พระผู้มีพระคุณต่อวัดท่าซุง..สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร)วัดสามพระยา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 13 มีนาคม 2024.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,804
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,521
    1-16 (1)111.jpg

    พระผู้มีพระคุณต่อวัดท่าซุง...สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร)วัดสามพระยา



    หลวงพ่อนี่เมตตาสูงมาก หลวงพ่อวัดสามพระยานี่ อาตมาเคารพเหมือนพ่อมาตั้งแต่เจอะใหม่ๆ

    นี่เราคุยกันเสียก่อนก็ได้ เจอะกันตอนไหน ไม่ได้เจอะกับท่านหรอก อาตมาเจอะท่าน แต่ท่านไม่ได้เจอะอาตมา เจอะ หรือไม่เจอะก็ไม่รู้

    เมื่อปี พ.ศ. 2501 นี่จะเล่าประวัติให้ฟัง สมเด็จฯวัดสามพระยาท่านตั้งสำนัก "ส.อ.ส." ขึ้น สำนักอบรมครูวัดสามพระยา ท่านตั้งมาก่อนนั้น แต่อาตมาไม่มีเวลาที่จะไปฟัง เวลานั้นเป็นเจ้าอาวาสอยู่ วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เป็นอันว่า สมเด็จฯวัดสามพระยานี่ อาตมาก็ไปพบกับท่าน ตอนนั้นไม่ได้พบด้วย พ.ศ. 2501 เขาประกาศว่า วัดสามพระยา เวลานั้นสมเด็จฯวัดสามพระยา ยังเป็นพระราชาคณะชั้นต้น เป็น "เจ้าคุณปริยัติโสภณ" ตั้งสำนักอบรมวัดสามพระยาขึ้นมา ไปชอบใจท่านพูด ไปดูงานของท่าน ชอบใจงานของท่าน

    ตอนหนึ่งท่านขึ้นมาพูด ท่านบอกว่า ผมนี่เป็นคนไม่มีเงินซื้องาน เอางานซื้อเงิน งานทุกอย่างที่ผมทำขึ้นมานี่ มันไม่มีเงิน แต่ก็ไปบอกเพื่อนๆ นี่ ท่านก็ชี้ไปที่พระราชาคณะต่างๆ อย่างเช่น สมเด็จพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์ แล้วก็องค์อื่นๆว่า

    พวกเพื่อนๆ นี่มันหาว่าผมบ้า ว่าเจ้าคุณวัดสามพระยามันบ้า เจ้าคุณปริยัติฯมันบ้า มันไม่มีเงิน แต่มันอยากจะทำงาน แต่ผมก็ถือว่า "ผมเอางานซื้อเงิน ไม่ใด้เอาเงินมาซื้องาน"

    ท่านก็ทำ ทำทุกอย่าง แล้วงานของท่านก็สำเร็จอย่างจริงจัง ชอบใจองค์นี้พูดชอบใจแฮะ ลีลาการชอบใจเพราะอะไร เพราะว่าเหมือนหลวงพ่อปาน

    เหมือนหลวงพ่อปานที่เป็นครูบาอาจารย์ หลวงพ่อปานที่เป็นครูบาอาจารย์ก็เอางานซื้อ
    เงินเหมือนกัน ไม่ใช่เอาเงินซื้องาน เอางานแลกเงินกัน ท่านทำอะไรทุกอย่าง ท่านไม่มีทุนก่อน พอเริ่มต้นขึ้นมา บางทีก็มีทุนตั้งเยอะ ทุนขนาดหนักของท่านจริงๆก็มี 20 บาท จะไปสร้างโบสถ์ สร้างวิหารการเปรียญที่ไหน ก็ไปนั่งท้ายอาสน์สงฆ์

    ลูกกู หลานกูเอ๊ย พ่อจะสร้างโบสถ์ที่นี่สักหลังนะ มีข้าวมาช่วยกันคนละขัน คนละจอก เงินมาช่วยกันคนละบาท คนละสลึงนะ แล้วงานของท่านก็เสร็จ

    แล้วไปเจอะสมเด็จฯวัดสามพระยานี่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ก็มารูปเดียวกัน แต่ก็มีชอบ
    ใจอะไรอีกนิดหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ ชอบใจมากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

    อีกจุดหนึ่งก็บังเอิญที่ท่านไปตั้งสำนักอบรมครู ให้ลูกศิษย์เขาปักกันโก้ ส.อ.ส. อาตมาไปศึกษา ถามว่า สมัครเป็นลูกศิษย์หรือเปล่า มันเรื่องอะไรจะต้องไปสมัคร คนอย่างเราไม่ต้องให้มันเสียกระดาษดินสอ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะการอบรมของท่านไม่ได้อยู่ในห้อง ไม่ได้ปิดมิด เวลาที่จะอบรมกัน ไม่ใช่ว่า ใครมีบัตรไหม เป็นลูกศิษย์มีบัตรเข้าได้ ไม่มีบัตรเข้าไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น

    อบรมกันกลางแจ้งโคนต้นไม้ ก็ยืนกับแบบสบายโก้ๆ เราก็มีสิทธิ์ยืน เพราะการเข้าไปยืนไม่มีใครเขาบังคับ เขาไม่ได้ตรวจบัตร ไปยืนตามสบายๆ มีความสุข แล้วยืนฟัง ไม่ยืนเปล่า ลาภใหญ่ก็เกิดอีก หลังจากฟังจบแล้ว โอ้โฮ ... อาหารการบริโภค ปลาทูตัวใหญ่ๆ มีแกงอร่อยๆ โว้ย ...จานใหญ่ๆวงหนึ่งกับข้าว กินไม่หวัดไม่ไหว

    อ้อ..อย่างนี้ไม่ต้องสมัครกันแล้ว ไปสมัครกันให้เสียเวลาทำไม เราฟัง เราก็มีสิทธิ์ฟังเท่าๆคนที่เขาสมัครเป็นลูกศิษย์ เรากิน เราก็กินเท่ากัน เรามีสิทธิ์ทุกอย่าง

    ฉะนั้นก็ต้องถือว่า ท่านเป็นครูบาอาจารย์เป็นครูที่มีความสำคัญ ที่ให้คติหนักมาก

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็มีความเคารพในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอย่างหนัก

    หลังจากมาอยู่ที่วัดท่าซุงนี่แล้ว ถูกเรื่องหนักเลย พวกด่ากันนี่ ปากไม่พอแล้วแถมใช้ขยายเสียงด่าในวัดอีก ฮั่นแน่ เจ้าอาวาสเก่า กับทายกเก่าเขา

    เพราะอะไรรู้ไหม ทำไม่เหมือนเขาซิ ที่ว่าทำไม่เหมือนเขาก็เพราะว่า สตางค์ของเขาน่ะ เขา
    มีการขอยืมกันได้ ชาวบ้านขอยืมใช้ มาครั้งแรกก็มีคนบอกว่า ระวังให้ดีนะขอรับหลวงพ่อ วัดนี้นะ มันเสียเรื่องการงิน

    แล้วต่อมา อยู่มาไม่นาน ก็มีผู้หญิงผู้หนึ่งมาขอยืมสดางค์ใช้ ก็บอก คุณ ฉันไม่มีสตางค์หรอก ฉันจะมาสร้างหอสวดมนต์ มันค้างมาตั้ง 8 ปีมีแต่เสา เสาทุกเสาก็มีเจ้าภาพหมด ก็เรี่ยไรกันมา 8 ปี หลังคามันไม่มี ฉันก็ไม่รู้จักใคร มีสตางค์อยู่ 2-3 ร้อยบาท เดิมทุนจริงๆมีมาร้อยบาท ก็กินหมด เพราะต้องมาซื้อข้าวกิน ต้องมาอยู่กระต๊อบ

    เลยถามว่าคุณเคยขอยืมใครได้ เขาก็บอกว่า อาจารย์เป็นเจ้าอาวาสเก่า เจ้าอาวาสเขาให้ยืม
    เขาให้กู้กัน แกก็เลยบอก บ้านโน้นเขากู้ไปสี่พันค่ะ บ้านนี้กู้ไปสองพัน บ้านนู้นกู้ไปแปดร้อย
    แต่ว่าเวลานี้ฉันจะมาขอยืมหลวงพ่อ คิดว่าหลวงพ่อมีมาก

    ก็บอกว่า ฉันไม่มีหรอก ไปยืมอาจารย์ก็แล้วกัน แกก็หายไปพักหนึ่ง แล้วกลับลงมาบอกว่า ได้แล้วเจ้าค่ะ ได้ห้าร้อยบาท เงินก่อสร้างไม่มี แต่เงินกู้มี ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็ขัดคอกับ
    เจ้าของบ้านเขา เขาก็เลยไม่ชอบใจ รวมความว่า ยกกันไป

    ทีนี้เรื่องราวต่างๆ ก็ถูกการกลั่นแกล้งมาก มีการร้องเรียนกันไปถึงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เวลานั้นท่านก็ยังเป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จฯ ไปหา สมเด็จพระวันรัต วัดสังเวชฯ ท่านก็บอกว่า เอา เอาอย่างไรก็เอา จะช่วยให้ความเป็นธรรม แต่ท่านก็เงียบ

    หันเข้าไปหาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ คิดว่า เป็นพระที่เรามีความเคารพเป็นองค์แรก มีความสำคัญ ชอบใจมาก ก็ไปคุยกับท่าน ก็คุยกันตามธรรมดาๆ

    แล้วก็บอกความจริงกับท่านเรื่องความจริงมันเป็นอย่างนี้ ผมเวลานี้ก็นุ่งสบงห่มจีวร แต่ว่าถ้าโกงผมหนักๆเข้า ผมก็จะเปลื้องสบง จีวรล่ะครับ มันมีความจำเป็น มันต้องบู๊กันแล้ว

    ท่านบอก ช้าก่อนๆ อย่าเพิ่งๆ รอผมก่อน

    แล้วก็พูดขึ้นบอกว่า ถ้าหากผมถูกโกงจริงๆนะขอรับ ผมก็จะแยกนิกายเป็น พุทธนิกาย ไป

    ถ้ามหานิกายไม่มีความเป็นธรรม ธรรมยุตไม่มีความเป็นธรรม ผมก็จะแยกเป็น
    พุทธนิกายไป แต่การแยกเป็นพุทธนิกาย ผมก็จะไม่ห่มเหลืองละ ผมก็จะห่มเขียวๆ สถานที่ที่ผมซื้อไว้ วัดก็ไม่มีสิทธิ์ เป็นบ้านของผม ผมก็อยู่แบบ สบายๆ ปฏิบัติตามลูกศิษย์ลูกหาผม

    ท่านก็บอก ช้าก่อนๆ ผลที่สุด ท่านก็ช่วยงานทุกอย่างที่เป็นอุปสรรค ที่มาอยู่วัดท่าซุง ลุล่วงไปด้วยดี

    สำหรับสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์นี้ ท่านมาร่วมกับ "สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม" ท่านช่วยกันทุกอย่างให้ความเป็นสุข

    ทีนี้ท่านมีคุณอย่างนั้น ก็มีคุณเหมือนพ่อ ลูกมีความทุกข์ พ่อสามารถบำบัดความทุกข์ให้ได้ นี่เป็นพ่อจริงๆนะนี่นะ

    แล้วมาในงานคราวนี้ก็เหมือนกัน งานเลื่อนสมณศักดิ์ ท่านก็มีสภาพเป็นพ่อใหญ่จริงๆ งานทุกอย่างจัดหมด เอาละ วันนี้ก็พูดกันแค่นี้ไว้ก่อน


    (คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ "อนุสรณ์งานสมโภชสมณศักดิ์ พระราชพรหมยาน" หน้า 15-19)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2024

แชร์หน้านี้

Loading...