บันทึกความทรงจำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tenma, 30 พฤษภาคม 2013.

  1. tenma

    tenma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +49
    หลายคนคิดว่าบุญกับบาปไม่มีจริงหรอก แต่สำหรับเราแล้วมันมีจริงและเคยพิสูจน์มาแล้ว

    สำหรับตอนนี้ขอระบายอารมณ์เดือดที่เพิ่งด่าลูกค้าที่มาซื้อยาขับเลือดเพื่อเอาไปทำแท้งก่อนเถอะ

    อ้อ...ลืมบอกไปว่า...บ้านเราเป็นร้านขายยาและมีใบอนุญาตไม่ใช่ร้านหมอตี๋

    เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...วันนี้มีคนมาที่ร้านของเราแล้วมาบอกว่าขอซื้อยาขับเลือดหน่อย...ตอนนั้นพ่อไม่อยู่ไปเข้าห้องน้ำเหลือเราเฝ้าหน้าบ้านคนเดียว

    เราก็เลยยืนมึนไปนิด...

    ขออธิบายเพิ่มอีกนิดว่ายาขับเลือดนี่มันสามารถใช้ได้กับยาสตรีที่ทำให้เลือดลมของผู้หญิงดีขึ้นทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ (ซึ่งบ้านเราขาย)

    และสามารถใช้ได้กับยาที่สามารถเอาไปขับเลือดโดยมีคุณสมบัติทำให้มดลูกบีบรัดให้เด็กออก (บ้านเราไม่มีขายและไม่คิดจะขายด้วย แต่มียาคุมฉุกเฉินขายเอาไว้ป้องกันหลังเสร็จกิจ แต่เรายังเคยบ่นกับแม่เลยว่ายาคุมฉุกเฉินแบบนี้ไม่ดีหรอกเพราะถ้าใช้ติดต่อกันจะทำให้มดลูกแย่)

    ผู้หญิงคนนั้นคงรู้ว่าเรางงมั้งก็เลยว่า มีคนฝากมาซื้อ อายุ 22 เริ่มจะมีก้อน...

    พออธิบายแค่นี้เราก็รู้แล้วว่า...มันจะซื้อยาไปทำแท้งนี่หว่า!!!

    เราเลยเลือดขึ้นหน้าวีนคนมาซื้อเลยว่า ไม่มีขายหรอกไอ้ยาพรรค์นั้นน่ะ

    คนที่มาซื้อมันก็หน้าซึดแก้ตัวปากคอสั่นว่า หนูไม่เกี่ยวเขาฝากหนูมาซื้อ

    เราเลยฝากมันกับไปบอกใครก็ตามที่ฝากมันมาซื้อว่า ก็ได้กลับไปบอกคนที่ให้มาซื้อนะว่า ให้เขาเกิดซะ อย่าคิดทำเรื่องบ้า ๆ พรรค์นี้ หัดกลัวเวรกรรมซะบ้าง (ความจริงอยากด่าหยาบ ๆ เจ็บ ๆ นะแต่เราไม่ค่อยด่าใครสักเท่าไร แล้วเวลาเลือดขึ้นหน้าก็แค่ขึ้นมึงกู คำนอกเหนือจากนั้นนึกไม่ออกซะงั้น เพื่อนที่รู้จักกันบอกว่าด่าได้สุภาพมากแล้วมันก็หัวเราะกันซะงั้น)

    แล้วก็ลามไปถึงไอ้คนที่เสือกรับฝากด้วยว่า ไอ้คนสมรู้ร่วมคิด ร่วมมือกันก็หัดระวังบาปกรรมซะมั้ง ระวังตัวไว้เถอะ

    มันก็ยังอุตส่าห์เถียงคำเดิมมาอีกว่า หนูไม่เกี่ยว เขาฝากหนูมา

    เราก็บอกว่า บาปกรรมน่ะมันเล่นหมดนั่นแหละทั้งคนทำและไอ้คนสมรู้ร่วมคิดน่ะ (หนอยแล้วยังเสือกจะเอาเวรกรรมมาให้กูอีก...ประโยคนี้ไม่ได้พูดแต่คิดในใจ)

    มันเห็นท่าไม่ดีทำนองว่าถ้ากูอยู่ต่อมีหวังโดนแช่งแน่...เลยรีบออกจากร้านแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไป

    แต่เราก็คิดว่ามันคงไปร้านอื่นมากกว่า ถ้าไม่โดนด่าว่าก็คงจะมีคนขายให้แหละ สำหรับพวกเห็นแก่เงินและไม่มีจรรยาบรรณนะ

    แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ร้านของเรา เพราะถึงเราไม่อยู่แล้วมาเจอพ่อกับแม่ของเราล่ะก็โดนจัดเต็มกว่าเราแน่

    พ่อแม่ของเราก็ไม่ชอบเรื่องแบบนี้เหมือนกันโดยเฉพาะแม่...ยิ่งเกลียดเรื่องแบบนี้มากเพราะแกกลัวว่ากรรมจะไปลงที่ลูกหลาน
     
  2. tenma

    tenma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +49
    หลายคนอาจจะเคยอ่านเรื่องที่คนชอบชนไก่แล้วพอใกล้จะตาย ก็จะทำท่าคล้ายไก่

    แต่เรื่องของเรานั้น ตอนนี้ลุงคนนี้ยังมีชีวิตอยู่และยังมาซื้อยาแก้ปวดกับเราประจำ ที่เราจะอยากจะเขียนอยากจะเล่าก็เพราะอยากเตือนทุกท่านที่อ่านว่า อย่าคิดว่าเวรกรรมมันไม่มีจริง และอย่าคิดว่ามันจะส่งผลในชาติหน้าเท่านั้น ชาตินี้ถ้าถึงเวลา ถึงกำหนด เขาก็เล่นงานได้เหมือนกัน

    เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อก่อนลุงจะชอบมาซื้อยาแก้ปวดหลังปวดเอวกับพ่อของเราประจำ บางทีก็จะซื้อวิตามินรวม พอถูกถามแกก็บอกว่าซื้อไปให้ไก่ เรามารู้ตอนที่ลุงกับพ่อคุยกันว่าลุงชอบเล่นชนไก่

    ช่วงหลังมานี้ พ่อจะฝึกให้เราจัดยาประเภทยาแก้ปวด ยาผิดสำแดงอะไรพวกนั้น แต่ถ้าเป็นพวกขาประจำ เขาก็จะให้พ่อจัดยาให้

    แต่ลุงคนนี้ แกเป็นคนง่าย ๆ พอพ่อให้เราจัดยา และเราจัดให้ถูกแกก็ไม่ว่าอะไร

    แกจะชอบบ่นประจำว่า ปวดหลัง ปวดเอวอย่างนั้นอย่างนี้ เราเลยบอกว่าลองเลิกเอาไก่ไปชนซิ แล้วก็ทำบุญให้เขาหน่อย รับรองหาย (แนะนำแบบมั่ว ๆ ไม่คิดอะไรมาก)

    แกก็คงลองไปทำมามั้ง คราวนี้ก็เลยกลับมาบอกว่า ลองทำตามที่เราบอกก็รู้สึกดีขึ้น แต่สุดท้ายก็กลับมาปวดอีก เพราะกลับมาเล่นไก่ชนอีก (ตรงนี้แกสารภาพเองน่ะ)

    เราเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่ จัดยาให้แกเหมือนเดิม ในใจนึกอยากจะบ่นจะว่าแกเหมือนกัน แต่แกก็อายุคราวพ่อคราวปู่แล้ว เลยขี้เกียจพูดด้วย

    ต่อมา ถ้าแกปวดหลังมาก ๆ แกก็จะหยุดชนไก่แล้วก็ไปทำบุญตามที่เราเคยแนะนำ พอดีขึ้นก็ทำแบบเดิมอีก แล้วแกก็จะมาเล่าให้เราฟังนะ

    แต่มาช่วงหลัง ๆ มานี่ แกจะมาซื้อยาแก้ปวดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเรารู้สึกผิดสังเกตน่ะ คือจากเดิมซื้ออาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ก็มาเป็น สองวันสามวันครั้ง และที่สำคัญคือปกติแกจะเดินเข้าบ้านเลย แต่ช่วงนั้นแกจะต้องหยุดนั่งพักอยู่หน้าบ้านเราก่อนแล้วค่อยเดินเข้ามาในบ้าน

    สำหรับพ่อแม่คิดอย่างไรเราไม่รู้ แต่เรารู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ พอพิจารณาดูดี ๆ ลักษณะการนั่งของแก มันจะเป็นการนั่งยอง ๆ ไม่รู้เป็นอะไรใจมันชวนให้คิดถึงไก่ขึ้นมา

    พอจะเปิดปากพูดก็รู้สึกอ่อนใจขึ้นมาเพราะเคยพูดเคยเตือนหลายทีแล้วแกก็เอาไปทำมั้งไม่ทำมั้ง แต่ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงด่าเราหาว่าเสือกไปนานแล้ว

    เราก็เลยตัดสินใจพูดไปว่า ลุงอย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ...เขาว่ากันว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นหลักวิทยาศาสตร์ใช่ไหม?

    แกก็พยักหน้าแล้วก็มองหน้าเรา...คงจะสงสัยล่ะมั้งว่าทำไมเราถึงพูดแบบนี้

    "งั้นเรามาทดลองกฎที่ว่านั่นหน่อยไหม?"

    แกก็อุตส่าห์ตั้งใจฟังนะ ทำให้เรามีกำลังใจพูดต่อขึ้นมาหน่อย

    "ลุงลองหยุดเอาไก่ไปชนสักสามวัน เจ็ดวันดีไหม...แล้วทำบุญให้เขาหน่อยดูซิว่าอาการปวดขาลุงจะดีขึ้นหรือเปล่า" เราลองแนะนำอีกครั้ง แต่ในใจคิดว่าถ้าแกไม่ฟัง หรือทำแล้วกลับไปทำแบบเดิมอีก เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วเหมือนกัน

    ผ่านไปสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ล่ะมั้งแกก็มาซื้อยากับเรา คราวนี้แกเดินเข้ามาในบ้านเหมือนปกติทั่วไป

    "ผมหายแล้ว" แกบอกซะเสียงดังฟังชัดจนแม่เราที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เงยหน้ามองแบบงง ๆ ทำนองว่ามันเกิดอะไรขึ้นหว่า

    "เหรอ..." เราเองก็ยังมึน ๆ อยู่เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

    "ผมยกไก่ที่เลี้ยงไว้ให้เขาหมดเลย...คราวนี้หายเป็นปลิดทิ้งเลย" ความจริง...แกยังปวดขาอยู่นั่นแหละ แต่ไม่หนักมากเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น

    "อืม...นี่มันกรรมทันตาเห็นเลยนะ...เข็ดหรือยังล่ะ" แม่ถามลุงเสียงเรียบ ๆ ซึ่งลุงก็หัวเราะฮะฮะ แล้วแกก็บุ้ยใบ้มาทางเราที่กำลังจัดยาให้อยู่

    "ถ้าไม่ได้เขา...ผมก็แย่"

    "กว่าจะยอมทำตามที่บอกก็พูดจนปากเปียกปากแฉะเหมือนกัน" เราพูด พลางมองหน้าแม่แวบหนึ่ง เพราะแม่จะรู้ว่าเราจะไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร โดยเฉพาะเรื่องของเวรกรรมอะไรทำนองนี้ แต่ที่ทำเพราะรู้สึกว่าถ้าปล่อยไว้ไม่ช่วยหรือแนะนำแกคงแย่แน่ ๆ

    แต่ถ้าแนะนำแล้วแกไม่ยอมทำตามหรือทำแต่สุดท้ายก็กลับเป็นแบบเดิมอีก...ก็สุดแต่เวรกรรมของแกเถอะ...โชคดีที่แกยังกลับตัวทัน

    ต่อมาก็มีโอกาสเล่าให้ลุงฟังว่าทำไมถึงแนะนำแบบนั้นกับแก...แกบอกว่าพอได้ยินเรื่องนี้ แกขนลุกซู่เลย
     
  3. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ท่านจขกท มีความแยบคายมากในการชักนำคนให้สนใจธรรมะ อนุโมทนาครับ.. น่าปลื้มใจในบุญของผู้เจ็บไข้ที่มีโอกาสมาซื้อยาที่ร้านนี้จริงๆ ..และน่าปลื้มใจที่ท่านจขกท สามารถเจริญกุศลอันยิ่งด้วยการให้ธรรมทาน แม้ด้วยในรูปแบบดุดัน ..

    เข้าใจว่าท่านจขกท เข้าใจหลักธรรมดีมาก จึงคงสามารถรักษาใจให้คงเป็นกลางได้เมื่อตั้งใจให้ธรรมทานแล้วแต่คนอื่นไม่รับเอา อ่านแล้วจิตเบิกบานดีใจที่ยังมีคนดีแนะประโยชน์ให้คนอื่นด้วยเจตนาที่เป็นกุศลครับ..
     
  4. mayamo

    mayamo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +120
    เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้ก็ลองพิจารณาดูว่าเป็นกรรมหรือไม่ สมัยผมทำงานอยู่รัฐวิสาหกิจ มีรุ่นพี่ท่านนึ่งแกชอบตีไก่กัดปลามาก ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ต่อมาแกปลดเกษียรก็ไม่ค่อยได้เจอกันและก็ไม่รู้ว่าแกเลิกกัดปลาชนไก่หรือยัง จนหลายเดือนต่อมาก็ได้ข่าวว่าแกเสียชีวิตทำให้ทุกคนที่เคยทำงานมาด้วยกันกับแกพากันตกใจเพราะแกเป็นคนแข็งแรงมาก แต่พอได้ฟังสาเหตุการเสียชีวิตก็ถึงบางอ้อ คือระแวกบ้านแกจะมีงานวัด(บ้านแกอยู่แถบชานเมือง)ไม่แน่ใจว่าเป็นงานกฐินหรือผ้าป่า ชาวบ้านก็มาช่วยกันเก็บกวาดขยะและตัดฟันกิ่งไม้ที่รกรุงรังทิ้งเพื่อให้รถวิ่งเข้ามาสะดวก จนมาถึงมะม่วงต้นใหญ่ต้นหนึ่งกิ่งล้ำเข้ามาในถนนมากชาวบ้านก็เริ่มตัดทอนตั้งแต่ใกล้ๆโคนต้นจนเหลือเป็นตอสูงประมาณเมตรกว่าๆ คนข้างบนก็กำลังตัดทอนกิ่งไม้ คนข้างล่างก็เก็บกิ่งที่ถูกตัดทอนลงมาแล้วเอาออกไปทิ้งจนมีกิ่งหนึ่งที่ใหญ่กว่ากิ่งอื่นๆที่ตัดแล้วแต่ไม่ยอมตกลงมาเพราะเกาะเกี่ยวกับกิ่งอื่นอยู่ พี่แกดันเหลือบไปเห็นช่วงที่เกาะเกี่ยวกันอยู่พอดีแกก็เดินเข้าไปบอกให้ดึงตรงนี้ๆพอแกพูดไม่ทันขาดคำกิ่งที่อยู่ข้างบนก็ล่วงหล่นลงมาตรงที่แกยืนแหงนหน้าขึ้นไปพอดีกิ่งไม้ทับจนไม่เห็นตัวแก ทุกคนตกใจรีบช่วยกันยกกิ่งไม้ที่ล่วงลงมาออก แต่ก็ช้าไปแล้วพอเอากิ่งไม้ออกก็เห็นสภาพแกยืนเอาหัวพาดบนตอที่ตัดไว้คอหักเสียชีวิตทันที เป็นเหมือนที่หลายคนพูดพอไก่แพ้ก็ถูกหักคอต้ม ก็ขอให้วิญญาณพี่ชดใช้สิ่งที่ทำเสร็จแล้วไปสู่สุคติครับ
     
  5. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    เป็นกฎแห่งกรรมแน่ๆ ค่ะ ขึ้นชื่อว่ากรรมแล้ว คือการกระทำของเราเองนี่แหละ นับว่าสำคัญที่สุด จะำิเกิดมาแล้วสวย รวย ปานใด มันไม่สำคัญหรอก ไม่ช้าก็ตาย เน่าเข้าโลงหมด สิ่งที่จะติดตามไปไม่ลดละคือความดีกะความชั่วนั่นแหละ เป็นของเราแน่นอนที่สุดเลย..ไม่อยากจะตกอยู่ในสภาพแบบรุ่นพี่ท่านนี้ ก็อย่าไปเบียดเบียนสร้างกรรมกะใครไว้ก่อนเป็นใช้ได้..^^
     
  6. tenma

    tenma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +49
    เราเล่าเรื่องด่าคนที่มาซื้อยาขับเลือดให้แม่ฟัง...แม่ก็เลยถามว่าไม่กลัวโดนมันดักตีหัวเหรอ

    เรากลับรู้สึกเฉย ๆ นะ...ถ้าอยากจะตีหรือจะฆ่าจะแกงเราเพราะเราเตือนเขาล่ะก็...เชิญตามสบาย...

    ไม่ได้ท้าทายหรืออวดดีนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่าเมื่อก่อนเรากับเขามีเวรกรรมร่วมกันมา เราก็ขออโหสิกรรมให้เขาดีกว่า ชาติหน้าจะได้ไม่ต้องจองเวรจองกรรมอีก

    เราเคยเข้าออกศูนย์มะเร็ง ฯ ตอนแม่ไม่สบาย เห็นคนป่วยก็เยอะ ไปงานศพญาติหรือคนรู้จักก็หลายหน...จนตอนนี้ชักจะปลง ๆ เบื่อ ๆ ยังไงไม่รู้...ไม่อยากยุ่งกับใครสักเท่าไร

    ตอนเราทะเลาะพ่อ (เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ) แกจะชอบพูดว่า แกอายุมากแกต้องไปก่อน เราเลยสวนกลับว่า พ่อไม่เคยได้ยินคำว่า คนหัวหงอกทำศพคนหัวดำเหรอ

    เจอประโยคนี้เข้าเลยทำให้พ่ออึ้งไปหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยทะเลาะกันสักเท่าไร...นาน ๆ ครั้งแต่ส่วนใหญ่แกจะเป็นคนเริ่มก่อน เป้าหมายไม่แม่ก็เรา แต่พวกเราใช้วิธีเลี่ยงเอา...ไม่อยากมีเรื่องเพราะมีแต่ละที มันเหนื่อยแล้วก็เบื่อมาก และไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นพ่อเราด้วยเลยยอม ๆ ยกเขาไว้คนหนึ่งล่ะ
     
  7. tenma

    tenma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +49
    สมัยก่อนตอนเด็ก ๆ พ่อเราเคยปล่อยกู้ ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ตามที่กฎหมายกำหนด เวลาชาวบ้านเอาที่มาจำนองก็ไปทำที่ดินตามระเบียบทุกอย่าง

    เชื่อหรือเปล่าว่า บางคนกู้เงินพ่อไป สิบยี่สิบปี ไม่ยอมผ่อน ไม่ยอมจ่ายดอก เท่านั้นไม่พอยังไม่ยอมคืนเงินต้นอีก พอรัฐบาลบอกว่าให้กู้เพื่อเอาไปใช้หนี้นอกระบบ มันก็หน้าด้านมาบอกพ่อให้ไปทำ พ่อเราก็ไม่ว่าอะไร เอ้า...ให้ไปก็ไป

    ปรากฏว่าพอธนาคารที่จะมารับลูกหนี้พรรค์นี้ เจอพ่อเล่าวีรกรรมเชิดเงินหนีหนี้ไปเป็นสิบยี่สิบปีเข้า เขาก็ไม่รับมันเพราะกลัวหนี้สูญ แล้วที่มันบอกว่าพ่อคิดดอกเบี้ยแพงอย่างนั้น อย่างนี้ พ่อไม่พูดอะไรงัดเอกสารที่ถูกต้องตามระเบียบยื่นให้ธนาคาร

    รู้ไหมธนาคารเขาตอบมันว่าอะไร...

    เขาตอบว่า พ่อคิดดอกเบี้ยและทำตามระเบียบทุกอย่าง ไม่ใช่หนี้นอกระบบ

    คราวนี้มันก็หายต๋อมไปอีก เข้าอีกรอบเดิม ไม่ส่งต้น ไม่ส่งดอก แล้วจู่ ๆ ก็มาบอกว่ามีธนาคารอื่น (ขอสงวนชื่อธนาคารผู้เคราะห์ร้ายเอาไว้)จะมารับหนี้ต่อ แต่พ่อต้องให้มันยืมเงิน เพื่อเอาไปเลี้ยงคนที่จะมารับรองมันว่ามันจะใช้หนี้ธนาคาร (สงสารพวกนั้นชะมัด) พ่อเราก็ให้ยืม...

    หลังจากนั้นพ่อเราก็ได้เงินคืนส่วนธนาคารกับคนพวกนั้นก็รับเคราะห์ไปแทน

    อันนี้แค่ที่ดินของคนธรรมดาที่เอามาจำนองแล้วเชิดหนี้แล้วหน้าด้านกลับมาเอาที่คืนเพื่อเอาไปจำนองที่อื่นต่อ

    แต่ไอ้ที่เราจะเขียนต่อไปนี่มันหนักกว่านั้น เพราะมันไม่ได้เอาที่ดินของมันเองจำนองแต่เสือกเอาที่ดินของวัดมาจำนอง แต่ตอนนี้ทั้งสองคน (คนที่เอาที่ดินมาจำนองกับคนที่แนะนำ)รับกรรมกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ตอนที่มันเอาที่ดินมาจำนองตอนนั้นเรายังเด็กอยู่ น่าจะชั้นประถม แม่เอาโฉนดที่วัดนั้นมาดู (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นที่วัดนะ) แล้วเปรยว่าที่สวยนะ แต่ไม่คิดอยากจะได้หรอกนะ แต่แกคงไม่อยากจะพูดว่าอะไรพ่อสักเท่าไร เพราะพ่อปล่อยกู้ทีไร โดนมันเชิดเงินหนีหนี้ทุกที เราก็เลยถามพ่อว่าพ่อไปดูที่มาแล้วเหรอ

    ที่เราถามแบบนั้นเพราะปกติเวลาใครเอาที่ดินมาจำนองแกก็จะไปดูทุกครั้งว่าอยู่ที่ไหน แต่วันนั้น แกบอกว่าไม่ได้ไปดูเพราะเชื่อใจไอ้คนที่มาจำนอง (รู้สึกว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านเลยมีความน่าเชื่อถือ)กับคนแนะนำ (รู้สึกว่าจะเป็นนักหนังสือพิมพ์...อันนี้แม่เล่าให้ฟังทีหลัง)

    ตั้งแต่ได้ที่ดินนั้นมา (อันนี้แม่เล่าให้ทีหลัง) แม่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร ส่วนเราวันดีคืนดีก็เห็นอะไรแวบ ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่บางทีอาบน้ำอยู่ก็เหมือนมีเสียงอะไรตกใส่หลังคาห้องน้ำ เราก็ได้แต่ขมวดคิ้วไม่ปริปากทักหรือโวยวายอะไร

    จนกระทั่งเรากลับมาเรียนม.ปลาย ที่โรงเรียนแถวบ้าน (ช่วงม.ต้นไปเป็นเด็กหอสามปี...สองปีแรกไม่มีอะไร...ปีสุดท้ายเขาโผล่มาทักทายนิดหน่อย)

    วันหนึ่งตอนเดินกลับมาจากโรงเรียน ตอนจะเดินเข้าบ้านก็คิดว่าเราเข้าบ้านผิดหรือเปล่าวะ...เพราะมีคนมานั่งอยู่แถวหน้าบ้านเหมือนรออะไรอยู่ เลยเดินถอยหลังนิดหนึ่งดูป้ายชื่อร้าน...

    เออ...ก็ใช่นี่หว่า...แล้วเลยเข้าบ้าน...เห็นพ่อกำลังนั่งคุยกับพระอยู่ ที่เหลือก็คงเป็นพวกญาติธรรม...เราก็เลยยกมือไหว้พ่อกับพระแล้วเผ่นขึ้นชั้นบนไปเลย

    พอขึ้นไปข้างบนก็เจอแม่นั่งอยู่เงียบ ๆ พอถามว่าเกิดอะไรขึ้น...ทำไมถึงมีพระแล้วก็คนเต็มบ้านแบบนี้

    แม่เลยย้อนถามว่ายังจำที่ดิน ที่แกบอกว่าสวยได้หรือเปล่า

    เราเลยบอกว่า จำได้ แกก็เลยบอกว่านั่นน่ะเป็นที่วัด และที่ตรงติดแม่น้ำน่ะเขาจะเอาไว้สร้างเมรุ

    หลังจากที่พระกับพ่อเจรจาเสร็จ พ่อก็มาบอกว่าเขาขอแค่เงินต้นคืนก็พอซึ่งพระท่านก็ให้จนครบจำนวนเงินต้น แล้วพ่อก็ไปจัดการโอนให้ท่านเสร็จสรรพ

    หลังจากนั้นพ่อก็พาเรากับแม่ไปทำบุญที่วัดนั้น ก็คล้ายกับจะเป็นการขอขมาล่ะมั้ง ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นบุญเข้าพรรษานะ เพราะพอไปก็เจอคณะบุญพอดี

    พ่อก็ไม่ใช่เจ้าใหญ่นายโตอะไร แกก็เลยคิดจะถวายให้พระรูปไหนก็ได้แล้วก็กลับ...แต่ว่าท่านเจ้าอาวาส หรือก็คือพระที่มาที่บ้านเรา ท่านมารับแล้วพวกเราก็กลับบ้านกัน

    ส่วนผลกรรมของคนที่เอาที่วัดมาจำนองนั้น (อันนี้แม่เล่าให้ฟัง)ก็คือ...กลายเป็นคนบ้า เร่ร่อนมานอนที่ศาลาวัดใกล้กับเมรุ

    ส่วนอีกคนคือคนที่แนะนำให้ไอ้เจ้าคนนี้เอาที่วัดมาจำนอง ก็ตกงาน ทำอะไรไม่สำเร็จ เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว

    นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สามารถบอกได้ว่าเวรกรรมนั้นมีจริง...ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า ชาตินี้ก็ส่งผลแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...