เรื่องเด่น พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม ตุ๊ด เกย์ ไม่ให้บวชนะ ท่านใช้คำว่าบัณเฑาะก์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 24 พฤศจิกายน 2019.

  1. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ไม่แน่นะครับเขาอาจจะเคยเรียนจริง "แต่ผลลัพท์ก็ออกมาแล้วว่าไม่ใช่แบบนั้นจริงๆ"(เช่นธัมมชัยโย) แต่ถ้าไม่เคยเรียนแสดงว่าเดาเน้นๆ แบบไม่มีอ้างอิงนี่เลยเป็นเหตุผลที่ต้องยกมาบ้างฮับ แต่ไม่ใช่ยกมาลอยๆแบบนี้ฮับผมนี่งงเลยฮับ
     
  2. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมเคย ซื้อ คู่มือเรียน พระวินัย
    ของพระมาเล่มนึง

    สีแดง เล่มเล็กๆ

    ในคำนำ ก้มี การระบุว่า ท่านเปน
    ต้นแบบในการเรียน พระวินัย

    และ วิทายลัยพระ ก้ใช้ตำราของ
    ท่านเปนส่วนใหญ่

    พออ่าน ก้เหน วิธีการเรียร จุด
    ประสงค์การเรียน ท่านไม่ได้
    เรียนกันเพื่อไปคอยโจทย์

    แต่ท่านจะเรียนเพื่อ ชี้ประโยชน์

    ซึ่งก้ควรตรงกับ พระราชประสงค์
    ในการบัญญัติวินัย

    พระพุทธองค์ทรงบัญัติ อาสัย
    อำนาจของประโยชน์ ไม่ใช่
    เพื่อมุ่งโทษโจทยกันให้อด
    ประโยชน์

    เช่น การครองผ้า ของภิกษุที่
    ผิดวินัยคนเขียนตำราเน้นเลยว่า
    พระองค์ทรงบัญญัติเพื่อประโยชน์
    โดยมีพระเทวทัต เปนต้นแบบ

    พอมาถึงจุดนี้ ปุถุชน คงตบเข่า
    ร้อง "มิน่าเล่า....."

    แต่ในแง่ของ พระ ท่านก้จะเน้น
    การชี้ประโยชน์ของการครองผ้า
    ...ยิ่งร้ายแรง ยิ่งต้องครองผ้าให้ได้

    ดังนั้น พระท่าน จะไม่มีปรกติจับสึก

    ดังคำพระศาสดา ตรัสกับพระ
    สารีบุตรครั้งพาเหล่าถิกษุกลับ
    มาจากกรณีเกิดสังฆาเพศ...

    พระสารีบุตร จะให้สึก แล้ว ยัติใหม่
    เพื่ออาสัยหลัก อาวุโสภันเต ในการ
    ควบคุมบางอย่าง

    แต่....

    พระศาสดา ทรงชี้ หัวจิต หัวใจ
    ที่กล้าหาญ นั้นสำคัญกว่า

    ถ้า เส้นผมยังไม่กล้าจะโกน
    ก้อย่าไปเที่ยวจับสึกคนที่ห่ม
    ผ้ากาสวภัตร ว่า ห่มมานาน
    หรือไม่นาน

    พระทุสีล จึงมี ประโยชน์กว่า
    ฆราวาสสาวก ที่หลบซ่อน
    คอยแอบกิน
     
  3. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    อ่านอีกรอบก็ดีครับ "ไม่มีใครไปวิ่งจับสึกพระเลยสักคน" มีแต่คุยกันเฉยๆเพราะเขารู้กันว่าเป็นฆารวาสและในนี้คือการแสดงความเห็น

    ส่วนพระทุศีลไม่ได้มีประโยชน์นะครับ "ก็ดูตัวอย่างธัมมชัยโยดูเอาเอง" คนเสื่อมศรัทธายิ่งกว่า "ฆารวาส" เสียอีกเพราะเป็นพระ พูดง่ายๆว่าเป็นภัยยิ่งกว่าฆารวาสอีกครับ

    แต่พระมีศีลจริงถึงแม้ไม่บรรลุอะไรก็นับว่ามีประโยชน์กว่าฆารวาส(ในเชิงศรัทธา) แต่ถ้าทุศีลนั้นไร้ประโยชน์กว่าฆารวาสแน่นอนครับ

    ดังนั้นคุณเห็นผิดเป็นการมโนไปเองครับ ดังนั้นคุณไม่สามารถพูดความเป็นจริงได้เพราะคุณไม่จริงนั่นแหละครับ
     
  4. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    อะผมแถมแต่ถ้าไม่มีคนนับถือแล้วพระทุศีลจะสำคัญกว่าจริงเพราะเป็นการบอกอายุศาสนานะฮับ
     
  5. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    พระศาสดา กล่าวไว้

    บุญของ ทายก ไม่เสีย

    แม้ภิกษุผู้รับ พึ่งบวชใหม่
    ยังไม่ทันได้เล่าเรียน
    บำเพ็ญสมณธรรม

    การเห็นภิกษุ จึงเปนมงคล

    ยกตัวอย่าง เพศหญิงในสมัย
    พุทธกาล .... มีอาชีพทำนิมิต
    สตรีเพศแก่บุรุษ พอได้ทรัพย์
    สินจ้างมา ก้เจียดไปทำบุญ
    กับพระที่...มองเหน นิมิต ความ
    เปนหญิงนั้น(ทุสีล)

    สุดท้าย เพศหญิง มีใจมั่นใน
    การบูชาการออกบรรพชา แต่
    ความที่ ติดขัดในเพศสภาพ
    และวรรณะ ก้ได้ประโยชน์
    จากการทำทานนั้น จิตเบา
    กายเบา ผั๊วะ....

    แม้นภิกษุนั้นจะมีนาหญ้าขึ้นรก
    เปนที่ไปในบั้นปลายแห่งชีวิต
     
  6. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ปล.ลิง

    พึงฟังมา จาก พระราชรี

    ท่านว่า " ท้ายสุดแม้นไม่มี สมณรูป
    ปรากฏ

    แต่ จิตใจ ตั้งว่า จะถวาย ต่อไตร
    สรณคมน์ก้ยังสามารถ "

    (ประสาอะไร กับ สมณรูป ที่มี
    ปรากฏจะให้ผลไม่ได้)
     
  7. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ผมไม่เคยอ่านนะที่คุณยกมาดังนั้นผมจะโนคอมเม้นท์

    แต่ "ที่คุณยกมาก็ไม่ได้มีพระทุศีลเช่นกัน" ดังนั้นมันแค่การเดา
     
  8. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ยกมาเพื่อเพิ่มสมมุติฐานของคุณ "แต่เราไม่รู้ว่าพระท่านกล่าวด้วยนัยยะไหน" ดังนั้นคุณเดาอีกแล้ว
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    สังฆเภท เป็นกรณีมีท่านที่ทำให้สงฆ์แตกแยกไม่ใช่หรือครับ
    ส่วนตัวไม่ได้ติดใจอะไร
    ในส่วนพระสารีฯกับพระพุทธฯนะครับ

    และไม่ได้เกี่ยวกับการที่จะต้องไปจับสึกด้วย
    เพราะในพระวินัยฯที่เคยยกมา
    ก็ไม่ได้ใช้คำชี้ชัด ว่าต้องจับสึก


    http://84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=04&A=3481&Z=3608


    ยังใช้คำว่า " ภิกษุไม่พึ่งให้อุปสมบท
    ที่อุปสมบทแล้วต้องสึกเสีย"


    แต่ประเด็น กระทู้นี้ คือ เรื่องบุคคลที่เข้าข่ายว่าหรือเรียกได้ว่า หรือ รู้ตัวเองอยู่แล้ว
    (ส่วนนี้ตนเองพูดเองนะครับ ) ว่าเป็น " บัณเฑาะก์" นั้น


    ที่บอกว่า ที่ "อุปสมบทแล้วต้องสึกเสีย"

    จะตีความอย่างไร ณ ปัจจุบัน

    เช่น ตย. ต้องสึกเสีย ทางปฎิบัติเป็นอย่างไร
    ณ ปัจจุบัน คืออะไร คือ ต้องสึกออกไปเอง,หรือควรจะต้องถูกจับสึก,หรือวันใดวันหนึ่ง สมควรที่จะต้องสึกเองถ้าถูกจับได้ ,หรือถ้าเข้ามาแล้วไม่ผิดอะไรก็ไม่ต้องสึก,หรือแล้วแต่ความเห็นพระอุปชา ,หรือแล้วแต่ความเห็นพระผู้ใหญ่,หรือ แล้วแต่เจ้าอาวาสวัดนั้นๆฯลฯ

    พูดง่ายๆ คือ คำมันยังดิ้นได้ หลายทาง
    ในทางด้านการนำไปใช้ในทางปฎิบัติครับ
    เพราะเป็นภาษาเขียน อย่างไรก็แก้ไขได้




    ดังนั้น อย่าพึ่งรีบเข้าใจไปว่า
    ความเห็นที่ต่างจากตนเอง
    หมายว่า คือการที่จะ
    ต้องไป จับท่านเหล่านั้นสึกครับ

    พอเข้าใจนะครับ
     
  10. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ถ้า อ่านที่ ผมเสนอ....

    กรณี .บทพระวินัยบัณเฑาะใน
    ท่อนที่ยกมา

    ผมไม่ได้สนใจในเรื่อง สึก หรือ
    ไม่สึก

    ผมเสนอในแง่ที่ว่า เปน บทพระวินัย
    ที่ไม่ได้มาจาก พระศาสดาบัญญัติ
    โดยให้ประเด็น วินิจฉัยผ่านท่าน
    ประทาน ไปว่า ขาด ภิกษุต้นบัญญัติ

    ขนาด วินัยเล็กน้อย กินอาหาร
    ดังจั๊บๆยังต้องมี ระบุชื่อ ภิกษุต้น
    บัญญัติแต่นี้ไม่มี

    หากไปหาบท สุตันตะเหล่าอื่น.กลับ
    มีบทว่าด้วยเรือง การจัดที่นอน การ
    จัดที่ให้ภิกษุที่มีเพศสลับค่ำ แรม
    ปรากฏ ไม่มีการให้ พบแล้วจับสึกเสีย
     
  11. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ก็นั่นแหละ แต่มันความจริงคือ เจอแล้วให้จับสึกเสีย ซึ่งไม่ว่าจะจริงไม่จริงแต่มันเป็นแบบนี้ไปแล้ว

    ต่อให้คุณเสนอความเห็นก็แค่มีสิทธ์จะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ แต่มันเปล่าประโยชน์เพราะคุณคงไม่ไปแก้ใช่ไหม? ยกเว้นจะทำวิจัยไปค้นมาอะนะอันนี้ถึงมีประโยชน์

    และที่สำคัญคือ "ปัจจุบันมันเป็นแบบนี้" ดังนั้นหากไม่มีแก้ไขก็ต้องใช้แบบนี้อะป่าวฮับ? คุณเห็นต่างไปก็เท่านั้นความจริงคือคุณเดา(ความน่าจะเป็น/สมมุติฐาน)และถ้าคุณไม่ค้นคว้าพร้อมหลักฐานจนคณะสงฆ์เปลี่ยนให้มันก็จะเป็นแค่สมมุติฐานอยู่ดี ถ้าคุณไม่ทำจริงก็ไร้ประโยชน์ฮับ เพราะผมคุยกับเซเบอร์เพื่อยกมาอ้างอิงเฉยๆเพียงแค่นั้นแหละ
     
  12. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    นอกจากนี้ ยังเสนอประเด็นล่วง
    เลยไปว่า หากมี ถ้อยคำ ให้จับ
    ยังที่สูง แล้วโยนลงมา ก้จะชัดเจน
    ว่า บทวินัยนี้ มาจากไหน

    เพราะ ลัทธิ ศาสนาอื่นๆ ใน อินตลเดีย
    ไม่มีศาสนาใด ลัทธิใด มีปัญหาใน
    ประเด็นนี้

    พระพาหิยะ น่าจะพอเปน พยานได้
     
  13. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    บัณฑิตพึงรู้ธรรม ด้วยอุปมา

    การศึกษา ประวัติศาตร์

    ไม่มีใคร ไปทำลาย สิ่งที่เรียกว่า

    หลักฐานประวัติศาสตร์

    หาก ศึกษาเปน บัณฑิต พึงรู้ธรรม
    ด้วย อุปมา
     
  14. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    อย่าอุปมาเลยฮับมโนแด้กขนาดนี้ผมว่าร่วงแน่ๆเพราะตีความมั่ว
     
  15. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,923
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไหนๆ ก้ ไหนๆ แระ

    หาก พี่ เซเบลอ ต้องการ ลับอาวุธ
    ใน กรณี ทอม แอน เจอรี่ อะไร
    แบบนี้

    ขอชี้ช่อง นิดนุง

    พระราชรี ที คุงเซเบลอ เปนแฟน
    พันแท้ท่านพึง "ตอบคำถาม" ใน
    กรณีนี้พอดีว่า วัดป่า งามๆ บริหาร
    จัดการอย่างไร

    พี่เซเบลอ แวะไป อัพเดต ได้ นะฮับ

    ปล. พักหลักนี่ ท่านเทศนาลงแต่
    อริยสัจจ4 น่าฟังมาว์ก น้ำตาจิไหล
    เจียวนะ รู้จยังก์
     
  16. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    พระราชรี คือองศํไหน
     
  17. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    มันไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่นะเรื่องนี้ แต่ถ้าจะให้มีสาระก็ทำได้ คนเราเลือกเกิดไม่ได้เพราะด้วยกรรมทั้งหลายที่ทำด้วยตนเองก็ดี ส่งผลมหาศาลต่อผู้อื่นก็ดี กาเมสุมิฉาจารานั่นร้ายแรง แต่ผลลัพธ์คือเรียนรู้และแก้ไขได้ด้วยตนเองก็พอยอมรับได้ ไม่ใช่พระศาสดาไม่ให้โอกาสเลย พระวินัยบัญญัติไว้เพียงว่า ขอให้บุคคลทั้งหลายรู้ตัวรู้ตนเองเอง บางคนเป็นไปตามกาล บางคนเป็นไปตามชาติพันธ์และบางคนก็กรรมบันดาล ขอให้เข้าใจสิ่งที่เป็นและไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย ถ้าทำได้จริงก็ยอมรับได้ แต่ถ้าแค่เอาชนะผู้อื่นก็เป็นบาปเป็นกรรมต่อไปและหนักเข้าไปอีกเพราะหลอกตนเองและผู้อื่น
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ถ้าไปถามหลวงพ่อรบกวนเอาเรื่องที่มีสาระไปถามด้วย เห็นแกผู้อื่นบ้างอย่าเห็นแก่ตนเอง
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ข้อความ จาก ลิ้งค์ข้างล่าง อะไรเป็นอะไรก็ "พิจารณา" กันเอานะ

    https://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

    คำชี้แจง
    อาตมาได้รับคำถามจากหลายท่านอยู่บ่อยๆ ในทำนองว่าคนที่เป็นชายไม่สมบูรณ์หรือผู้ที่มีใจสับสน เช่นกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง หรือพวกคนสองเพศ หรือบางทีก็เรียกว่าเกย์ ภาษาไทยเราเรียกว่า “กะเทย” คนพวกนี้บวชได้ไหม?
    อาตมาได้ชี้แจงว่า ตามพระวินัยกล่าวไว้ว่าบวชไม่ได้ แม้บวชแล้วก็ไม่เป็นพระหรือเณร รู้เมื่อไรก็ให้เขาสึกเสีย ถ้าเขามีศรัทธาก็ให้เขานุ่งขาวห่มขาวรักษาสิกขาบท ๕ - ๘ หรือรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ก็จะเกิดกุศลมหาศาล เป็นเหตุเป็นปัจจัยในภายภาคหน้าต่อไป
    เขาก็เล่าให้ฟังว่า เห็นมีบวชกันอยู่ทั่วไปในที่ต่างๆ บางแห่งอยู่กันเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็มี อาตมาก็บอกว่า นั่นเพราะว่าอุปัชฌาย์ไม่ทราบ หรือผู้ที่บวชไม่ทราบประเพณีของวินัยของพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่เมื่อทราบก็ต้องชี้แจงให้เขาได้รับรู้ ให้เขาสึกเสียหรือสร้างกุศลกรรมอย่างอื่นยังมีทางที่ก่อให้เกิดบุญกุศลมากมาย แต่ถ้าเขายังฝืนอยู่ในธรรมวินัยนี้มีแต่เสื่อม และเป็นบาปมากๆ เมื่อพระภิกษุผู้มีศีลต้องกราบไหว้หรือทำสามีจิกรรมเขาในเวลาเมื่อเข้าร่วมทำสังฆกรรมกับหมู่พระภิกษุ นอกจากจะทำสังฆกรรมให้วิบัติ บวชพระไม่เป็นพระ ทำสังฆกรรมเป็นคณะปูรกะ ทำให้กรรมกำเริบคือเสียใช้ไม่ได้อีกด้วย
    ดังนั้นผู้ที่ทราบจงช่วยกันชี้แจงและบอกกล่าวให้รู้กัน เพื่อช่วยกันดูแลป้องกันพระศาสนา เพื่อสังฆมณฑลจะได้บริสุทธิ์ต่อไป.

    “โพธิสัตตะ”
    เรียบเรียงข้อความใหม่บางส่วนโดย พระรัชพล ปภาโต

    .............................................................................................
    บุคคลที่พระพุทธเจ้าห้ามบวชโดยเด็ดขาด
    อภัพบุคคลเหล่านี้ ต้องห้ามบวชเพราะเพศบกพร่องก็มี เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็มี เพราะประพฤติผิดต่อ (ผู้ให้) กำเนิดของเขาเองก็มี.

    จำพวกมีเพศบกพร่องนั้น คือ บัณเฑาะก์ ที่แปลว่ากะเทย, อุภโตพยัญชนก ที่แปลว่าคนมีทั้ง ๒ เพศ

    กะเทย นั้นได้ความตามบาลีและอรรถกถาว่า ได้แก่ชายมีราคะกล้า ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น

    ชายผู้ถูกตอน (ขันที) ก็ห้ามอุปสมบทเหมือนกัน คนชนิดนี้เป็นที่รังเกียจของคนอื่นในทางกามารมณ์ (ชายที่ทำหมันคุมกำเนิด ไม่เกี่ยวกับกรณีนี้)

    อุภโตพยัญชนก คือคนมี ๒ เพศ เป็นหญิงก็มี เป็นชายก็มี

    จำพวกคนทำผิดต่อพระศาสนา นั้นแสดงไว้ ๗ ประเภท คือ คนฆ่าพระอรหันต์, คนผู้ข่มขืนภิกษุณี, คนลักเพศ, ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์ (ทั้งที่ยังเป็นภิกษุอยู่ สึกแล้วมาบวชใหม่ก็ห้าม), ภิกษุต้องปาราชิกละเพศไปแล้ว, ภิกษุผู้ทำสังฆเภท, คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต

    คนลักเพศ นั้นคือถือเพศภิกษุเอาเองด้วยตั้งใจจะปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ เช่นปลอมตัวว่าบวช ปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ

    ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์ นั้นเพ่งเอาผู้ไปเข้ารีตทั้งที่กำลังเป็นภิกษุ คฤหัสถ์เข้ารีตหรือภิกษุสึกแล้วจึงเข้ารีต ไม่จัดเข้าในข้อนี้

    คนผู้ทำสังฆเภท หมายเอาภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน ภายหลังแตกจากสงฆ์ไปตั้งคณะหนึ่งต่างหาก มีพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง การจัดภิกษุผู้ทำสังฆเภทเป็นอภัพบุคคลนั้น ความว่า แม้ภิกษุนั้นกลับใจมาขอบวชเข้าหมู่อีก ก็ห้ามมิให้รับเข้าบวชเป็นเด็ดขาด

    คนทำผิดต่อกำเนิดของตน นั้น คือ คนฆ่าพ่อฆ่าแม่

    อภัพบุคคลเหล่านี้ ถ้ารู้มาก่อนก็ไม่พึงให้อุปสมบท(บวช) แต่ถ้าให้บวชแล้วเพราะไม่รู้ เมื่อภายหลังรู้ พึงให้สึกเสีย
    มีปัญหาถามว่า ในบาลีห้ามไม่ให้อุปสมบท แต่จะให้เพียงบรรพชา (บวชเณร) จะได้ไหม? มีคำเฉลยว่า การบรรพชาทรงอนุญาตสำหรับคนมีอายุหย่อน ๒๐ ปี คือผู้ยังเป็นเด็กเท่านั้น เป็นเบื้องต้นแห่งการบวช ผู้ที่ถูกห้ามอุปสมบทจึงถูกห้ามไปถึงการบรรพชาด้วย

    คนเคยต้องปาราชิก เมื่ออุปัชฌาย์ไม่รู้และให้บวชไปแล้ว ต่อมารู้ในภายหลังพึงให้สึกเสียจากเพศพระ.

    ยังมีคนผู้ต้องห้ามอยู่อีก
    จำพวกคนถูกห้ามไม่ให้รับบรรพชา (บวชเณร) จัดเป็น ๘ พวก ดังนี้ :-

    ๑. คนมีโรคอันจะติดต่อกัน โรคไม่รู้จักหาย โรคเรื้อรัง ได้แก่โรคเรื้อน มาว่าโรคฝี เช่นฝีดาษและสุกใส หัด โรคกลาก โรคพยาธิ โรคหืด โรคลมบ้าหมู โรคเป็นผลแห่งบาป โรคเรื้อรังเช่นริดสีดวงและกามโรค โรคอัมพาต โรคเอดส์ คนเป็นโรคเหล่านี้ที่รักษาหายเป็นปกติแล้ว รับให้บรรพชาได้.

    ๒. คนมีอวัยวะบกพร่อง คือ มือขาด เท้าขาด ทั้งมือและเท้าขาด หูขาด จมูกขาด ที่ทั้งหูทั้งจมูกขาด นิ้วมือนิ้วเท้าขาด.

    ๓. คนมีอวัยวะไม่สมประกอบ คนมีมือเป็นแผ่น คือนิ้วมือไม่ได้เป็นง่าม มีหนังติดกันในระหว่าง คนค่อมคือมีหลังโกง คนเตี้ยคือเตี้ยกว่าคนปกติ คนคอพอก คนตีนปุก คนแปลกประหลาดเพื่อน (ในทางเสีย) คือ สูงเกินบ้าง ต่ำเกินบ้าง ดำเกินบ้าง ขาวเกินบ้าง ผอมเกินบ้าง อ้วนเกินบ้าง มีศีรษะใหญ่เกินบ้าง มีศีรษะหลิมเกิน คนที่แก้หายเช่นคนมีมือเป็นแผ่น เมื่อตัดหนังตกแต่งให้เป็นปกติ ไม่ห้ามบรรพชา.

    ๔. คนพิการ คนตาบอดตาใส คนง่อย คือมีมือหงิกบ้าง มีเท้าหงิกบ้าง มีนิ้วหงิกบ้าง คือมีเท้าหรือขาพิการ เดินไม่ปกติ คนตาบอดมืด คนใบ้ คนหูหนวก คนทั้งบอดทั้งใบ้ คนทั้งบอดทั้งหนวก คนทั้งใบ้ทั้งหนวก คนทั้งบอดทั้งใบ้ทั้งหนวก.

    ๕. คนทุรพล คือคนแก่ง่อนแง่น (ทำงานไม่ไหว) คนเปลี้ย คนมีอิริยาบถขาด หรือที่เรียกว่าเส้นประสาทพิการ.

    ๖. คนมีสิ่งเกี่ยวข้อง คือคนที่พ่อแม่ไม่ได้อนุญาต เป็นราชภัฏคือข้าราชการอันพระราชาเลี้ยง ตรงกับข้าราชการอยู่ในตำแหน่งได้รับพระราชทานเงินเดือนหรือเบี้ยเลี้ยง คนมีหนี้สิน คนเป็นทาส คนจำพวกนี้หากทำภาระให้สิ้นสุดหรือสะสางแล้วก็สามารถบวชได้ เช่นบุตรได้รับอนุญาตจากมารดาบิดา ราชภัฏได้รับอนุญาตจากพระราชาหรือเจ้าหน้าที่เหนือตน คนมีหนี้สินใช้หนี้เสร็จแล้ว คนเป็นทาสได้รับปลดเป็นไทแล้ว รับบวชได้.

    ๗. คนเคยถูกอาชญาหลวง มีหมายปรากฏอยู่ คือคนถูกเฆี่ยนหลังลาย คือมีรอยแผลเป็นที่หลัง คนถูกสักหมายโทษ.

    ๘. คนประทุษร้ายความสงบ คือโจรผู้ร้ายที่ขึ้นชื่อโด่งดัง คนโทษหนีเรือนจำ คนทำผิดมีหมายไว้

    คนเหล่านี้ถูกห้ามบรรพชาแล้ว ก็เป็นอันถูกห้ามอุปสมบทด้วย (เพราะก่อนอุปสมบทจะต้องบรรพชาก่อน)
    บุคคลผู้ห้ามให้บวชตามหลักฐานอรรถกถาจารย์

    ๑. ปณฺฑกาติ อุสฺสนฺสกิเลสา อวูปสนฺตปริฬาหา นปุสกา บุคคลที่ไม่ใช่ชายหรือหญิง มีกิเลสแน่นหนา มีความเร่าร้อนกลัดกลุ้มอยู่เสมอ เรียกว่า “บัณเฑาะก์” หรือกะเทย

    ๒. เต ปริฬาหาภิภูตา เยน เกนจิ สทฺธึ มิตฺตภาวํ ปตฺเถนฺติ กะเทยเหล่านั้น (ที่มีนิสัยชอบพวกเพศเดียวกัน) เมื่อถูกราคะครอบงำแล้วปรารถนาเป็นมิตรกับพวกผู้ชายบางคน


    อรรถกถาจารย์แบ่งกะเทยไว้ ๕ ประเภท คือ
    ๑. อาสิตตบัณเฑาะก์ (ยสฺส ปเรสํ องฺคชาตํ มุเขน คเหตฺวา อสุจินา อาสิตฺตสฺส ปริฬาโห วูปสมติ อยํ อาสิตฺตปณฺฑโก) หมายความว่า กะเทยพวกที่ชอบใช้ปากอมองคชาตของผู้อื่น ความเร่าร้อนสงบไปเมื่อถูกน้ำอสุจิรั่วรดแล้ว พวกนี้เรียกว่า อาสิตตบัณเฑาะก์
    ๒. อุสสุยบัณเฑาะก์ (ยสฺส ปน ปเรสํ อชฺฌาจารํ ปสฺสโต อุสฺสุยยาย ปริฬาโห วูปสมติ อยํ อุสฺสุยฺยปณฺฑโก) หมายความว่า กะเทยพวกที่เห็นคนอื่นเขาประพฤติล่วงประเวณี หรือเห็นคนอื่นเขาเสพสังวาสกันความเร่าร้อนด้วยราคะที่ฟุ้งขึ้นของเขาก็สงบไป พวกนี้เรียกว่า อุสสุยยบัณเฑาะก์ พวกชอบแอบดู (ชายปกติที่ชอบแอบดู ไม่เกี่ยวกับกรณีนี้)
    ๓. โอปักกมิยบัณเฑาะก์ (ยสฺส อุปกฺกเมน พีชานํ อปนีตานิ อยํ โอปกฺกมิย ปณฺฑโก) หมายความว่า กะเทยพวกที่ถูกตอนแล้ว ถ้าเป็นประเพณีเก่าของจีนคือพวกขันที คือคนพวกที่ถูกเขาควักเอาอัณฑะออกแล้ว (น่าจะตัดออก) พวกนี้เรียกว่า โอปักกมิยบัณเฑาะก์
    ๔. ปักขบัณเฑาะก์ (เอกจฺโจ ปน อกุสลวิปาเกน กาฬปกฺเข ปณฺฑโก โหติ ชุณฺหปกฺเข ปนสฺส ปริฬาโห วูปสมติ อยํ ปกฺขปณฺฑโก) หมายความว่า กะเทยพวกนี้เป็นกะเทยมีราคะกล้าเฉพาะวันข้างแรมไปจนถึงเดือนดับเพราะอกุศลวิบาก แต่พอข้างขึ้นก็สงบไป พวกนี้เรียกว่า ปักขบัณเฑาะก์
    ๕. นปุงสกบัณเฑาะก์ (อิตฺถีอุภโตพยญฺชนกสฺส อิตฺถีสุ ปุริสตฺตํ กโรนฺตสฺส อิตฺถี นิมิตฺตํ ปฏิจฺฉนฺนํ ปุริสนิมิตฺตํ ปากฏํฯ ปุริสอุภโตพยญฺชนกสฺส ปุริสานํ อิตฺถีภาวํ อุปคจฺฉนฺตสฺส ปุริสนิมิตฺตํ ปฏิจฺฉนฺนํ โหติ อิตฺถีนิมิตฺตํ ปากฏํ โหติฯ อิตฺถีอุภโตพยญฺชนโก สยญฺจ คพฺภํ คณฺหาตีติ ปรญฺจ คณฺหาเปติฯ ปุริสอุภโตพยญฺชนโก ปน สยํ น คณฺหาติ ปรํ คณฺหาเปติฯ)
    หมายความว่า กะเทยพวกนี้มี ๒ เพศในร่างเดียวกัน คือ พวกอุภโตพยัญชนกเมื่อทำหน้าที่ของผู้ชายให้หญิง ก็ซ่อนรูปเพศหญิงไว้แต่เพศชายปรากฏ, เมื่อทำหน้าที่เป็นหญิง เพศชายหายไปแต่เพศหญิงปรากฏ, เรียกพวกนี้ว่า ปุริสอุภโตพยัญชนกฯ ส่วนอิตถีอุภโตพยัญชนก ท้องเองก็ได้ และทำผู้อื่นท้องก็ได้ ส่วนปุริสอุภโตพยัญชนกไม่ได้ตั้งท้องเอง แต่ทำให้หญิงท้องก็ได้ (ผู้เขียนฯ เคยเห็นภาพในหนังสือคู่มือแพทย์)
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้อย่างไร ?

    เนสํ หิ น ภิกฺขเว ปณฺฑโก ปพฺพาเชตพฺโพ โย ปพฺพาเชยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ อาทินา ปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา จ ปฏิกฺขิตฺตาฯ
    แปลใจความว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสห้ามการบรรพชาและอุปสมบท แก่บุคคลเหล่านั้น ด้วยคำเป็นต้นว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย กะเทยอันภิกษุไม่พึงให้บวช ภิกษุใดให้บวช ภิกษุนั้นพึงทำไม่ดี" ฯลฯ

    ตสฺมา เตปิ ปาราชิกาฯ ความว่า เพราะกะเทยแม้เหล่านั้น เป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว คือเปรียบเหมือนเป็นปาราชิกตั้งแต่เขาเป็นคฤหัสถ์ (คือบวชไม่ได้ตลอดชีวิต)

    ปพฺพชฺชาปิ เนสํ ปฏิกฺขิตฺตา ฯ แม้การบรรพชาของคนพวกนั้นก็ทรงห้ามแล้ว

    ปณฺฑโก ภิกฺขเว อนุปสมฺปนฺโน น อุปสมฺปาเทตพฺโพ อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ ฯ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันที่เป็นกะเทย ภิกษุไม่พึงให้บวช ที่บวชแล้วพึงให้สึกเสีย" ฯ
    ======================================
    +++ ไอ้เจ้า "เซจนบื้อ" มัน "มั่วอีกตามเคย" มิจฉาทิษฐิ ตัวจริงเลยไอ้นี่ หึหึหึ
     
  20. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ในอนาคตกาลผมก็จะกำหนดไว้เช่นเดียวกับพระศาสดาทั้งหลาย เพราะมันมีเหตุ เพราะกรรมเป็นเหตุ หาใช่เพราะรังเกียจเดียดฉันท์แค่อย่างไร ถ้ารู้ว่ามีจิต ยังคงวนเวียนไปในวัฏสังสารนี้ ควรรู้ว่า ไม่ควรอย่างยิ่งจะก้าวล่วงพระธรรมและพระวินัย มันลำบากใจในฐานะคนทั่วไป ในเมื่อชอบคิดเรื่องนิพพานกันนัก ถ้าตัวเราเป็นพระสัพพัญญู อันนี้สมมุตินะ ไม่ใช่เรื่องจริงบางคนเขาเรียกว่า มโนว่าเป็นที่จริงมันมีคำบาลีแต่รำคาญไม่จำไม่ชอบ มันมีจริง มัรคือสมมุติ สมมุติอารมณ์นิพพาน สมมุติว่าเหมือนพระศาสดา ซึ่งทั้งหมดคืออุปกิเลสแต่ไม่ว่ากันเพราะผลคือคล้ายกันย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควรในเบื้องต้น ย่อมรู้กาลอนาคตแม้ไม่ชัดแต่ก็รู้ ว่าทำไมทุกสิ่งล้วนบริสุทธิ์ด้วย กาย วาจา และใจ สำหรับผู้ที่จะพ้นไปจากวัฏสังสารนี้อันได้แก่ พระอริยะบุคคลทั้งหลาย เท่าที่ทราบไม่เห็นนะที่เป็นตุ๊ด กะเทย ลักเพศ บรรลุธรรม อย่าไปฟังมาก ไอ้เล่าปี่ เล่าปัง นิวรณ์ พิฬา หรืออะไรที่มันสรรหามาใช้เป็นชื่อมัน ปล่อยให้มันไปนรกเถอะอย่าไปด้วยกับมันเลย ถึงวันนี้แล้วก็ไม่อยากห้ามแล้ว ไปเถอะจะได้รู้ว่านรกเป็นยังไง เกิดมาชาติใหม่จะได้มีเรื่องมาเล่า นะเล่าปัง เล่าปี่ นิวรณ์ บุคคลที่สาม พิฬาและอื่นๆอีกมาก คนอื่นอย่าไปยุ่งมาก บอกให้รู้เท่านี้แหละ
     

แชร์หน้านี้

Loading...