไปได้สูงที่สุด

    "ไม่ได้หมายถึงต้องเป็นที่ 1 นะคะ แต่จะส่งเสริมให้เขาทำอย่างสุดความสามารถ และต้องมีความสุขด้วย เป็นอะไรก็ได้ นักเขียนการ์ตูน คอลัมนิสต์ ถ้าเขาแฮปปี้ เงินเดือนก็ไม่สำคัญ ขอให้มีความสุขในชีวิต และอยู่ได้ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว นี่คือสิ่งที่เราหวังไว้กับลูก"

    นุ๊กพยายามปลูกฝังธรรมให้ลูก เริ่มจากพาไปวัดทุกวันเสาร์ที่ว่าง จนเกิดความคิดว่าอยากให้ทุกวัดมีกิจกรรมสำหรับเด็ก พร้อมกับเสนอสโลแกนว่า 1 วัด 1 ชุมชน ให้ทุกคนไปทำกิจกรรมดี

    "สวนสาธารณะไม่ต้องสร้างหรอกค่ะ สร้างวัดดีกว่า" นุ๊กหัวเราะร่า

    เธอไม่เห็นด้วย ที่วันหยุดพ่อแม่พาลูกไปเที่ยวห้างฯ แต่ก็เข้าใจว่า พ่อแม่ทั้งหลายอาจไม่มีทางเลือก แต่ถ้าเลือกได้พาไปวัดจะดีกว่า

    วัดโภสพผลเจริญ เป็นวัดครบวงจรที่เธอมักพาลูกไปทัศนศึกษาธรรม ที่นั่นมีพระนั่งอยู่ที่ศาลาพร้อมให้ญาติโยมไปทำบุญสังฆทาน ได้เห็นพระ ได้กราบพระ ท่องนะโมตัสสะเป็น คนเล็กแม้ยังพูดออกเสียงไม่ชัด แต่ก็ท่องเป็น

    เสร็จจากการถวายสังฆทานก็พาลูกไปให้อาหารปลา ปล่อยนกปล่อยปลา ด้านหน้ามีบึงเต่าให้อาหารเต่ากัน เสร็จแล้วก็มีคุณป้ามาขายตุ๊กตาปูนพาสเตอร์ เราก็ให้ลูกนั่งระบายสีคนละตัว มีทั้งศีลธรรม ได้กิจกรรมศิลปะ หัวใจก็อิ่มพองด้วยความสุข

    ถามว่าความสุข ณ วันนี้ของ ‘สุทธิดา' คืออะไร เธอตอบว่า ...เมื่อก่อน ต้องบอกว่าอยู่ที่ลูก ความสุขอยู่ที่ลูกหมดเลย สุดท้ายก็ไม่ได้มีความสุขจริงๆ
    "แน่นอน ลูกเป็นความสุขที่สุด แต่ถ้าเราไม่ได้มีความสุขกับตัวเองก็ไม่แท้จริง วันนี้ความสุขของนุ๊กแบ่งสองทางคือ หนึ่งต้องมีความสุขกับตัวเองก่อน แล้วก็แบ่งปันความสุขนั้นให้กับลูก ขณะเดียวกัน ลูกก็จะแบ่งปันความสุขให้กับเรา สิ่งที่เขาทำให้แต่ละวัน กิจกรรม คำพูด การกอดหอม มันเป็นการแบ่งปันความสุขแล้วละ ความสุขกับตัวเองก็คือ มีความสุขกับงานที่ทำ มีความสุขกับชีวิต เป็นการทำให้ตัวเองมีความสุข แบ่งปันความสุข และรับความสุขกลับมา เป็นแบบนี้เอง "

    [​IMG]

    ตอนนี้ เธอก็เลยเริ่มแบ่งเวลาให้กับตัวเอง ด้วยการหันกลับไปคว้าไมค์ร้องเพลงร่วมกับเพื่อนนักร้องอดีต ศิษย์อาร์เอสฯ ทั้งหมด 9 คน มี โจ-ต๊ะ-ดิ๊บ Boy Scout, ปราโมทย์ แสงศร,เอ็กซ์ ไฮแจ็ค, โชค โชคชัย เจริญสุข, เป้ ไฮร็อค, เจี๊ยบ-พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร ในอัลบั้ม ‘The Small Dream Project' นุ๊กร้องเพลง ‘ไม่มีทางอื่น' แนวเรทโทรเรียน ที่เจ้าตัวชื่นชอบแนวนี้ที่สุด

    "ความจริงนุ๊กเป็นคนชอบเพลงแนวหนักๆ ถ้าใครมองแค่หน้าตาของนุ๊กแล้วก็มักจะฟันธงว่าลุ๊คนี้ต้องร้องเพลงใสหวาน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เรโทรเรียนในความรู้สึกของนุ๊ก ก็เป็นเพลงร็อคในยุคนั้น เท่านั้นเอง"

    นุ๊กมองว่าเพลงก็เหมือนแฟชั่น แต่จะให้เธอห้าวเป้งเป็นร็อคเกอร์เหมือนแต่ก่อนก็ไม่ได้ แม้จะร็อคและลุยแต่ก็มีมุมหวานอยู่บ้าง หากไม่ค่อยมีใครได้เห็นแม้แต่คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ค่อยเห็น มีเพียงลูกและคนรู้ใจเท่านั้น จะได้เห็นมุมที่หวานที่สุดของเธอ

    "หวานนี่คือไม่ใช่คำพูดนะคะ แต่เป็นความรู้สึกที่เราให้ ความทุ่มเท กับลูกเขาเด็ก เพราะฉะนั้นคำพูดกับการกระทำ มีผลพอกัน จะต้องบอกรักทุกวัน หอมแก้มตลอด ทั้งกอดทั้งบอกรัก ทุกครั้งที่เจอกัน ก่อนนอน เราจะต้องบอกเขา คุยกับเขาว่าความรักที่เรามีให้เขามันมากแค่ไหน บอกทุกคืน ตอนนี้ลูก 5 ขวบ กับ 3 ขวบ ราวบันไดเราก็ต้องติดลูกกรงไว้ ไม่งั้นปีนตก ขนาดปิดไว้ก็ยังเอาขามุดเข้าไปติดในกรงเหล็ก"

    นั่นเป็นเพราะความซนถูกถ่ายทอดมาทางสายเลือด สมัยที่นุ๊กยังเด็กเธอจำได้ว่าตัวเองซนมาก หายใจเข้าออกเป็นเล่นซนอยู่ตลอดเวลาอยากทำอะไรซนๆ ตลอดเวลา

    "คือ...อยู่บ้านไม่มีเฉยหรอกค่ะ ต้องมีเรื่องให้ทำตลอดเวลา เช่น เอาปลาที่ตายไปจัดงานศพให้ เอาโอ่งมา เอาน้ำมัน เอาของในบ้านเทลงไปในโอ่งแล้วก็กวน เผาบ้าน อันนี้ฝีมือน้องชาย เล่นไฟ จนไฟไหม้บ้านครึ่งหลัง รถดับเพลิงมาเลย พ่อแม่ก็อยู่บ้าน เผลอแป๊บเดียว วันนั้นโชคดีมากเรื่องเผาบ้าน พอดีนุ๊กป่วย ก็เลยนอนอยู่กับคุณแม่ "

    ทุกวันนี้นุ๊กเลี้ยงดูลูกด้วยความเข้าใจธรรมชาติของเด็กต้องซน เลี้ยงลูกแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา

    "นุ๊กไม่ได้ตั้งตนว่าตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นผู้มีพระคุณ แต่นุ๊กมองว่า ลูกก็มีบุญคุณกับเรา เขาเกิดมาให้เรามีความสุข มุมมองในโลกอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็วินวินทั้งคู่ เราก็แค่อยู่กันเราเข้าใจเขา เขาก็เข้าใจเรา อะไรที่เขาไม่เข้าใจเรา ต้องพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจเราให้ได้ ว่าทำไมแม่ถึงโกรธ ถ้าแม่เป็นแบบนี้แล้วเขาจะรู้สึกยังไง"

    เธอเข้าใจดีว่า ธรรมชาติของเด็กต้องซน และย้อนนึกถึงตัวเองสมัยเด็ก เธอเลยไม่ฝืนธรรมชาติของลูก และรู้ว่าลูกก็ฝืนธรรมชาติของตัวเองไม่ได้ แม้จะเข้าใจแต่หลายครั้งอดไม่ได้กับความทโมนโจนทะยานของเจ้าตัวยุ่ง

    ยกตัวอย่างเช่น ลูกคนโตชอบรับประทานตลอดเวลา เห็นแม่ทานอะไรก็จะทานด้วย เห็นเธอทานรสเผ็ดก็ขอร่วมแจม พอเธอห้ามเลยถูกตัดพ้อว่าแม่ไม่รัก
    "เราก็เลยปล่อยให้เต็มที่เลย แต่เผ็ดนะบอกไว้ก่อน เขาทานแล้วก็เผ็ดร้อนทรมานมาก เราก็จะสอนในระหว่างที่เขาเผ็ดๆ ว่า เนี่ยแม่บอกแล้ว และแม่รู้ด้วยว่าอะไรที่ลูกชอบ ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นแม่เป็นคนที่รู้ใจหนูที่สุด เวลาที่แม่บอกว่าอันนี้หนูไม่ชอบหรอก หนูลองได้ แต่รู้ไว้ว่าแม่รู้ที่สุด อะไรแบบนี้ ครั้งหน้าก็จะบอกเขาอีกว่า อันนี้เผ็ดนะ หนูทานไม่ได้หรอก อันนี้ไม่อร่อยหนูไม่ชอบหรอก อันนี้อร่อยทานสิ เขาก็จะรู้ว่าแม่พูดจริง..."

    นุ๊กยังสอนลูกให้รู้จักตัดสินใจ และรู้จักทำความดี โดยมีตุ๊กตากระดาษพับ สะสมความดี ถ้าลูกทำความดีแม่ก็จะมอบตุ๊กตาให้ 1 ตัว สะสมครบ 10 ตัวเอามาแลกเป็นของเล่น หรือเที่ยวสวนสนุก

    "มีอยู่วันหนึ่งเขาเอาตุ๊กตาความดีมาแลกอยากไปซื้อของที่ห้างฯ เผอิญเกิดหิวน้ำก็เลยแวะมินิมาร์ท เขาเห็นของเล่นชิ้นหนึ่งราคา 60 บาท อยากได้มาก ก็เลยสอนว่าวันนี้เราจะออกไปซื้อของที่ห้างฯ ไม่ได้จะมาซื้อของเล่นชิ้นนี้ แค่แวะมาซื้อน้ำ ถ้าลูกจะเอาก็ได้ แต่ซื้อแล้วกลับบ้านเลยนะ แม่ให้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกแบบไหน"

    หนุ่มน้อยนั่งคิดเป็นชั่วโมง ตัวเธอเองก็เจ็บปวดที่เห็นเขาทรมานมากในการตัดใจจากของอันนั้น เพื่อนบอกว่าซื้อให้ไปเถอะเสียเวลา แค่ 60 บาทเอง แต่เธอยอมใจแข็ง ด้วยมองว่าสิ่งที่เธอกำลังจะให้กับลูกมันไม่ใช่แค่ 60 บาท ลูกเราต้องรู้จักคำว่าผิดหวังบ้าง ไม่ใช่อยากได้อะไรแล้วต้องได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วพอโตขึ้นมา ถ้าลูกต้องผิดหวังกับเรื่องใหญ่ๆ ที่แม่ไม่สามารถจะเอาให้ได้ เขาจะรับความผิดหวังได้อย่างไร

    "ลูกต้องรู้จักตัดสินใจเลือกเอง คนเป็นแม่ก็เจ็บปวด ทรมาน เหมือนกันนะ สุดท้ายพอเราผ่านชั่วโมงนั้นไปได้ เขาไปห้างฯ เขาก็แฮปปี้ลืมชั่วโมงนั้นไป เด็กก็แค่ลืม จริงๆ แล้วมันก็อยู่ที่ผู้ใหญ่ "

    เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่ความสุขไม่ได้อิงอยู่กับสิ่งหรูหรา เสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือรถคันโก้ เงินทองมากมาย ทว่า พอมีลูกทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป มีความอยากต่างๆ เข้ามาครอบงำจิตใจอย่างไม่เคยคาดคิด

    "คิดนะว่า อยากมีอันนี้ให้ลูกจังเลย อยากมีบ้านให้ลูก อยากมีเงินเท่านี้เก็บไว้ให้ลูก เวลาลูกโตลูกต้องมีเงินเท่านี้ แล้วความอยากของคนก็ไม่เคยพอ ปีนี้อยากได้แค่นี้ พอลูกสองขวบ ก็อยากมีเพิ่มขึ้นไปอีก นุ๊กสังเกตตัวเอง เพราะเรานั่งสมาธิไงคะ พอเราอยากมากๆ ก็รู้สึกเหนื่อย นี่ขนาดยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่คิดเฉยๆ นะ" (หัวเราะ)

    เธอบอกว่า เริ่มคิดอยากได้นั่นอยากได้นี่ตั้งแต่ลูกเกิดจนลูก 3 ขวบ แต่มาคิดได้ทีหลังว่าสิ่งที่เธอกำลังจะถ่ายทอดไปถึงลูก ก็คือความละโมบ พ่อแม่เลี้ยงลูกยังไง พ่อแม่คิดอย่างไร มันก็จะถ่ายทอดไปถึงลูกโดยไม่รู้ตัว
    สุดท้ายเธอก็คิดได้ว่า สิ่งเดียวที่แม่จะให้ลูกได้ก็คือความรู้จักพอ พอใจกับตัวเอง เหมือนอย่างที่แม่เคยพอใจกับตัวเองมาก่อน พยายามให้ลูกมีความสุข กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา นั่นคือสมบัติอันล้ำค่าที่แม่มอบให้แก่ลูก !!


    http://women.sanook.com
     
  2. sweetrosie

    sweetrosie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +977
    ^^ เป็นคุณแม่ยังสาวที่เลี้ยงลูกได้น่ารักมากค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...