พระเทพโมลี (สำรอง อุตตรนคร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ. สมุทรปราการ ความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที เป็นเครื่

ในห้อง 'ทวีป อเมริกา' ตั้งกระทู้โดย Wat Pa Gothenburg, 1 ธันวาคม 2008.

  1. Wat Pa Gothenburg

    Wat Pa Gothenburg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    920
    ค่าพลัง:
    +260
    พระเทพโมลี (สำรอง อุตตรนคร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ. สมุทรปราการ ความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที เ

    <table border="0" cellpadding="7" cellspacing="7" width="500"><tbody><tr><td colspan="3" align="center">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+2]พระเทพโมลี[/SIZE]
    [SIZE=+1](สำรอง อุตตรนคร)[/SIZE] </td></tr> <tr> <td colspan="3" align="center">[SIZE=+1]วัดอโศการาม อ.เมือง จ. สมุทรปราการ [/SIZE]</td> </tr> </tbody></table>

    <center> ความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี </center>

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธส

    อิมานิ อฏฺฐมี ทิวเส สนฺนิปติตาย พุทธปริยาย กาจิ ธมฺมีกถาย กถิยเต

    นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตาติ อิมสฺส ธมฺมปริยายสฺส อตฺโถ สาธายสฺมนฺเตหิ สกฺกจฺจํ โสตพฺโพติ. วันนี้เป็นวันอัฏฐมีดิถีที่ ๘ ค่ำแห่งกาฬปักษ์ เป็นวันธัมมัสสวนะคือวันฟังธรรมและรักษาศีลของท่านพุทธศาสนิกชนผู้สนใจในทาง สัมมาปฏิบัติ เมื่อถึงวันกำหนดนัด ต่างก็ได้สละกิจการงานน้อยใหญ่ของตนไว้ มาร่วมชุมนุมกัน เพื่อบำเพ็ญศาสนธรรมตามกาล ตามเวลา เมื่อต่างฝ่ายได้พากันทำกิจในเบื้องต้นสำเร็จเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เบื้องหน้าต่อไปนี้เป็นโอกาสที่จะฟังธรรมอันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้นำไปพินิจพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุหาผลด้วยตนของตนเอง เมื่อได้เหตุผลแล้วน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติอบรมให้เกิดให้มีขึ้นในตนของตน ดังนั้น วันนี้จะได้นำธรรมีกถามาชี้แจงแสดงสู่ฟังพอควรแก่เวลา
    พระธรรมเทศนาที่จะนำมาชี้แจงในวันนี้นั้น มีหัวข้อดังจะได้ยกขี้นเป็นนิเขปบทในเบื้องต้นว่า
    แปลเนื้อความว่า ความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี ดังนี้ นี้เป็นเนื้อความโดยย่อ ในพระพุทธภาษิตนี้ ต่อไปนี้จะได้ขยายเนื้อความแห่งพระพุทธภาษิตนั้น พอควรแก่เวลา
    ความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวที ท่านแบ่งออกเป็นสองคือ กตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่ง กตเวทีตอบแทนคุณอย่างหนึ่ง ความเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีนี้ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก เพราะคนส่วนมากถือว่า ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีบุญไม่มีคุณแก่กัน การที่ทำอะไรแก่กัน ต่อกันและกันนั้น เป็นแต่เพียงเพื่อการตอบแทน หรือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ อย่างเด็กสมัยใหม่เขาว่าบิดามารดาไม่มีบุญคุณ ที่เขาว่าอย่างนั้นก็เพราะเขาว่า บิดามารดาไม่มีความประสงค์ให้เขาเกิดมา แต่ว่าเมื่อเขาเกิดมาแล้วก็เป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่จะต้องเลี้ยงดูเขาตาม หน้าที่ เมื่อเป็นหน้าที่เลี้ยงดูจะมาทวงบุญทวงคุณเขาได้อย่างไร
    โดยมากมักจะลงความเป็นไปในทำนองนี้ แต่ในหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บิดามารดาเป็นผู้มีบุญคุณแก่บุตรธิดาอย่างมหาศาล นอกจากบิดามารดาก็มีครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นผู้มีบุญคุญอีกอย่างหนึ่ง ถัดจากครูบาอาจารย์มา ก็มีพระราชามหากษัตริย์เป็นผู้มีบุญคุณอีกแบบหนึ่ง สูงสุดก็คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้มีบุญคุณอันมหาศาลแก่สัตว์ โลกทั้งหลาย สำหรับบิดามารดาเป็นผู้มีบุญคุณแก่บุตรธิดาอย่างมหาศาลก็เพราะว่า ผู้ที่ไม่ได้มองดูตัวของตัวว่าเป็นมาได้อย่างไร? ถือว่าเป็นธรรมดาๆ ก็เลยว่าไม่มีบุญคุณ บิดามารดาไม่มีบุญคุณ แต่ถ้าเราแยกแยะออกไปดูตัวของตัวเอง แล้วก็พยายามถามตัวเองว่า ตนตัวหัวขาเหล่านี้เราได้มาจากใคร ถ้าไม่มีบิดามารดา เราจะได้สรีระร่างกายอันนี้มาหรือไม่ และเราจะยังมีชีวิตรอดพ้นมาได้ถึงกระทั่งปัจจุบันนี้หรือไม่ ถ้าพินิจพิจารณาลงไปอย่างละเอียด ก็จะเห็นว่า เราได้ตนตัวหัวขาอันเป็นมูลสมบัติอันล้ำค่ามหาศาลนี้ก็เพราะบิดามารดา ถ้าไม่มีบิดามารดา เราก็ไม่ได้มีตัวตนหัวขาอันนี้ แล้วเราจะไปทำเอาสมบัติอะไรได้ สมบัติอย่างอื่นอย่างใดได้
    เพราะฉะนั้นสมบัติอันนี้เป็นมูลสมบัติ เป็นสมบัติอันล้ำค่า ใครเป็นคนให้ ก็ได้แก่บิดามารดา บิดาเป็นผู้ไปแสวงหาอาหารมาบำรุงมารดา มารดารับอาหารเข้าไปแบ่งเฉลี่ยให้แก่บุตรที่อยู่ในครรภ์ของตน บุตรได้รับส่วนแบ่งจึงได้เจริญเติบโตขึ้น จึงแตกออกมาเป็นกิ่งก้านสาขา เมื่อปฏิสนธิแล้วก็เจริญเติบโตขึ้น จนกระทั่งคลอดออกมา ในขณะที่อยู่ในครรภ์ของมารดานั้น ถ้าเราลองหลับตานึกดูไปว่าแสนที่จะทนทุกขเวทนา อยู่ในที่อันคับแคบมืดมิดเหลือที่จะพรรณา แต่ว่าเราก็ทนอยู่ได้ ทีนี้เมื่อคลอดออกมา ลองนึกถึงวันคลอดรอดตายออกมา หน้าตาบิดามารดาเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ ใจดีใจร้ายอย่างใดเราก็ไม่รู้ คลอดออกมาเรามาคนเดียว ถึงแม้สมัยนี้เราจะได้ยินว่า มีฝาแฝดสองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้างก็ตาม ก็เรียกว่าต่างฝ่ายต่างมา ไม่รู้จักหน้าตาของกันและกันด้วย เรามาคนเดียวเรี่ยวแรงที่จะช่วยตัวเองให้รอดตายก็ไม่มี ทรัพย์สมบัติเงินทองสตางค์แดงเดียวก็ไม่มี ผ้าชิ้นเดียวก็ไม่มีติดตัวมา มาแต่ตัวเปล่าๆ และก็แสนที่จะละเอียดอ่อน เมื่อมาถูกอากาศถูกลมร้อนด้วย มองดูสภาพโลกอันกล้างใหญ่ไพศาล ตกอกตกใจเพราะเคยอยู่ในที่มืดมา ๘-๙ เดือน พอมาโผล่ออกเห็นแสงเดือนแสงตะวันสว่างไสวร้องไห้ลั่นขึ้นมา เพราะไม่รู้จะพึ่งพาใคร ไม่รู้จะรอดชีวิตไปได้อย่างไร แต่ความร้องไห้ขึ้นมาเป็นการประกาศหาความเมตตาการุณย์ ผู้ที่ให้เมตตาการุณย์ก็คือบิดามารดา
    บิดามารดาสู้ลงทุนลงแรง ทั้งทรัพย์สินและทะนุถนอมเลี้ยงดูมาโดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด เอาแต่เพียงแค่นี้ก็จะพอมองเห็นแล้วว่าบิดามารดามีบุญคุณมากมายสักขนาดไหน ดูตัวของเราแล้ว จะเห็นว่าตัวตนหัวขาของเรานี้เนื่องมาจากมารดา หรือได้มาจากมารดาบิดาทั้งนั้น เมื่อเราเจริญเติบโตขึ้นมาเพียงใด คุณของบิดามารดาก็เจริญเติบโตขึ้นเพียงนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเรามองดูตัวแล้ว ลองพินิจพิจารณาสอบถามตัวของตัวไปก็จะเห็น ก็จะระลึกได้ว่า ความเป็นมาแห่งสรีระร่างกายของเราที่เจริญเติบโตขึ้นมาได้ด้วยดี ความที่รอดพ้นจากความตาย มาจนกระทั่งมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ดี ก็ได้อาศัยมารดาบิดาเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างให้เรามีชีวิตรอดพ้นมาได้ ถ้าคนขนาดนี้ไม่มีบุญคุณ คนอื่นใครเล่าจะมีบุญคุณยิ่งไปกว่านี้อีก นี่ว่าส่วนตนตัวหัวขาของเราที่เราได้มาจากมารดาบิดา
    เพราะฉะนั้นในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า บิดามารดามีบุญคุณแก่ลูกมหาศาลและคุณของบิดามารดายกย่องเทียบเท่าคุณของพระ อรหันต์ คือถ้าลูกทำลายบิดามารดา หมายถึงว่าฆ่ามารดาบิดา ก็เท่ากับฆ่าพระอรหันต์ นี่แสดงให้เห็นว่าคุณของบิดามารดาเทียบส่วนกับคุณของพระอรหันต์หรือของพระ พุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงบุคคลไปทำสรีระของพระองค์ให้มีโลหิตห้อขึ้นมา ก็เป็นกรรมอันอย่างหนักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นบิดามารดาจึงจัดว่าเป็นผู้มีบุญคุณแก่บุตรธิดาอย่างมหาศาล บุตรธิดาบางคนไม่ได้คิดยาวออกไป เมื่อตนเติบโตขึ้นมาไปมีครอบครัว มารดาบิดาไม่แบ่งทรัพย์สมบัติให้ก็โกรธ โกรธหาว่าบิดามารดาไม่รักตน ไม่แบ่งทรัพย์สมบัติให้ตน ยกให้แต่คนอื่นไปหมด
    นั้นไม่ได้มองดู ไม่ได้มองดูตน ถ้ามองดูตนแล้ว บิดามารดายกสมบัติให้แก่ลูก ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายก็เท่ากัน สมบัติอันนั้นคือตัวตนหัวขาของเรา ซึ่งเรียกว่ามูลสมบัติ มูลสมบัติอันนี้ถ้าเราไม่มี เราจะไปแสวงหาเอาสมบัติอันใด โลกีย์สมบัติก็ตาม โลกุตรสมบัติก็ตาม ก็แสวงหาได้ตามความสามารถของเราที่จะแสวงหา บุคคลต่อไปได้แก่ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาการให้แก่เรา ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม ครูบาอาจารย์ท่านก็ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการตามที่ท่านถนัดมอบให้เป็นมรดกแก่ ศิษยานุศิษย์ของท่าน นี้ก็เป็นบุญคุณอันมหาศาล เพราะท่านแนะนำทางดีทางชั่วให้เราได้รู้จัก ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติตาม ส่วนสูงขึ้นไปอีกได้แก่พระราชามหากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศให้ความปกปักรักษา คุ้มกันชีวิตภัยอันตรายให้แก่เรา สูงขึ้นไปก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าโลกว่างจากพระพุทธเจ้า ความรู้ธรรมทั้งหลาย ความตรัสรู้มรรคผลนิพพานก็ไม่มี ต่อเมื่อมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาได้แต่ละพระองค์ก็ไม่ใช่จะตายวันนี้เกิด พรุ่งนี้ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะต้องสั่งสมอบรมบารมีมาไม่ใช่น้อย
    ที่ท่านพูดกันเป็นกัปป์ๆกัลป์ๆ ก็ไม่ใช่วันสองวัน ที่ท่านเปรียบเทียบที่ว่าภูเขาสูงโยชน์หนึ่ง ร้อยปีมีเทวดาผู้มีฤทธิ์เดชเอาผ้าทิพย์มาปัดครั้งหนึ่ง ปัดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งยอดเขาสูงหนึ่งร้อยโยชน์ราบเรียบลงมาเสมอกับพื้น พสุธา นั่นแหละเป็นกัปป์หนึ่ง ลองคิดดูอย่างนี้มันเป็นกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านปีกว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ยังทรงมีพระเมตตาการุณย์แก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เสด็จเที่ยวสั่งสอนประชาชนให้รู้จักบาปบุญ หากไม่มีพระกรุณาเตือนในพระหฤทัยของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วจะนั่งเสวยวิมุตติสุขแต่เพียงลำพังพระองค์เอง ใครจะไปทำอะไรได้ แต่นี่พระองค์ไม่ทำ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะรื้อขนสัตว์ออกจากวัฏฏสงสาร จึงทรงสละทุกสิ่งทุกอย่างออกบำเพ็ญทุกข์ทรมานจนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ได้ตรัสรู้แล้วแทนที่จะนั่งเสวยวิมุตติสุขอย่างสบายๆ จนกระทั่งตราบเข้าพระนิพพานเสียพระองค์ก็ทำได้ แต่พระองค์ไม่ทำ พระองค์ยังทรงมองดูสัตว์โลกที่เป็นผู้มีความเกิดแก่เจ็บตายอยู่นี้ มีความทนทุกข์ทรมานอยู่นี้ด้วยพระเมตตา
    เมื่อพระองค์ได้พ้นแล้ว พระองค์ก็ทรงต้องการอยากให้สัตว์โลกทั้งหลายได้รับความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป จึงเที่ยวเสด็จสั่งสอนประชาชนตามคามนิคมชนบทน้อยใหญ่ โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไม่เลือกชั้นวรรณะ ให้เขาได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามอย่างพระองค์เป็นจำนวนมากมาย อันนี้ว่าเรื่องของท่านผู้มีบุญคุณอย่างสูง ตั้งแต่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระราชามหากษัตริย์ จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้า
    ทีนี้คัดเอาเฉพาะวันนี้ เฉพาะเรื่องของครูบาอาจารย์ เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบของครูบาอาจารย์ผู้ที่ท่านล่วงลับไป ก็คือวันที่ท่านพ่อลี ท่านเจ้าคุณพระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์ ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดก่อเกิดวัดอโศการามขึ้นมา ตั้งแต่ได้เริ่มสร้างประดิษฐานวัดนี้ขึ้นมา ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ มาจนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๕๒๗ ก็ ๓๐ ปีมาแล้ว นี้เป็นมรดกอันล้ำค่าที่ท่านฝากไว้ให้เราผู้เป็นศิษยานุศิษย์ ก็คือแง่ของการประพฤติปฏิบัติธรรมกรรมฐาน กรรมฐานเข้ากรุง สมัยก่อนกรรมฐานไม่ค่อยเข้ากรุง กรรมฐานอบรมอยู่ที่วัดบรมนิวาสนั้นก็เป็นชั่วขณะเดียวไม่ได้นาน หรือไม่ก็เป็นพรรษาเดียว ท่านก็ต้องออกไปอยู่ป่า เพราะกรรมฐานกับป่าเป็นที่ชอบกัน ที่ท่านชอบป่าก็เพราะว่าป่าให้ความสงบให้ความร่มเย็น ไม่มีเวรไม่มีภัย ไม่เหมือนคลุกคลีอยู่กับประชาชนมีทั้งเวรทั้งภัย มีทั้งอันตราย ท่านจึงพยายามออกป่ากันเป็นส่วนมาก แม้ถึงท่านพระอาจารย์มั่นผู้ที่เป็นอาจารย์ใหญ่ ท่านก็อยู่ในป่าเป็นส่วนมาก ที่จะเข้ามาในบ้านในเมืองก็ชั่วระยะกาลนิดๆหน่อยๆ ทีนี้อาจารย์กรรมฐานเข้ามาสอนกรรมฐานอยู่ในกรุงเทพฯ
    เริ่มขึ้นก็คือท่านอาจารย์ลี หรือ ท่านพ่อลี ความประสงค์จริงก็คงไม่ต้องการจะเข้ามา แต่ว่ามีเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่าง เนื่องจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) อาพาธ เมื่อสมเด็จอาพาธ ท่านเข้ามาเยี่ยม เมื่อท่านเข้ามาเยี่ยม สมเด็จฯถามในเรื่องของกรรมฐานว่าจะทำยังไงจิตจึงจะสงบ คือว่าสมเด็จท่านเคยถามกับท่านเจ้าคุณญาณวิศิษฏ์ คือพระอาจารย์สิงห์ สมัยเมื่อมาอยู่ที่วัดบรมฯด้วยกัน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกอารมณ์ ไม่ถูกกับจริตของท่าน จิตของท่านจึงไม่รวม จึงไม่ได้รับความสงบ แต่เมื่อท่านป่วยอาพาธ ท่านพ่อลีได้เข้าไปปฏิบัติถวายข้ออรรถข้อธรรมบางอย่างที่ท่านเกิดสงสัย ท่านไต่ถาม ท่านได้แนะนำชี้แจง จนทำให้สมเด็จท่านเกิดเลื่อมใส ทำให้จิตใจของท่านให้สงบไปได้อย่างสบาย ท่านก็เลยอายัดตัวไว้ว่า ถ้าฉันยังไม่ตายเธอจะหนีไปไหนไม่ได้ เพราะฉะนั้นกรรมฐานก็เลยออกจากป่ามาอยู่ในบ้านในเมือง มาอยู่ในวัดบรมฯ แม้มาอยู่ที่วัดบรมนิวาสก็มีประชาชนเกิดสนใจที่จะทำกรรมฐาน ไปขอร้องให้ท่านเปิดสอน สมเด็จก็อนุมัติให้ท่านอบรมสั่งสอนอยู่ที่วัดบรมนิวาส ก็ทำให้เกิดมีคนศรัทธาเลื่อมใสขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งสมเด็จมรณภาพไป
    ท่านก็มุ่งหวังที่จะออกป่าตามความตั้งใจเดิมของท่าน แต่มาประจวบกับ ๒๕ ศตวรรษ คือ ๒๕๐๐ ปี ถือว่าเป็นกึ่งศาสนาตามที่ท่านกล่าวกันว่า พระพุทธเจ้าทรงวางศาสนาของพระองค์ไว้ ๕๐๐๐ ปี นี้ก็มา ๒๕๐๐ ปี เรียกว่ากึ่งศาสนาแล้วจึงมีการฉลอง ทางรัฐบาลก็ทำการฉลองอย่างใหญ่โตขึ้นมา แต่แทนที่หลวงพ่อลีจะไปร่วมการฉลองพิธีกับรัฐบาล ท่านไม่ไป ท่านแสวงหาที่จะทำการฉลองกึ่งพุทธกาล มีผู้พาไปดูหลายแห่ง อย่างว่าไปทางอยุธยา ไปทางบางปะอินโน้นก็มี ท่านก็ไม่เอาเพราะไกลจากพระนครไป มีผู้จะซื้อที่ถวายที่บางเขนข้างวัดพระศรีมหาธาตุก็มี แต่นั่นเกิดขัดข้องกับเจ้าของที่มีอยู่ข้างหน้า คือเขาพูดไม่สบอารมณ์ เขาพูดว่าจะให้ออกก็ได้ไม่ให้ออกก็ได้
    เพราะจะต้องทำทางผ่านที่ของเขาไป ท่านก็เลยไม่เอาอีก ก็พอดีเจ้าของที่ที่เราอยู่เดี๋ยวนี้เกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นมา จึงนำเอาที่ไปถวาย ท่านก็ผลัดผ่อนไม่ยอมเอา เพราะยังอยู่ใกล้ทะเลยังเป็นป่ารกอยู่ แต่ในที่สุดก็จำยอมในเมื่อเจ้าของที่อ้อนวอนเข้ามาก ก็เลยมาตั้งอยู่ที่นี่ อยู่ที่วัดอโศการาม วัดอโศการามนี้ที่ได้นามอโศการามก็เพราะท่านได้ไปจำพรรษาที่ประเทศอินเดีย ได้เห็นซากถาวรวัตถุต่างๆที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
    ในสมัยที่พระองค์รุ่งเรืองอยู่ นิมิตอันนั้นเป็นเหตุจูงใจของท่านรำพึงอยู่เสมอว่าจะต้องสร้าง เพราะฉะนั้นเมื่อมาที่นี่จึงได้กำหนดที่จะสร้างขึ้น แต่สังขารร่างกายโรคภัยไข้เจ็บไม่อำนวยให้เต็มที่ มีแต่อำนวยการที่ให้ทำการฉลอง ๒๕ ศตวรรษ มีพุทธบริษัทจากจังหวัดต่างๆรวม ๔๐ กว่าจังหวัด มารวมกันทำบุญสุนทานประพฤติปฏิบัติธรรม ณ สถานที่นี้ และสถานที่นี้ยังไม่เจริญขึ้นขนาดนี้ ยังต้องอาศัยนอนตามดิน เอาใบจากมารองนอนกัน ทำปะรำจากมุงกันอยู่ กับแต่ว่าผู้มาแสวงบุญทั้งหลายไม่ได้ห่วงใยในการอยู่การนอนอย่างนั้น มุ่งแต่มาฟังธรรม มาอบรมธรรม มานั่งสมาธิภาวนา มาปฏิบัติธรรมกัน แม้ในขณะมีงานฉลอง ๒๕ ศตวรรษ มีลูกศิษย์ลูกหานำเครื่องมหรสพมาเล่น แต่ก็ทำไปไม่ได้ ที่ทำไปไม่ได้เพราะไม่มีคนดู คนที่เขามานั้นเขามุ่งมาทางบุญทางกุศลมากกว่า งานมหรสพก็งดเว้นหรือเลิกราไปเอง การทำการฉลอง ๒๕ ศตวรรษ ก็มีเพื่อนสหธัมมิกที่เป็นครูบาอาจารย์หรือเพื่อนสหธัมมิกจร จรมาจากทิศต่างๆ มาร่วมบำเพ็ญกันอยู่ในสถานที่นี้
    ที่นี้ความประสงค์ของท่านพ่อลี เมื่อฉลอง ๒๕ ศตวรรษเสร็จแล้วท่านก็จะเข้าป่าไป สถานที่นี้ท่านก็จะมอบให้ทางศาสนาต่อไป คำว่าเข้าป่าไปนั้น ตีความหมายกันว่าท่านคงจะหลีกหนีพวกเราไป แต่ว่าไม่เป็นอย่างนั้น เกิดมีศิษยานุศิษย์ต้องการให้สร้างเป็นวัดมีหลักฐานมั่นคงขึ้น จุดใหญ่ก็คือมีพัทธสีมา คือโบสถ์ แต่ท่านพ่อลีท่านมีเวรกรรมอยู่อย่างหนึ่ง คือต้องสร้างเจดีย์ ดังนั้นเป็นนิมิตจุดหมายของท่านอยู่เสมอว่าท่านจะต้องสร้างเจดีย์ให้ได้
    ทีนี้เมื่อมีการประชุมกัน ศิษยานุศิษย์ส่วนมากเห็นว่าสร้างโบสถ์ก่อนจึงสร้างเจดีย์ทีหลัง ท่านก็ไม่ขัดข้อง ท่านก็ให้ทำไป ศิษยานุศิษย์ก็พากันสร้างโบสถ์ให้ แต่ว่าเรื่องส่วนตัวของท่านจะต้องสร้างเจดีย์ให้ได้ ก็มีผู้ถวายที่ให้สร้าง ท่านจึงได้ทำเป็นองค์เล็กๆขึ้นไว้ ทำพิธีบรรจุอะไรต่างๆของท่านเสร็จเรียบร้อยไว้ ยังไม่ทันได้สร้างองค์ใหญ่ เป็นแต่เพียงฉลองโบสถ์ให้ศิษยานุศิษย์สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ท่านก็เข้าป่าไปจริงๆ เข้าป่าช้าละสังขารไป จึงหารือกันโดยมีสมเด็จพระสังฆราชวัดมกุฏกษัตริยารามเป็นประธาน เรียกประชุมศิษยานุศิษย์ถามความเห็นให้ลงคะแนนเสียงกัน ผลที่สุดก็คือว่าสรีระร่างกายของท่านยังไม่ทำการฌาปนกิจ ให้เก็บไว้เป็นที่สักการะบูชา ผู้ที่เขาต้องการอย่างนี้เขาให้ความเห็นว่า เมื่อเข้ามาในวัดอโศการามได้มากราบสรีระสังขารของท่านเหมือนๆกับได้มากราบ สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ มีความดีอกดีใจชื่นใจขึ้นมา เหมือนกับท่านได้มานั่งสนทนาอยู่ด้วย หรือว่าบางรายนั่งภาวนาไป ปรากฎเห็นว่าท่านออกมาแนะนำการทำสมาธิภาวนาอย่างนั้นก็มี เพราะฉะนั้นก็เลยเก็บสรีระร่างกายของท่านไว้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่ว่าก็ยังมีผู้เสนอหรือว่าผู้คัดค้านว่าผิดระเบียบหรือผิดธรรมเนียม พระพุทธเจ้านิพพานเพียง ๗ วันก็ถวายพระเพลิงไป นี่เป็นเพียงครูบาอาจารย์ เราจะเก็บไว้นานไม่เหมาะ บางรายที่เขาไม่เลื่อมใสไม่พอใจ เขาก็หาว่าเก็บซากของท่านไว้กิน อาศัยซากของท่านกิน เราผู้เป็นศิษยานุศิษย์ที่อยู่ในวัดนี้ทั้งหลาย ก็ยอมรับโดยชื่นตาชื่นใจ เพราะว่าเราอยู่กับศพของท่านผู้มีบุญมีคุณ มีคุณธรรมอบรมสั่งสอนเราทั้งหลายมาให้เข้าอกเข้าใจ ในทางปฏิบัติทางธรรมกรรมฐาน จนกระทั่งบางท่านเชี่ยวชาญ สามารถเป็นครูบาอาจารย์ไปเผยแผ่สั่งสอนได้ทั่วๆไปก็มีเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเขาจะว่าอย่างไรเป็นเรื่องของคนว่า
    ทีนี้แต่ว่าเรามีเรื่องที่ว่า เราผู้เป็นศิษยานุศิษย์เมื่อได้รับการแนะนำพร่ำสอน สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านได้พยายามสอนให้ทำกรรมฐาน ยกเอาอานาปานสติเป็นกรรมฐาน เป็นแม่บทให้เราฝึกอบรมกันมา แต่ก่อนก็ยังไม่มีอาจารย์มาควบคุมแนะนำพาทำ แนะข้อสงสัยอะไรต่างๆให้ ผู้ทำเข้าอกเข้าใจดี จนผู้ทำสามารถได้รับความสงบ ความร่มเย็น ความสบาย ที่นี้เมื่อท่านให้ธรรมเป็นทานแก่พวกเราผู้เป็นศิษยานุศิษย์แล้ว ท่านมาล่วงลับดับขันธ์ไป ก็เป็นหน้าที่ผู้เป็นศิษยานุศิษย์ผู้ยังมีชีวิตอยู่จะพึงระลึกนึกถึงบุญคุณ ของท่าน ที่ท่านได้มาเปิดแสงสว่างทางด้านจิตใจให้แก่พวกเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้นมีทางเดียวคือว่าเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว เราก็ทำบุญอุทิศให้ท่าน การทำบุญอุทิศให้ท่านนี้เราทำมาเป็นประจำปี ทำทุกปีทุกปีมา
    ในระยะวันที่ ๒๕-๒๖ เมษายน และเราทำไม่ได้ทำเพียงนิดๆหน่อยๆ คือตามปกติบางแห่งบางท่านหรือส่วนมากก็ทำกันเป็นพิธีเท่านั้น แต่ของเราทำกันกับคณะศิษยานุศิษย์ หรือว่าหมู่คณะกรรมฐานอยู่ต่างจังหวัดก็ได้เชิญนิมนต์ให้มาร่วมในพิธี เพื่อให้ท่านเหล่านั้นได้รำลึกนึกถึงบุญคุณของท่านพ่อลี ที่ท่านได้เที่ยวจาริกสั่งสอนไปตามนิคมชนบททั้งหลายทั้งปวง ผู้ที่ได้รับทราบก็พยายามมา แล้วทำกันเป็นการใหญ่ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างทั้งกำลังกายกำลังความคิดและกำลังทรัพย์ เมื่อเทียบเคียงการกระทำบุญอุทิศให้แก่บูรพาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่จะทำให้ใหญ่โตเหมือนกับที่เราทำให้กับท่านพ่อลีไม่มี เราทำให้ท่านพ่อลี เราทำกันอย่างเต็มอกเต็มใจ สมัครใจทำด้วยกันทุกคน ไม่ได้มีการบังคับกดขี่อะไรกัน เราทำด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน และก็ได้อาราธนาครูบาอาจารย์มาจากถิ่นต่างๆ มาช่วยแนะนำพร่ำสอนเพิ่มเติมในทางสมถกรรมฐาน หรือทางวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเชื่อมโยงในการประพฤติปฏิบัติธรรมในระหว่างหมู่คณะของอาจารย์กรรมฐาน ด้วยกันไม่ให้ขาดสาย
    เพราะฉะนั้น วันพรุ่งนี้ไปแล้วก็จะเป็นวันเริ่มพิธี แต่ว่าพิธีในปีนี้เป็นพิธีเพิ่มขึ้นหน่อย คือว่าเมื่อมีการเก็บสรีระร่างกายของท่านไว้ สถานที่นี้เนื่องจากสร้างมานาน มีการชำรุดทรุดโทรมลง ก็จำเป็นจะต้องทำขึ้นใหม่ จึงได้ลงสร้างสถานที่ใหม่ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมในการที่จะประดิษฐานสรีระร่าง กายของท่าน และเมื่อมีสถานที่จะประดิษฐานก็ต้องมีพระพุทธรูปซึ่งเป็นที่สักการะเคารพอัน สูงสุดไว้เป็นพระประธาน ก็พอดีมีเจ้าภาพ คือหมอมาลัย ศีตะจิต ซึ่งเป็นลูกศิษย์อีกผู้หนึ่งมีความศรัทธาเลื่อมใสบริจาคทุนทรัพย์ให้สร้าง ขึ้นไว้ เมื่อสร้างขึ้นองค์หนึ่งแล้ว ก็มีบริษัทบริวารรวมๆกันมาได้เป็นมากองค์ขึ้นไป ก็เป็นงานใหญ่โตออกไป ขยับออกไป จะมีการเพิ่มเติมอะไรขึ้นบ้าง ถึงแม้จะเก็บศพท่านไว้นานมาถึงเพียงนี้แล้วก็ตาม ก็มีผู้ทักถามอยู่เสมอว่าเมื่อไหร่จะเผาศพท่านเสียที ก็มีทางออกอยู่ทางเดียวว่า เมื่อสร้างวิหารเสร็จแล้วจะได้เชิญศิษยานุศิษย์และท่านผู้ที่เคารพนับถือ ทั้งหลายมาประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง มาประชุมว่าสมควรแก่การที่จะพระราชทานเพลิงศพท่านหรือยัง หรือว่าจะเก็บไว้อย่างนี้ตลอดไป นั้นก็เป็นตอนหนึ่งตอนที่สร้างวิหารสำเร็จแล้ว ถ้าในที่ประชุมนั้นมีมติว่าจะขอพระราชทานเพลิงศพ เราก็พร้อมใจกันทำ ถ้ามีมติเห็นว่าควรที่จะเก็บไว้อย่างนี้แหละ เพราะท่านก็ไม่ได้ทำความหนักอกหนักใจอะไรแก่พวกเรา ข้าวท่านก็ไม่ได้ขอกิน ท่านก็นอนให้เรากราบไหว้อยู่สบายๆ จะไปเดือดร้อนอะไร เราก็นิมนต์ท่านขึ้นไปอยู่ในวิหารสงบสบายของท่านตลอดไป
    ทีนี้ในวันงานนี้ เราทั้งหลายจะต้องช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ของตนคนละเล็กคนละน้อย ด้วยแสดงถึงว่าเราเป็นศิษยานุศิษย์ มีความกตัญญูรู้คุณที่ท่านให้กำเนิดวัดนี้ขึ้นมา ให้เราได้มาพึ่งพาอาศัย ให้เราได้รับความร่มเย็นสบาย ได้รับการประพฤติปฏิบัติสบายๆ ปีหนึ่งเราจะได้ถวายการตอบแทนบุญคุณของท่าน เราก็พร้อมใจกันจัดพร้อมใจกันทำการงานในหน้าที่ของตนตามที่ได้รับมอบหมาย ให้กระทำไปด้วยความเสียสละความสุขของตน เพื่อเห็นแก่หมู่คณะ เพื่อเชื่อมจิตใจหมู่คณะที่มาจากทิศต่างๆ ซึ่งบางท่านไม่ได้นิมนต์ พอท่านทราบข่าว ท่านก็มาด้วยความพอใจ เพราะฉะนั้นเราผู้เป็นเจ้าของถิ่นจะต้องให้การต้อนรับให้สมกับที่เราเป็น ศิษย์ของครูบาอาจารย์ ที่มีการประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นการเชื่อมโยงด้านจิตใจให้มีการไปมาสัมพันธ์ต่อกันอยู่ตลอดไป เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงควรที่จะช่วยทำการงานในหน้าที่ของตนไปให้สำเร็จ ลุล่วงไป การที่เราพร้อมใจกันทำ แสดงออกให้ท่านทั้งหลายซึ่งท่านมาดูมาเที่ยวในงาน ก็จะได้เห็นว่าศิษยานุศิษย์ของท่านพ่อลีมีความพร้อมเพรียงกันเป็นสมานฉันท์ ทำการงานด้วยความยินดียิ้มแย้มแจ่มใส โอภาปราศรัยต้อนรับขับสู้ ให้การรับรองดี ให้ที่อยู่อาศัย ความดีอันนี้มิใช่ความดีของท่านของพวกเราทั้งหลายที่ได้ช่วยกันทำ แต่เป็นการส่งเสริมคุณงามความดีของครูบาอาจารย์ให้ยิ่งๆขึ้นไป เพราะผู้ที่มามีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทที่หนึ่งมาเพื่อเก็บเอา
    ข้อขาดตกบกพร่อง สำหรับไปติฉินนินทาว่าร้าย อีกพวกหนึ่งมามองแต่ในแง่ดี เอาแต่ของดีไม่มาเก็บของชั่ว ของชั่วเขาทิ้งแล้วเขาไม่เอา เขามาแสวงหาแต่ความดี เพราะฉะนั้นเมื่อเราผู้เป็นศิษยานุศิษย์ทั้งหลายได้พากันทำความดีพร้อม เพรียงกันทำงาน จัดการงานต้อนรับโอภาปราศรัย เขาก็จะเก็บความดีอันนี้ไป ความดีอันนี้ก็จะบ่งไปถึงว่าเราทั้งหลายได้รับการฝึกฝนอบรมมาจากครูบา อาจารย์ที่ดี ได้นำเอาความดีของครูบาอาจารย์มาเผยแผ่ให้คุณงามความดีกระจายไปทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นจึงขอให้พวกเราทั้งหลายผู้ที่เป็นศิษยานุศิษย์ สำนึกว่าเราทำดีเพื่อเชิดชูครูบาอาจารย์ของเราให้ดีให้เด่นขึ้นไป จะได้เป็นที่เคารพนับถือของอนุชนผู้ที่เกิดมาในภายหลัง หรือผู้ที่จะมาประพฤติปฏิบัติธรรมในภายหลัง ได้เห็นแบบฉบับเป็นตัวอย่างอันดี เขาจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติด้วย เราก็จะปลดเปลื้องคือแสดงความกตัญญูรู้คุณ กตเวทีคือตอบแทนคุณของครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่างให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ได้นำไปประพฤติปฏิบัติอีกโสตหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นได้เล่าชี้แจงแสดงธรรมบางเรื่องบางสิ่งบางอย่างมาพอเป็นแนวทาง ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้

    *********
     

แชร์หน้านี้

Loading...