ประสบการณ์การรักษาอาการไมเกรนด้วยการทำสมาธิ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 22 กันยายน 2013.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ประสบการณ์ตรงนะครับ เผื่อเป็นประโยชน์บ้าง
    สมัยหนุ่มๆนะครับ ผมเป็นคนที่เล่นเกมส์จัดมาก และมีอาการเครียดกับเรื่องงานเนื่องจากมีงานบางอย่างที่ไม่เสร็จซักที
    ต้องหิ้วกลับไปทำที่บ้านด้วย อาการปวดเริ่มสะสมขึ้นมาทีละเล็กละน้อย ปวดมั่ง ไม่ปวดมั่ง
    จนถึงปวดมากทุกวัน

    อาการปวด จะมีอาการปวดหัวข้างเดียวอยู่ตลอด ปวดจนน้ำตาไหล
    ไปเข้าเครื่องแสกนสมอง ก็ไม่พบความผิดปรกติใดๆ
    จนหมอต้องใช้วิธีจ่ายยามาให้กิน ยาตกเม็ดละเป็นร้อย กินวันละ 3 เม็ด
    กินเสร็จก็มึน เบลอไปทั้งวัน อาการปวดก็ยังอยู่ แต่ความที่ปวดไป มึนไป เบลอไป เลยทำให้ไม่ทรมานเท่าที่เคย

    ทีนี้ วันหนึ่ง ในห้องประชุม อยู่ๆมันก็ปวดจี๊ดขึ้นมาแบบที่ไม่เคยปวดขนาดนี้มาก่อน น้ำตาไหลพรากๆต่อหน้าคนทั้งห้องประชุม
    ก็เลยลุกออกจากห้องประชุม ไปนั่งห้องอื่น แล้วกำหนดสติตามดู อาการปวด (ไม่รู้ใช้คำพูดถูกหรือเปล่านะครับ ถ้าไม่เหมาะสมก็ขออภัย)

    --------------------------------

    วิธีทำนะครับ
    ผมใช้วิธีกำหนดพื้นที่ที่ปวดอยู่ให้เป็นทรงกลมเหมือนลูกบอล แล้วก็เพ่งเข้าไปที่ศูนย์กลางลูกบอลนั้น
    เพราะฉนั้น ขอบเขตุของการดูของผมตอนนั้น จะเหลือแค่ศรีษะตั้งแต่ฐานรองสมอง ขึ้นไปจนถึงหนังศรีษะตอนบน
    แล้วควบคุมความสงบที่ใช้ในการตามดูศูนย์กลางของความปวด ด้วยลมหายใจ
    คือ เอาใจไปจดจ่อกับศูนย์กลางของพื้นที่ ที่กำลังปวดอยู่เป็นหลัก แล้วเอาลมหายใจคอยประคองไม่ให้ จิตหลุดไปจากการเฝ้าดูความเจ็บปวด

    --------------------------------

    ผลนะครับ
    หลังจากดูไปซักพัก ก็รู้สึกเหมือนกับว่า พื้นที่ ที่เรากำหนดขอบเขตุไว้เพื่อตามหาศูนย์กลางความปวดนั้น
    มันแยกออกจากร่างส่วนอื่นๆ ขึ้นมาเป็นทรงกลมจริงๆ

    หลังจากดูไปอีกซักพัก ก็มองเห็นว่า อาการปวดจริงๆนั้น มาจากกล้ามเนื้อรอบๆกระโหลกมันหดตัว รัดกระโหลกจนปวด
    ก็จัดการคลายมันออก

    (คือผมเคยฝึกกายานุปัสนามานิดหน่อย เลยรู้ว่าอาการที่เกร็งกับอาการคลาย ต่างกันอย่างไร และจะคุมมันอย่างไร ได้แต่ละจุดในร่างกาย
    แต่จะขอข้ามตรงนี้ไปนะครับ)

    พอคลายออก ก็พบว่ามันปวดลึกเข้าไปอีก พอนั่งมองไปซักพัก ก็เห็นเหมือนเรามองเข้าไปในกระโหลก เห็นสมองสองซีกตั้งอยู่
    ด้านที่ปวด มีอาการเกร็งและบวมเป็นก้อน ก็ทำเหมือนเดิม คือกำหนดให้อาการเกร็งของเนื้อสมองที่มองเห็น คลายตัวออก

    พอคลายออก ก็พบว่ามันยังปวดลึกเข้าไปอีก พอมองเข้าไปซักพัก ก็เห็นว่าจริงๆแล้ว มันมีอาการปวด บิด เกร็ง มาจากสมองด้านใน
    มีขนาดเท่าลูกปิงปองได้ ก็ทำวิธีเดิม คลายอาการเกร็งของมันออกอีก

    พอคลายออก ก็พบว่ามันยังปวดลึกเข้าไปอีก พอมองเข้าไปซักพัก ทีนี้เหมือนโดนดูดเข้าไปในห้องมืด ที่มีขนาดเล็กประมาณปลายเข็มหรืออาจจะเล็กกว่านั้น

    คืออยู่ๆก็รู้สึกว่า จุดที่เราตามหาอยู่ มันอยู่ข้างในสมอง แล้วก็เห็นเหมือนเป็นจุดเล็กๆ ประมาณปลายเข็มหมุดได้ โผล่ขึ้นมา กลางลูกปิงปองในเนื้อสมอง
    แล้วอยู่ๆก็เหมือน จิตมันโดนดูด พุ่งตรงเข้าไปในจุดที่มองเห็นนั้น

    พอเข้าไปแล้ว มันไม่ใช่จุดเล็กๆ มันกลายเป็นห้องมืดขนาดเบ้อเริ่ม
    ในห้องมีของที่เป็นลักษณะเหมือนไม้ง่าม ที่เอาปลายง่าม จ่อกับปลายง่าม เป็นคู่ๆ เรียงอยู่เต็มไปหมด นับจำนวนไม่ทั่ว
    ยกเว้นไอ้คู่ที่อยู่ตรงหน้า มันไม่ได้เอาปลายง่ามจ่อกับปลายง่าม แต่มันบิดไป 90 องศา ต่างจากคู่อื่นๆ

    ผมก็กำหนดใจ ทำอาการเหมือนคลายกล้ามเนื้อ ที่ง่ามคู่ข้างหน้า
    ก็เห็นว่า มันบิดกลับมาเหมือนคู่อื่นๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนมีเสียงดังกรึ๊บ สะเทือนไปทั้งหัว
    แล้วจิตก็ถอยออกมา แต่ไม่ได้ถอยธรรมดา มันถอยเหมือนตอนจะถอดกายทิพย์
    คือมีอาการมองเห็นได้รอบตัว ทั้งๆที่หลับตาอยู่

    แล้วตั้งแต่นั้นมา อาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้งไปเลย
    ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ อาการไมเกรนก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย

    ---------------------------------

    ถ้าใครเป็นไมเกรนอยู่ แล้วมีพื้นทางด้นสมาธิอยู่บ้าง ก็ลองดูได้นะครับ
    แค่มองเข้าไปในสมอง ลึกลงไป ลึกลงไป จนเจอจุดที่มีปัญหา แล้วก็คลายอาการเกร็งของมันออก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2013
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ... ที่เคยทำได้ ไม่ละเอียดขนาดนี้ แต่เป็นวิธีเดียวกันครับ

    แต่ถ้าไม่ปรุงแต่งความเจ็บปวดเลย มันก็สบายอีกแบบนะครับ ไม่ต้องตามแก้อะไร ไม่ต้องเอาอะไรมาทรมาน
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ประสบการณ์การรักษาอาการไมเกรนด้วยการทำสมาธิ

    +++ กระทู้นี้ตั้งได้ตรงหมวด อภิญญา XP ดีมากครับ

    ประสบการณ์ตรงนะครับ เผื่อเป็นประโยชน์บ้าง

    +++ ผมขออาศัยกระทู้นี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม ของคนหมู่มาก ให้เข้าใจ ในกระบวนการทำงานของจิต ให้กว้างออกไป นะครับ

    สมัยหนุ่มๆนะครับ ผมเป็นคนที่เล่นเกมส์จัดมาก และมีอาการเครียดกับเรื่องงานเนื่องจากต้องเอางานบางอย่างไม่เสร็จซักที ต้องหิ้วกลับไปทำที่บ้านด้วย อาการปวดเริ่มสะสมขึ้นมาทีละเล็กละน้อย ปวดมั่ง ไม่ปวดมั่ง จนถึงปวดมากทุกวัน

    อาการปวด จะมีอาการปวดหัวข้างเดียวอยู่ตลอด ปวดจนน้ำตาไหล ไปเข้าเครื่องแสกนสมอง ก็ไม่พบความผิดปรกติใดๆ จนหมอต้องใช้วิธีจ่ายยามาให้กิน ยาตกเม็ดละเป็นร้อย กินวันละ 3 เม็ด กินเสร็จก็มึน เบลอไปทั้งวัน อาการปวดก็ยังอยู่ แต่ความที่ปวดไป มึนไป เบลอไป เลยทำให้ไม่ทรมานเท่าที่เคย

    ทีนี้ วันหนึ่ง ในห้องประชุม อยู่ๆมันก็ปวดจี๊ดขึ้นมาแบบที่ไม่เคยปวดขนาดนี้มาก่อน น้ำตาไหลพรากๆต่อหน้าคนทั้งห้องประชุม ก็เลยลุกออกจากห้องประชุม ไปนั่งห้องอื่น แล้วกำหนดสติตามดู อาการปวด (ไม่รู้ใช้คำพูดถูกหรือเปล่านะครับ ถ้าไม่เหมาะสมก็ขออภัย)

    +++ ภาษาตรงนี้ ยังไม่ตรงกับอาการอย่างเต็มที่ เหตุเพราะ สติแท้ ๆ จะไม่มีอาการ ตาม แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่จะเป็น สภาวะรู้ ที่ครอบคลุมรวมหมดทั้ง อาการ ตาม และ ถูกตาม ภาษาตามอาการตรงนี้คือ "อาการปวด ถูกดู" นะครับ
    --------------------------------

    วิธีทำนะครับ
    ผมใช้วิธีกำหนดพื้นที่ที่ปวดอยู่ให้เป็นทรงกลมเหมือนลูกบอล แล้วก็เพ่งเข้าไปที่ศูนย์กลางลูกบอลนั้น

    +++ ตรงนี้ใช้ "ตัวดู" ตั้งพิกัด ขอบเขตการดู ที่เป็น "ทรงกลมเหมือนลูกบอล" (กสิณนาม ไม่ใช่กสิณรูป เป็น อารมณ์กสิณ) แล้ว "เข้าไป" (ย้ายฐาน) เอา ตัวดู เข้าไปตรงกลาง (เอา จุติจิต เข้าไปแทรกแซง เวทนาขันธ์)

    +++ จะอธิบายในระดับกลาง ๆ เพื่อประโยชน์ที่กว้างออกไป ตรง "เอา จุติจิต เข้าไปแทรกแซง เวทนาขันธ์" คือ กระบวนการของการทำงานทางจิตที่ ดู หรือ เพ่ง ไปที่ object (รูป หรือ นาม ไม่จำกัดว่า รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็ตาม) แล้ว "วูปเข้าไป" (หากเป็น slow motion ก็จะเป็น ดึงเข้ามา หรือ เอาตัวเข้าไป เป็นอาการเดียวกัน ต่างกันที่ภาษาเท่านั้น) จากนั้นจึง "อยู่" ข้างใน object นั้น ๆ (เทียบได้กับจิตออกจากร่างมนุษย์ "ตาย" อาสัญกรรม จะกำเหนิด นิมิต ให้จิตดู ก่อนทำการจุติ "วูปเข้าไป" เมื่อสิ้นสุดกระบวนการ ก็จะ "อยู่" ในนั้น)

    +++ ด้วยเหตุที่ ผู้ทำ มีสมาธิที่ดีอยู่แล้ว ในขณะนั้นมี "ตนเป็นสมาธิ" แล้ว "เข้าไปอยู่" ในเวทนาขันธ์นั้น จึงใช้ภาษาว่า "เข้าไปแทรกแซง เวทนาขันธ์" (ทำการรักษา)

    เพราะฉนั้น ขอบเขตุของการดูของผมตอนนั้น จะเหลือแค่ศรีษะตั้งแต่ฐานรองสมอง ขึ้นไปจนถึงหนังศรีษะตอนบน แล้วควบคุมความสงบที่ใช้ในการตามดูศูนย์กลางของความปวด ด้วยลมหายใจ คือ เอาใจไปจดจ่อกับศูนย์กลางของพื้นที่ ที่กำลังปวดอยู่เป็นหลัก แล้วเอาลมหายใจคอยประคองไม่ให้ จิตหลุดไปจากการเฝ้าดูความเจ็บปวด

    +++ ตรงนี้ หลังจาก "อยู่" ข้างในเวทนาขันธ์แล้ว ยังมีขีดความสามารถในการ "ขยายวงสติ" โดยใช้ อานาปา ให้ออกมาสู่ กายานุปัสสนา เพื่อให้สติเป็นพี่เลี้ยงในกระบวนการทำงานทางจิต อีกด้วย

    +++ สภาวะตรงนี้เป็น 1. สภาวะรู้ รู้ กายา จากบริเวณ ต้นท้ายทอยยันกระหม่อม หากใช้ภาษาแบบ จักกระ (kundalini) คือ สติคุม ฐานที่ 6-7 ทั้งหมด รวมทั้ง ลมหายใจ 2. สภาวะรู้ รู้ ตัวดูที่อยู่ใน สิ่งถูกดู

    +++ ตรงนี้มี Rate เป็น PG-กรรม-ฐาน (PG-กฐ)(ผมตั้งขึ้นเอง เพื่อป้องกันคนที่ไม่มีขีดความสามารถในการปฏิบัติ แล้วปรามาสโดยไม่รับผิดชอบ) คือ ตรงนี้เป็นความสามารถส่วนบุคคล ควรปรึกษาครูบาอาจารย์ของตนให้ถ่องแท้ก่อน และไม่ควรลอกเลียนแบบหรือคาดเดาโดยพละการ นะครับ

    --------------------------------

    ผลนะครับ
    หลังจากดูไปซักพัก ก็รู้สึกเหมือนกับว่า พื้นที่ ที่เรากำหนดขอบเขตุไว้เพื่อตามหาศูนย์กลางความปวดนั้น มันแยกออกจากร่างส่วนอื่นๆ ขึ้นมาเป็นทรงกลมจริงๆ

    +++ นั่นคือ ตั้งค่าพิกัดในการดูอย่างไร (กสิณนาม) ย่อมให้ผลอย่างนั้น จริง ๆ แล้ว ควร scan ขอบเขตของเวทนาตัวนี้ทั้งหมด ก็จะได้ ลักษณะนาม ตามที่มันเป็นอยู่ ซึ่งจะออกมาเป็น ลักษณะของ "กลุ่มก้อนที่มีสภาพ" ตามลักษณะความเป็นจริงของมัน

    +++ ข้อแตกต่างในระดับนี้คือ การตั้งค่าพิกัดการดูด้วยระบบสมาธิของกสิณนาม VS ลักษณะ scan ตามความเป็นจริงด้วยระบบสติ

    +++ ส่วนการ แยกเวทนาขันธ์ ที่หลุดออกมาเป็นส่วนของมันอย่างเอกเทศนั้น มีผลเหมือนกัน จากสภาวะสติที่ครอบคลุมกระบวนการทั้งหมด

    หลังจากดูไปอีกซักพัก ก็มองเห็นว่า อาการปวดจริงๆนั้น มาจากกล้ามเนื้อรอบๆกระโหลกมันหดตัว รัดกระโหลกจนปวด ก็จัดการคลายมันออก

    +++ ตรงนี้เป็น ตัวดู จางคลายแล้วสลายอาการเกร็งตัวภายในกระโหลกศีรษะ

    (คือผมเคยฝึกกายานุปัสนามานิดหน่อย เลยรู้ว่าอาการที่เกร็งกับอาการคลาย ต่างกันอย่างไร และจะคุมมันอย่างไร ได้แต่ละจุดในร่างกาย แต่จะขอข้ามตรงนี้ไปนะครับ)

    +++ (ตรงนี้เป็น กายานุปัสสนา ที่ควบกับ เวทนานุปัสสนา ในระดับ อัปปนา การฝึกแค่ นิดหน่อย ไม่มีทางทำได้ครับ)

    พอคลายออก ก็พบว่ามันปวดลึกเข้าไปอีก พอนั่งมองไปซักพัก ก็เห็นเหมือนเรามองเข้าไปในกระโหลก เห็นสมองสองซีกตั้งอยู่ ด้านที่ปวด มีอาการเกร็งและบวมเป็นก้อน ก็ทำเหมือนเดิม คือกำหนดให้อาการเกร็งของเนื้อสมองที่มองเห็น คลายตัวออก

    พอคลายออก ก็พบว่ามันยังปวดลึกเข้าไปอีก พอมองเข้าไปซักพัก ก็เห็นว่าจริงๆแล้ว มันมีอาการปวด บิด เกร็ง มาจากสมองด้านใน มีขนาดเท่าลูกปิงปองได้ ก็ทำวิธีเดิม คลายอาการเกร็งของมันออกอีก

    +++ ภาษาของ ภพภูมิ เรียกว่า จากภพภูมิหนึ่ง สู่อีก ภพภูมิหนึ่ง

    พอคลายออก ก็พบว่ามันยังปวดลึกเข้าไปอีก พอมองเข้าไปซักพัก ทีนี้เหมือนโดนดูดเข้าไปในห้องมืด ที่มีขนาดเล็กประมาณปลายเข็มหรืออาจจะเล็กกว่านั้น

    +++ จนกว่า กระบวนการจะสิ้นสุด แล้วจึง "อยู่" ในภพภูมินั้น ที่เรียกว่า "จุติ" ซึ่งมีอาการ "รู้ เห็น เป็น อยู่" ณ ที่นั้น

    คืออยู่ๆก็รู้สึกว่า จุดที่เราตามหาอยู่ มันอยู่ข้างในสมอง แล้วก็เห็นเหมือนเป็นจุดเล็กๆ ประมาณปลายเข็มหมุดได้ โผล่ขึ้นมา กลางลูกปิงปองในเนื้อสมอง แล้วอยู่ๆก็เหมือน จิตมันโดนดูด พุ่งตรงเข้าไปในจุดที่มองเห็นนั้น

    +++ ใชั ตัวดู หรือ จุติจิต เข้าไป (ย้านฐาน) ในนั้น

    พอเข้าไปแล้ว มันไม่ใช่จุดเล็กๆ มันกลายเป็นห้องมืดขนาดเบ้อเริ่ม ในห้องมีของที่เป็นลักษณะเหมือนไม้ง่าม ที่เอาปลายง่าม จ่อกับปลายง่าม เป็นคู่ๆ เรียงอยู่เต็มไปหมด นับจำนวนไม่ทั่ว ยกเว้นไอ้คู่ที่อยู่ตรงหน้า มันไม่ได้เอาปลายง่ามจ่อกับปลายง่าม แต่มันบิดไป 90 องศา ต่างจากคู่อื่นๆ

    +++ กระทู้นี้ตั้งได้ตรงหมวด อภิญญา XP ดีแล้วครับ ขืนอยู่ในหมวดอื่น จะกลายเป็นเรื่องของ genetic engineer ไป ซึ่งจะทำให้กลายเป็นกระทู้ เสียของ และเสียหลักในการเดินจิต ไปได้ง่าย ๆ

    ผมก็กำหนดใจ ทำอาการเหมือนคลายกล้ามเนื้อ ที่ง่ามคู่ข้างหน้า ก็เห็นว่า มันบิดกลับมาเหมือนคู่อื่นๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนมีเสียงดังกรึ๊บ สะเทือนไปทั้งหัว แล้วจิตก็ถอยออกมา แต่ไม่ได้ถอยธรรมดา มันถอยเหมือนตอนจะถอดกายทิพย์ คือมีอาการมองเห็นได้รอบตัว ทั้งๆที่หลับตาอยู่

    +++ นั่นแหละคือ จุติจิต (ตน-ตัวดู) ย้ายฐานออกมา หลังจากเสร็จธุระแล้ว

    แล้วตั้งแต่นั้นมา อาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้งไปเลย ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ อาการไมเกรนก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย

    +++ ผมเคยเป็นทั้ง ไมเกรนและภูมิแพ้ ในเวลาเดียวกัน ใช้การควบฐานของ กายา+เวทนา แล้ว ย้ายตัวดูเข้าไปอยู่ข้างในของเวทนานั้น แล้วใช้การ ขยายตัวดูแบบรุนแรง อันเป็นลักษณะของ การกระแทกแบบ shock wave ออกไป ผลคือ อาการเกร็งตัวทั้งหมดของเวทนา กลับคืนสู่สภาพตามปกติของมัน และอาการ ภูมิแพ้ ก็ค่อย ๆ จางคลายสลายตัวไปเรื่อย ๆ จนไม่ปรากฏตราบเท่าทุกวันนี้
    ---------------------------------

    ถ้าใครเป็นไมเกรนอยู่ แล้วมีพื้นทางด้นสมาธิอยู่บ้าง ก็ลองดูได้นะครับ แค่มองเข้าไปในสมอง ลึกลงไป ลึกลงไป จนเจอจุดที่มีปัญหา แล้วก็คลายอาการเกร็งของมันออก

    +++ กระทู้นี้มีประโยชน์ทั้ง ทางโลกและทางธรรม ขออนุโมทนาด้วย นะครับ
     
  4. degba4567

    degba4567 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +348
    สาธุ โมทนาในธรรมครับ เป็นวิธีที่ผมก็ทำเหมือนกันครับ ค้นพบโดยบังเอิญมากครับ กำหนดหาดูบริเวณที่ปวด จากนั้นก็คลายออก จะลั่นกร๊อบๆเลยครับ แต่ของผมมองไม่เห้นเข้าไปในสมองแบบนี้แต่เป้นลักษณะของการแยกความเจ็บปวดทางกายออกจากจิตใจ ทำให้ไม่ทุกร้อนกับความเจ็บปวด มันดีมากๆครับและมันยังสามารถทำได้ตลอดวันและทุกอิริยาบถด้วยครับ
     
  5. pcman

    pcman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +287
    ผมก็ใช้สมาธิรักษาเวลาปวดหัวตอนทำงานใช้ความคิดหนักได้เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ารายละเอียดทางธรรมอธิบายว่าอย่างไร คือเนื่องจากผมฝึกสมาธิและหลังจากได้ปิติ ก็จะจำสภาวะธรรมนั้นไว้ และฝึกให้เกิดสภาวะธรรมนั้นบ่อยๆ พอปวดหัวก็กำหนดให้สร้างปิติที่หัว แล้วเหมือนในหัวก็จะคลายกล้ามเนื้อทำให้อาการปวดหัวทุเลาหายไป หากยังปวดอยู่ก็จะกำหนดสติดูว่าปวดที่จุดไหนและกำหนดปิติตรงนั้นต่อ (ปิติที่ผมเกิดจะเป็นอาการเหมือนวูบในท้องตอนนั่งรถขึ้นสะพานและลงเร็วๆ แต่กำหนดย้ายจุดวูบได้) ปวดท้องก็ทำได้เช่นเดียวกันครับ แต่ไม่ค่อยแน่นอนเหมือนปวดหัว อาการแบบนี้ได้ฌานอะไร หรือเป็นสติ หรือสมาธิที่เกิดขึ้นก็เรียกไม่ถูกเหมือนกัน รบกวนผู้รู้ชี้แนะด้วยครับ

    พื้นฐานผมฝึกสมาธิทีเอ็มตอนเด็ก และฝึกสัมมาอะระหัง หลวงพ่อสด ตอนหลายปีแรกฝึกแล้วนิ่งว่าง และง่วงนอนตลอด สมาธิดีแต่ความจำไม่ค่อยดี มาเปลี่ยนรูปแบบตอนฟังเทปหลวงพ่อพุธ เพือ่กำหนดสติมากขึ้น และปรับมาฝึกเดินจงกรมกำหนดสติปัฏฐานสี่ตามหนังสือหลวงพ่อจรัญและกำหนดกายตามเทปค่ายคุณแม่ศิริ และพยายามฝึกดูจิตตามแนวหลวงปู่ดูลย์ครับ
     
  6. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ไม่เคยทำแบบที่คุณทำนะครับ
    ที่เคยทำก็แค่กำหนดเลื่อนอาการฟูของปิติเข้าไปในช่องท้องเพื่อดับหิวแค่นั้นเอง ตอนที่ผมทำ อารมณ์ก็น่าจะแถวอุปจารสมาธินี่แหละครับ
     
  7. pcman

    pcman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +287
    ขอบคุณคุณ Solardust นะครับ พอดีเห็นการฝึกของคุณคล้ายแนวทางของผมคือศึกษาหลายๆ แนว และได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจมาก (ถ้าเข้าผิดขออภัยอย่างสูงนะครับ) แต่ผลลัพธ์ผมยังไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่ ตามอ่านเรื่องของคุณหลายเรื่อง น่าสนใจศึกษามากครับ
     
  8. Nctc

    Nctc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2011
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +245
    อนุโมทนา สาธุค่ะ

    ปวดหัวมาหลายปีแล้ว ปวดหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะนั่งสมาธิไม่ไหวแล้วค่ะ
    จะพยายามนำที่เจ้าของกะทู้บอกไปปฎิบัติ ไม่รู้จะทำได้รึเปล่า
    ขอบคุณมากๆ ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...