พระพ้นโลก จารตะกรุดมหามงคลเป็นกรณีพิเศษให้ผู้สนับสนุนเวบพลังจิต ๑ ดอก ที่ ๒๕,๕๐๐ บาท

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 27 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    หลวงปู่พระผู้พ้นโลก จารตะกรุดให้เป็นกรณีพิเศษแด่ผู้ร่วมบุญสนับสนุนเวบพลังจิต.คอม
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เนื่องด้วยยายผีป่าและครอบครัวได้ตั้งจิตมั่นที่จะเดินทางไปกราบหลวงปู่พระผู้พ้นโลกด้วยตัวเองสักครั้งอย่างน้อยในชีวิตนี้ และได้ชวนพี่ๆ น้องๆ ชาวพลังจิต ที่คิดว่ายายผีป่าไม่เพี้ยนเกินรับได้ ไปด้วยกันอีกรวมผู้ใหญ่ประมาณสิบคนน่าจะได้ ลูกเล็กเด็กแดง แม้กระทั่งน้องใบตองไปให้ปู่ฯ ท่านอุ้มเล่นเป่ากระหม่อมให้ด้วยล่ะเจ้าค่ะ เป็นบุญบารมีพวกเราและลูกหลานยิ่งนัก

    ยายผีป่ากับพี่ตุ่นได้รับการรับขวัญเป็นลูกบุญธรรมของท่านตามแรงอธิษฐาน (ท่านไม่รับเรี่ยราดนะคะ)

    และลูกบุญธรรมทุกคน(ตอนนี้มีรวมยายกับพี่ตุ่นน่าจะเป็น ๕ คนค่ะ)จะต้องมีตะกรุดที่ระลึก ซึ่งคนที่มีรหัสเท่านั้นท่านถึงจะทำให้ ไม่ใช่ว่าขอท่านว่า หลวงปู่ทำตะกรุดให้หน่อย ท่านจะถามว่าตะกรุดอะไร ถ้าเราตอบไม่ถูกจะไม่ได้ ยายก็เห็นว่า พี่น้องไปด้วยกันมากมาย ก็อาศัยลักไก่ท่านขอบารมีท่านให้เพื่อนๆ ร่วมคณะด้วย ยายก็ยื่นแผ่นเงินให้แต่ล่ะคนว่า มีใครจะเอาบ้าง น้องขุนกิ๊ก ณ พลังจิตพิชิตภัยพิบัติไม่รับ ทุกคนไม่ทราบว่าจะรับทำไม คุณตั้มรับ น้องท๊อบ รับ คุณวีรวิท รับ คุณฝุ่น คุณกีรติ คุณกก และเผื่อผู้ช่วยเก๋ด้วย ท่านจะทำให้เฉพาะคนที่ไป เพราะมีเหตุผล และทำให้คนที่น้อมนำเพื่อนำมาติดตัวจริงๆ พอท่านจารให้ยายกับพี่ตุ่นเรียบร้อย ท่านก็หยุด จนยายตั้งจิตขอท่าน และเพื่อนๆ คงตั้งจิตในใจขอเช่นกัน ยายบอกว่า หลวงปู่เมตตาลูกหลานให้ทั่วถ้วนด้วยนะคะ เพราะทุกคนเขาอยากเป็นลูกหลานหลวงปู่เช่นกัน แต่เขายังไม่รู้ว่าหลวงปู่คือท่านที่เขาอยากพบเจอ เขามีความสงสัยแต่ถ้าได้ตะกรุดนี้ไปแล้ว วันข้างหน้าความสงสัยเขาจะหมดไป

    พอจะกลับ ท่านก็ได้จารให้ครบทุกแผ่นที่ยายมอบให้เจ้าค่ะ

    และยายเลยขอเมตตาจากท่านว่า

    หลวงปู่เจ้าคะ แผ่นนี้หนูขอนำไปให้คนที่มีจิตศรัทธาบริจาคเงินช่วยทำฐานพระไตรปิฎกค่ะ

    ท่านก็ทำให้

    เนื่องจากน้องคม โคโมโด ได้แจ้งเจตนารมณ์ด้วยการตั้งจิตอธิษฐานอันแรงกล้า ด้วยยอดบูชาที่ตั้งไว้ ๒๕,๕๐๐ บาทถ้วน

    น้องคมจึงเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับตะกรุดมหามงคลดอกนี้ไป และยายจะแจ้งรายละเอียดในข้อความส่วนตัวค่ะ

    อนุโมทนาค่ะ


    ท่านที่สนใจทราบรายละเอียดและร่วมประมูลสนับสนุนเวบเพิ่มเติมได้ที่

    ช่วยกันเช่าพระของหลวงพ่อฤาษีฯรายได้ทั้งหมดมอบให้ทางเวปเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ
     
  2. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    [​IMG] สาธุ ขอรับ
     
  3. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    พี่ตุ่นสมาชิกคนดีที่สวยทั้งกายและจิตใจได้รับเมตตาจากหลวงปู่พร้อมๆ กับยายผีป่า ได้นำตะกรุดหลวงปู่มาขอชมพลังบารมี

    แล้วบอกยายผีป่าว่า

    ยายนี่พลังเดียวกับพลังหลวงปู่โลกอุดรเลย เพราะพี่เคยจับพลังพระที่หลวงปู่โลกอุดรท่านทำ



    คือทริปการเดินทางครั้งนี้ของเรานะคะ ยายบอกพี่ตุ่นว่าจะพาไปกราบปู่ใหญ่ และเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงเรียกท่านเช่นนี้ พี่ตุ่นยังไม่ปักใจเชื่อเพราะเชื่อตามพระพุทธเจ้าเรื่องกามาละสูตร ไม่เชื่ออะไรๆ โดยง่าย

    จนพี่ตุ่นพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วทั้งก่อนเดินทางและต่อหน้าท่าน

    ไม่ได้ปรามาสค่ะ แต่ต้องการคำยืนยัน ซึ่งยายผีป่าก็ต้องการคำยืนยันจากท่านเช่นกัน

    มีคำหนึ่งที่ท่านตอบคำถามที่ยายผีป่าสงสัยในใจได้โดยคนอื่นๆ ไม่ทราบ

    คือยายถามท่านในใจว่า หลวงปู่คะหลวงปู่รูปนั้นชื่ออะไรแน่ ใช่หลวงปู่....ใช่หรือไม่ ท่านก็ตอบมาให้ได้ยินว่า

    วันนั้นเอาของไปให้โสภามา

    ซึ่งโสภา คือชื่อของหลวงปู่พระพ้นโลกรูปหนึ่ง ที่มีสังขารใหม่ที่ไม่ใช่ชื่อโสภา ยายก็เลยสาธุ...เพราะนี่คือข้อสงสัยที่เราอยากทราบ

    ทำไมท่านไม่เรียกว่า หลวงปู่โสภา เพราะเป็นพระเหมือนกัน

    นั่นเพราะท่านเมตตาต่อกันค่ะ

    ท่านเคยบอกว่า คนสมัยนี้ ลืมคำเก่าๆ

    ซึ่งคำเก่าๆ นะคะ ยายผีป่าว่าถ้าเราตีนัยยะออก เราเข้าใจหลักธรรมทันทีค่ะ



    มีบางคนคิดว่าตัวเองมีเงินมากมายสามารถบูชามงคลวัตถุหลวงปู่ได้ เลยถามราคาท่าน

    ท่านบอกว่า

    ตอบคำถามถูก จะให้ฟรี ตอบไม่ถูก แพงมากๆ (ท่านไม่อยากให้ไงคะ เลยตั้งเสียแพง ถ้าคนน้อมนำจริง แพงแค่ไหนก็บูชาค่ะ ท่านรู้กำลังใจเราค่ะ)


    ถามว่า

    สี่คนหาม

    สามคนแห่

    หนึ่งคนนั่งแคร่

    สองคนเดินตาม

    เอ้า พี่ๆ น้องๆ ลองคิดดูนะคะ ว่าสัจจะธรรมนี้ แฝงอะไรไว้
     
  4. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ขอตอบ ครับ

    สี่คนหาม คือ ธาตุทั้ง4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
    สามคนแห่ คือ ก็คือกิเลส หรืออกุศลมูล ๓ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ (หรือไม่งั้นก็ ไตรลักษณ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าจำไม่ผิด)
    หนึ่งคนนั่งแคร่ ก็คือ จิตของเรา
    สองคนเดินตาม คือ กุศลกรรม- อกุศลกรรม หรือ บุญ กับ บาป นั่นเอง

    ไม่รู้ตอบถูกรึป่าว คล้ายๆเคยอ่านมาจำได้ลางๆ
     
  5. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ใครตอบได้ถูกหรือใกล้เคียง รับหัวแหวนเพชรหน้าทั่งกายสิทธิ์ฯ พลังเสาร์ ๕ จากยายฯ

    สี่คนหาม

    สามคนแห่

    หนึ่งคนนั่งแคร่

    สองคนเดินตาม



    ให้ตอบถึงเวลา ๑๘.๐๐ น.

    คนที่ตอบถูกหรือใกล้เคียงคนแรก ได้รับสิทธิ์ทันทีค่ะ

    เริ่มเลยนะคะ
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    อ้าว คุณลั่นทม ตอบก่อนโพสประกาสเล่นเกมส์ เดี๋ยวเฉลยเมื่อถึงเวลานะคะ (ถ้ายายลอคอินไม่ได้ ก็เฉลยหลังจากเข้าเนตได้ค่ะ)

    คุณลั่นทมจะร่วมเล่นเกมส์นี้ด้วยไหมจ๊ะ ถ้าไม่อยากได้กายสิทธิ์ของยายผีป่า ก็บอกนะคะ หลายคนตอบได้หลายคำตอบค่ะ
     
  7. Hma

    Hma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,307
    ค่าพลัง:
    +6,426


    น่าจะถูกแล้วคับ เพราะเคยฟังมาแล้ว
    อนุโมทนาครับ
     
  8. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ตอบถูกรึป่าวครับคุณยาย โทษทีนะครับที่ไวอย่างกะ ปรอท(deejai) พอดีเกิดเสาร์ 5ด้วย วันเสาร์ เดือน5 (เม.ย.)

    สงสัยต้องหัดท่องบทอธิษฐานตามแบบฉบับหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซะแล้ว
    จุติ
    จิตตัง

    อะระหัง
    พุทโธ
    นะโม
    พุทธายะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  9. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    คิดถึง สี่คนหาม สามคนแห่
    จิตเป็นหนึ่ง นั่งแคร่ แย่หรือเปล่า
    สองคนจะ พาไป ไหนหนอเรา
    จงเลือกเอา กุศล คนพาไป
    คือทำดี กรรมดี มีอำนาจ
    พาสมมาด ปราถนา หน้าผ่องใส
    ทั้งชาตินี้ มีสวรรค์ ไม่บรรลัย
    ตายลงได้ สวรรค์ซ้ำ สุขล้ำเอย

    ปริศนาธรรมแห่งชีวิต

    อะไรเอ่ย สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป

    คำเฉลยปริศนาธรรมนี้ อยู่ที่ตัวตนสมมุติของทุกคนนั่นเองคือ

    ๑. สี่คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ที่ประกอบเป็นร่างกาย

    ๒. สามคนแห่ ได้แก่ ไตรลักษณ์ที่มีอำนาจครอบงำร่างกาย ให้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ๓. คนหนึ่งนั่งแคร่ หมายถึง จิตหรือวิญญาณในร่างกาย

    ๔. สองคนพาไป หมายถึง กุศลกรรม กรรมดี และ อกุศลกรรม กรรมชั่ว หรือบุญกับบาป ที่คอยจัดสรรให้ทุกคนเป็นไปต่างๆ นานา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง

    คำเฉลยปริศนาธรรมแต่ละข้อ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

    รูปร่าง กายของเราทั้งหลายที่หลงกันว่าสวยงาม น่ารัก น่าหวงแหน หรือมีเสน่ห์จนกระทั่งต้องแย่งชิงกัน หรือหลงละเมอฝันถึงกันในทุกวันนี้ ที่แท้เป็นเพียงธาตุ ๔ รวมตัวกันเป็นร่างกาย เป็นรูป เป็นตัว เป็นตน เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นของงดงาม ตามความสมมุติของชาวโลก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แยกแยะ วิเคาระห์ร่างกายออกมาดูโดยละเอียด แล้วให้พบความจริงว่า รูปร่างกายนี้ ไม่มีอะไรสวยงามเลย มีแต่ ๔ คนหาม คือ ธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุหมายถึง สิ่งที่ทรงสภาวะของมันอยู่เอง ตามธรรมดาของเหตุปัจจัย คือ ในร่างกายมีธาตุลักษณะสำคัญๆ ๔ ส่วน รวมตัวกันอยู่ เป็นชีวิตคน ชีวิตสัตว์ เป็นตัวตน

    ธาตุลักษณะที่ ๑ เรียกว่า ปฐวีธาตุ ธาตุดิน เพราะมีลักษณะแข้นแข็งกินเนื้อที่

    ธาตุลักษณะที่ ๒ เรียกว่า อาโปธาตุ ธาตุน้ำ เพราะมีลักษณะเอิบอาบ เหลว ไหล ซึม หล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย

    ธาตุลักษณะที่ ๓ เรียกว่า วาโยธาตุ ธาตุลม เพราะมีลักษณะ เคลื่อนไหว พัดขึ้นลงในที่ว่างของร่างกาย

    ธาตุลักษณะที่ ๔ เรียกว่า เตโชธาตุ ธาตุไฟ เพราะมีลักษณะร้อนหรืออบอุ่น

    เพราะเหตุที่ธาตุทั้ง ๔ มารวมตัวกันตามเหตุปัจจัยจึงถูกบัญญัติ หรือสมมติขึ้นว่า สวยงาม น่าดู น่าชม น่าอภิรมย์รักใคร่ได้ชั่วระยะหนึ่ง ต่อไปธาตุทั้ง ๔ แยกตัวเองสลายไปคนละทิศละทาง คือ ส่วนที่เข้นแข็ง สลายไปเป็นธาตุดิน ส่วนที่เอิบอาบเหลวไหล สลายไปเป็นธาตุน้ำ ส่วนที่พัดเคลื่อนไหวในช่องว่างของร่างกายก็สลายไปเป็นธาตุลม ส่วนที่ร้อนและอบอุ่น ก็สลายไปเป็นธาตุไฟ เหมือนสภาวะเดิมของมันทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญาจริงจึงไม่ลุ่มหลงมัวเมาในร่างกาย หรือสังขารนี้ เมื่อไม่ลุ่มหลงมัวเมาในร่างกายนี้ก็ไม่มีความยึดถือมั่นด้วยอำนาจอุปทาน เมื่อไม่มีความยึดถือมั่นด้วยอำนาจอุปทานย่อมไม่สร้างภพ ไม่สร้างชาติ เมื่อไม่สร้างภพไม่สร้างชาติ ก็ย่อมไม่ต้องวนเวียนมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

    สี่คนหาม จึงเป็นเครื่องเตือนใจทุกคนได้เป็นอย่างดีว่า แม้สี่คนจะหามเรา เราก็ต้องรู้จักรู้เท่าทัน รู้จักปล่อย รู้จักวาง อย่าหาบหามภาระหนักโดยไม่วาง ไม่ปล่อย เพราะปล่อย เพราะวาง จึงจะสุขสบายใจ หายเหนื่อย

    คำเฉลยปริศนาธรรมข้อที่ ๒ ท่านว่า สามคนแห่ สามคนนั้นคือ ไตรลักษณ์ แปลว่า ลักษณะ ๓ หมายถึง อำนาจในธรรมชาติที่ครองงำบังคับให้สังขาร ร่างกาย ชีวิต และทุกสิ่ง ทุกอย่างต้องมีอันเป็นไป กล่าวคือ อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตตา ความมิใช่ตัวตนของเรา

    ไม่มีใครและไม่มีอะไรในโลกนี้และโลกอื่นๆ ที่เที่ยงแท้ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงคุณภาพ คือ สวยงาม ดี แข็งแรง อยู่เหมือนเดิมไม่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไปจากสวย กลายเป็นโทรม จากดีเป็นด้อย จากแข็งแรงเป็นอ่อนแอ จากของใช้เป็นประโยชน์ได้ เป็นของไร้ประโยชน์ใช้ไม่ได้ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในอำนาจของ อนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตตา ความมิใช่ตัวตนของเราจริงบังคับไม่ได้

    เราทุกคนตกอยู่ในลักษณะ ๓ นี้ทั้งหมด วันนี้มาเผาศพเขา พรุ่งนี้เขามาเผาศพเรา วันนี้สุขสันต์ วันหน้าเศร้าโศก วันนี้ถึงคิวของเขา พรุ่งนี้ถึงคิวของเรา

    จงจำไว้ว่า เกียรติชื่อเสียงเหมือนความฝัน รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ หมายความว่า ชีวิตดำรงอยู่ชั่วระยะไม่นาน ที่ได้สุขสันต์ ทุกวันนี้ก็เหมือนนิมิตฝันไปเท่านั้น จะสุขสันต์มั่นคงเป็นไม่มีแน่ ความสวยหล่อของรูปร่างหน้าตาก็เหมือนบุปผาชาติงดงามด้วยดอกบาน ดอกบานแล้วก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาร่างโรย หลุดพ้นจากขั้ว ตกลงเกลือกกลั้วแผ่นดิน สิ้นความหมายในที่สุด

    เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงควรจะหยุดความยึดถือมั่น หยุดหลงเพลิดเพลินในสิ่งที่ไม่มีสาระจริงเสียบ้าง อย่าให้ตัณหาอุปาทานมีอำนาจบังคับให้ประพฤติผิดเสียหายทำลายคุณธรรม ทำลายวงศ์ตระกูล ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    บางท่านแย้งว่าเป็นปุถุชน ต้องมีอุปทานความยึดถือบ้าง ข้อนี้ไม่ปฏิเสธเพราะการถือโดยสมมติสัจจะเป็นความจำเป็นต้องมี เมื่อโลกสมมุติให้เราเป็นอะไรในหน้าที่การงาน เช่น เป็นบิดามารดา เป็นบุตรธิดา เป็นครูอาจารย์ เป็นข้าราชการ เป็นพลเมืองไทย เป็นต้น เราจะต้องยอมรับรู้ ยอมทำตามหน้าที่การงานที่โลกสมมุตินั้น ผู้มีปัญญาจะต้องไม่ละทิ้งหน้าที่การงาน ไม่ละทิ้งความรับผิดชอบที่ตนมีหน้าที่การงานอยู่

    โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้จักหน้าที่ ยอมรับและปฏิบัติตามหน้าที่ที่โลกสมมุติ ในขณะเดียวกันก็ทรงสอนให้รู้เท่าทันสมมุติบัญญัติ หรือ สมมุติสัจจะที่โลกสมมุติกล่าวคือ

    ให้มีอำนาจได้ แต่ไม่ให้หลงอำนาจ
    ให้มีลาภได้ แต่ไม่ให้หลงลาภ
    ให้มียศตำแหน่งได้ แต่ไม่ให้หลงยศตำแหน่าง
    ให้เอ็นดูรักผู้อื่นได้ แต่ไม่ให้หลงความสุข
    ให้รับคำสรรเสริญได้ แต่ไม่ให้หลงคำสรรเสริญ

    เพราะอะไร เพราะตราบใดที่ยังมีความหลงรักหลงเยื่อใย หลงเพลิดเพลิน ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตราบนั้น ชื่อว่ามีอุปทาน ความยึดถือมั่น เมื่อมีอุปทาน ย่อมมีภพ เมื่อมีภพย่อมมีชาติความเกิด เมื่อมีความเกิด ก็ย่อมมีทุกข์มากมายตามมาเป็นทิวแถว คือต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด

    โดยเฉพาะคำว่า อนัตตา มิใช่ตัวตนแท้จริงของเรา นั้นยังมีผู้ไม่เข้าใจอีกมาก กล่าวคือ ผู้ไม่ได้ศึกษาอบรมมาเพียงพอ เข้าใจว่า เรามีตัวตนหรืออัตตาเป็นของตน หรือ อัตตามีในตน ย่อมคัดค้านท่านผู้ที่เป็นสัมมาทิฐิว่า ถ้าไม่มีอัตตาตัวตนของเรา ทำไมจึงต้องรักษาตน ทำไมต้องรับประทานอาหาร ยารักษาโรคและน้ำ เวลาผู้น้อยกล่าวถ้อยคำหยาบดูหมิ่นทำไมจึงไม่พอใจ และถ้าว่าเบญจขันธ์เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ตัวตนทำกรรมดี กรรมชั่ว ก็ไม่มีผู้รับกรรมดีหรือชั่ว

    ข้อแย้งเหล่านี้ เป็นของบุคคลผู้ไม่เข้าใจหลักอนัตตาในพระพุทธศาสนา อนัตตา มีความหมายว่า

    ขัดแย้งกับอัตตา ๑
    ไม่อยู่ในอำนาจของเรา ๑
    เป็นสภาพว่างเปล่า ๑
    เป็นสภาพไม่มีเจ้าของ ๑

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นชัดๆ ว่า เบญจขันธ์คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง ล้วนเป็นสิ่งมีทุกข์ ล้วนเป็นสิ่งมิใช่ตัวตนจริง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็เป็นอนัตตา บังคับให้เป็นอย่างใจหวังไม่ได้

    ส่วนกรรมดี กรรมชั่วที่ทำแล้วก็มีตัวตนสมมุติรับไป คือ วิญญาณรับรู้ รับกรรม บันทึกความดี ความชั่วไว้ แม้วิญญาณเป็นอนัตตาก็สามารถรับกรรมได้ เพราะวิญญาณมีลักษณะเกิด - ดับ เกิด - ดับ สืบเนื่องกันไป เรียกว่ามีสันตติ ไม่ใช่มีลักษณะเป็นเนื้อหนังเดียวกันเหมือนผืนผ้า

    เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงควรคิดถึงไตรลักษณ์อยู่เสมอ วันหนึ่งๆ หลายๆ ครั้ง เพื่อยับยั้งไม่ให้จิตลุ่มหลงมัวเมา พึงจำไว้เสมอว่า

    - การรู้เท่าทัน เป็นปัญญารักษาใจมิให้ทุกข์
    - การรู้กันรู้แก้ เป็นแง่ของความฉลาดรักษาสิ่งที่มีคุณค่าไว้
    -ส่วนการปล่อยให้สิ่งที่มีคุณค่าเสียหาย เป็นอุบายวิธีของคนโง่เขลา

    คำเฉลยปริศนาธรรมข้อที่ ๓ หนึ่งคนนั่งแคร่ ซึ่งหมายถึง จิต หรือ วิญญาณ

    จิต นั่งแคร่ คือ อัตภาพ สังขาร ร่างกาย เพราะเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนืออัตภาพ ธรรมชาติที่รู้จักคิดเรียกว่า จิต จิตนี้อาศัยอัตภาพร่างกายอยู่ เพราะจิตเป็นนามธรรม ไม่กินเนื้อที่ เข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ทุกส่วน ถ้าจิตไม่เข้าไปสอดแทรกในหน้าที่ต่างๆ ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่จะต้องมองรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ ก็จะเป็นผลร้ายคือ มองรูปไม่เห็น ฟังเสียงไม่ได้ยิน ดมกลิ่น ไม่รู้หอมเหม็น ลิ้นรสไม่รู้รสชาติ ถูกต้องอะไรก็เฉยๆ เหมือนศพที่ถูกมนุษย์มีชีวิตจับต้อง

    แม้ว่าจิตจะเป็นผู้อาศัยร่างกายอยู่ แต่จิตก็อาศัยอยู่ในฐานะผู้เป็นเจ้านายของร่างกาย ร่างกายอยู่ในฐานะทาส หรือบ่าวไพร่คอยรับใช้ของจิต ถ้าจิตขาดการฝึกอบรมให้เหมาะสมก็จะกลายเป็นเจ้านายที่โง่เขลา มิจฉาทิฐิ เมื่อจิตเป็นมิจฉาทิฐิ คือเห็นผิดเสียแล้ว ก็จะทำให้เกิดผลร้ายมากมาย เป็นต้นว่า ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เมื่อทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว ก็ต้องรับผลในทางเลวทราม ต่ำช้า ทำให้ตนเองและสังคมวุ่นวาย ประเทศชาติ ศาสนาก็เสื่อมเสีย ทั้งนี้เพราะจิตได้กลายเป็นศัตรูร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าศัตรูภายนอกกายหลายร้อย หลายพันเท่า ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า

    จิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำคนให้เสียหายยิ่งกว่า โจรกับโจร หรือศัตรูกับศัตรู พึงก่อความพินาศให้แก่กันเสียอีก (ขุ.ธ. ๒๕/๒๐)

    ตามพระพุทธภาษิตนี้ คนมิจฉาทิฐิเห็นผิด เป็นคนที่มีจิตใจเป็นศัตรูร้าย คอยทำลายตัวเองให้สูญเสียคุณภาพ สูญเสียคุณธรรม สูญเสีย ความสุขสงบที่มีคุณค่ามาก และต้องได้รับผลทางเลวร้ายต่อไปอีกหลายชาติ คนมิจฉาทิฐิเป็นคนโง่ คนพาล คนร้าย ในชาตินี้กลายเป็นคนหลง คิดผิดๆ โดยไม่มีเหตุผล เท่ากันเป็นผู้สร้างไฟมาสุมอยู่ในอก ยกนรกมาฝังในใจ คนมิจฉาทิฐิแม้มีฐานะร่ำรวย ตำแหน่งสูงส่งและผิวพรรณสุดสวย ก็ไม่สามารถช่วยให้เขามีสุขใจได้ เพราะบุคคลเช่นนี้มีแต่จะคิดทำพูดชั่วร่ำไป ทำให้ไม่รู้จักพอ ใจโหยหิวละโมบมากอยากใหญ่ยิ่ง ไม่เลือกทางและสร้างความกลัวไว้ให้หัวใจหวั่นไหวระแวงภัย โดยไร้เหตุผลไม่ว่างเว้น

    เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงจำต้องขวนขวายฝึกอบรมจิตให้เป็นสัมมาทิฐิ เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม และมีคุณธรรมสำหรับคุ้มครองบำรุงจิต

    คำเฉลยปริศนาธรรมข้อที่ ๔ "สองคนพาไป" หมายถึง กรรม ๒ ประเภท ได้แก่ กรรมดีอันเป็นกุศลหรือบุญ ๑ กรรมชั่วอันเป็นอกุศล หรือบาป ๑

    กรรม ๒ ประเภทนี้ เรียกว่า สองคนพาไป เพราะบุคคลเกิดมาแล้วถึงจะมั่งมีศรีสุข มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เขาก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย สิ่งที่จะเอาไปได้ตอนตาย ก็คือบุญกับบาป เมื่อเราทำบาปบุญไว้ บาปบุญติดอยู่ที่จิตหรือวิญญาณ ไม่ใช่ติดอยู่ที่กายหยาบๆ ถึงกายจะสลายบาปบุญก็ไม่สูญสลายตามร่างกาย บาปย่อมนำสัตว์และคนผู้ทำให้ไปสู่อบายทุคตินรก ส่วนบุญก็ย่อมนำสัตว์และคนผู้ทำให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ นักกวีผู้หนึ่งได้เขียนคำกลอนไว้ว่า

    ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
    เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
    ต้องละทิ้ง สิ่งที่หวง ให้ปวงชน
    แม้ร่างตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
    ตอนเกิดมา เจ้ามี มือเปล่าเปล่า
    เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
    มามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร
    เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนว่า

    คนบางพวกเข้าสู่ครรภ์เป็นมนุษย์ ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเข้าถึงนรก
    คนทำกรรมดีย่อมไปสู่สวรรค์ ส่วนท่านผู้หมดอาสวะ ย่อมปรินิพพาน (ขุ.ธ.๒๕/๓๑)

    จากพระพุทธภาษตินี้ ผู้ที่เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีปัญหา เพราะได้เตรียมทำความดี มีทาน ศีล ภาวนา ไว้มากเพียงพอ ย่อมทำให้อุ่นใจได้ว่า คติในชาติหน้ามีแต่สูงส่ง แต่อย่าเสี่ยงทำบาปอกุศลในระหว่างที่ยังมีชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะความชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้คนตกสวรรค์ได้ ตัวอย่างเคยมีมาแล้วเช่น พระนางมัลลิกา ทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนามาเป็นนิตย์ กิจกรรมการบุญการกุศล ได้ทำเป็นประจำ แต่ก็ยังพลัดพลั้ง เพราะถูกอกุศลจิตครอบงำเผลอทำชั่ว ละเมิดศีล ๕ ครั้นใกล้จะสิ้นพระชนม์ มีพระทัยกังวลถึงความชั่วนั้น พระทัยจึงเศร้าหมองไป ครั้นสิ้นพระชนม์ ก็ต้องถึงทุคติคือ ตกนรก ๗ วัน ทั้งนี้เป็นไปตามเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า

    จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา

    เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ (ม.มู. ๑๒/๖๔)
    เพราะฉะนั้นนักกวีจึงเขียนไว้ว่า

    อย่าดูหมิ่น บาปกรรม ว่าทำน้อย
    จะไม่ต้อย ตามต้อง สนองผล
    แม้ทำชั่ว นิดหน่อย พลอยกังวล
    ย่อมพาตน ตกไป ในอบาย

    บรรดากรรม ๑๒ ประเภท อาสันนกรรม กรรมที่ทำหรือคิดเมื่อใกล้ตาย เป็นกรรมที่มีอานุภาพมาก การคิดถึงกรรมในอดีตในตอนใกล้จะตายนี้ เป็นตัวชี้อนาคตว่า คติภพของบุคคลที่ทำนั้นจะไปทางใด ผู้มีปัญญาจึงควรทำแต่กรรมที่ดีๆ และทำให้มีมากเป็นอาจิณณกรรม คือ กรรมที่เป็นอาจิณ หรือ พึงทำครุกรรมฝ่ายกุศล เพื่อจิตใจจะได้ไม่หมองหม่น คราวจะถึงมรณกรรมและสามารถไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ ไม่พลาดพลั้ง โดยเฉพาะควรเจริญภาวนาให้จิตใจตั้งมั่นเป็นอัปปนาสมาธิให้ได้ เพื่อให้จิตใจไม่ตกต่ำไปคิดเรื่องที่เป็นอกุศล ซึ่งจะนำพาตนให้ไปอุบัติเป็นพรหมผู้ประเสริฐอย่างแน่นอน

    คิดถึง สี่คนหาม สามคนแห่
    จิตเป็นหนึ่ง นั่งแคร่ แย่หรือเปล่า
    สองคนจะ พาไป ไหนหนอเรา
    จงเลือกเอา กุศล คนพาไป
    คือทำดี กรรมดี มีอำนาจ
    พาสมมาด ปราถนา หน้าผ่องใส
    ทั้งชาตินี้ มีสวรรค์ ไม่บรรลัย
    ตายลงได้ สวรรค์ซ้ำ สุขล้ำเอย​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  10. korakots14

    korakots14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +872
    สี่คนหาม หมายถึง ร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยธาตุ 4 มี ดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อใดสี่ธาตุนี้แตกออกจากกัน เมื่อนั้นเราตาย เรียกว่า สี่คนช่วยกันหาม​
    สามคนแห่ หมายถึง คนเรานั้นเกิดมามีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ นั่นก็คือ หมายถึง สามัญลักษณะ คือ ลักษณะธรรมดา 3 ประการนั่นเอง อันได้แก่ อนิจจัง คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทุกขัง คือ ความทุกข์อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง และอนัตตาคือความไม่มีตัวตน ดับสูญ
    หนึ่งคนนั่งแคร่ หมายถึงใจเรา นั่งแคร่คอยบัญชาการให้ร่างกายทำโน่นทำนี่ ตามสภาพหน้าที่ หรือที่เรียกว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าวนั่นเอง
    สองคนเดินตาม หมายถึง ความดีและความชั่ว ทำดีก็จะไปสู่สุคติ ทำชั่วก็จะไปสู่ทุคติ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  11. korakots14

    korakots14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +872
    สี่คนหาม หมายถึง ร่างกายของคนเรานั้นประกอบด้วยธาตุ 4 มี ดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อใดสี่ธาตุนี้แตกออกจากกัน เมื่อนั้นเราตาย เรียกว่า สี่คนช่วยกันหาม
    สามคนแห่ หมายถึง คนเรานั้นเกิดมามีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ นั่นก็คือ หมายถึง สามัญลักษณะ คือ ลักษณะธรรมดา 3 ประการนั่นเอง อันได้แก่ อนิจจัง คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทุกขัง คือ ความทุกข์อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง และอนัตตาคือความไม่มีตัวตน ดับสูญ
    หนึ่งคนนั่งแคร่ หมายถึงใจเรา นั่งแคร่คอยบัญชาการให้ร่างกายทำโน่นทำนี่ ตามสภาพหน้าที่ หรือที่เรียกว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าวนั่นเอง
    สองคนเดินตาม หมายถึง ความดีและความชั่ว ทำดีก็จะไปสู่สุคติ ทำชั่วก็จะไปสู่ทุคติ​
     
  12. visitpol

    visitpol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +656
    ผมอยากได้ตะกรุดมหามงคลมากแต่กำลังทรัพย์ไม่ถึงมีแต่กำลังใจครับ

    ผมขอตอบคำถามด้วยคนนะครับแต่ผมคิดว่าน่าจะเป็น

    สี่คนหาม คือ หลักพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    สามคนแห่ คือ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา
    หนึ่งคนนั่งแคร่ คือ จิตเรา
    สองคนเดินตาม คือ กรรมดี และ กรรมชั่ว
    เป้นสัจธรรมให้เราระลึกถึงการทำความดีเพื่อพ้นทุกข์มุ่งสู่นิพพานครับ

    ผิดถูกอย่างไรผมรอฟังเฉลยอีกทีครับ ขออนุโมทนากับคนที่ตอบถูกและได้วัตถุมงคลด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  13. maxico

    maxico เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    384
    ค่าพลัง:
    +2,938
    ขอตอบน่ะครับ

    ๑. สี่คนหามได้แก่ ธาตุ ๔ ที่ประกอบเป็นร่างกาย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุทั้ง ๔ มารวมตัวกันเป็นร่างกายคนเรา ธรรมข้อนี้สอนให้ได้รู้ว่าเราไม่ควรลุ่มหลงมัวเมาในร่างกาย (ขันธ์ 5) หรือสังขารนี้ ควรพิจารณาตัดร่างกาย คือพิจารณาว่าเรานั้นไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราไม่ต้องการร่างกายนี้อันเป็นเหตุของรังแห่งทุกข์แห่งภพชาตินี้เพื่อจะได้ไม่ต้องวนเวียนมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

    ๒.สามคนแห่ คือไตรลักษณ์ที่มีอำนาจครอบงำร่างกาย ได้แก่
    อนิจจัง ความเป็นของไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตา ความมิใช่ตัวตนของเรา ธรรมมะข้อนี้แสดงให้เห็นว่า เบญจขันธ์คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง ล้วนเป็นสิ่งมีทุกข์ ล้วนเป็นสิ่งมิใช่ตัวตนจริง เราจึงควรพิจารณากฏไตรลักษณ์เสมออยู่เนื่องๆ เพื่อยับยั้งไม่ให้จิตลุ่มหลงมัวเมาในโลกธรรมทั้ง 8 และทั้งร่างกายของเราและร่างกายของบุคคลอื่น<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>
    ๓. คนหนึ่งนั่งแคร่ หมายถึง จิตหรือวิญญาณในร่างกาย จิตอาศัยร่างกายในฐานะผู้เป็นเจ้านายของร่างกาย ถ้าจิตของเราเป็นผู้คิดผิดเห็นผิดก็จะพาลจะทำให้เกิดแต่ในสิ่งที่ไม่ดีตลอด คือ คิดชั่ว ส่งผลให้ ทำชั่ว พูดชั่ว ผลที่เกิดตามมาก็จะเป็นบาปอกุศลติดตามเราต่อไปในทุกภพทุกชาติ เราจึงควรน้อมนำข้อธรรมนี้มาพิจารณาว่า เราจึงควรต้องพยายามฝึกอบรมจิตให้เป็นสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ คือความเห็นชอบ คือมีความเห็นมี ความเชื่อที่ถูกต้อง มีความรู้ในอริยสัจ 4 คือฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อการดับกิเลส กองทุกข์ และพัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ
    <o:p></o:p>
    ๔. สองคนพาไป หมายถึง กรรม ๒ ประเภท ได้แก่ กรรมดีอันเป็นกุศลหรือบุญ และ กรรมชั่วอันเป็นอกุศล หรือบาป กรรมดีนั้นส่งผลให้บุคคลไปสู่สุคติภูมิ กรรมชั่วนั้นย่อมส่งผลให้คนผู้นั้นไปสู่ทุคติภูมิ ธรรมข้อนี้สอนให้บุคคลควรทำความดีให้ถึงพร้อมขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งในด้าน ทาน ศีล และ ภาวนา และขณะมีชีวิตอยู่ควรละเว้นจากการทำกรรมชั่วทุกประการ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใส <o:p></o:p>
     
  14. ชายเสรี

    ชายเสรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,950
    แหม แต่ละท่านตอบได้ดีมากๆเลยแฮะ
    แต่แปลกนะ ผมอ่านข้อคำถามแล้ว คิดแต่ถึงเรื่อง ความตาย แล้วก็มีบุญกับบาป เท่านั้นเอง
    สงสัยต้องเร่งศึกษาให้มากกว่านี้ซะแล้วสิ
     
  15. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,252
    ค่าพลัง:
    +7,241
    อ้าวอย่างนี้คนแรกได้ แล้วสมาชิกท่านอื่นที่ตอบถูกไม่มีรางวัลปลอบใจบ้างหรือจ๊ะยาย
    ผ้ายันต์ น้ำมนต์ ก็ยังดีนะจ๊ะยายจ๋า อยากได้ๆๆๆๆ(deejai)
     
  16. Elfen

    Elfen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2006
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +1,750
    4312 งวดนี้แน่ๆ จะได้นำมาทำบุญบูชาตะกรุด...คริ ๆๆ
     
  17. koisung

    koisung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +3,469
    คิดแนวทางเหมือนกันเลย - -" แต่มีจุดต่างกันไปนิดนึง

    เพราะก่อนจะนึกถึงความตาย ใจไปนึกถึงการมีก่อน แล้วก็ต่อด้วยการดับไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  18. pitanad

    pitanad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2006
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +597
    โอ้ว ตอบกันยาวเยียด สุดยอดเลย ตอนแรกคิดว่าคำตอบแค่งานศพ ฮิฮิ อายจัง สงสัยต้องหนีโลกแล้ว แต่น่าดีใจสำหรับผู้มีปัญญา พุทธศาสนาจะได้เจริญ น่าสงสารมนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่เหนื่อย หรือเบื่อหน่ายชีวิตที่วุ่นวายกันบ้างหรือไร อ้ออีกอย่าง ยายผีป่าเก่งจัง และดีจริง ชอบความบ้าบิ่น ทวนกระแสโลกมาก ขออวยพรให้คิดอะไรโดยชอบ ก็ให้สมหวังโดยง่ายและฉับพลัน พระรัตนตรัยคุ้มครอง (ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว) :)
     
  19. ยายผีกองกอย

    ยายผีกองกอย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +41
    ก็ยายผีป่าไงคร้า
    สี่คนหาม หมายถึงผู้ยิ่งใหญ่
    สามคนแห่ ประกาศว่ายายผีป่ามาแว้ว
    หนึ่งคนนั่งแคร่ ก็ยายไง
    ส่วน สองคนเดินตาม
    คือลูกน้อง หรือ คนที่โดนครอบงำไงค้า............................
    เด็ก ป.4 ก็ตอบได้

    เขาแห่ยาย แต่ แคร่นี้
    เคยเป็นของ เว็ปโนโน
    เพราะยาย ยึดแล้ว555+

    อะล้อเล่น
     
  20. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,210
    ค่าพลัง:
    +23,196
    ยายผีกองกอย
    ยายผี 2 บาท
    ตาผีกึ๋มกึ๋ย
    ยายผีป่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...