บุญกิริยาวัตถุ ๑๐

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คีตเสวี, 18 พฤษภาคม 2008.

  1. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    • <CENTER>บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
      </CENTER>
    ๑. ทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการสร้างทานนั้น

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการทำทานนั้น คือ

    ๑. เจตนาก่อนที่จะทำทานนั้น

    ๒. เจตนาขณะที่กำลังทำทานนั้น

    ๓. เจตนาขณะที่ทำทานนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนาที่ทำทานนั้นเสร็จไปแล้วเป็นเวลานาน

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔

    ๔. องค์ทานที่จะทำนั้นต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์

    ๕. องค์ทานนั้นต้องมีประโยชน์กับปฏิคาหกหรือผู้รับ

    ๖. ปฏิคาหกหรือผู้รับต้องเป็นบุคคลที่สมควร ( มีคุณธรรมสูงสุด คืออริยบุคคล ต่ำสุด คือผู้มีนิจศีล)

    ผลของ ทาน

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    มีกินมีใช้ด้วยวคามอุดมสมบูรณ์ตามฐานะ


    ๒ ศีลที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะรักษาศีลอันถูกต้อง

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการรักษาศีลนั้น คือ

    ๑. เจตนาก่อนที่จะรักษาศีล

    ๒. เจตนาขณะที่กำลังอยู่ในศีล

    ๓. เจตนาที่พ้นจากศีลใหม่ๆ

    ๔. เจตนาที่พ้นจากศีลนานแล้ว

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔

    ๔. ศีลแต่ละตัวจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง

    ๕. ประเภทของศีลอย่างหยาบๆมีดังนี้คือ

    ๑. นิจศีล หมายถึง ศีลที่ติดอยู่ตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง และมีความถูกต้องครบถ้วน

    ๒. อุโบสถศีล หมายถึง ศีล ๒ อันได้แก่

    ๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลทั้ง ๘ ตัว จะต้องมีครบถ้วนไม่บกพร่อง

    ๒. ภาวนา คือ ในขณะที่รักษาศีลอยู่นั้นจะต้องมีการภาวนาในอนุสสติ ๕ ให้เกิดขึ้น

    ตลอดเวลาที่รักษาศีล คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ เทวตานุสสติ

    ๓. วิสุทธิศีล หมายถึง ศีล ๔ อันได้แก่

    ๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลที่รักษามีกี่ตัวจะต้องครบถ้วนสมบูรณ์

    ๒. อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมทางทวาร ๖ อยู่ในความเป็นอุเบกขา

    ๓. อาชีวสังวร คือ การเลี้ยงชีวิตโดยชอบ ภิกษุได้แก่การบิณฑบาต ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะ

    ต้องเป็นสัมมาอาชีวะ

    ๔. ปัจจยสังวร คือ การกินอาหารต้องพิจารณาว่ากินเพื่อดำรงชีวิตอยู่ การแต่งกายต้อง

    พิจารณาว่าแต่งกายเพื่อป้องกันอุณหภูมิร้อนเย็น และป้องกันความอุจาดลามก ที่อยู่อาศัยจะต้อง

    พิจารณาว่าเพื่อป้องกันแดดป้องกันฝน การกินยารักษาโรคต้องพิจารณาว่าเพื่อบำบัดทุกขเวทนา

    ให้ลดน้อยถอยลง จะได้ทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้นได้

    ผลของ ศีล

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    มีคนเคารพนับถือมีความสุขสบาย


    ๓ ภาวนาที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะสร้างภาวนาให้เกิดขึ้น

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการภาวนานั้น คือ

    ๑. เจตนาก่อนภาวนา

    ๒. เจตนาขณะกำลังภาวนา

    ๓. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จไปนานแล้ว

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ภาวนาอันถูกต้องในพระธรรมของพุทธศาสนา๕. มีความรู้ความหมายของบทบริกรรมภาวนานั้นว่ามีความหมายประการใดแล้วโน้มจิตตามไป

    ผลของ ภาวนา

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    ๑. มีจิตใจไม่วุ่นวาย

    ๒. การดำรงชีวิตมีสุข


    ๔. การเคารพบุคคลที่ควรเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตนที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในบุคคลผู้นั้น

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตน คือ

    ๑. เจตนาก่อนทำ

    ๒. เจตนาขณะกำลังทำ

    ๓. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วเป็นเวลานาน

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. บุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติอันดีทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้อง

    ๕. เคารพโดยการอนุโมทนาในคุณงามความดีในทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้องของผู้นั้น

    ผลของ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    มีคนเคารพนับถือยอมรับเป็นผู้นำของเขา


    ๕. ขวนขวายในกิจที่ชอบที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะขวนขวายในกิจที่ชอบ

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการขวนขวายในกิจที่ชอบนั้น คือ

    ๑. เจตนาก่อนทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ

    ๒. เจตนาขณะทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ

    ๓. เจตนาที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วนาน

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. การกระทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมโดยไม่เดือดร้อนแก่ผู้ใด เช่น การทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    ผลของ ขวนขวายในกิจที่ชอบ

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    ๑. ดำรงชีวิตด้วยความปลอดโปร่ง

    ๒. มีคนช่วยเหลือและสนับสนุนในกิจการที่กระทำในชีวิต


    ๖. การแผ่กุศลผลบุญที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่จะให้ความเอื้อเฟื้อความสุขความสบายแก่ผู้อื่น

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น คือ

    ๑. เจตนาก่อนที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น

    ๒. เจตนาขณะที่กำลังแผ่กุศลผลบุญนั้น

    ๓. เจตนาที่แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนาที่ได้แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จนานแล้ว

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ตนได้สร้างกุศลอันถูกต้องให้เกิดขึ้นแล้ว อันได้แก่ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลกุตตรกุศล อันถูกต้องในพระพุทธศาสนา

    ๕. การแผ่กุศลเสร็จแล้ว ควรจะได้ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะผู้นั้นอาจเคยเป็น เจ้าเวรนายกรรมมาแต่ก่อนก็ได้๖. ระบุผู้ที่ควรแก่การแผ่กุศลนั้นด้วยเจตนาอันมั่นคง และสมควรแก่ฐานะที่เราจะแผ่กุศลผลบุญให้แก่เขา หรือสมควรแก่ฐานะของผู้รับจะได้รับหรือไม่

    ผลของ แผ่กุศลผลบุญ

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    ๑. มีผู้ยกย่องสรรเสริญ

    ๒. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ

    ๓. มีผู้เสียสละให้แก่ตน


    ๗. การอนุโมทนาบุญที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ผู้นั้นกระทำคุณงามความดีอันถูกต้องในทางโลกหรือทางธรรม

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการอนุโมทนาคุณงามความดีของผู้นั้น คือ

    ๑. เจตนาก่อนที่จะอนุโมทนา

    ๒. เจตนาขณะที่กำลังอนุโมทนา

    ๓. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จเป็นเวลานานแล้ว

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. รู้ว่าผู้นั้นกระทำโดยถูกต้องทั้งในทางโลกหรือทางธรรมเพื่อเป็นการสืบต่อ ๓ สถาบัน คือ ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ โดยไม่หวังประโยชน์ใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

    ๕. อนุโมทนาคุณงามความดี หรือมีความยินดีต่อการกระทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมโดยไม่

    เบียดเบียนหรือหวังผลแต่ประการใดๆ เลย

    ผลของ การอนุโมทนาบุญ

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    ๑. มีผู้สรรเสริญ

    ๒. ดำเนินชีวิตโดยความถูกต้อง


    ๘. การฟังธรรมที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ได้ฟังธรรมในพระพุทธศาสนา

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการฟังธรรมนั้น คือ

    ๑. เจตนาก่อนที่จะฟัง

    ๒. เจตนาขณะที่กำลังฟังธรรม

    ๓. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จนานแล้ว

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. ตั้งใจฟังด้วยความเคารพในธรรมของพุทธศาสนาและพยายามจดจำไว้

    ๕. เมื่อฟังแล้วพิจารณากลั่นกรองด้วยเหตุด้วยผล และพิจารณาว่าธรรมนั้นสมควรแก่ฐานะ

    ของตัวเราที่จะประพฤติปฏิบัติได้หรือไม่

    ๖. เมื่อมีข้อสงสัยก็สนทนาไต่ถามเพื่อทำความเข้าใจอันถูกต้อง

    ๗. ประพฤติปฏิบัติธรรมที่ได้ฟังให้ถูกต้องตามควรแก่ฐานะ คือ การสืบต่อพระพุทธศาสนา

    นั่นเอง

    ผลของ การฟังธรรม

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่คนอื่นรู้ได้ยากแต่ตนรู้ได้โดยง่าย


    ๙. การให้ธรรมเป็นทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องเพื่อดำรงไว้ซึ่งพุทธศาสนา

    ๒. มีเจตนา ๔ ในการที่ให้ธรรมอันสมควร คือ

    ๑. เจตนาก่อนให้ธรรม

    ๒. เจตนากำลังให้ธรรม

    ๓. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ

    ๔. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จนานแล้ว

    ๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔๔. เป็นธรรมในพระพุทธศาสนาอันถูกต้อง

    ๕. ธรรมที่ให้นั้นเป็นธรรมที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติ

    ๖. ชี้แจงให้ผู้ฟังมีความเข้าใจ สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้โดยถูกต้องตามฐานะ

    ผลของ การให้ธรรมเป็นทาน

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    ๑. มีปัญญาเฉลียวฉลาด

    ๒. เข้าถึงธรรมอันถูกต้องได้โดยง่าย

    ๓. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ

    ๔. มีผู้เคารพนับถือ

    ๕. ดำเนินชีวิตไปด้วยความถูกต้อง


    ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม( การทำความเห็นให้ถูก ) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

    ๑. มีศรัทธาอันถูกต้องโดยเชื่อพระธรรมในพุทธศาสนาแต่ละเรื่องและขั้นตอนในการที่กระทำ

    สิ่งนั้นๆ ให้ถูกต้อง

    ๒. จะต้องมีการค้นคว้าในพระธรรมคำสอนอันถูกต้อง

    ๓. จะต้องมีการประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมและผลเกิดขึ้นแล้วจึงจะสามารถรู้ได้ว่าอย่าง

    ใดผิดอย่างใดถูก

    ๔. ต้องใช้สติและปัญญาประกอบด้วยเหตุและผลแต่ละขั้นละตอน

    ๕. ในเรื่องแต่ละเรื่องจะต้องพิจารณาด้วยเหตุและผลด้วยจิตเป็นอุเบกขา ทั้งในเรื่องดีและ

    เรื่องชั่ว

    ๖. สิ่งที่ถูกต้องตามพระธรรมคำสอนนั่นก็คือ " ละความชั่ว ทำแต่ความดี "

    ๗. เมื่อการทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จะกระทำในสิ่งอันถูกต้องนั้นจะต้อง ประกอบด้วยเจตนา

    ๔ อันมีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่ง ใน ๘ ดวง

    ผลของ ทิฏฐุชุกรรม

    ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

    ปวัตติกาล

    ๑. มีสติปัญญาอันว่องไว

    ๒. มีความคิดความเห็นอันถูกต้องทั้งในทางโลกและทางธรรม
     
  2. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020
    ขอบคุณมากครับ เขียนได้กระชับและสมบูรณ์มาก ขออนุโมทนาในธรรมทานนี้
     
  3. firsthand

    firsthand สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +7
    เหตุใดถึงเว้นการเป็นเทวดาชั้นดุสิตเหรอครับ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...