ปิดพระนาคปรกอธิษฐานหลวงปู่คำพัน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย สาละ, 23 มิถุนายน 2012.

  1. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ
    ยอดครบหมดแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  2. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระปรกอิษฐานสร้างขึ้นเมื่อปี42
    ช่วงนั้นหากใครไปกราบหลวงปู่คำพัน มักจะถามหาปฐวีธาตุของหลวงปู่
    ซึ่งหลวงปู่ได้ให้รับรองเองว่า “กันนิวเคลียร์ได้”
    ผมได้เข้าไปกราบหลวงปู่พร้อมหินกรวดแม่น้ำโขงถุงใหญ่ (4กิโลฯ)
    เพื่อขอเมตตาหลวงปู่อธิษฐานให้เป็นปฐวีธาตุ หลังจากหลวงปู่อธิษฐานเสร็จ ได้ขอปฐวีธาตุกลับมา1กำมือ
    พร้อมเรียนถามหลวงปู่ว่า “ถ้านำปฐวีธาตุไปบดเป็นผงแล้วทำพระยังจะกันนิวเคลียร์ได้อยู่รึเปล่าครับ”
    หลวงปู่ก็ตอบว่า “ได้ แต่ต้องเอามาให้หลวงปู่อธิษฐานซ้ำ”
    หลังจากสนทนากับหลวงปู่ซักพักจึงลาหลวงปู่กลับ
    ตอนกราบลา หลวงปู่ได้ดันถุงใส่ปฐวีธาตุกลับมาพร้อมพูดว่า “จะเอาไปสร้างพระไม่ใช่เหรอ”
    ผมจึง คิดว่าหลวงปู่คงต้องการให้สร้างพระมาถวายจึงได้นำปฐวีธาตุถุงใหญ่กลับมาทำพระ
    ซึ่งตอนนั้นผมเป็นเพียงนักศึกษามหาลัยปี 1
    และแทบไม่มีความรู้เรื่องการสร้าพระเลย
    หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในวงการสร้างพระคือ
    คุณอำพล เจน ที่เป็นธุระในการเขียนยันต์ข้างหลังองค์พระซึ่งเป็นพุทธคาถาในพุทธทำนาย
    คุณเนาว์ นรญาณที่เป็นธุระในการทำแม่พิมพ์พระฯ
    และคุณรณธรรม ธาราพันธุ์ ที่ให้คำปรึกษาพร้อมวลสารในการสร้างพระ ฯลฯ
    หลังจากสถาปนาเป็นองค์พระแล้วซึ่งแบ่งเป็นเนื้อโรงงาน 5,000 องค์
    เนื้อเกสรซึ่งกดมือกันเองอีกหลายพันองค์ (จำจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ซึ่งน่าจะราว5000องค์)
    ได้ไปถวายหลวงปู่เพื่ออธิษฐานหลังวันเข้าพรรษาปี42 หนึ่งวัน
    เมื่อไปถวายหลวงปู่ได้สั่งให้เก็บไว้ก่อนท่านยังไม่อธิษฐานเดี๋ยวนั้น
    และพระได้อยู่กับท่านจนออกพรรษาได้ราว5วันจึงได้ไปถวายพระนาคปรกเนื้อเกสรอีกราว5,000 องค์ที่กดกันเองในพรรษา
    (พระที่กดในพรรษาจะบรรจุทรายคำไว้ที่ด้านหลังองค์พระทุกองค์)
    โดยหลวงปู่ได้เก็บพระที่ถวายไว้ในช่วงเข้าพรรษาทั้งหมด(พระชุดแรก)ไว้ที่หัวนอนท่านตลอดพรรษา
    และระหว่างสนทนาได้เล่าถวายให้ท่านฟังถึงการทำพระที่กดมือกันเองออกมาไม่สวย
    ท่านก็เมตตาให้กำลังใจว่า “ไม่เป็นไรอย่างพระสมเด็จวัดระฆังก็กดมือเหมือนกัน”
    และทราบว่าพระชุดนี้หลวงปู่มิได้จำหน่ายจ่ายแจก จนผ่านไปหลายปีจึงได้ยินว่าคุณเง็กได้รับแจกมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      202.7 KB
      เปิดดู:
      206
    • 6.jpg
      6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      231.3 KB
      เปิดดู:
      183
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2012
  3. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระนาคปรกอธิษฐาน เป็นนามที่คุณเง็ก บางลำภู
    ได้เรียกพระนาคปรกหลังใบโพธิ์ของหลวงปู่คำพัน วัดธาตุมหาชัย
    เมื่อไปถามคุณเง็ก ถึงที่มาของชื่อจึงทราบว่า
    มีคราวหนึ่งเพื่อนคุณเง็กซึ่งรู้จักกับหลวงปู่คำพันเป็นอย่างดี
    ได้ฝากปัจจัยไปถวายหลวงปู่ เมื่อคราวที่คุณเง็กได้ไปกราบหลวงปู่ที่วัด
    พร้อมกำชับให้กราบเรียนหลวงปู่ด้วยว่า เขาขอพระหลวงปู่เป็นที่ระลึกด้วย
    หลังจากคุณเง็กได้กราบเรียนหลวงปู่แล้ว
    หลวงปู่จึงหยิบพระนาคปรกหลังใบโพธิ์ขึ้นมาแจกทุกคนคนละ1องค์และได้ฝากไปให้เพื่อนคุณเง็กด้วย
    โดยหลวงปู่ได้กล่าวว่า “อยากได้อะไรให้อธิษฐานเอา”
    ตั้งแต่นั้นมาที่พันทิพย์งามวงศ์วานก็เรียกพระรุ่นนี้ว่า พระปรกอธิษฐาน
    ซึ่งคุณเง็กเล่าว่าปรกติเวลาหลวงปู่แจกพระให้คุณเง็ก
    ท่านจะแจกเป็นกำแต่กับพระรุ่นนี้ท่านให้แค่คนละ1องค์เท่านั้น
    เป็นประกอบกับคำกล่าวของหลวงปู่คำพันที่ว่า
    อยากได้อะไรให้อธิษฐานเอา
    จึงเป็นเหตุให้คุณเง็กซึ่งเป็นเซียนใหญ่พระหลวงปู่คำพัน
    ได้เริ่มกว้านเก็บพระปรกอธิษฐานตั้งแต่นั้นเป็นตนมา
    คุณเง็กเล่าต่อว่าพระหลวงปู่คำพันที่คุณเง็ก มีประสบการณ์มี2อย่าง
    คือพระพุทธปฐวีธาตุและพระปรกอธิษฐาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7.jpg
      7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      219.7 KB
      เปิดดู:
      293
    • 8.jpg
      8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      281.4 KB
      เปิดดู:
      93
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มิถุนายน 2012
  4. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ยอดจากเวปอุดร108
    goldgear56 พระนาคปรกอธิษฐานเนื้อเกษร1องค์
    Mr mosq พระนาคปรกอธิษฐานเนื้อเกษร2 องค์
    ยอดจากเวปร่มโพธิ์ไทร
    พีพีช
    1. พระนาคปรกอธิษฐานเนื้อเกษร พิเศษฝังตะกรุด1องค์ 3000 บาท
    2. พระนาคปรกอธิษฐานเนื้อเกษร 1 องค์ 1500 บาท
    รวมต้องโอน 4500 +50 = 4550 บาท


     
  5. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    พระที่นำมาให้ร่วมบุญทุกองค์เป็นเนื้อเกษรที่กดมือเองทุกองค์ครับ
    องค์พระอาจไม่สวยแต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
    และมั่นใจได้ว่าทุกองค์มีผงปฐวีธาตุอยู่จริงเพราะผสมเองกับมือ
    คุณอำพล เจนเคยบอกพระชุดไหนถ้าหลวงปู่หวงจะเก็บนาน
    พระชุดนี้หลวงปู่ก็เก็บนานเหมือนกันครับหลายปีกว่าจะแจก
    และก็แจกเพียงคนละ1องค์เท่านั้นครับ
     
  6. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ปฐวีธาตุ ที่สุดแห่งขลัง ของหลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์
    ตลอดชีวิตของคน “ทำ” พระเป็น ย่อมรู้แน่แก่ใจว่าเครื่องมงคลชิ้นใดที่ตนได้ “บรรจุคุณ” ไว้อย่างเต็มที่ที่สุด หรือทราบชัดว่า ของสิ่งใดที่ทรงไว้ซึ่ง “อานุภาพ” อย่างถึงที่สุด แล้วมักเก็บงำของนั้นไว้เป็นอย่างดี ไม่ใคร่ตกถึงมือใครง่ายๆ ดังเช่นของสิ่งอื่นทั่วไป เช่น หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ยากที่ใครจะได้ตะกรุดธาตุหก, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ยากที่ใครจะได้พระพรหมผง และสำหรับหลวงปู่คำพัน
    ใครจะเอาปฐวีธาตุก็ยากนัก คงเป็นเพราะท่านเหล่านั้นเกรงว่าผู้รับจะไม่รู้ถึงคุณค่าของของนั้น หรือไม่ก็กลัวผู้รับไปจะเปลี่ยนใจเป็นโจรในภายหลัง ซึ่งจะยากแก่การปราบปราม

    ผมก็เดาได้แค่นี้แหละ


    ในศักดิ์สิทธิ์ฉบับก่อนโน้นที่เคยกล่าวถึงของป้องกันนิวเคลียร์ได้ มีหลายท่าน จ.ม. ไปถามผมว่ากันอย่างไรได้ระเบิดตกลงมาตรงหน้ายังกันได้หรือ? โถ ! ถ้าถึงขนาดนั้นอย่าว่าแต่คนแขวนเลย พระก็คงจะป่นนะครับ ที่ผมบอกว่าป้องกันได้นั้น หมายถึง กัน “กัมมันตภาพรังสี” ต่างหาก เป็นที่แน่ชัดว่าประเทศไทยไม่ถูกบอมบ์ด้วยนิวเคลียร์ดังเช่นที่ญี่ปุ่นเคยดอก แต่กัมมันตภาพรังสีที่ฟุ้งกระจายไปในชั้นบรรยากาศมันจะมากับอากาศที่หายใจกับเมฆ กับฝน และแม่น้ำ ลำธารต่างๆ ฝุ่นรังสีย่อมปนเปื้อนอยู่ทั่วไป มงคลวัตถุที่ท่านผู้ทรงคุณทั้งหลายเจริญภาวนาให้ จะมีอานุภาพทำลายกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้นให้มีสภาวะเป็นกลาง ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย

    ไม่ใช่ระเบิดตกลงหลังคาบ้านแล้วไม่ตายครับ

    นั่นเป็นความเชื่อของผมโดยส่วนตัว ใครจะเชื่อก็ไม่ว่า ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่าเป็นของธรรมชาติอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสสอนสัตว์โลกอยู่เป็นนาน คนเชื่อก็มีคนไม่เชื่อก็มี สำมะหาอะไรกับผม

    คนไม่เชื่อหยุดอ่านก่อนได้เพื่อความสบายใจ ส่วนคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างเชิญอ่านต่อไป เพราะผมจะเข้าเรื่องสำคัญ

    ย้อนไปเมื่อสมัยท่านเจ้าคุณนรฯ ยังทรงสังขารอยู่ ท่านเคยปรารภว่า พระรูปเหมือนนั่งในใบโพธิ์ของท่านประสบความสำเร็จ (คือมีคนนิยมมาก) ต่อไปจะมีผู้สร้างพระใบโพธิ์อีกมากมายแต่ไม่ประสบความสำเร็จดังเช่นของท่าน


    หากจะมีพระทางภาคอีสานรูปหนึ่ง ประสบความสำเร็จในพระรูปเหมือนใบโพธิ์เช่นของท่าน แต่พระรูปนั้นจะต้องอธิษฐานจิตปฐวีธาตุได้ด้วย

    ปรารภนี้เป็นที่น่าสนใจ ใครที่รู้ต่างก็ออกแสวงหาพระผู้เสกปฐวีธาตุเป็น คำว่า “เป็น” ของท่านคุณนรฯ คงหมายถึงทำได้มากจนแพร่หลายไปในหมู่ชนได้ ไม่ใช่ทำเพียงแค่ก้อนสองก้อนก็จบ

    หากันอยู่นาน ก็ระแคะระคายว่ามีพระทางจังหวัดนครพนมรูปหนึ่ง ท่านทำปฐวีธาตุได้ เอ ! หรือท่านจะ “รับมุข” ที่ท่านเจ้าคุณนรฯพูด ทว่า เมื่อเช็คกับผู้รู้ท่านหนึ่งท่านว่าพระเถระรูปนั้นทำปฐวีธาตุแจกศิษย์มาแต่ปี พ.ศ. 2495 ก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ เสียอีก


    จึงออกสืบเสาะจนได้ความว่าเป็น หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ

    หลวงปู่คำพันทราบถึงวิธีการอธิษฐานปฐวีธาตุได้อย่างไร มันมีที่มาอย่างนี้ครับ

    กลับไปหลายสิบปีก่อน ครั้งหลวงปู่คำพันยังเป็นพระหนุ่ม ๆ มีผู้เฒ่าที่ครอบครองตำราสำคัญอยู่ นัยว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ครั้นชายชราใกล้ถึงที่สุดแห่งอายุขัย ก็ได้สั่งกำชับบุตรชายว่า
    เมื่อพ่อตายแล้วจงเอาคัมภีร์เล่มนี้ไปมอบให้กับหลวงพ่อคำพันแต่เพียงรูปเดียวเท่านั้น

    สั่งความได้ไม่นานก็ลาโลกนี้ไป บุตรชายก็ทำตามสั่งทุกประการ นำตำราไปมอบให้หลวงพ่อคำพัน เมื่อท่านเปิดอ่านก็ปรากฏว่าตัวอักษรในนั้น เป็น “ตัวธัมใหญ่” ทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นอักขระที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ใช้จารเฉพาะตำราชั้นสูงเท่านั้น

    เมื่ออ่านไปเรื่อยจึงทราบว่าหนังสือนั้นเป็น
    ตำราที่ว่าด้วยการ “อธิษฐานปฐวีธาต” สามารถทำธาตุธรรมชาติธรรมดาให้มีอานุภาพ มีพลังงานขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

    ท่านจึงศึกษาวิธีการจนแตกฉาน จดจำได้ทุกขั้นตอน ในเวลาต่อมาก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาขอตำรานั้นไป ท่านก็กรุณามอบให้ ทุกวันนี้ยังไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใคร

    หลวงปู่คำพันได้เมตตาอธิบายถึงคุณลักษณะของปฐวีธาตุที่ถูกต้องตามตำราทุกประการว่า
    ต้องเป็นกรวดที่แช่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติเท่านั้น จะอยู่บนบกไม่ได้ ตัวกรวดเมื่อเก็บขึ้นมาต้องมีลักษณะเดิมตามธรรมชาติของเขา จะบิ่น จะแตกหักหรือร้าวไม่ได้เลย

    ที่สำคัญสุดยอด คือต้อง “โปร่งแสง” เท่านั้น

    คำว่าโปร่งแสงหมายถึง แสงสามารถลอดทะลุผ่านได้ ไม่ใช่โปร่งใส ถ้าโปร่งใสจะหมายถึงมองทะลุเห็นภาพอีกด้านได้ ซึ่งคงไม่มีกรวดชนิดใดเป็นเช่นนั้นแน่ หรือถ้ามีคงหายากสุดๆ

    และด้วยคุณลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้ปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันเป็นของหายากที่สุด แม้ว่าทางวัดจะพยายามแก้ไขด้วยการนำกรวดจากแม่น้ำโขงชนิดขุ่นมาถวายท่านอธิษฐานแทนก็ตาม มันก็หาถูกต้องตามตำราบังคับไม่ หากท่านก็อนุโลมให้เป็นปฐวีธาตุได้เช่นกัน

    ผิดกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ เช่น
    ท่านเจ้าคุณนรฯ ด้วยท่านมีข้อแม้กับปฐวีธาตุว่า ต้องอยู่ในอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น ส่วนจะใสหรือขุ่น จะใหญ่หรือเล็ก ท่านไม่เอามาเป็นประมาณ

    ผมเองก็เพิ่งทราบว่า ไม่เพียงท่านเจ้าคุณนรฯ หรือหลวงปู่คำพันเท่านั้นที่ทำปฐวีธาตุได้
    พระมหาเถระผู้ทรงคุณสูงสุดคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี ก็ทำปฐวีธาตุ แต่ง่ายดายมาก ด้วยการให้ศิษย์เก็บเอากรวดที่ข้างกุฏิท่านนั่นแหละมาอธิษฐาน

    หาง่ายแต่หายาก

    “หา” แรกง่าย เพราะเอากรวดข้างกุฏิไม่ต้องไปไกล “หา” หลังยาก เพราะของไม่มี คนอยากได้ก็ฝันไปก่อน รวมทั้งผม

    ไม่เพียงหลวงปู่ขาวเท่านั้นที่ทำปฐวีธาตุ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ก็ทำ ทำจริงๆนะ มีคนใกล้ชิดที่เชื่อถือได้ ได้รับจากมือหลวงปู่ดูลย์มาจริงๆ

    ก็น่าแปลกที่ท่านเหล่านั้นสามารถทราบได้ว่า
    กรวดธรรมดาหากกำหนดจิตให้เป็นของมีพลังงานด้วยกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อนเกินปุถุชนจะเข้าถึงได้ละก็ ย่อมมีอานุภาพสุดจะประมาณ

    ขนาดกันนิวเคลียร์ได้ก็แล้วกัน

    หลวงปู่คำพันบอกว่า ในตำราระบุไว้ว่าผู้จะอธิษฐานปฐวีธาตุได้นั้นต้องเป็นผู้เดินวิปัสสนาล้วน จะเป็นผู้เล่นทางสายวิชาคือคาถาอาคมไม่ได้เลย จึงหมดสงสัยว่าทำไมหลวงปู่ขาว หลวงปู่ดูลย์ก็ทำเป็น

    ปฐวีธาตุของครูบาอาจารย์องค์อื่น ผมไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานจิตในการป้องกันอย่างไร แต่ของ
    หลวงปู่คำพันท่านอธิษฐานว่า

    ให้ป้องกันภัยอันจะเกิดแต่ธรรมชาติก็ดี ภัยอันเกิดแต่มนุษย์ก็ดี กันได้ทั้งสิ้น กันภัยจากอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่จะมีขึ้นในอนาคต

    ท่านเรียกการอธิษฐานแบบนี้ว่า “เสกครอบลงไป”

    การเสกแบบนี้ไม่เหมือนกับการเสกพระเครื่องทั่วไปของท่าน ท่านจึงย้ำว่า “ปฐวีธาตุนี้เป็นของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่” เหนือกว่าวัตถุมงคลทั้งปวงของท่าน

    ครั้งหนึ่งท่าน
    พระอาจารย์เวทย์ อาจารย์สัมปันโน ศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่คำพัน คิดหาปฐวีธาตุ ชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการมาถวายหลวงปู่คำพันเสก จึงหาอาสาสมัครได้พระ เณร และญาติโยมจำนวนหนึ่ง ออกค้นหาปฐวีธาตุในลำน้ำโขง

    การตามล่าหาของดีในคราวนั้นเป็นความยุ่งยากลำบากเหลือแสน เพราะน้ำในแม่น้ำโขง เย็นยะเยียบ เมื่อลงแช่ไปนานๆ ก็เกิดหนาวสั่นจับไข้ไม่สบายกันถ้วนหน้า อีกทั้งกรวดที่ควานขึ้นมานับร้อยๆ ก้อนในแต่ละครั้ง จะมีใสตามตำราสักก้อนก็แสนยาก

    บางก้อนใสแจ๋วแต่บิ่นก็ต้องทิ้งไป เวลาทิ้งก็ต้องเอาไปทิ้งไกล ไม่อย่างนั้นเวลางมลงไปก็เจอก้อนเก่าอีก บางทีลุยป่าหญ้าเข้าไปหาในที่ที่ว่างเปล่า งมๆ อยู่เจ้าของที่ก็มาไล่เพราะเขาไม่รู้ว่ามาทำอะไรกันก็มี จึงเป็นความทุกข์สาหัสของผู้ออกหาจริงๆ ทีมล่าปฐวีธาตุดำเนินการอยู่นานนับเดือน ปรากฏปฐวีธาตุชนิดถูกแบบ 100 % ได้เพียง 200 กว่าก้อนเท่านั้น

    เป็นของยืนยันว่าหายากแท้ๆ

    เมื่อนำปฐวีธาตุไปถวายหลวงปู่คำพันอธิษฐานจิตแล้ว คณะผู้ค้นหาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ของดีขนาดนี้จะทำอย่างไรจึงสมควร ถ้าเพียงแต่เก็บงำเอาไว้กับคนบางคนก็จะตกอยู่แค่นั้น และต่อไปในกาลข้างหน้า ใครจะทราบไว้ว่ากรวดก้อนนี้คืออะไร ?

    จึงตกลงใจสร้าง
    รูปเหมือนหลวงปู่คำพัน ขนาด 3 นิ้วเศษๆ ด้วยเนื้อว่าน แล้วบรรจุของสำคัญสุดยอดนี้ลงไปเพื่อให้อยู่เป็นที่เป็นทาง และเพื่อเพิ่มความเป็นมหามงคลให้กับรูปเหมือน

    พระรุ่นนี้สร้างในปี พ.ศ. 2538 มีจำนวนเพียง 227 องค์ เท่ากับจำนวนศีลของพระ รูปเหมือนทั้งหมดดำเนินการปลุกเสกแบบ “บินเดี่ยว” โดยหลวงปู่คำพันในอุโบสถโบราณของวัดแก่งตอย เป็นการเสกแบบเฉพาะเจาะจงลงไปสำหรับพระบูชา 3 นิ้ว, รูปเหมือนลอยองค์เนื้อว่าน ชนิดแขวนคอ รุ่น 2 และพระอุปคุตพันฤทธิ์ มีเรื่องแปลกอยู่ว่าขณะดำเนินการสร้างรูปเหมือนแบบบูชานี้อยู่ หลวงปู่คำพันก็ให้คนมาเอารูปเหมือนที่เสร็จก่อนเพื่อนไป 2 องค์ บอกว่าเพื่อเอาไปเสกก่อน แล้วมอบให้กับศิษย์คนสำคัญในวงการ 2 คน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพระรูปเหมือนรุ่นนี้ยิ่งนัก

    เมื่อผู้เสกถูกใจ คงไม่ต้องคิดให้มากว่าจะดีวิเศษอย่างไร ผมเห็นปฐวีธาตุเป็นของที่ดีที่สุดอยู่แล้ว จะหาชนิดถูกแบบอย่างนี้ก็หายาก ในเมื่อมีบรรจุอยู่ในรูปเหมือนนี้ ก็ต้องคว้าไว้ก่อน

    ปัจจุบันรูปเหมือนแบบบูชารุ่นแรกยังพอมีเหลืออยู่ที่ท่านพระอาจารย์เวทย์เจ้าอาวาสวัดแก่งตอย จำนวนที่เหลืออยู่เข้าใจว่าราว 30 องค์ ทราบว่าทางวัดยังคงอัตราค่าบูชาไว้เท่าเดิม คือ 1,500 บาท ถ้าจะว่าแพงก็จงดูความละเอียดประณีตของงานก่อนเถิด ทั้งผง ทั้งเส้นเกศา ทั้งปฐวีธาตุชนิดถูกแบบล้วนมีอยู่ในพระรุ่นนี้อย่างสมบูรณ์ (บทความนี้เขียนไว้หลายปีแล้ว) ที่สำคัญ ราคานี้หลวงปู่คำพันเป็นผู้ตั้งเอง

    ปัจจัยทั้งหมดหาได้ตกอยู่กับใครไม่ แม้แต่หลวงปู่คำพันผู้เป็นองค์เสก แต่จะเป็นทุนในการบูรณะวัดแก่งตอย ซึ่งเป็นวัดร้างมาเนิ่นนานในอดีตให้กลับเจริญรุ่งเรืองใช้ประโยชน์ได้สมเป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา

    ได้ทั้งของดี ได้ทั้งบุญ จะเอาอย่างไรอีก

    ใครคิดว่าจะบูชามาเพื่อแกะปฐวีธาตุออกแขวนผมก็ไม่ว่ากัน

    สมัยก่อนที่ คุณอำพล เจน อนุญาตให้บริเวณบ้านเป็นสนามลองพระอยู่นั้น ได้มีการหยิบยกเอาปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันชนิดไม่ถูกแบบมาทดสอบให้เห็นจริง โดยระบบ
    “ยิง” ซึ่งเป็นระบบพิสูจน์ให้เห็นจริงกันได้จะจะตา

    คุณอำพลไม่ได้เป็นคนยิง ผู้ยิงเป็นตำรวจแม่นปืน แต่แม่นปืนก็ยังไม่ชัวร์ จึงต้องเอาปืนจ่อปฐวีธาตุในระยะ
    “เผาขน” ปากกระบอกปืน ห่างจากปฐวีธาตุไม่เกิน 1 นิ้ว เรียกว่าใครดีใครอยู่

    ก่อนจะกดเปรี้ยงลงไป

    ผลคือลูกปืนแฉลบผ่านองค์ธาตุไปได้อย่างน่าประหลาด ซึ่งในระยะจ่อยิงขนาดนั้น อย่าว่าแต่ปฐวีธาตุเลย ให้ยิงเด็ดหนวดยุงตัวผู้ก็คงไม่พลาด เป็นที่ประจักษ์ว่าคง
    อานุภาพด้านแคล้วคลาดกันภัยได้จริง

    แม้ว่าปฐวีธาตุก้อนนั้นจะเป็นชนิดไม่ต้องตามตำราก็ตาม

    แล้วถ้าถูกต้องตามตำราเล่า

    ผมแนะนำได้เพียงเก็บรูปเหมือนเนื้อว่านรุ่นแรกนี้ไว้เถิด ถ้าใจเย็นนัก อาจต้องเสียความรู้สึกในวันหนึ่งข้างหน้า ดังที่ผมเคยเสียมาแล้ว เพราะตอนออกใหม่ๆ ไม่ได้เช่าบูชาไว้ คราวหนึ่งเดินทางขึ้นอุบลฯ ไปพักที่โรงแรมเดอะรีเจนท์ พบว่าในห้องล็อบบี้ของโรงแรมมีศูนย์พระเครื่องขนาดเล็กอยู่ด้วย จึงเดินเข้าไปชม เห็นมีรูปเหมือนรุ่นนี้วางอยู่สององค์ องค์หนึ่งลงรักเสียดำปี้ดเข้าใจว่าคงไม่สวยจึงลงรักทับ อีกองค์สวยงามสภาพเดิม

    ผมเลยลองถามดูปรากฏว่าองค์สวย 3,000 บาท องค์ไม่สวย 2,000 บาท อื้อฮือ ! ขนาดอยู่ห่างบ้านคนสร้างไม่เท่าไหร่ เรื่องนี้สองปีมาแล้วนะครับ

    รีบตัดสินใจเด้อ...
    ขอให้พ้นสงครามโดยทั่วกัน...
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--><!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--><!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
     
  7. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
  8. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    “ปฐวีธาตุ” ที่สุดแห่งขลังของ หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ ภาค 2
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์


    ในศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 341 เมื่อต้นปีที่แล้ว ผมได้เคยเรียนให้ทราบถึงความเป็นมาและอานุภาพของ “ปฐวีธาตุ” มรดกขลังที่น่าอัศจรรย์ในพุทธคุณของหลวงปู่คำพัน ผู้เป็น “เพชรบนยอดมงกุฏ” แห่งเมืองนครพนม
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->หลายท่านขวนขวายหาจนน่าเห็นใจในความศรัทธา บ้างบุกบั่นฟันฝ่าไปขอกับหลวงปู่ถึงนครพนม ครั้นท่านว่าที่ท่านไม่มี แต่ไปมีอยู่ที่ศิษย์เอกคือ ท่านพระอาจารย์เวทย์ อาจารสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดแก่งตอย เมืองอุบลฯ ก็โลดแล่นไปพบจนถึงที่ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเพราะหมด

    หมดกระทั่งเม็ดสุดท้ายในย่าม

    องค์สุดท้ายนั้นเป็นของเฉพาะที่หลวงปู่คำพันมอบให้ท่านพระอาจารย์เวทย์กับมือ ท่านจึงเก็บรักษาดังแก้วตาดวงใจ ไม่มีของขลังอื่นใดนอกจากปฐวีธาตุในย่าม คิดดู...แต่แล้วก็มาถูกควักดวงใจไปอีก “ให้” ด้วยความเมตตาที่ไม่มีประมาณของท่านแท้ ๆ

    ต้นเหตุคือผมหรือเปล่าหนอ?

    ก็เพราะมีคนหูดีตาถึงออกเสาะหากันมาก ท่านพระอาจารย์และคณะจึงหารือร่วมกัน และเห็นพ้องไปในทางเดียวไม่มีทางแยก คือ ติดตามล่าหาปฐวีธาตุกันอีกสักครั้ง

    ข่าวการอาพาธที่เริ่มหนักหน่วงขึ้นทุกทีของหลวงปู่คำพัน เป็นดังพลังมหาศาลที่ผลักดันให้คณะค้นหาปฐวีธาตุ เร่งมือกระชั้นเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่มีใครหยั่งรู้อนาคตได้แน่นอน จึงจำเป็นยิ่งที่ต้องรีบทำกิจอันควรให้เสร็จเสียโดยไว ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกิน

    ทว่าการหาปฐวีธาตุไม่ใช่ของง่ายสะดวกดายดังที่เคยเล่าให้ฟังมาแล้วว่ายากเพียงใด น้ำในแม่น้ำโขงทั้งเชี่ยว ทั้งเย็น จึงเป็นอุปสรรคต่อการควานกรวดโดยรวมขึ้นมาแล้วต้องแยกแยะขุ่น-ใสออกจากกัน ก่อนจะถึงขั้นตอนคัดก้อนใสที่ไม่บิ่น, ไม่แตก, ไม่ร้าว อีกที

    ท่ามกลางกระแสน้ำที่เย็นยะเยือกแต่เบื้องบนคือแดดที่แผดเผา คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กลั่นกรองทีมงานให้งวดคน ท่านพระอาจารย์เวทย์จึงจำต้องใช้ปัจจัยหรืออีกนัยก็คือ “เงิน” ดี ๆ นี่แหละ เข้าไปเชิญชวนคนขยันมาร่วมกันขุดค้นของที่หายากที่สุดในแผ่นดิน

    คณะล่าปฐวีธาตุทำงานกันอย่างแข็งขัน-ใส่ใจ ครั้นลุถึงกลางปี 40 ก็หาปฐวีธาตุได้เป็นจำนวน 1,000 ก้อนพอดิบพอดี ฟังดูเหมือนว่าจะเยอะ แต่ถ้าให้นับกรวดต่าง ๆ ที่ควานขึ้นมาเพื่อเฟ้นหาแล้ว ปรากฏว่าใช้ไม่ได้ต้องทิ้งไป...เปรียบมวยกันละก็

    ปลาซิวกัดกับปลาบึกนั่นแล

    หากว่าการหากรวดในลำน้ำโขงเป็นงานยากดุจกำฝุ่นโต้ลม แล้วทำไมจึงไม่เสาะหาเอาจากแหล่งน้ำต่าง ๆ เล่า เรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะเกี่ยวพันไปถึงผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตา ได้ปรารภกับหลวงปู่เอาไว้

    คราวหนึ่งที่หลวงปู่กำลังนั่งภาวนา ปรากฏมานพหนุ่มขึ้นในท่ามกลางสมาธิ ชายผู้นั้นกล่าวเชิญชวนหลวงปู่คำพันให้ไปยังดินแดนซึ่งตนอาศัยอยู่ด้วยความเคารพยิ่ง หลวงปู่ก็หาขัดไม่ กำหนดจิตตามผู้นิมนต์นั้นไปด้วยอาการอันสงบ ปรากฏว่าบุรุษนั้นพาท่านมาเหนือลำน้ำสายใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งท่านคุ้นตาเป็นที่สุด จิตของท่านบอกกับตัวเองว่านี้คือแม่น้ำโขง ก่อนที่ท่านจะดำดิ่งลงสู่ใต้น้ำ

    เมื่อถึงจุดหนึ่งในแม่น้ำ หลวงปู่ได้พบวัตถุบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกรวด แต่เปล่งแสงเรืองรองออกเป็นประกายพรึกดังเพชรลูก ระยิบระยับเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วท้องน้ำ ชายลึกลับได้เรียนให้หลวงปู่ฟังว่า ของนี้มีพลังอยู่ในตัว แต่ขอให้หลวงปู่เก็บเอาไปเพื่ออธิษฐานจิตอีกครั้ง แล้วสิ่งนี้จะกลายเป็นวัตถุมงคลที่มีอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง

    และกราบเรียนหลวงปู่เสียด้วยว่า มนุษย์คนใดก็ตามที่มีศีลธรรมได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในของมงคลนี้ไว้โดยชอบแล้ว พวกเขาจะขึ้นจากดินแดนข้างล่างมาคุ้มครองทุกคนที่มีวัตถุนี้อยู่กับตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติ

    เรียกว่า 1 ต่อ 1 เลยทีเดียว

    ครั้นหลวงปู่คำพันออกจากสมาธิ ท่านก็มาลำดับเรื่องราวที่ได้พบเห็น แล้วในวันที่ว่างจากภาระท่านก็เดินทางไปดูสถานที่ที่จิตท่านมาหยุดชม “วัตถุประหลาด” น่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่ท่านเสาะหาทำเลนั้นจนพบ อีกทั้งทิวทัศน์รอบ ๆ ยังเหมือนกับที่ท่านได้เห็นในนิมิตทุกประการ

    ผิดกันตรงไม่มี “วัตถุประหลาด” นั้นแม้เงา

    ก็อาจเป็นไปไดที่ “สิ่งนั้น” จะอยู่ต่ำใต้กระแสน้ำลึกลงไปจนสามัญชนไม่อาจล้วงควักกันให้เพลินมือ หลวงปู่จึงขยายพื้นที่ในการสืบค้นต่อไป แล้วท่านก็ได้พบแหล่งของ “กรวดมหัศจรรย์” นั้นจริง ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากจุดหมายในคราวแรก รุ่นหนึ่งนั้นจึงถือได้ว่าท่านดำเนินการเองโดยตลอดตั้งแต่เก็บจนถึงเสก

    น่าแปลกที่ไม่มีใครสามารถย่ำรอยเดิมของท่านได้อีก ไม่ว่าจะขุดคุ้ยสักเท่าไร ณ ที่แห่งนั้นก็ไม่มีกรวดที่ต้องตามตำราให้เก็บอีกเลย “เขา” มาเอาคืนไปหรือเรือดูดทรายมันมาเอาไปก็ไม่รู้

    แต่ที่แน่ ๆ คณะของท่านพระอาจารย์เวทย์แทบจะพลิกท้องน้ำขึ้นหาสิ่งดังกล่าว ความอุตสาหะเช่นนี้แม้ผมก็ไม่อาจทำได้ จึงยอมเป็นคนเห็นแก่ตัวนอนคอยแม่นกเอาเหยื่อมาป้อนใส่ ท่านผู้อยู่ใต้ลำน้ำโขงนั้นอยากจะมาคุ้มครองคนหลังไม่สั้นเช่นผมไหมนี่ ?

    พูดถึงผู้อยู่ต่างภพต่างภูมิในลำน้ำโขงนั้นจะเป็นใครกัน ผมก็ไม่อาจบ่งชัดลงไปได้ ทราบเพียงหลวงปู่คำพันปรารภถึงท่านผู้เป็นเจ้าของกรวดว่า

    “นาค เป็นผู้ที่มีสามธาตุ จึงมีฤทธิ์มาก สามารถคุ้มครองผู้บูชาปฐวีธาตุนี้ได้” !!


    ในกลางปี 40 ที่ท่านอาจารย์เวทย์ได้ปฐวีธาตุชนิดถูกแบบจำนวน 1,000 องค์ มาแล้วนั้น ก็ปรากฏว่าไม่อาจนำขึ้นถวายให้หลวงปู่คำพันแผ่เมตตาให้ได้ เพราะหลวงปู่มีอาการอาพาธเป็นอันมากด้วยวัยที่ชราภาพถึง 82 ปี ความเมตตาที่ทำให้ท่านต้องไปในงานนิมนต์แทบทุกงานทั้งไกล-ใกล้ ต้องรับแขกซึ่งหลั่งไหลมาจากทุกทิศานุทิศ ณ วัดธาตุมหาชัยทุกวัน ๆ

    สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบั่นทอนสุขภาพของท่านให้ทรุดโทรมลง ความกตัญญูต้องมาเป็นที่หนึ่ง ท่านอาจารย์เวทย์จึงต้องระงับการเสกเอาไว้ เฝ้าดูแลพระอุปัชฌาย์จนมีอาการดีขึ้น กระทั่งมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์พร้อม จึงได้ขอโอกาสนำปฐวีธาตุเข้าถวาย ซึ่งหลวงปู่ก็รับไว้ด้วยความยินดีในของที่ถูกต้องตามตำราทุกประการ

    ปฐวีธาตุชุดนี้นับแต่วันที่ท่านรับไว้เสกจนถึงวันที่ท่านคืนให้ เบ็ดเสร็จได้ 4 เดือน

    เลยไตรมาสเสียอีก

    การเดินทางอันยาวนานบนเส้นทางขลัง ปฐวีธาตุจัดได้ว่าเป็นมงคลวัตถุที่น่าทึ่งทั้งในความเป็นมา และพลังงานอันไร้ขอบเขตในตัวเองซึ่งยากจะหาสิ่งใดมาทัดเทียม นับแต่ท่านเจ้าคุณนรฯ แห่งวัดเทพศิรินทรฯ ได้ประกาศในคุณานุภาพของปฐวีธาตุ ล่วงมาจนถึงหลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ของนั้นแม้น่าไขว่คว้าแสวงหา แต่ก็ไม่น่าจะคว้าพอ ๆ กัน

    ใครเล่าจะยืนยันได้ว่า กรวดนี้ ก้อนนั้น มีพุทธคุณอยู่จริง ใครเล่าที่ครอบครองของแท้อยู่ในมือแล้วจะปล่อยให้หลุดหาย

    ดังนั้นเรื่องของปฐวีธาตุที่ว่า “กันนิวเคลียร์และกันไฟได้” ดังคำท่านเจ้าคุณนรฯ กำชับ จึงเป็นเพียงฝันของผู้ศรัทธา

    แต่วันนี้เรามีคนทำความปรารถนาให้เป็นจริง ปฐวีธาตุ 500 องค์ ใน 1,000 องค์ถูกแบ่งออกนำถวายท่านผู้ทรงคุณธรรมสูงท่านหนึ่ง อีก 500 องค์ ท่านอาจารย์เวทย์ยังคงเก็บรักษาไว้ ครั้นแบ่งปันในหมู่ศิษย์ที่เป็นกำลังสำคัญให้ท่านแล้ว ก็ยังมีเหลืออยู่ราว 400 องค์เศษ

    ตรงนี้แหละที่จะเป็นของเรา

    เมื่อผมคุยกับท่านอาจารย์ถึงปฐวีธาตุ 400 องค์ ว่าจะทำอย่างไร ท่านได้กล่าวว่าในวันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 นี้ ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมากร หรือ หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ มีเมตตานำกองผ้าป่าซึ่งท่านเป็นองค์ประธาน ไปทอดถวาย ณ วัดบ้านวังแคน ต.โพธิ์ไทร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งพระสงฆ์ที่นั่นจะเป็นผู้รับจตุปัจจัยกับกองผ้าป่า และ 1 ในคณะสงฆ์นั้นก็มีท่านอาจารย์เวทย์รวมอยู่ด้วย เพราะวัดบ้านวังแคนเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน

    ที่สำคัญเหนืออื่นใดปัจจัยทั้งหมดที่ได้จากการนี้ ท่านจะมอบให้กับการศึกษาอำเภอพิบูลมังสาหาร เพื่อเข้ามูลนิธิพัฒนาเด็กเรียนดี ซึ่งมีความประพฤติดีแต่มีฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่ไม่อาจส่งเสียให้เรียนต่อได้ทั้งที่มีปัญญาถึงพร้อม ก็ต้องลาออกอย่างน่าเสียดายในอนาคตซึ่งควรจะไปได้ไกลว่าที่เป็นอยู่

    ท่านอาจารย์เวทย์จึงตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือโอบอุ้มเด็กเหล่านั้น ให้มีการศึกษาต่อไปเท่าที่สติปัญญาเขาจะเอื้ออำนวย เพราะเหตุนี้ท่านจึงต้องการปัจจัยไปเพื่อให้เด็ก ไม่ใช่เพื่อให้ท่าน และด้วยน้ำใจอันงาม ท่านจึงคิดตอบแทนผู้ร่วมทำบุญโดยจะมอบปฐวีธาตุให้กับทุกท่านที่บริจาคปัจจัย

    ผมตาเหลือก

    ก็ท่านจะให้ทุกคนที่ทำบุญ หมื่นนึงก็ให้ พันถึงร้อยก็ให้ แล้วถ้าเขาทำสิบ-ยี่สิบท่านก็ให้ ผมถามหน่อยว่าท่านจะเอาที่ไหนมาแจกหนักหนา ถ้าผมทำ หมื่นบาทได้รับ 1 องค์ ไปนั่งคุยกับใครก็ไม่รู้ถืออยู่ 1 องค์ ผมถามว่าบริจาคไปเท่าไร เขาตอบ 50 บาท

    ผมจะรู้สึกอย่างไร ?

    มันมีข้อเหลื่อมล้ำอย่างนี้เอง ที่สำคัญถ้าให้บูชาองค์ละร้อย ปฐวีธาตุมี 400 องค์ จะได้ปัจจัย 40,000 บาท ตั้งกองทุนด้วยเงินสี่หมื่นอย่างไรได้ นักเรียนคนหนึ่งมีค่าเทอม, ค่ารถ, ค่าอาหาร, ค่าหนังสือ, ค่าอุปกรณ์การศึกษา เช่น ดินสอ, ไม้บรรทัด ฯลฯ และอีกมากมายที่คนเคยเรียนหนังสือมาก่อนจะทราบได้ดี

    เพียงนักเรียนมีสัก 50 คน เงิน 40,000 จะฉุดลากไปได้แค่ไหนกัน ?

    ผมกราบเรียนท่านไปอย่างนี้ ท่านก็นิ่งเงียบ ผมทราบในใจท่านดีว่า ท่านไม่ประสงค์จะให้เช่าหากท่านอยากจะตอบแทนใครก็ได้ที่มีเมตตาต่อเด็กยากจน ท่านมีน้ำใจของท่านอย่างนี้แต่ไหนแต่ไร

    ทว่า โปรดเข้าใจสักหน่อยเถิด ปฐวีธาตุเป็นของหาง่ายกระนั้นหรือ ก่อนจะได้มาท่านทุ่มเททั้งค่าแรง ค่ารถ ฯลฯ และแม้แต่องค์เสกคือหลวงปู่คำพัน กว่าท่านจะยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้ กว่าท่านจะเข้าถึงข้อบังคับในตำราที่ระบุไว้ ท่านเพียรสักแค่ไหนเล่า ?

    ผมคิดถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจที่จะบอกว่า ผมขอความกรุณาให้ท่านร่วมเป็นกรรมการทอดผ้าป่าสามัคคี กองละ 1,000 บาท โดยจะใช้ทุนส่วนตัวของท่านเอง หรือบอกบุญหมู่เพื่อนก็ไม่ว่ากัน แต่ทุก ๆกอง เราจะมอบปฐวีธาตุชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการให้ 1 องค์

    ณ เวลานี้ อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ปฐวีธาตุจะถือกำเนิดขึ้นในโลกโดยน้ำมือของหลวงปู่คำพัน พระมหาเถระที่แข็งกล้าในวิปัสสนาญาณแห่งลุ่มน้ำโขง เพราะความชราภาพของหลวงปู่ประการหนึ่ง และเพราะค่าใช้จ่ายบวกกับความลำบากเหลือแสนเพื่อการเสาะหาประการหนึ่ง

    หากจะดุด่าเฆี่ยนตีผมทางใจ โปรดทบทวนสักนิดเถิดครับว่า ปัจจัยทุกบาททุกสตางค์คือท่านได้ร่วมทำบุญกับหลวงปู่คำพันและท่านพระอาจารย์เวทย์ โดยมอบความรู้ให้แก่เด็กด้อยโอกาส ซ้ำท่านยังได้ “ของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่” ดังคำกล่าวของหลวงปู่ไปบูชา

    ไม่คุ้มหรือครับ

    ผมเชื่อว่าท่านที่เห็นความสำคัญของการให้การศึกษาต่อเด็กมีอยู่ ได้เวลาที่ท่านทั้งหลายจะขวนขวายสร้างมหากุศลกันอีกแล้วล่ะ

    ผมเป็นแต่เพียงผู้บอกครับ

    หมายเหตุ : บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
     
  9. อนันตภพ

    อนันตภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +2,969
    ขอบูชา
    1. พระนาคปรกอธิษฐานเนื้อเกษร พิเศษฝังตะกรุด1องค์
    2. พระนาคปรกอธิษฐานเนื้อเกษร 1 องค์ ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2012
  10. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    อนุโมทนาด้วยครับ
    วันนี้คุณสุธันย์ สุนทรเสวีแวะมาหาที่บ้าน
    คุณสุธันย์ทราบว่า ผมช่วยวัดสร้างศาลาอยู่
    เลยนำล๊อกเก็ตหลวงปู่มั่นที่คุณสุธันย์สร้างเองตั้งแต่ปี51
    สร้างแค่220องค์
    แต่นำมามอบให้ผมเพื่อมอบให้ผู้ร่วมบุญ
    40องค์ครับ
    เดี๋ยวถ่ายรูปได้เมื่อไหร่จะลงกระทู้แยกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ขออนุโมทนาบุญนะคะ พระปรกอธิษฐานกดมืองามจริงๆค่ะ
     
  12. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ด้วยความยินดีครับ

    อนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  13. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    “ปฐวีธาตุ” ที่สุดแห่งขลังของ หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ ภาค 3
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์


    ตั้งแต่เรื่องราวของปฐวีธาตุในองค์หลวงปู่คำพัน ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้ศรัทธานำไปสักการะบูชากันมากมาย บ้างก็ประสบเหตุน่าพิศวงจนยากจะหาคำตอบ บ้างก็พบกับปรากฏการณ์ที่เรียกศรัทธาความเลื่อมใสในอิทธิคุณของปฐวีธาตุและองค์หลวงปู่คำพันให้ยิ่งขึ้นไปอีก

    และไม่น้อยเช่นกันที่บูชาแล้วยังเงียบขรึมไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นระทึกใจ เคยมีศิษย์คนหนึ่งกล้าออกปากถามหลวงปู่เอาตรง ๆ ว่า บูชาพระหลวงปู่มาตั้งนานแต่ไม่เห็นมีประสบการณ์อะไรเลย ท่านตอบศิษย์อย่างเป็นธรรมโดยแท้ว่า

    “ไม่มีประสบการณ์นั่นแหละคือประสบการณ์”
    ฟังแล้วก็ได้คิดว่าเหตุใดครูบาอาจารย์จึงบอกว่าแคล้วคลาดนั้นดีที่สุด ไม่เจ็บตัว และไม่เจ็บใจ เพราะอาศัยความเคารพในพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งมีหลวงปู่คำพันเป็นที่สุดนั้นเองเป็นเหตุให้เกิดบุญกุศลขึ้น และพลังของบุญกุศลนี้ก็ผลักดันให้เรื่องไม่ดีหายสิ้น ที่หนักก็เป็นเบา ที่เบาก็หมดไป

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เคยบอกว่า การที่เราเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยโดยมีการกราบไหว้บูชาหรือระลึกถึงอยู่นั้น อย่าเข้าใจว่าเป็นของเล็กน้อย แต่เป็นบุญอันมหาศาลในทุก ๆ ครั้งที่นึกถึงพุทโธอยู่

    ผมจึงมีความเห็นว่า ใครก็ตามที่ได้ครอบครองแล้วซึ่งปฐวีธาตุ ขอจงได้หมั่นทำการสักการบูชา จงให้ความเคารพบูชาจากใจจริงเถิด เชื่อว่าไม่ช้าท่านก็ได้ประจักษ์ชัดกับคุณานุภาพที่แฝงเร้นอยู่ในปฐวีธาตุอย่างน่าอัศจรรย์

    พลังงานซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดและปราศจากขอบเขตของปฐวีธาตุ อันเกิดจากกระบวนการอธิษฐานทางจิตที่ซับซ้อนของหลวงปู่คำพัน ผนวกกับจิตวิญญาณซึ่งประมาณจำนวนไม่ได้ในผู้เป็นเจ้าของเดิมอยู่ก่อน ได้สร้างประสบการณ์ซึ่งยากจะหาคำตอบให้กับผู้มีปฐวีธาตุอยู่ในมือหลายต่อหลายครั้ง จนหลวงปู่คำพันถึงกับออกปากว่า

    “ที่หลวงปู่เป็นที่รู้จักของลูกศิษย์จำนวนมาก ก็เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของปฐวีธาตุ”


    จึงไม่น่าแปลกใจที่ท่านเคยปรารภว่า “ปฐวีธาตุเป็นของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่” ผู้ที่ได้จงภูมิใจเถิดเพราะท่านกำลังครอบครองซึ่งของสูงค่าในทุก ๆ ทางอยู่ในมือ ด้วยมงคลวัตถุนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายดาย เมื่อเปรียบกับสิ่งสักการะทั้งหลายในโลกของวัตถุมงคล

    คิดดูแล้วกันว่าแม้แต่หลวงปู่คำพันเอง ท่านก็ยังนำเอาปฐวีธาตุนี้แช่น้ำสะอาดตั้งบูชาไว้ในที่สูง และเมื่อท่านจะทำน้ำมนต์ก็ดี อธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องของขลังใด ๆ ก็ดี ท่านจะต้องนำปฐวีธาตุมาอธิษฐานประกอบตลอดเวลาทุกครั้งไป

    สำคัญไหมเล่า ?

    ท่านทำประดุจว่าในความเป็นปฐวีธาตุนั้นมี ‘ธาตุรู้’ อะไรบางอย่างสิงสถิตอยู่ ‘ธาตุ’ ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง แปลกแยกออกไปจากรูปเหรียญต่าง ๆ ของหลวงปู่ที่เป็นเพียง ‘ภาชนะ’ บรรจุคุณ

    ผมค่อนข้างเชื่อมั่นว่า ปฐวีธาตุต้องมีอะไรที่ลึกลับเกินปุถุชนอย่างผมจะเข้าไปรู้ได้ซุกซ่อนอยู่ภายใน สิ่งซึ่งไม่มีในวัตถุมงคลทั่วไป และสิ่งนี้เองที่ทำให้ปฐวีธาตุเป็นวัตถุมงคลที่ยิ่งกว่าวัตถุมงคล

    เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 คุณเสถียร จิยะพงศ์ พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ จ.เชียงใหม่ ได้ส่งจดหมายพร้อมหลักฐานไปถึงท่านพระอาจารย์เวทย์ อาจารสัมปันโน ที่เมืองอุบลฯ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกที่พบได้ยากจึงขอนำมาลงให้อ่านโดยทั่วกัน

    -----------------------------------------------------------------------------

    นมัสการท่านพระอาจารย์เวทย์
    เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ค่อนรุ่งของเช้าวันอาทิตย์ กระผมได้ฝันว่าไปในสถานที่หนึ่ง ได้ก้มลงเก็บปฐวีธาตุใส่ในกระเป๋าเสื้อ แต่สะดุ้งตื่นเสียก่อนด้วยความเสียดายที่เก็บไม่หมด พอมาทำงานเช้าวันจันทร์ที่ 14 ก.ค. เพื่อนร่วมงานคือ นายนาวิน เอื้อพิทักษ์ ซึ่งได้บูชารูปเหมือนของหลวงปู่คำพันองค์ละ 1,500 บาท ได้เล่าให้ฟังว่า เขาได้แกะเอาปฐวีธาตุที่อยู่ใต้รูปเหมือนไปทดลองยิง โดยขอร้องให้รองสวป. สภอ.เมืองเชียงใหม่ คือ ร.ต.อ. วชิระ แพงไทยสง ทำการยิงในระยะ 2 เมตรด้วยปืน .38

    โดยขออนุญาติทางจิตต่อหลวงปู่ว่าจะทำการยิงเพียง 1 นัด เมื่อนำองค์ปฐวีธาตุใส่กล่องกำมะหยี่สีเขียวแล้วตั้ง ทำการยิงพอกระสุนระเบิด ปรากฏว่ากล่องกระเด็นจากที่ตั้ง แต่ไม่ปรากฏรอยกระสุนเลย จึงนำองค์ปฐวีธาตุออกจากกล่องแล้วทำการยิงอีก 2 นัด ผลออกมากระสุนทะลุทั้ง 2 นัดตามที่กระผมได้ส่งมาให้พระอาจารย์ดูพร้อมจดหมายฉบับนี้

    สิ่งที่บุคคลทั้งสองทำการทดลองยิงนั้น กระผมไม่แปลกใจเท่าไร เพราะอย่างไร ๆกระผมก็เชื่อว่าองค์ปฐวีธาตุมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว แต่มีสิ่งแปลกและมหัศจรรย์เกิดขึ้นก่อนการทดลองนั้นซิครับน่าสนใจจริง ๆ

    ในตอนเช้าขณะที่นายนาวินกำลังแกะองค์ปฐวีธาตุจากรูปเหมือนของหลวงปู่ที่อยู่ใต้ฐาน และได้ฟังเพลงจากเทปจนหมดเพลงสุดท้ายแล้ว ปรากฏมีเสียงผู้ชายพูดขึ้นว่า

    “ช่วยไม่ได้”

    พร้อม ๆ กับองค์ปฐวีธาตุหลุดจากใต้ฐานรูปเหมือนของหลวงปู่ ทำให้นายนาวินตกใจที่มีเสียงพูดเช่นนั้นอยู่ในเทปได้อย่างไร เมื่อกรอเทปนั้นฟังใหม่ ก็หาคำพูดคำดังกล่าวไม่พบเลย ซึ่งเทปม้วนนั้นกระผมก็ได้ทดลองเปิดฟังแล้วครับ แล้วยังมีเหตุการณ์ต่ออีก เมื่อนำองค์ปฐวีธาตุมาส่องดูว่าแสงทะลุผ่านหรือไม่ องค์ปฐวีธาตุเกิดหลุดจากมืออีกหาไม่พบ จึงได้อาราธนาพระคาถาของหลวงปู่บุดดาที่ใช้หาหรือขอของที่หาย จึงได้หาพบครับ

    ด้วยเหตุดังกล่าว คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหลือเชื่อ ซึ่งเทพเทวดาที่ดูแลคงไม่ปรารถนาจะให้ทำการทดลองจึงมาบอกเหตุล่วงหน้า แต่ไม่สามรถทัดทานได้ จึงมีคำพูดออกมาจากเทปดังกล่าวข้างต้น กระผมจึงมีความปลื้มใจที่ทำให้เขาได้มีความเคารพและมีศรัทธาด้วยตนเอง

    จึงเรียนมาให้ท่านพระอาจารย์ทราบ
    นายเสถียร จิยะพงศ์

    ---------------------------------------------------------------------------

    เป็นอีกหนึ่งในหลายร้อยเรื่องราวปาฏิหาริย์ซึ่งเป็น ‘ปัจจัตตัง’ คือรู้จำเพาะตน ยากที่คนทั่วไปจะรู้ตามหากไม่ได้ประสบกับตนเอง ผมนึกดีใจที่คุณเสถียรและคุณนาวินจะได้บูชาปฐวีธาตุนี้ด้วยศรัทธาจากใจจริง โดยไม่มีความลังเลสงสัยมากางกั้นอีกต่อไป

    ความเห็นของผมที่ว่ามีอะไรบางอย่างแฝงเร้นอยู่ในปฐวีธาตุ นอกเหนือไปจากพลังงานธรรมชาติในตัวของเขาเองและความสามารถทางจิตของหลวงปู่ที่บรรจุอยู่

    บัดนี้มีพยานที่ 1 แล้ว

    ต่อไปจะทำการชี้ตัวพยานที่ 2 ซึ่งได้ให้ปากคำกับท่านพระอาจารย์เวทย์ เป็นจดหมายไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2541 ดังต่อไปนี้

    -----------------------------------------------------------------------------

    กราบนมัสการท่านพระอาจารย์เวทย์ที่เคารพอย่างสูง

    หลวงพี่คงจำผมได้นะครับ ผมนายสมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล ที่เคยได้รับเมตตาจากหลวงพี่ส่งปฐวีธาตุให้ผม หลังจากที่ได้รับปฐวีธาตุจากหลวงพี่ ผมก็นำเรื่องไปเล่าให้พี่ชายภรรยาฟัง พี่ชายภรรยาก็บอกผมว่าเดี๋ยวนี้หลงงมงายถึงขนาดไหว้ก้อนหินแล้วหรือ ผมก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองคือ ชักท้อถอยเพราะถูกตำหนิดูแคลน

    ผมจึงอธิษฐานต่อปฐวีธาตุในบางคืนก่อนนอนบางครั้งผมก็นำมาไว้ในฝ่ามือนั่งสมาธิด้วย ก่อนนอนก็นำไว้ใต้หมอน ทุกครั้งที่หนุนศรีษะนอนผมก็จะฝันถึงเมืองบาดาลบ้าง เมืองอะไรคล้าย ๆโลกอื่นบ้าง ผมจึงนำเรื่องไปเล่าให้ลูกศิษย์ของอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ ฟังซึ่งอาจารย์เป็นศิษย์ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ศิษย์ของอาจารย์ศุภรัตน์บอกว่า ไหน ๆ ก็ไม่แน่ใจในปฐวีธาตุว่าเป็นก้อนหินธรรมดาหรือไม่ ก็อยากจะขอปฐวีธาตุไปป่นเป็นผงผสมในมวลสารที่อาจารย์ศุภรัตน์กำลังสร้างพระเครื่องอยู่พอดี

    ในคืนวันที่ 20 มี.ค. 2541 ผมจึงนำปฐวีธาตุมาอธิษฐานว่า มีคนมาขอท่านไปทำมวลสาร มีคนดูแคลนผมว่านับถือก้อนหิน และที่ฝันเห็นก็ไม่มีอะไรยืนยันความจริง ผมขอตั้งจิตต่อท่านว่า ถ้าคืนนี้ความฝันไม่มีอะไรแน่ชัด ผมจะมอบปฐวีธาตุให้คนอื่นไปทำมวลสารสร้างพระเครื่องแล้วนะ

    คืนนั้นเอง ผมก็เห็นมานพหนุ่ม 2 คน มาปรากฏกายต่อหน้าผม ในความรู้สึกผมรู้ว่าชายทั้งสองคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า

    อย่ามอบปฐวีธาตุให้คนอื่นไป แต่จงหาพระธาตุมาบูชาคู่กันกับปฐวีธาตุเป็นระยะเวลาหนึ่ง พออายุมากกว่านี้จะถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่แต่ไม่ใช่ขณะนี้ และความเคลือบแคลงสงสัย หรือการถูกผู้อื่นดูถูกดูแคลนนั้น ขอให้หายสงสัยได้เลย เพราะปฐวีธาตุนี้เป็นสิ่งที่เราเหล่ามานพและคนธรรพ์ใช้เป็นสื่อติดต่อกับมนุษย์ได้ และเพื่อยืนยันว่าเป็นความจริง เราจะบอกเลข 3 ตัวให้และเลข 3 ตัวนี้จะออกในวันที่ 1 เมษายน ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องกลับ ไม่ต้องเผื่ออะไรทั้งสิ้น”

    พอชายหนุ่มท่านนั้นพูดมาถึงตรงนี้ ผมจึงถามว่า

    “ท่านมาจากที่ใด”

    ชายคนนั้นตอบว่า

    “เรามาจากบ้านเลขที่ 5 ทับ 6 หมู่ 3”

    ผู้ชายที่มาด้วยกันอีกคนหนึ่งกล่าวว่า

    “อ้าว! ท่านไม่ใช่มาจากบ้านเลขที่ 5 ทับ 6 หมู่ 1 ดอกหรือ”

    ชายคนแรกพูดว่า

    “บอกแล้วว่า เรามาจากบ้านเลขที่ 5 ทับ 6 หมู่ 3 แล้วอย่าลืมว่านี่คือข้อพิสูจน์ ไม่ต้องกลับ ไม่ต้องเผื่อใด ๆ ทั้งสิ้น”

    พอถึงตรงนี้ผมก็ตกใจตื่นและจำเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ ผมพยายามหาตามแผงขายล็อตเตอรี่ก็ไม่มีเบอร์ 563 และงวดวันที่ 1 เมษายน 2541 เลขท้าย 3 ตัว ชุดหนึ่งออก 563 ตรงเผงเลย

    นี่คือข้อพิสูจน์ถึงปฐวีธาตุว่าไม่ใช่ก้อนหินธรรมดา เพราะทุกครั้งที่เอามาหนุนใต้หมอนนอน ก็มักจะฝันถึงโลกอื่นซึ่งไม่ใช่โลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายสองคนนั้นมายืนยันว่าจะให้เบอร์ตรงเผงเป็นข้อพิสูจน์ก็เป็นจริง

    ผมจึงเขียนมาเล่าให้หลวงพี่ฟัง และหากหลวงพี่จะเมตตาผมอีก ผมขอพระธาตุเพื่อนำมาบูชาคู่กับปฐวีธาตุให้เหมือนในฝันซึ่งผมเชื่อว่าเป็นความจริง

    หวังในเมตตาธรรมของหลวงพี่ในการตอบจดหมายและในการส่งพระธาตุให้ผมบูชาคู่กับปฐวีธาตุด้วย และผมจะพร้อมยืนยันความเป็นจริงในเรื่องนี้

    ขอนมัสการลาหลวงพี่มา ณ ที่นี้ด้วยความรอคอย

    สมบูรณ์ ติยะวงศ์สกุล

    -----------------------------------------------------------------------------

    จดหมายทั้งสองฉบับนี้คือบุคคลที่มีปฐวีธาตุของแท้จากแม่น้ำโขงอยู่ในครอบครอง ควรแล้วที่จะได้พบเหตุการณ์ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงจิตวิญญาณอันนอกเหนือไปจาก คงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาด และเมตตา ซึ่งเป็นประสบการณ์ธรรมดา ที่หาได้ทั่วไปในหมู่ผู้นิยมของขลัง

    เพราะประสบการณ์ดังว่านั้นไม่เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 เลย

    เป็นเรื่องระหว่างผู้เสกกับผู้แขวนล้วน ๆ แต่ปรากฏการณ์อันเนื่องมาจากปฐวีธาตุ กลับมีใครบางคนหรืออะไรบางอย่างคอยเฝ้าดูเราอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเราไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ ทว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน ‘ผู้ดูแล’ อยู่นั้นก็ก้าวออกจากเงามืดมาช่วยเหลือเราได้ทันท่วงที

    นี่คือความอัศจรรย์ที่ไม่อาจหาได้ในวัตถุมงคลทั่วไป

    แต่คำว่า ‘โชคดี’ คงไม่อาจใช้ได้กับผู้มีปฐวีธาตุอยู่ในมือ หากเพิ่มคำว่า ‘ด้วยบุญบารมีเก่า’ ก็น่าจะสมควรอย่างหาคำแย้งได้ยาก

    สำหรับการบูชาสักการะปฐวีธาตุ ถ้าท่านไม่ได้นำติดตัวไปไหนมาไหน หลวงปู่สั่งว่าให้นำปฐวีธาตุแช่ลงในน้ำสะอาด ซึ่งภาชนะนั้นต้องเป็นของสะอาดด้วย จากนั้นก็ให้ตั้งบูชาไว้ในที่สูง จะเป็นหัวนอนที่น้ำไม่หก หรือบนโต๊ะหมู่บูชาก็ได้ทั้งนั้น

    ถ้าจะให้ดีภาชนะที่ใส่ปฐวีธาตุควรมีฝาปิด เพื่อจะได้นำน้ำสะอาดนั้นมาดื่มกินเพราะเป็นน้ำมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งยวด จะใช้พรมบ้านเรือนให้เกิดสิริมงคล หรือพรมร้านค้า-สินค้า ให้ซื้อง่ายขายคล่องก็วิเศษ

    จะเอาน้ำมนต์ใส่โอ่ง ใส่ถังผสมกับน้ำเปล่าล้างหน้าและอาบน้ำทุกเช้าก็เยี่ยม เพราะนั่นจะเป็นมงคลแก่เราได้ตลอดวัน สุดแท้แต่จะอธิษฐานเอาในทางใด

    ในวันพระหลวงปู่ให้เอาน้ำอบ-น้ำหอม และดอกมะลิมาใส่ถวายบูชา ซึ่งคาถาบูชานอกจากจะสวดสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ให้ว่าคาถาดังนี้

    “ทิตะทิรา มันทะโล กะสิลา กะละลาสติ โสจะถิโห คะนะตะเน” 3 จบเป็นอย่างน้อย จากนั้นก็ตั้งจิตระลึกถึงปู่คำพัน โฆษปัญโญ หมู่เทพยดา และพญานาคที่รักษาปฐวีธาตุอยู่ แล้วอธิษฐานเอาในสิ่งที่ปรารถนาด้วยจิตที่มุ่งมั่นต่อพระรัตนตรัยและเดชานุภาพของปฐวีธาตุจักบันดาลให้เกิดความสำเร็จได้ไม่ช้าก็เร็ว

    ขอให้ทำจริงเถิด

    นั่นเป็นพิธีการของผู้มีปฐวีธาตุอยู่แล้ว แต่คนไม่มีจะทำอย่างไร ? คงจำกันได้ที่ผมบอกไว้ในศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ 363 ว่ามีปฐวีธาตุจำนวน 500 องค์ ถูกแบ่งออกถวายท่านผู้ทรงคุณธรรมสูงท่านหนึ่ง แต่ผมไม่ได้บอกว่าใคร ที่ไม่บอกเพราะกลัวคนจะไปรุมท่านเอาจนอาพาธ แต่ตอนนี้บอกได้

    หลวงปู่คำพันนั่นแล

    ที่บอกได้ เพราะปฐวีธาตุจำนวน 300 องค์ถูกแบ่งออกจากหัวนอนหลวงปู่หลังจากผ่านการอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 7 เดือนเศษ มาสู่มือท่านอาจารย์เวทย์เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2541 นี้

    โดยเหตุผลที่ว่า คราวหนึ่งหลวงปู่ไปเยี่ยมท่านพระอาจารย์เวทย์ที่วัดแก่งตอย เมืองอุบลฯ และท่านได้เดินสำรวจบริเวณวัด เมื่อเห็นที่ดินของวัดซึ่งติดกับแม่น้ำเซบก ท่านก็บอกกับพระอาจารย์เวทย์ว่า ให้ทำกำแพงและซุ้มประตูวัดเสียเพื่อแยกอาณาเขตวัดกับของชาวบ้านให้ชัดเจน จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

    แต่ท่านอาจารย์เรียนว่า มีปัจจัยไม่พอ หลวงปู่จึงเงียบไป และในปลายเดือนมีนาคม เมื่อท่านอาจารย์ขึ้นไปเยี่ยมหลวงปู่ที่วัดธาตุมหาชัย หลวงปู่ก็ได้มอบปฐวีธาตุคืนมาให้ 300 องค์ และบอกให้นำออกบูชาเพื่อเอาปัจจัยมาทำประตูโขงต่อกำแพง ซึ่งต้องใช้เงินราว 350,000 บาท

    จำเป็นหรือที่ต้องทำ?

    ตอบได้ว่าจำเป็นมาก เพราะถ้าไม่มีกำแพงและประตูวัด ชาวบ้านอาจเข้าไปยิงนกตกปลา ล่าสัตว์ในวัด หนักไปกว่านั้นก็อาจรุกที่วัดได้ ทั้งนี้จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม

    บาปมหันต์ทั้งสิ้น

    การทำประตูและกำแพงจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดยิ่งกว่าการแก้ไข ผมจึงถือโอกาสบอกบุญมายังท่านทั้งหลาย ใครที่ต้องการบูชาปฐวีธาตุชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการ ขอให้เร่งขวนขวายคว้าเอาไว้ให้ด็ซึ่งของดีและบุญกุศลแบบนี้ทำบุญเท่าเดิมครับ องค์ละ 1,000 บาท

    ถ้าท่านมีปัจจัยพอเพียงก็ให้รีบเถิด เพราะขณะนี้หลวงปู่คงไม่ไหวที่จะเสกปฐวีธาตุต่อไปแล้ว และท่านอาจารย์เวทย์ก็คงไม่ไหวที่จะออกหาเช่นกัน

    ผมนึกถึงคำพูดที่หลวงปู่กล่าวในปี พ.ศ. 2538 ว่า

    “ปฐวีธาตุมีพลังครอบจักรวาล เมื่อใดเกิดปัญหาก็ให้อธิษฐานขอให้ช่วยได้”

    คิดถึงตรงนี้ทีไร อบอุ่นใจเหมือนมีท่านอยู่ข้าง ๆทุกที

    หมายเหตุ บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม และ 16 ตุลาคม 2541
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
     
  14. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    พออ่านตอนท้ายของบทความผมไม่แปลกใจเลย
    ทำไมหลวงปู่คำพันถึงกล่าวว่า
    “อยากได้อะไรให้อธิษฐานเอา”
    พระปรกอธิษฐานสามารถอาราธนาแทนปฐวีธาตุได้เลย
    และไม่ต้องคิดมากเหมือนการไปบูชาปฐวีธาตุจากที่อื่น
    ซึ่งปฐวีธาตุก็คือหิน ที่สามารถเก็บจากที่ไหนก็ได้
    ถ้าที่มาไม่ชัวร์จริงๆ ก็ลำบากใจที่จะห้อยครับ
     
  15. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ด้วยฤทธิ์แห่งนาค

    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

    เรื่องลึกลับในโลก โดยมากก็มักเป็นเรื่องลึกลับกันมานาน อาจจะนับได้เป็นพันปี หรือ ร้อยปี หรือสิบปี หากถึงกระนั้น ณ วันนี้เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงลึกลับอยู่ เพราะคนที่จะไขได้ย่อมต้องเป็นผู้รู้จริง แตกฉานในศาสตร์นั้น ๆ เรื่องราวนั้น ๆ จริง

    และเมื่อรู้จริงก็มักไม่ยอมพูดเสียด้วย

    เรื่องของสิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่งซึ่งยากที่คนทั่วไปจะรู้ตาม เป็นสิ่งอันยากต่อการพิสูจน์ ด้วยเพียงปรารภขึ้นว่า ‘อีกมิติหนึ่ง’ คนทั้งหลายก็ล้วนตั้งป้อมรอท่าไว้ก่อนแล้วว่ากำลังจะได้รับฟัง ‘นิยาย’

    ทว่านิยายนี้ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกของโลกก็ทรงรับรองถึงความมีอยู่จริง ในอีกมิติหนึ่งที่เราเข้าไปไม่ถึงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ปรากฏสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรูปกายอันประณีต ละเอียดเล็กจนตาเนื้อไม่อาจเล็งแลได้ดุจเดียวกับ ‘เชื้อจุลินทรีย์’ เชื้อจุลินทรีย์ก็ดี เชื้อไวรัสก็ดี เชื้อบักเตรีก็ดี ชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้นักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลกล้วนยอมรับว่ามีอยู่จริงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องมือที่ควรกันเพื่อมอง

    กล้องจุลทรรศน์จึงถือกำเนิดขึ้น

    เช่นเดียวกัน เมื่อเราอยากเห็น ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่อยู่ต่างภพภูมิก็จำเป็นต้องปรับจูนตาของเราให้มีประสิทธิภาพดีพอเยี่ยงกล้องจุลทรรศน์ เพื่อให้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น แต่มิใช่ที่ตานอก หากเป็น ‘ตาใน’ ตาในที่แจ่มใสด้วยอำนาจฌาน-ญาณ ของสมเด็จพระบรมศาสดาและพระอรหันตสาวก รวมไปถึงผู้ออกเดินในเส้นทางแห่งภาวนาทั้งหลาย สายตาย่อมแจ่มชัดกว่าปุถุชนผู้หนากิเลสทั่วไป

    ย่อมเห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายไม่อาจเห็น และแม้จะพูดว่าได้เห็นอะไร ความหนาในใจก็ยังปิดกั้นให้นั่งรับฟังได้แต่ไม่ยอมเชื่อถือ คนจึงไม่กลัวบาป เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่านรกมี อสุรกายมี เปรตมี คนจึงไม่ทำบุญ เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่าสวรรค์มี พรหมโลกมี และไม่ปฏิบัติธรรมภาวนา เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่า พระนิพพานมี ดินแดนแห่งบรมสุขมีอยู่จริง

    เหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรง ‘ห้ามพูด’
    ห้าม....แม้ว่าจะได้เห็นจริง

    ดังนั้น ปริศนาของสิ่งลี้ลับในโลกเร้นลับ จึงยังคงครองความลี้ลับต่อไปได้อย่างสง่าผ่าเผย คนผู้พยายามไขหรือชี้แจงจึงมักเป็นเพียง ‘ตัวตลก’ ในสายตาของคนทั้งโลก

    แต่ไม่เชื่อ ก็ใช่ว่าจะทำให้สิ่งนั้นไม่มี

    หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จึงให้ศิษย์ติดป้ายปริศนาอันหนึ่งไว้ในวัดข้างแท้งค์น้ำว่า

    ‘สิ่งไม่มี ไม่มีในโลก’

    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    พญานาค เป็นอีกหนึ่งสัตว์โลกที่อาศัยอยู่ด้วยบุญ บาป เช่นเดียวกับเรา เป็นผู้อยู่ในอีกมิติหนึ่งอันใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างยิ่ง จนบางคราวก็ได้ปรากฏออกมาให้พบเจอกันซึ่งก็มีทั้งโดยเจตนาและโดยบังเอิญ

    พญานาค มีด้วยกันหลายตระกูล ถือกำเนิดด้วย ‘อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก’ คือบุญที่มีบาปพัวพัน หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย เคยปรารภว่า ใครที่อยากเกิดเป็นนาคต้องอธิษฐานเอานะ ทำบุญแล้วอธิษฐานจิตให้มั่นคง แต่หากทำบุญภาวนาอย่างเดียวก็ไม่ได้เกิดเป็นนาคอีก ได้เป็นเทวดาไปเสียเมื่อตาย คนที่ได้เกิดเป็นนาคนั้น มักเป็นผู้บุญก็ทำบาปก็ทำและมีความยินดีในภพของนาค เมื่อตายลงไปบุพกรรมนั้นก็ชักนำให้ได้เป็นเกิดเป็นนาค

    นาคบางพวกมีฤทธิ์น้อย เหล่านี้จึงตกเป็นอาหารของ ‘ครุฑ’ นาคบางพวกมีฤทธิ์มาก ครุฑจับกินไม่ได้ ซ้ำดีร้ายก็ยังต้องหนีเพราะนาคมีพิษที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเพลิงกาฬ เมื่อครั้งที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต นำคณะพระกรรมฐานหลายรูปเที่ยววิเวกอยู่ในป่าลึก ครั้นถึงบึงน้ำใหญ่ในป่าแห่งหนึ่งก็ดำริกันว่าจะพักกลดภาวนากัน ณ สถานที่นี้


    แต่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว เห็นล่วงหน้าแล้วแต่ไกล ถึงสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ในบึงแห่งนี้ นั่นคือ ‘พญานาค’ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ตน นาคทั้งสามเมื่อเห็นคณะพระธุดงค์เดินทางเข้ามาใกล้ ก็ให้อัศจรรย์กับรัศมีที่รุ่งเรืองแผ่ซ่านออกมาด้วยบุญบารมี นาคทั้งสามจึงเกิดความคิดอยากทดลองกำลังบุรุษผู้มีบุญเหล่านี้ จึงพากัน ‘คาย’ พิษที่รุนแรงยิ่งลงในน้ำ จากนั้นก็พากันหลีกหนีไปซุ่มดู

    ท่านอาจารย์ใหญ่แม้เห็นดังนั้นแล้วก็นิ่งเฉยเสีย จนเดินทางมาถึงบึงน้ำจึงมีคำสั่งแก่หมู่คณะว่าห้ามตักน้ำในบึงมาใช้สอยดื่มกินเป็นอันขาด แล้วหันไปทางพระน้อยรูปหนึ่งสั่งความ ปรากฏว่าพระน้อยรูปนั้นก็ทราบมาแต่ไกลแล้วเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ใหญ่ จึงรับบัญชาอาสาไป ‘ทรมาน’ นาคมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นให้คลายพยศลดมานะ

    และท่านก็ทำสำเร็จได้ในเวลาไม่นานนัก ท่านพระอาจารย์ใหญ่จึงออกปากชมเชยถึงอำนาจจิตและคุณธรรมในพระน้อยองค์นี้เป็นที่ยิ่ง ไม่อาจทราบได้ว่าพระหนุ่มรูปนั้น ‘ปราบ’ พญานาคทั้งสามด้วยวิธีใดจนเขามายอมรับนับถือพระรัตนไตรและยอม ‘ถอน’ พิษที่รุนแรงนั้นออกจากน้ำ แต่ทราบแน่นอนว่าพระน้อยรูปนั้นชื่อ....

    พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม


    จึงเห็นได้ว่าพิษนาคนั้นมีอานุภาพมาก แม้คายลงไปผสมปนเปกับน้ำปริมาณมหาศาลก็ยังไม่อาจเจือจางได้ หากคณะท่านพระอาจารย์มั่นไม่สูงส่งด้วยอำนาจญาณ ก็อาจต้องถึงแก่มรณภาพด้วยพิษนั้น และใครจะรู้ได้เล่าว่าพระธุดงค์ก็ดี ชาวบ้านก็ดี ที่ต้องถึงแก่ชิวิตด้วยการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่งจะไม่ได้ตายเพราะพิษนาค !

    เพราะความที่อยู่บนพื้นฐานของความไม่เชื่ออย่างสุดโต่งนี้เอง จึงสันนิษฐานทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญบ้าง เป็นเหตุสุดวิสัยบ้าง เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บ้าง แม้ครูบาอาจารย์จะกล่าวเตือนหรือท้วงติงอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนมีทิฏฐิมานะสูงเหล่านั้นได้

    จนกว่าจะได้รับผลของการกระทำ

    ปัจจุบันคนทั่วโลกตื่นตัวกันมากและโจษจันไปทั่วกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ โลกร้อนขึ้น ทำให้ฝนตกหนักและตกผิดฤดู ทำให้หิมะละลาย ทำให้น้ำท่วม ทำให้แผ่นดินไหว เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ จากธรรมชาติขึ้นไม่เว้นวัน คนที่เชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ คนที่เชี่ยวชาญในภูมิศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบภูมิศาสตร์ แต่วันนี้จะขออธิบายแบบที่ผู้คนชอบเรียกกันว่า ‘ไสยศาสตร์’ แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญก็เถิด

    เป็นที่รู้กันในกลุ่มคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบทั่วไปและคนที่ศึกษาในระบบเทววิทยา ว่าเทวดาผู้ควบคุมฝนคือ พระพิรุณ และยังมีอีกพวกหนึ่งคือ นาค

    อันฝนตกนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ หาใช่การดลบันดาลจากใครไม่ แต่เชื่อไหมว่าแม้กระนั้นก็ยังมีผู้ที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลังอีกชั้นหนึ่ง การตกแบบธรรมชาติเขาก็ปล่อยให้ตกไป แต่บางคราวการตกแบบไม่ธรรมชาติ เขาก็ต้องทำ เช่น เมื่อมีการบวงสรวงร้องขอ เมื่อมีการประกอบพุทธาภิเษกสำคัญ ๆ ซึ่งอันนี้จะทำให้โปรยปรายเป็นฝอยละเอียดเพื่อเป็นศุภนิมิตถึงความชุ่มเย็น หรือตกหนักก่อนหน้าเพื่อ ‘ชะล้าง’ สิ่งสกปรกดังเช่นเมื่อตอนหลวงปู่ดู่จะปลุกเสกเหรียญเปิดโลก เป็นต้น

    ดังนั้นเรื่องลม ฝน แผ่นดิน นอกจากจะจัดว่าเป็นสิ่งอันธรรมชาติรังสรรค์แล้วก็ยังแน่นอนได้ว่ามีผู้สามารถบังคับได้ทำงานอยู่อย่างที่เราไม่รู้ไม่เห็น

    บอกแล้วว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี

    ย้อนไปในปี พ.ศ. 2472 ยังมีพระมหาเถระผู้ทรงธรรมอันเลิศอยู่ด้วยกันหลายองค์ แต่ละรูปละองค์ก็ล้วนตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นอันดี อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยอำนาจฌาน-ญาณซึ่งเกิดจากการฝึกฝนจิตอย่างชนิดที่เรียกว่า “ไม่ตายก็ให้มันดี ไม่ดีก็ให้มันตาย”

    พระมหาเถระดังกล่าวจึงนิยมในความสงบไม่พลุกพล่านวุ่นวาย ดังนั้น ภายใต้การนำของ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) พระอริยเจ้าแห่งวัดบรมนิวาส พระนคร กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพธรรม จึงนำพระภิกษุสามเณรจาริกไปยังเมืองเชียงใหม่ และได้พักจำพรรษาอยู่ ณ วัดเจดีย์หลวง ในปี พ.ศ. 2472 นั้นเอง


    ปีนั้นได้เกิดภัยแล้งแก่เมืองเชียงใหม่อย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด ทั้งชาวไร่และชาวนาต่างได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างสาหัส เพราะฝนไม่ตกเอาเสียเลยทั้งที่เข้าพรรษามานานแล้ว ทุกวันมีแต่แสงแดดแผดจ้าจนไม้ใหญ่ก็ล้มตายไม้เล็กก็ไม่ได้เกิด หนำซ้ำพืชผลที่พอได้ใช้อยู่ใช้กินก็พลอยตายกันหมดสิ้นมิพักต้องพูดถึงพืชเศรษฐกิจใด ๆ

    ความทุกข์นี้ครอบงำไปทั่วนครเชียงใหม่ไม่เว้นแม้โดยรอบปริมณฑลอำเภอต่าง ๆ เสียงพร่ำบ่นถึงความทุกข์มีให้ได้ยินกันทุกวันจนแทบกลายเป็นคำทักทาย ในที่สุดเสียงทุกข์คร่ำครวญก็ดังเข้าสู่วัดเจดีย์หลวง


    วันหนึ่งในตอนบ่าย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ได้ออกจากกุฏิมาเรียกพระอาจารย์แหวน สุจิณโณ ว่า

    “แหวน ๆ มานี่หน่อย”

    เมื่อพระอาจารย์แหวนเข้าไปหาแล้วกราบลงเป็นที่เรียบร้อย ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็สั่งความว่า

    “วันนี้ทำทางจงกรมให้หน่อยนะ ฝนแล้งเหลือเกิน จะเสก อิ ติ ปิ โส สักเจ็ดวัน เอาให้ฝนตกท่วมเมืองเชียงใหม่เลย...!!”

    ครั้นพระอาจารย์แหวนกราบลาออกมาแล้วก็ไปเรียกสามเณรมาให้ช่วยดายหญ้าปรับพื้นที่ให้นูนสูงเป็นทางเดินยาวประมาณ 30 ก้าวเดิน เกลี่ยและปรับหน้าดินข้างบนให้เรียบเนียน เสร็จแล้วก็ไปกราบเรียนให้ท่านทราบ

    และในเย็นวันนั้น เมื่อท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ สรงน้ำเรียบร้อยแล้วก็เป็นหัวหน้านำหมู่คณะไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา ครั้นเสร็จธุระจากหมู่ ท่านก็เดินตรงไปยังทางจงกรมที่พระอาจารย์แหวนรับบัญชาไปทำไว้

    จากนั้นท่านก็ขึ้นทางจงกรมพนมมือภาวนารำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อออกก้าวเดินท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็หาได้กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมบริกรรมพุทโธแต่อย่างใดไม่ หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คือ อิติปิโส ฯลฯ จนจบ แล้วต่อด้วย สวากขาโต ฯลฯ แล้วต่อด้วย สุปฏิปันโน ฯลฯ อันเป็นบทสวดมนต์ธรรมดาที่เราสวดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    แต่เมื่อจบบทพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วท่านได้สวดต่อว่า...

    “อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา” แล้วท่านก็ตั้งสัจจาธิษฐานด้วยเสียงอันดังว่า

    “ขอให้มหาเมฆอันใหญ่ จงตั้งขึ้นในทิศปัจจิม ข้ามศีรษะของข้าพเจ้าไปยังทิศอุดร แล้วยังฝนให้ตกลงมายังพื้นปฐพีอันแห้งแล้งนี้ เพื่อบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในปฐพี จะได้ดื่มกิน เพื่อยังพืชพันธุ์ธัญญาหารและมูลผลาหารทั้งหลายให้สมบูรณ์บริบูรณ์ในพื้นปฐพี เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในน้ำ มีน้ำแห้งกำลังจะตายให้รอดพ้นจากความตาย.....”

    จากนั้นท่านก็สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยขึ้นใหม่อีกรอบหนึ่งแล้วสวด “อากาสัฏฐา....” จนจบต่อด้วยการตั้งสัจจาธิษฐานด้วยบุญญาบารมีของท่าน เป็นแต่เปลี่ยนทิศเรื่อยไปจนครบทิศทั้งสี่

    ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ เดินจงกรมและบริกรรมอย่างนี้ไปล่วงได้แล้ว 5 วัน พอย่างเข้าสู่วันที่ 6 ขณะที่องค์ท่านกำลังเดินจงกรมภาวนาอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 18.00 น. เศษ ได้บังเกิดอัศจรรย์มีเสียงดังสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทุกทิศทุกทาง มีลมพัดกรรโชกมาอย่างรุนแรงหอบเอาใบไม้แห้งและฝุ่นคลีปลิวคลุ้งทั่วไปในอากาศ บนท้องฟ้าปรากฏหมู่เมฆพยับปกคลุมให้อากาศมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว เมฆดำทะมึนกระจายตัวล้อมไปทั่วบริเวณ เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วกระทั่งแผ่นดินสะเทือน แสงฟ้าแล่บแปลบปลาบปรากฏอยู่ไม่ขาดระยะจนสว่างไปทั่วนครเชียงใหม่


    แล้วฝนก็เริ่มสาดเม็ดโปรยปรายลงสู่แผ่นดินอย่างรุนแรงชนิดที่เรียกว่าใบไม้โงหัวไม่ขึ้น เสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำในวันนั้นหลวงปู่แหวนเล่าว่าดังราวกับรถไฟโบกี้ยาวที่วิ่งไปตามรางด้วยความรวดเร็ว

    ฝนได้ตกหนักอย่างนี้อยู่ตลอดเวลามิได้หยุดเลยนับตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นเศษของวันวาน จวบจนรุ่งเช้าจึงค่อย ๆ ซาลงและขาดเม็ด

    ปรากฏว่าน้ำฝนจากภูสูงที่อยู่ล้อมเป็นปราการทั่วเมืองเชียงใหม่ได้ไหลหลั่งลงมาจากทุกทิศทุกทางท่วมตัวเมืองเชียงใหม่จนหมด เฉพาะภายในวัดเจดีย์หลวงเองน้ำทะลักท่วมสูงเกือบถึงโคนขา ทำให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตไม่ได้ ศรัทธาญาติโยมต้องลุยน้ำหาบ-เทิน นำภัตตาหารเข้ามาส่งถึงภายในวัด

    และในวันเดียวกันนี้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต ผู้ซึ่ง ‘เฝ้าดู’ อาจารย์ของท่านกระทำอริยวิธีเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกอยู่ตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว ก็ได้พูดกับท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ผู้เป็นอาจารย์ว่า...

    “เมื่อคืนนี้กระผมนั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิ กระผมกำหนดดูไปทางบริเวณดอยสุเทพก็ดี บริเวณดอยบวกห้าก็ดี เห็นมีพญานาคจำนวนล้านจำนวนโกฏิมิใช่จำนวนแสนจำนวนหมื่น พากันพ่นน้ำอยู่เต็มดอยทั้งสองจนหาที่ว่างไม่ได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน...”

    นี่คือความอัศจรรย์ !!

    อัศจรรย์ใจจากพระมหาเถระนาม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ผู้ทรงอรรถทรงธรรมและทรงคุณวิเศษอย่างยากจะหาผู้ใดเทียบได้ ท่านแตกฉานทั้งปริยัติและปฏิบัติมิได้หนักเอาเพียงข้างใดข้างหนึ่งจนเอียง ทรงไว้ซึ่งภูมิรู้โดยที่ไม่ต้องอวดแต่สามารถนำออกเมื่อถึงคราวอันควร

    อัศจรรย์ใจกับบุญบารมีขององค์ท่านที่ไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาใด ๆ เสกเป่า ไม่ต้องตั้งขันครูหัวหมูบายศรี หรือ ประกอบพิธีแห่นางแมว หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยแล้วอ้างเอาบุญบารมีขององค์ท่านเองเป็นที่ตั้ง ดังความว่า...

    “อากาสัฏฐา จะ ภุมมัฏฐา เทวา นาคา มหิทธิกา ปุญญัง โน อนุโมทันตุ รักขันตุ โน สะทา”

    หมายความว่า ข้าแต่ภุมมเทวดา แล อากาศเทวดา ทั้งหลาย เทพ แล หมู่นาค ผู้ทรงมหาอิทธิฤทธิ์ ขอจงได้พากันอนุโมนาซึ่งบุญที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำ แล้วจงช่วยกันพิทักษ์รักษาพวกข้าพเจ้าด้วย...

    ดังนั้น หมู่เทพและนาคที่แห่แหนกันมาดลบันดาลเมฆ ลม และฝน ให้ตกอย่างหนักนั้น จึงมิได้มาด้วยถูกบังคับจากเวทย์มนต์คาถา มิได้มาเพราะต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา หากมาเพราะประสงค์จะ ‘อนุโมทนา’ ซึ่งบุญของพระอริยเจ้าเหล่านั้น และเพื่อ ‘บูชา’ ซึ่งพระอริยเจ้าเช่นท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็เมื่อ ‘พระอรหันต์’ ร้องขอ มีหรือทวยเทพจะไม่ยินดียิ่งต่อการทำถวายเพราะหวังบุณย์อันไพบูลย์

    นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่อาจพิสูจน์ได้ด้วยตาและด้วยใจของคนผู้ร่วมเหตุการณ์หรือมีความศรัทธาเป็นฐานอยู่แล้วให้หนักแน่นเข้าว่า ‘นาค’ สามารถควบคุมน้ำได้ตามใจปรารถนา หากเพียงน้ำและฝนส่วนใหญ่นั้นหมู่นาคก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง แต่เมื่อต้องการจะควบคุม ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินทำ

    หลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย เคยบอกว่า “นาคมีสามธาตุ โดยมีธาตุน้ำเป็นหลัก” น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นของนาค เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เป็นที่อยู่อาศัย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ถึงปรารภว่า “ที่ใดมีแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่นั่นก็มีนาค”

    ครั้งที่ประเทศจีนประกาศจะระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินในลำน้ำโขงตลอดสาย เพื่อเบิกทางให้น้ำลึกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องการเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในทางเศรษฐกิจด้วยการนำเรือเดินสมุทรวิ่งขึ้นล่องไปตามแม่น้ำโขงโดยไม่ต้องอ้อมเวียตนาม กัมพูชา

    ระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง

    คิดได้อย่างไร ? แม่น้ำโขงนั้นถือได้ว่าเป็น ‘มหานทีแห่งชีวิต’ เพราะเป็นแม่น้ำนานาชาติ ทุกประเทศที่อยู่ติดลำน้ำมิได้อาศัยแม่น้ำโขงเพียงเพื่อสัญจรไปมา หากยังใช้ชีวิตพึ่งพิงอิงอยู่กับน้ำ ทั้งอาบ ดื่ม ซัก ล้าง และหาอยู่หากิน คือทอดแห ตกปลา แม้กระทั่งเลี้ยงปลาในกระชังก็ทำ

    ปลาบึก ปลาเนื้ออ่อน ปลาตะโกก ฯลฯ ปลาต่าง ๆ สัตว์น้ำต่าง ๆ ในแม่น้ำโขงได้อาศัยเกาะ แก่งแอ่งหินต่าง ๆ เป็นที่หลบภัยและวางไข่ ทำให้ระบบนิเวศน์และชีวิตในลำน้ำโขงยังปรากฏอยู่ตามธรรมชาติตราบจนทุกวันนี้

    แต่จีนอยากระเบิดทิ้ง !!

    เพียงเพื่อสนองความอยากใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ อยากเป็นผู้นำแห่งเอเซียทั้งด้านการทหารและการค้า โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งมารยาทและคุณธรรม

    จีนบอกกับทุกประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่านว่าให้ร่วมมือกันระเบิดเกาะแก่งเพื่อล่องเรือใหญ่ เมื่อหลายประเทศพากันคัดค้านไม่เห็นด้วยจีนก็ออกไม้ตายว่าถ้าไม่ยอมตามก็จะทุ่มงบประมาณขุดแม่น้ำสายใหม่ขึ้นมาในจีนให้ไหลไปออกอีกทางนัยว่าเซี่ยงไฮ้ แล้วจะทำการสร้างเขื่อนใหญ่กั้นแม่น้ำโขงไว้ให้ไหลไปตามทางสายใหม่ไม่ไหลมาทางเดิม

    และจีนก็นำร่องด้วยการระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินดอนในแม่น้ำโขงไปหลายจุดแล้วในส่วนที่ไหลอยู่ในเขตประเทศจีน เป็นเหตุให้เกิดดินโคลนและตะกอนพัดพากันมาทับถมอยู่ตามแนวตลิ่ง และหาดทราย ตลอดทางที่แม่น้ำไหลนับจากใต้ตำแหน่งที่ระเบิดลงมา คนที่มีพื้นเพอยู่ตามแนวแม่น้ำโขงต่างพบกับปัญหานี้กันถ้วนหน้า

    นี่คือจีน

    แม่น้ำโขงที่มีมาเป็นพันเป็นหมื่นปีก่อนคนที่คิดอย่างนี้จะเกิด ต้องมาจบลงด้วยวิธีการอย่างนี้ล่ะหรือ ? หลายคำถามประดังใส่ผมจากคนที่คุ้นเคย

    ผมตอบไปตามความ ‘งมงาย’ ส่วนตัวทันทีว่า ไม่มีทางหรอก ผมเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่าในแม่น้ำโขง เป็นที่อาศัยของหมู่นาค เป็นทางออก ทางเข้า ทางขึ้นลงที่ใหญ่ที่สุดแล้วในโลกของปวงนาค เขาหรือจะยอมให้จีนประเทศมหาอำนาจแบบโลก ๆ แต่ไม่ใช่มหาอำนาจแบบธรรมชาติอย่างที่พวกเขาเป็นมาทำลาย

    ผมพูดกันตั้งสองปีมาแล้วว่าถ้าจีนยังดันทุรังจะทำอย่างที่บอก รับรองได้ว่าจีนจะได้พบกับความ ‘วิบัติ’ อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เพราะนาคไม่ใช่จะควบคุมได้เพียงแค่น้ำ แต่ถ้าจำต้อง ‘บังคับ’ ธาตุทั้งสี่เขาก็ทำได้เช่นกัน

    แล้วไม่นานจีนก็น้ำท่วมหนัก...
    แล้วก็แผ่นดินไหวอย่างหนัก...!!


    ราวสองสามปีก่อนผมได้คุยกับอาจารย์เวทย์ อาจารย์บอกว่าพวกนาคโกรธมากที่คนทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติสกปรก ไม่ว่าจะทิ้งขยะ ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปมากมาย ซ้ำคนบนโลกส่วนมากก็ไม่มีศีลธรรมกัน ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป หนำซ้ำพวกเขาลอยประทีบบูชาคุณพระพุทธเจ้าก็พากันหาว่าเป็นธรรมชาติสร้างบ้าง คนสร้างขึ้นมาบ้าง เพราะพญานาคไม่มีอยู่จริง เป็นเรื่องแต่ง สรุปคือไม่เชื่อ ไม่นับถือนาค แล้วเขาก็บอกกับอาจารย์เวทย์ว่า ให้เตรียมตัวให้ดี

    “มนุษย์ทำให้พวกเราเดือดร้อน คราวนี้เราจะทำให้มนุษย์เดือดร้อนบ้าง”

    ด้วยคำปฏิญาณที่น่ากลัวเช่นนี้ อาจารย์เวทย์จึงถามถึงหนทางที่จะพอบรรเทาได้ นาคบอกว่าหากเป็นคนดีมีศีลมีธรรม ก็จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย นอกนั้นตายหมด และยังบอกอีกว่าถ้านับถือพวกเรา เราก็จะช่วยให้รอด ใครที่มีสิ่งอันเป็นเครื่องระลึกถึงเรา เราก็จะขึ้นมาช่วย

    ดังนั้น อาจารย์เวทย์จึงหารือกับครูอำพล เจน จนได้เกิด ‘พญานาคาธิบดี’ ขึ้นมาทั้งสองรุ่น และรุ่นที่ 3 กำลังจะออกให้บูชาในเร็ววันนี้

    ผมคุยกับครูอำพลถึงเรื่องน้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อน บ้านที่ไม่เคยท่วมก็ยังท่วม หนักขึ้นเรื่อย ๆ หนักขึ้นทุกปี และกระจายตัวไปทั่วโลกอย่างน่าประหลาด เกิดขึ้นทุกทวีป ทุกประเทศ แม้ประเทศที่อยู่บนแผ่นดินสูงหรือที่ราบเชิงเขาอย่างสวิสเซอร์แลนด์ก็ยังมีน้ำท่วมหนักจนเสียหายไปหลายล้านได้แบบไม่น่าเชื่อ ครูอำพลพูดสั้น ๆ ว่า

    “นี่แค่หนังตัวอย่าง หนังจริงยังไม่ฉาย…!!”

    ผมก็อ้าปากค้างไปเท่านั้น และครูยังย้ำอีกว่า “ต่อเอ๋ย ถ้ามีปฐวีธาตุก็ให้นำมาใส่ ถ้ามีพญานาคาธิบดีอยู่แล้วจะรุ่นไหนก็ให้เอามาใส่ เรารักใครชอบใครเป็นห่วงใครก็หาให้เขาใส่ ส่วนใครที่จะไม่เชื่อก็เป็นกรรมของเขา ให้เจ้าใส่ไว้ ให้นับถือบูชาไว้ แล้วจะได้รู้”

    ปกติครูอำพลจะไม่ค่อยพูดถึงการใส่วัตถุมงคลในเชิงแนะนำหรือบังคับ มักปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัยของหมู่พวก แต่สำหรับเรื่องนี้ดูท่าครูอำพลท่านจะมี ‘ข้อมูล’ ดี ๆ เชิงลึกที่คนอื่นยังไม่รู้ซ่อนเร้นอยู่ในใจอีกมาก ทว่าเล่าไปคงไม่สะดวกจึงใช้วิธีพูดเชิงแนะนำว่าให้ใส่ไว้ ให้บูชาไว้

    เพราะเขาสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ

    หากใครเป็นผู้ที่สนใจในเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ผู้วิเศษคงเคยได้ยินชื่อเสียงกิตติคุณของท่านผู้นี้แม้จะไม่เคยเห็นตัว

    หลวงปู่สรวง


    ท่านจะเป็นใครและเป็นอะไรกันแน่ทุกวันนี้ก็ยังหาคนรู้ชัดได้ยาก แต่ที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือความอัศจรรย์ที่ท่านทำ เป็นอัศจรรย์ที่เมื่อเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็น ‘นวนิยาย’ หรือ ‘หนังอินเดีย’ ไปทันที เพราะมีความมันส์อยู่ในเนื้อเรื่องเหมือนได้เห็นตัวละครเหาะเหินเดินอากาศ

    เดินตากฝนไม่เปียก นั่งอยู่ใต้น้ำได้หลายชั่วโมงโดยไม่มีอุปกรณ์ดำน้ำและไม่ตาย ปรากฏตัวได้ในเวลาเดียวกันถึงสามแห่ง กระทืบแผ่นดินทีเดียวตัวเลขดัชนีดาวน์โจนส์ในสหรัฐก็เลื่อนไปตรงกับตัวเลขที่บอกชาวบ้านว่าจะเป็นหวย เอามือคลึงท๊อฟฟี่ให้คนขับรถที่ง่วงจนเหลือทนอมแล้วหายง่วงขับรถได้อีกนับสิบชั่วโมง เอามือไปลูบหน้าอกผู้หญิงที่เป็นมะเร็งระยะที่สามแค่นั้นก็หายขาดไม่ต้องผ่าตัดรักษาใด ๆ ศิษย์บ่นยากกินต้มปลาก็เอามือล้วงลงในย่ามหยิบเอาปลาดุกปลาช่อนสด ๆ ออกมาหลายตัวให้ไปต้มกิน จะไปไหนขึ้นรถแล้วชี้นิ้วบอกทางอย่างเดียวทั้งที่ท่านไม่เคยไปคนขับรถก็ไม่เคยไปแต่ก็ไม่เคยหลงไม่เคยพลาดไปมาแล้วทั่วประเทศไทย ฯลฯ

    สิ่งเหล่านี้คือ ‘ปาฏิหาริย์’ เพียงส่วนหนึ่งในหลายร้อยเรื่องที่หลวงปู่สรวงบันดาลให้เกิด คนที่ใกล้ชิดพบเห็นกันอยู่เป็นประจำจนเกิดศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลน หากคนไกลกลับมองเป็นสิ่งงมงายและสร้างขึ้นเพื่อลวง ส่วนจะลวงกันเพื่อเหตุผลอะไรก็คิดค้นกันได้ตามอัตภาพ

    จากการที่คุณอาสุธน ศรีหิรัญ ได้ตามเก็บข้อมูลเรื่องราวของหลวงปู่สรวงเพื่อนำมาเผยแพร่ ได้ไปพบกับพระเถระรูปหนึ่งซึ่งเคยเจอหลวงปู่สรวงและมีข้อมูลบางอย่างที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก จึงขออนุญาตนำความนั้นมาบอกเล่าเพื่อให้พวกเราได้พิจารณากัน

    ท่านพระครูจันทธรรมานุโยค (ลมัย จันทโร) อายุ 80 ปี เจ้าอาวาสวัดโคกตาเขียว อ.สังขะ จ.สุรินทร์ เป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่หลวงปู่สรวงเดินทางมาพบโดยที่ท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อมาถึงแล้วหลวงปู่ก็ได้กระทำกฤษดาภินิหารให้ท่านพระครูได้เห็นหลายอย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์ เช่น ตีฆ้องใหญ่ด้วยไม้นวมจนปุ่มตียุบเข้าไป เรียกเงินธนบัตรและเหรียญให้หล่นลงมาจาก ‘อากาศ’ แล้วมอบให้ท่านพระครูเก็บไว้สร้างวัด ฯลฯ

    อภินิหารเหล่านี้ท่านแสดงให้ท่านพระครูได้พบเห็นเพื่อเป็นการปลูกศรัทธา หลวงปู่สรวงมาหาท่านพระครูนับได้ทั้งสิ้นราว 7 ครั้ง ครั้งที่ 6 เป็นสิ่งที่มาสัมพันธ์กับเรื่องราวของพวกเรา กล่าวคือหลวงปู่สรวงได้พูดกับท่านพระครูลมัยเป็นภาษาเขมรราวกับคำสั่งเสียมีใจความว่า

    “ในปีพ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมโลกใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมจะตายไปมาก ส่วนคนดีคนมีศีลธรรมจะอยู่รอดปลอดภัยได้

    ปี 2555 นะ คนที่ว่าเก่งอยู่ในเมืองไทยจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่มุมไหนของประเทศก็แล้วแต่ พ่อแม่ญาติพี่น้องไม่ต้องสู้นะ จะตายหมด น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ ครึ่งโลกแล้ว มาบอกให้หยุดทะเลาะกันนะ ไม่ต้องอยากชนะกันให้ออกไป อย่ามีเวรมีกรรมต่อกันเลย

    แล้วพวกที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี่นะ ไปก่อน นางนาคเป่าน้ำทะเลเต็มหมด มันจะไปแต่พวกนี้ ประมาณสองชั่วโมงกว่า ๆ น้ำก็ตีเข้ามาท่วมภูเขา มีทั้งขี้ดินขี้โคลนเข้ามา พวกทำไม่ดีตายหมด

    เทวดาตัดสินเอง เจ้ากรรมนายเวรตัดสินเอง ไม่ต้องกลัวเลย 2555 นางนาคเป่าน้ำท่วมทั้งน้ำทั้งดินตายวอด คนที่ไม่ดีตายหมด คนดีไม่ตาย คนดีมันเป็นเอง ไม่ตาย จะรอด คอยดูเถอะ นางนาคจะกลับเอาน้ำขึ้นข้างบนสามวันสามคืน มีลูกเห็บ ถูกใครตายระเนระนาดนะ ถ้าคนมีศีลห้าไม่ถูก เพราะเราไม่ได้กบฎพระเจ้าอยู่หัวนะ คนที่กบฏ คนที่อยากชนะผืนแผ่นดินตายแน่”


    หลวงพ่อลมัยนั้นมีความเชื่อในหลวงปู่สรวงเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อท่านพูดขนาดนี้จึงมีความตระหนกอยู่มิใช่น้อย ได้บอกกับหลวงปู่สรวงว่า

    “ถ้าน้ำท่วมมากขนาดนั้น อย่าว่าแต่คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมเลย แม้คนดีก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน จะทำอย่างไรได้ พอมีหนทางช่วยเหลือไหม”

    หลวงปู่สรวงนิ่งอยู่อึดใจจึงบอก ‘คาถา’ เพื่อเป่าน้ำไม่ให้ท่วมตัวมีใจความที่ออกเสียงตามภาษาเขมรจริง ๆ ว่า

    “อ้ม เกร๊อะ เกร๊อะ เกร๊อะ เตียงตึ๊ก เกร๊อะ ตึงได อ้มสติสวาหะ”

    เมื่อผมรับทราบถึงคาถานี้ก็ได้โทรศัพท์ทางไกลหาครูอำพล เจน ทันที แล้วลงมือเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ปรากฏว่าครูค่อนไปทางเชื่ออยู่มาก เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกับครูเป็นตำรวจอยู่ที่อุบล ฯ หลวงปู่สรวงได้เดินทางมาหาถึงโรงพักโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วบอกว่านายตำรวจคนนี้เคยเป็นลูกของท่านเมื่อในอดีต จึงเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียน

    แล้วได้แสดงอภินิหารหลายอย่างหลายประการจนเป็นที่น่าอัศจรรย์และเป็นที่น่าปวดหัวแก่ตำรวจทั้งสถานี อาทิ ถามเขาว่าขังคนพวกนี้ไว้ทำไมน่าสงสาร เมื่อตอบท่านว่าเขาทำผิดกฎหมาย ท่านฟังแล้วก็นิ่งอยู่ แผลบเดียวท่านไปเป่ากุญแจเขาหลุดออกหมดปล่อยผู้ต้องหาออกมาเดินเฉย อย่างนี้เป็นต้น

    เมื่อผมเล่าเรื่องคาถานี้ให้ครูอำพลฟังท่านก็รีบต่อสายไปถึงเพื่อนสนิทที่มีเชื้อสาย ‘เขมร’ จริง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อนก็บอกว่าคาถาที่พูดมาในทีแรกนั้นในภาษาเขมรแล้วไม่มีเหตุเพราะออกเสียงผิด ที่ถูกควรต้องออกเสียงอย่างนี้จึงถูกต้อง แล้วก็พูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำให้ฟัง ซึ่งทุกคำที่ถูกต้องผมก็ได้นำมาลงไว้แล้วดังบรรทัดบน พร้อมกับแปลเป็นภาษาไทยให้ฟังว่า

    “อ้ม แปลว่า ลุง เกร๊อะ แปลว่า ดื่ม ซึ่งโดยมากมักหมายถึงการดื่มสุราเป็นหลัก เตียง คือ บึงน้ำ บ่อน้ำใหญ่ ตึ๊ก หมายถึง น้ำ แหล่งน้ำ ตึงได หมายถึง แขนขา ในที่นี้แปลว่า สาขาที่แตกย่อยออกไปของแม่น้ำลำคลองลำธารต่าง ๆ สติ ก็คือสติ สวาหะ เป็นคำคาถา ดังนั้นโดยรวมจึงหมายความว่า คุณลุงดื่มน้ำ แล้วก็ดื่ม ดื่ม ดื่ม ได้อย่างกับบึงบ่อที่ไม่รู้จักอิ่มน้ำ เหมือนมีสาขาย่อยแยกน้ำออกไปไม่รู้จักเต็ม แต่ถึงดื่มขนาดนั้นก็ยังมีสติ”

    มองไม่เห็นว่าจะศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน
    แต่เชื่อเถิดว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ จริง

    เพราะที่บ้านน้อยผมนั้นน้ำท่วมได้ท่วมดีทุกปีจริง ๆ แฟนหนังสือศักดิ์สิทธิ์หลายท่านที่เคยเข้าไปหาผมถึงบ้านในหน้าน้ำ ได้เคยมีประสบการณ์ร่วมกันมาแล้วว่า น้ำท่วมบ้านผมมันน่าสงสารขนาดไหน มันท่วมหนักมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ไม่มีปีไหนที่น้ำจะไม่ท่วมท้นล้นเข้ามาจนถึงห้องนอนเลยแม้สักปีเดียว

    แต่นับจากวันที่ได้รู้จักกับคาถานี้แล้วทดลอง ‘เป่า’ ด้วยตัวเองตามมีตามเกิด เชื่อเถิดครับสามปีติดกันแล้วน้ำไม่เคยท่วมบ้านผมอีกเลย ทำให้ผมต้องขวนขวายหาพระของหลวงปู่สรวงมาแขวนติดตัว

    ผมเชื่อของผมเองไม่ได้คิดเชิญชวนใคร

    เพราะโดยสภาพของหลวงปู่สรวงนั้นย่อมเป็นการยากที่จะชักชวนใครให้ศรัทธา นอกจากว่าเขาคนนั้นจะคิดเห็นสิ่งพิเศษที่อยู่ในตัวท่านด้วยตัวเขาเอง

    และจากเรื่องราวที่ท่านพระครูลมัยได้เล่าให้ฟัง ย่อมเห็นประจักษ์ชัดว่าหลวงปู่สรวงก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หยั่งรู้เรื่องราวลี้ลับของโลกที่มองไม่เห็นอย่างพวกพญานาค

    ท่านรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่...
    ท่านรู้ว่าเขากำลังคิดทำอะไรกับคนบนโลก...


    ท่านเห็นแก่ประชาชนตาดำ ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ได้บ้าอำนาจ ไม่ได้ทำให้แหล่งน้ำสกปรก ไม่ได้คิดคดทรยศต่อแผ่นดินเกิดและพระมหากษัตริย์ว่าต้องมารับเคราะห์ร่วมชะตากรรม

    ท่านจึงเมตตาบอกเล่าเรื่องราวลึกลับซึ่งคนทั่วไปยังไม่รู้ไม่เห็น ให้ได้ระวังตัวกัน บอกถึงวิธีการป้องกันว่าต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้

    สิ่งที่พญานาคเสนนาคราชพูดกับคุณหงส์ สิ่งที่พญานาคพูดกับอาจารย์เวทย์ และสิ่งที่หลวงปู่สรวงนำมาบอกพวกเราโดยผ่านท่านพระครูลมัย ล้วนต่างกรรมต่างวาระ หากตรงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ จะจริงหรือไม่อยู่ที่ใจของทุกท่านกับรอวันที่จะเกิดแล้วครับ

    ณ วันนี้แม้เราจะไม่เชื่อในหนทางอย่างที่ลี้ลับ แต่กลับอยากเชื่อในสิ่งอันเป็นวิทยาศาสตร์ก็มิได้แปลว่าจะเสียหายแต่อย่างใด เพราะเมื่อเชื่อแล้วก็ควรเอาใจใส่ต่อโลกและสภาพแวดล้อมให้จงดี สิ่งใดที่ผู้รู้แนะนำว่าจะเป็นการช่วยโลก รักษาโลกก็ให้พากันเร่งทำ เพราะรักษาโลก ก็คือรักษาเรา

    แต่สำหรับผู้มีใจโน้มไปทางสิ่งลึกลับ มีความเชื่อเป็นล้นพ้นอยู่ในใจ ก็ควรรักษาโลกด้วยวิธีการอันเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นรูปธรรมดังที่เขารณรงค์ให้ทำกัน แต่อีกทางหนึ่งนั้นก็แสวงหา ‘สิ่งพิเศษ’ ที่ศรัทธาว่าอาจช่วยได้เมื่อภัยมี ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของพวกเราดอกครับ หากว่าศรัทธาจริง

    ขออวยพรให้ปลอดภัยทั่วกัน.
     
  16. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ล๊อกเก็ตหลวงปู่มั่นรุ่นบูรพาจารย์ คุณสุธันย์ สุนทรเสวีสร้าง
     
  17. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    ได้คุยกับคุณสุธันย์
    คุณสุธันย์บอกว่า
    ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี
    คนเลยไม่ค่อยทำบุญ
    ที่จริงอยากให้เอาพระปรกอธิษฐานออกให้ทำบุญ
    ช่วงที่เริ่มมีภัยพิบัติเกิดขึ้น
    ถ้าตอนนั้นหมดแน่
    ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วบอกไปว่า
    ทางวัดเขาต้องใช้เงินแล้วครับรอไม่ได้
    และถ้าเกิดภัยพิบัติขึ้นจริงตามคำทำนาย
    ที่ทั้งผมและคุณสุธันย์ได้ยินมา
    คงส่งพระปรกอธิษฐานทางไปรษณีย์ให้ใครไม่ได้ซักคนแล้วครับ
     
  18. Da_sriracha

    Da_sriracha สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +5
    ร่วมบุญ พระนาคปรกอธิฐานเนื้อเกษร 1 องค์ โอนเงินแล้วคะ วันที่27/6/2555
    เวลา 13.18 ยอด 1,550 บาท

    จัดส่ง
    คุณธันยพร เสมอภาค
    189/224 หมู่บ้านคันทรีโฮมเลคแอนด์พาร์ค
    หมู่ 1 ต หนอขาม
    อ ศรีราชา
    จ ชลบุรี
    20230
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG.pdf
      ขนาดไฟล์:
      52.2 KB
      เปิดดู:
      99
  19. อนันตภพ

    อนันตภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +2,969
    โอนแล้วนะครับ ตามใบโอนนี้ ที่อยู่ตามPMครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. สาละ

    สาละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +328
    อนุโมทนาด้วยครับ

    ขอให้ทุกท่านมีส่วนแห่งบุญนี้ร่วมกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...