ประสบการณ์ตรง การหัดถอดกายทิพย์

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย solardust, 24 พฤศจิกายน 2013.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ก่อนเริ่มเรื่อง ต้องบอกกันก่อนว่า เป็นเรื่องสมัยหนุ่มๆ เอามาเรียบเรียงให้อ่านเล่นๆนะครับ
    คือจริงๆแล้วเนี่ยมันหลายเรื่องมาก แต่เลือกเอาเฉพาะลำดับการพัฒนาการมาให้อ่านนะครับ

    เรื่องเริ่มจากการเจริญสติปัฏฐาน 24 ชม.ต่อวัน
    (ไม่ได้เจริญสติอย่างเดียวนะครับ ตัวหลักที่ตั้งใจฝึกจริงๆ คือฝึกสมาธิ แต่ออกจากสมาธิก็ไปฝึกสติต่อด้วย พยายามไม่ให้ขาดช่วงทั้งวันทั้งคืน จนหลับไป)
    หมายความว่าเวลานอน ก็กำหนดสติตามดูกายไปทั้งกายจนหลับ (ซึ่งที่จริงมันไม่ควรจะหลับนะครับ แต่ความที่ยังอ้อนด้อยเรื่องสติ มันก็เลยหลับ)

    ทีนี้ วันหนึ่งก็ฝัน
    ผมคิดว่าหลายๆคนเคยเป็นนะครับ คือฝันว่าวิ่งหนีอะไรมาซักอย่าง
    เราไม่รู้หรอกว่ากำลังหนีอะไรอยู่ แต่ก็หนีมันจนตื่น

    พอเจริญสติจนได้ที่ ก็ปรากฏว่าสามารถคุมตัวเองในฝันได้
    เริ่มจาก หยุดวิ่งก่อน แล้วก็คิดได้ในความฝันว่า นี่เราหนีอะไรอยู่วะเนี่ย ???
    แล้วก็หันกลับไปมอง แต่ก็มองอะไรไม่เห็น มืดไปหมด
    แล้วก็เดินสวนกลับเข้าไปในทางที่วิ่งหนีมา เพื่อไปสำรวจภูมิประเทศได้ว่า เราวิ่งมาจากที่ไหน
    แต่ที่ที่ไปเห็นมา ขออนุญาตไม่กล่าวถึงนะครับ เดี๋ยวจะนอกเรื่องไปกันใหญ่

    เพราะฉนั้นนะครับ เวลาฝันตอนหลังๆเนี่ย จะพูดได้ไม่เต็มปากแล้วว่า หลับฝันไป
    แต่มันมีอาการเหมือน กายทิพย์มันถูกดึงไปไหนซักที่นึงระหว่างนอนมากกว่า
    ตามความเข้าใจของผม เวลาที่พระสงฆ์บางท่านบอกว่าฝันว่าอย่างนั้นอย่างนี้ น่าจะเป็นอาการแบบที่ว่ามานี้มากกว่า

    พอเลเวลเริ่มสูงขึ้น ก็มีพัฒนาการตามมาคือ
    ตื่นตอนกลางคืน ตาปิดสนิท แต่เหมือนมีตาซ้อนอยู่บริเวณตาเนื้อ ที่สามารถมองได้รอบๆตัวโดยไม่ต้องกลอกตาไปมา
    ตอนนั้นนะครับ เห็นภาพทุกอย่างชัดเจน แต่ขยับตัวไม่ได้
    สิ่งที่พยายามตรวจสอบก็คือ เทียบสภาพที่มองเห็นตอนนั้น กับสภาพห้องก่อนปิดไฟนอน
    ว่าประตู หน้าต่าง โต๊ะ ผ้าม่าน พัดลม ก่อนนอนอยู่ยังไง แล้วตอนที่เห็นมันอยู่ยังไง
    ปรากฏว่ามันเหมือนกันทุกอย่าง สัมผัสได้แม้กระทั่งลมจากพัดลมที่ เปิดอยู่ แต่ก็ยังออกมาจากร่างเนื้อไม่ได้นะครับ

    หลังจากพยายามหาคำตอบทางอินเตอร์เน็ตซักพัก ก็ได้คำตอบว่า "ผีอำ".....( -_-")

    จากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ 2-3 ครั้ง
    จนวันหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่า ลองลุกขึ้นดู ดูซิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
    ปรากฏว่า กายทิพย์แยกมาจากกายเนื้อครึ่งตัว ถึงเอว
    ตื่นเต้นมาก เคยอ่านแต่ในหนังสือ ไม่คิดว่าจะเจอของจริง
    แล้วก็ไม่คิดด้วยว่ามันจะขลุกขลักยุ่งยากขนาดนี้

    ครั้งต่อมาก็พยายามลุกออกมา ก็ออกมาทั้งตัว แต่เท้าไม่ยอมแยกจากกายเนื้อ
    ต้องยืนสงบใจซักพัก แล้วบอกกับตัวเองว่า
    ตายเป็นตาย ชีวิตนี้ก็เท่านั้น แต่ประสบการณ์แบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ลองอีก อยู่ๆก็หลุดออกมาง่ายๆ
    แต่เดินได้ 2-3 ก้าวก็เหมือนกับมันโดนดูดหรือผลัก ให้กลับเข้ากายเนื้ออีก

    หลังจากนั้น ก็เล่นมาเรื่อยๆ ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไร แต่เวลาที่อยู่นอกกายเนื้อก็เริ่มอยู่ได้ยาวขึ้นยาวขึ้น
    เริ่มออกไปได้ไกลขึ้น แล้วก็พบว่ามันถอดได้หลายวิธี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2013
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    การถอดกายทิพย์ ที่เคยลองเล่นดูนะครับ
    1.เข้าสมาธิธรรมดา ที่ฌานสี่กายทิพย์จะแยกออกมา แล้วลุกจากร่างเนื้อเลย
    2.กำหนดสติให้ครอบงำทั่วตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเหมือนเจริญสติตามดูกายตามปรกติ จำสภาพนั้นไว้แล้วก็กำหนดอีกร่างขึ้นมาข้างหน้า
    แล้วทำความรู้สึกเหมือนย้ายสติทั้งหมดไปที่ร่างข้างหน้า พอสมาธิได้ที่ จะไปรู้สึกตัวที่ร่างนั้นเลย
    3.นึกถึงสถานที่ที่จะไป พอสมาธิได้ที่ รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ตรงนั้นแล้ว

    ทีนี้ พูดเรื่องความช้ดเจนนะครับ
    เคยสังเกตุความชัดเจนที่ตัวเองเห็น คือปรกติจะเล่นแบบนี้ตอนกลางคืน ภาพที่เห็นจะมืดๆ
    ถ้าใครนึกไม่ออกนะครับ ลองนึกถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ไฟดับทั้งเมืองดูครับ ว่าตอนไปยืนกลางแจ้งจะเห็นยังไง
    รูปร่างนี่เห็นชัด แต่สีสันจะออกไปทางขาวดำ ที่ยังสามารถระบุได้ว่า น่าจะเป็นสีนั้นสีนี้
    สภาพเหมือนทีวีสี ที่ลดสีลงจนเกือบจะเป็นขาวดำ ประมาณนั้น

    วันนึงก็เลยลองดูตอนกลางวัน
    ปรากฏว่า มืดเหมือนเดิม...เที่ยงตรงนะครับ แดดเปรี้ยง แต่ถอดกายทิพย์ออกมาแล้ว มืดสนิท...
    ตอนนั้นก็สงสัยว่า นี่เรายืนกลางแดดจริงหรือเปล่า ???
    พอคิดเสร็จ ก็เห็นแสงแดด แสบตาส่องเข้ามาบริเวณเท้านิดนึง พอให้รู้ว่าเที่ยงจริงๆ อยู่กลางแดดจริงๆ

    สภาพที่เห็นจะเป็นแบบนี้นะครับ
    คือจะรู้สึกว่ามีถุงดำ คล้ายฟิล์มกันแดด ครอบไว้ทั้งตัว แดดเข้าไม่ได้ มองไปทางไหนก็มืดไปหมด
    ตอนที่แสงเข้า จะเหมือนกับ มีคนขยับถุงที่ครอบตัวขึ้นมานิดนึง ให้มีช่องแสงเข้าบริเวณเท้า

    หลายปีถัดไป ก็ได้รู้มาสองเรื่อง
    เรื่องแรกก็คือ ความสว่างในการมองเห็นจะขึ้นกับเลเวลที่เก็บมา ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าไร ความสว่างก็ยิ่งมากเท่านั้น
    สองก็คือ ความสะอาดของใจจะมีผลด้วย ยิ่งตัดขันธ์ห้า ตัดเรื่องกังวลใจในโลกได้มากเท่าไร ความชัดเจนก็จะยิ่งมากเท่านั้น
    คนที่ใจท่วมไปด้วยกิเลสตัณหา แม้มีกำลังถอดจิตออกมา ก็ยังเห็นไม่ชัดเจนอยู่ดี
    ถึงตรงนี้ บางคน (รวมผมด้วย) ต้องทำใจนะครับว่า ได้เท่านี้
     
  3. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    อุปาทานในกายทิพย์
    อันนี้ออกแนวไร้สาระนิดนึง แต่ก็น่าจะได้ข้อคิดบ้าง

    คือช่วงที่ผมหัดถอดกายทิพย์สมัยหนุ่มๆ ผมฝึกที่ชั้นสองของบ้าน ในห้องนอนตอนกลางคืนนะครับ
    ทุกคืนที่ออกมา กิจกรรมที่ต้องทำอย่างนึงก็คือ พยายามเดินไปมา เคลื่อนไหวให้คล่อง
    ไอ้เดินไปเดินมาเนี่ยแหละปัญหา เดินรอบๆห้องไม่เท่าไร แต่ตอนเปิดประตู ตอนเดินลงบันไดเนี่ย คุมยากมาก

    อ่านดูเหมือนไม่มีอะไรนะครับ ก็แค่หัดถอดกายทิพย์ ถอดออกมาแล้วก็หัดใช้ให้คล่อง ก็แค่นั้น

    ทีนี้ มาวันนึงก็มาฉุกคิดได้ว่า ทำไมผีในหนัง มันหายตัวได้ ทำไมมันเดินทะลุกำแพงได้
    แล้วเวลาที่เราเปิดประตู ประตูมันเปิดจริงหรือเปล่า ????
    คือเวลานอนก็ปิดประตูไว้ พอถอดกายทิพย์ออกมา ก็เปิดประตูเดินออกไป ทำไมเราต้องเปิดประตูด้วย ???

    ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยนะครับว่า เวลาที่กายทิพย์มันเปิดประตู แล้วประตูมันเปิดจริงๆหรือเปล่า
    แต่ลึกๆเชื่อว่า เราเคยชินว่ามันต้องเปิดประตูถึงจะออกจากห้องได้ มันเลยมีมาให้เปิดเล่นๆไปงั้นแหละ แต่ของจริงไม่ได้เปิดหรอก

    เข้าเรื่องต่อ
    ทีนี้ ก็เลยลองเดินทะลุกำแพงดู
    เอามือยื่นเข้าไปก่อนนะครับ ปรากฏว่ามันทะลุไปแบบไม่รู้สึกอะไรเลย
    หลังๆมาก็เดินพรวดเดียวมาชั้นล่างเลย ไม่ต้องเดินลงบันไดมาด้วย

    ย้อนกลับไปนิดนึง
    ความที่เราเคยเห็นช่างก่อสร้างทำงานมาก่อน
    เราก็จำได้ว่า เลเยอร์ที่กำแพง มันจะมีลักษณะแบบนี้ คือ
    -สีทากำแพง
    -ปูน
    -อิฐแดง
    -ปูนอีกด้านนึง
    -สีทากำแพงอีกด้านนึง

    ถ้าเราเอาหน้าค่อยๆมุดเข้าไปในกำแพง เราน่าจะเห็น บอนดิ้งว่ามันเกาะกันยังไง เห็นเลเยอร์ของมัน ว่ามันเป็นแบบที่เราเห็นตอนก่อสร้างหรือเปล่า
    ทำอยู่ 2 วันนะครับ ดีไม่ไดีถ้าจำไม่ผิด น่าจะ 3 วันด้วยซ้ำ
    ถอดกายทิพย์ออกมาแล้ว ไม่ได้ไปไหน เกาะอยู่ข้างกำแพงห้องนอนนั่นแหละ เอาหัวมุดเข้ามุดออกกำแพงทั้งคืน

    แม่เจ้า....ความสงสัย นี่มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ ไม่รู้ทำไปได้ยังไง...

    ได้ข้อสรุปก็คือ ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
    จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ
    คือตอนมุดหัวเข้าไป ตอนเดินเข้าเดินออก ความหนาของกำแพงเป็นศูนย์ ????
    แตะผนังฝั่งนึงแล้วไปโผล่ผนังอีกฝั่งนึงเลย !!! หาตรงกลางไม่เจอ
    พยายามเอาหน้ากดเข้ากำแพงไปทีละนิด พอลูกตาจมเข้ากำแพงฝั่งนี้ปุ๊บ มันก็ทะลุไปอีกฝั่งปั๊บ
    ทีแรกก็คิดว่า เพราะเราคุมกายทิพย์ไม่คล่อง เคลื่อนส่วนหัวเร็วไป
    หลังจาก 2-3 คืนผ่านไป ก็มั่นใจว่า ไม่ได้เคลื่อนหัวเร็วไป แต่ตัวกำแพงเองมันไม่มีความหนาเอาดื้อๆ
    เคยลองกำหนดสติตามดูว่า กำแพงที่เดินทะลุออกมาหนาเท่าไร ที่สัมผัสได้ตอนนั้นคือรู้สึกว่าหนาเหมือนกระดาษบางๆแผ่นเดียวเท่านั้น

    ส่วนตัวก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม
    แต่พอดีมีวันหนึ่ง ถ้าใครอ่านเรื่อง การฝึกกสิณไฟผิดวิธี ที่ผมโพสต์เอาไว้นะครับ
    พอเราคิดว่า กายพรหมควรจะมี 4เศียร 8กร แล้วมันก็มีให้เราดื้อๆตรงนั้นเลย แต่ขยับได้แค่สองแขนเหมือนเดิม
    4เศียรที่เพิ่มมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะเห็นรอบตัวอยู่แล้ว

    ผนังห้องนอน กับประตูห้องก็อาจจะแนวนี้ คือเป็นความเคยชิน หรือเป็นความเชื่อลึกๆว่ามี มันก็เลยมีให้ซะหน่อย
    แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภพภูมิของกายทิพย์ เราเลยเดินทะลุไปมาได้
    (ไม่ใช่ fact นะครับ ห้ามเอาไปอ้างอิง เป็นข้อสันนิษฐานส่วนตัว (เดาเอา) เฉยๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2013
  4. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    น่าติดตามมากครับ ประสบการณ์ที่ได้มาจากการปฏิบัติจริง ผ่านมาหลายปีไม่ใช้คล่องแคล่วแล้วหรือครับ
     
  5. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    พูดถึงความยากมันยากไหมครับ เมื่อถอดออกมาครึ่งท่อนได้แล้ว แต่ลุกไม่ขึ้นมันหนักมาก แล้วก็มืด และได้ยินเสียงคุยกันเสียงแหลม ๆ คิดอยากเห็นอะไรก็ไปเห็นที่นั้นเลยไม่ไกลตัวนัก แต่กายทิพย์ก็ยังอยู่ที่เดิมมันลุกไม่ขึ้น บางทีก็ยกได้แค่แขน

    วิธีที่ทำคือ ทำสมาธิจูนให้เจอกายที่ซ้อนอยู่แล้วใส่ความรู้สึกเข้าไปที่กายทิพย์ แรก ๆ กายทิพย์เป็นแค่ รูปนิมิตเล็ก ๆ สมาธิดีขึ้นก็ขยายเป็นรูปร่างชัดขึ้น ๆ
     
  6. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อ่านสนุกมากจ๊ะ
    ทำให้คิดถึงประสบการณ์ตัวเอง

    แต่ก่อนนอนอยู่ชั้นสองเหมือนกัน บางคืนก็ตกใจตื่นขึ้นมา..
    เพราะรู้สึกว่ามือและเท้าล่วงลงไปชั้นหนึ่ง เหมือนมันยืดตกลงไปบนพื้นชั้นล่าง
    เห็นภาพบ้านชั้นล่างชัดเจนทุกอย่าง คือเห็นภายในบ้านหมด..
    ตื่นมาก็คิดว่าฝันไป .. ก็มีบางทีเห็นภาพในบ้านทั้งที่หลับตานอน

    ขอบคุณมากค่ะ สำหรับประสบการณ์ที่นำมาให้อ่าน
    มีหลายๆอย่าง ที่ทำให้คิดถึงประสบการณ์ตัวเอง..

    ส่วนการนั่งสมาธิ แต่ก่อนนั่งบ่อย
    นั่งแล้วก็ไปถึงจุดที่มีความสว่างไสว ไม่มีกาย มีแต่ความรู้สึก
    นอกจากบางครั้งที่จิตสงบมากๆ นั่งปุ๊บคล้ายร่างกายนิ่ง แต่ไม่สว่างแค่เรืองๆ
    แล้วยังรู้สึกว่าร่างมีแต่เหมือนไม่มี.. บอกไม่ถูก อีกร่างคล้ายจะออก แต่ยังวางอารมณ์ไม่ถูก ..
    ได้ความเข้าใจจากกระทู้นี้พอสมควร ขอบคุณมากค่ะ
    ก็เป็นเรื่องแปลก นั่งสมาธิทีไร ก็ไม่ไปไหนกะเขาสักที เพราะคงแค่ตามรู้รูปนาม ตัดนิมิต
    [URL="http://palungjit.org/posts/8794328[/URL]

    เจอผีบ้างไหม ไว้มาเล่าบ้างนะ.. :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2014
  7. btme

    btme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +319
    มันเป็นอาการของจิตอย่างหนึ่ง เป็นผลจากการฝึกสมาธิครับ สำหรับผมบางทีก็เหมือนกลางวันบางทีก็เหมือนกลางคืน(ในความเป็นจริงอาจจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ได้) ถ้ามีอาการในลักษณะนี้ ลองพิจารณาอาการซักพักอย่าเพิ่งคิดว่ามันเป็นแบบนั้นแบบนี้ ให้สังเกตุอาการที่เป็นอยู่แบบละเอียด ดูพื้นที่รอบๆ รายละเอียดต่างๆให้ดี แล้วจะมีคำตอบ ดีไม่ดีที่ว่ามืดๆอาจจะสว่างเหมือนกลางวัน แต่ระยะหรือรัศมีที่มองเห็นอาจะใกล้บ้างไกลบ้าง สำหรับผมสิ่งแรกเลยที่เป็นอัตโนมัติ คือต้องดูร่างกายตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก จะไปไหนแค่มีความรู้สึกว่าก็ถึงแล้ว วิธีทดสอบง่ายๆว่าเราสามารถควบคุมมันได้จริงรึเปล่า ก็คือลองไปสถานที่ไหนก็ได้ซักที่ ที่เรารู้จัก อาจจะเป็นบ้านเพื่อนเราก็ได้ แล้วก็ลองไปดู ว่าเวลานั้นเวลานี้คนนั้นคนนี้ทำอะไรอยู่ตรงไหน พอตื่นมาแล้วก็จดรายละเอียดไว้ แล้วก็ไปถามคนที่เราไปเห็นมาว่าเวลานั้นเวลานี้เขาทำอะไรอยู่ที่ไหนยังไง แบบนี้ใช้เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเราไม่ได้หลับฝันแบบทั่วไปครับ
     
  8. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็อปมา..

    *การจะเข้าอรูปฌาน เมื่ออยู่ในรูปฌานที่4 ให้ปล่อยวาง ความรู้สึกกายละเอียด หรือกายในนั้นเสีย เมื่อทิ้งความรู้สึกนั้นไปเรื่อยๆ สักพักสันสติ จะขาดวูบลง เข้าสู่อรูปที่1 ต่อไป ถ้าแรงยึดสูง ทิ้งไม่ลง ให้ภาวนา นะๆ มะๆ พะๆ ทะๆ เลือกเอา*ตัวเดียว ภาวนาในใจซ้ำๆ จนกว่าจิตจะวูบ ทิ้งร่างกายละเอียด อรูปฌานมี 4ขั้น ทุกขั้นจะไม่มีความรู้สึกมีร่างกายตัวตน ทั้งภายนอกคือกายหยาบ ภายในคือกายละเอียด ไม่มี...ลมหายใจ เบามาก หูไม่ได้ยินเสียง ไม่ปรุงแต่ง สงบเงียบ เวิ้งว้างว่างเปล่า เหมือนอยู่คนเดียวในอวกาศ ไม่มีเวทนาใดๆรบกวน ต่างกับรูปฌานที่4 ยังมีความรู้สึกมีกายในอยู่
    อรูปฌานที่1 อากาสานัญจายตนฌาน ยึดเอานิมิตอากาศธาตุเป็นอารมณ์
    อรูปฌานที่2 วิญญาณัญจายตนฌาน ยึดเอานิมิตแสงสว่างเป็นอารมณ์
    อรูปฌานที่3 อากิญจัญญายตนฌาน ยึดเอาความว่าง จิตดวงเดิมผู้รู้ที่สว่างเป็นอารมณ์
    อรูปฌานที่4 เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ยึดเอาอุเบกขาและความสงบภายในเป็นอารมณ์
    *นิโรธสมาบัติ เห็นโทษของสมาบัติทั้งหมด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เห็นเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน
    ไม่ยึดมั่นในสมาบัติทั้ง8 ปล่อยวางหมด ทิ้งหมด ทิ้งไม่ยึดเอาผู้รู้ รู้ทำเหมือนไม่รู้ หลับเหมือนไม่หลับ เห็นทำไม่เห็น ตื่นทำเป็นหลับ จิตจะวูบเข้านิโรธสมาบัติดวงจิตผู้รู้จะหดเล็กลง เหมือนเลนส์รวมแสง สว่างยิ่งขึ้น ทะลุทะลวงไปทั้วจักรวาล สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์เที่ยงวัน สว่างยิ่งกว่าอรูปฌาน
    [มีจุดหรือต่อมผู้รู้อยู่ที่ใดนั่นแหละภพ-ให้พิจารณาเป็นอนัตตาแล้วปล่อยวาง]
    จงพิจารณาสมาบัติทั้ง9 รวมทั้งนิโรธสมาบัติเป็นพระไตรลักษณ์ นิโรธสมาบัตินี้ยังไม่ใช่พระนิพพาน แม้จะสามารถระงับกายสังขารคือลมหายใจ
    ระงับจิตสังขาร คือสัญญาและเวทนาได้ก็ตาม
    การศึกษาภพของจิต เพื่อไม่ให้หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะเคยหลงมานับภพชาติไม่แล้ว จงตั้งอารมณ์ปล่อยวางร่างกายและภาระทางจิต เหมือนพระอานนท์ ที่เดินจงกรมเหน็ดเหนื่อยจนใกล้รุ่ง นั่นแหละ อารมณ์ ของพระอรหันต์ ไม่แบกโลก ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในขันธ์ห้า ย่อมเป็นสุขแล.

    https://www.facebook.com/poon.khn.7#!/profile.php?id=100004861320715&fref=tl_fr_box
     

แชร์หน้านี้

Loading...