มะเร็ง... ที่รักของแม่ติ๋ว

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]

    มะเร็ง... ที่รักของแม่ติ๋ว (กรุงเทพธุรกิจ)

    แม่ติ๋ว หรือ ราชสีห์แห่งบ้านโฮมฮัก ที่ดูแลเด็กด้อยโอกาสหลายสิบชีวิต หญิงแกร่งที่ใช้ชีวิตอยู่คู่กับมะเร็งลำไส้นานร่วม 9 ปี เธอทำได้อย่างไร

    ถ้าบอกว่า ผู้หญิงที่อยู่ในชุดม่อฮ้อม กางเกงยีน มัดผมแกละคนนี้ชื่อว่า "สุธาสินี น้อยอินทร์" หลายคนส่ายหน้าบอก "ไม่รู้จัก" แต่ถ้าบอกว่า คนนี้แหละ “แม่ติ๋วแห่งบ้านโฮมฮัก” ตัวจริงของแม่ต้อยจากโฆษณาประกันชีวิตแห่งหนึ่ง คุณคงร้อง "อ๋อ" . . . ตามมาด้วยคำถามว่า ผู้หญิงท่าทางแข็งแรงใบหน้ายิ้มแย้มวัย 53 ปีคนนี้เนี๊ยะนะเป็นมะเร็ง

    ความจริงแม่ติ๋วผ่านช่วงเวลาที่ทุกข์กายและทุกข์ใจมาก่อน แต่ก็ผ่านมันมาได้

    9 ปีก่อน "แม่ติ๋ว" ที่เคยแข็งแรงจนลูกๆ ในบ้านโฮมฮักเรียกกันว่า "ราชสีห์" ต้องพบอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ แต่ก็มองผ่านด้วยเชื่อว่า เป็นเพราะอาหารอีสานที่แซบหลายกับข้าวเหนียวที่ทำให้ท้องอืด จนกระทั่งเกิดอาการหน้ามืด เวียนหัว และเป็นลมบ่อยขึ้นจนต้องหามไปส่งโรงพยาบาล หมอพบก้อนเล็กๆ 3 ก้อนในลำไส้ ก่อนที่จะแจ้งว่า แม่ติ๋วเป็นมะเร็งลำไส้

    "ตอนที่หมอบอกว่า เป็นมะเร็งลำไส้ มันวูบเลยนะ ในหัวว่างเปล่า มืดสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร เดินลอยๆ ออกมาจากห้องตรวจ เพื่อนถามอะไรก็ไม่ได้ยินตอนแรกแม่ไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็น อึ้ง สับสน สมองยิ่งอื้ออึง ชีวิตเหมือนตกหลุมที่ขึ้นมาไม่ได้ แต่ไม่ร้องให้ พยายามนั่งคิดว่า จะทำอย่างไรต่อไป" แม่ติ๋วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสดใส ก่อนว่า ตอนนี้เองที่ราชสีห์ต้องกลายเป็นราชสีห์ขาหัก

    ทว่า มะเร็งลำไส้ ที่เริ่มประกาศตัวเป็นศัตรูร้ายของแม่ติ๋ว อยู่ไปอยู่มากลายมาเป็นคู่ชีวิตในที่สุด

    "9 ปีที่ผ่านมา จากความหวาดกลัว ก็กลายเป็น มะเร็งที่รัก เพราะตอนนี้เหมือนเราแต่งงานกันแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ทำอะไรที่เขาไม่ชอบ ไม่กินอะไรที่เขาไม่โปรด" แม่ติ๋วเล่าอย่างขบขับ

    เส้นทางของการครองคู่กับ "มะเร็งที่รัก" ของแม่ติ๋วเริ่มต้นขึ้นหลังจากการรับรู้สุขภาพของตนเอง ช่วง 2 ปีแรกนั้น แม่ติ๋วบอกเล่าว่า ตอนนั้น สติสตังแทบไม่มี กลัวว่าตัวเองจะตาย กลัวจะต้องจากเด็กในบ้านโฮมฮักไป เพื่อนลากไปรักษาที่ไหนก็ไป ใครบอกว่าอะไรดี อะไรหาย เพื่อนก็จะพาไปหมด

    ความกลัวท่วมท้นจนต้องเอาแรงไปลงกับงาน แม่ติ๋วเล่าว่า เธอกลัวมากจนเลือกที่จะทำงานไม่ให้คิดถึงมะเร็ง ทำงานหนัก ด้วยการทัวร์เล่นละครหุ่นในโรงเรียนแถบภาคเหนือถึง 40 แห่งในเวลา 30 วัน และความสนุกสนานจากการทำงานก็ชะล้างความกลัวออกไป สติเริ่มกลับมาและได้คิดว่า จะทำอย่างไรกับตัวเอง

    "จริงๆ คุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งนะ เราเลยรู้ว่า ระยะและอาการของโรคเป็นยังไง แต่เราก็ไม่สนใจ และเริ่มคิดที่จะยอมรับและอยู่ร่วมกับเขาอย่างแข็งแกร่ง" แม่ติ๋วจากบ้านโฮมฮักกล่าว

    เธอเลือกใช้วิธีธรรมชาติแบบพื้นบ้านแทนการรักษาแผนปัจจุบัน ด้วยการทำดีท็อกซ์เช้าและเย็น อบสมุนไพรด้วยเครื่องต้มยำ เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เพื่อขับเหงื่อ ช่วยให้เจริญอาหาร รวมถึงการแช่น้ำร้อน บรรเทาอาการปวด ที่สำคัญ ใส่ใจเรื่องอาหาร

    "เราไม่เชื่อเพราะคำบอกเล่าว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่เราจะพิสูจน์เอง อาหารจะเน้นที่ย่อยง่าย เพราะเรามีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เมื่อกินเนื้อจะรู้สึกย่อยยาก ท้องอืด จึงเลือกกินผักและผลไม้ รวมถึงปลาธรรมชาติที่ปลอดสารเคมีอีกด้วย" แม่ติ๋วอธิบายด้วยท่าทางแข็งแรง

    นอกจากดูแลตัวเอง สิ่งที่ทำให้แม่ติ๋วครองคู่อยู่กับเนื้อรักเนื้อร้ายอย่างมะเร็งได้นานถึง7 ปี คือ การรักษาสมดุลของกาย, ใจ และอารมณ์ เธอบอกอย่างภูมิใจว่า โชคดีเหลือเกินที่มีบ้านโฮมฮักที่แสนอบอุ่น มีลูกๆ ที่อยู่เป็นกำลังใจให้กันและกัน

    แม่ติ๋วเคยผ่านช่วงทรมานจนเกือบตาย หลังจากขาขวาเดินไม่ได้ ท้องบวมโต แต่ก็แข็งใจ ไม่อยากตาย เธอเล่าว่า เดือนนั้น มีคนในบ้านที่อาการหนักเหมือนกันอยู่หลายราย จนเริ่มทำการตอกโลงเผื่อเอาไว้

    "บ้านเราจะตอกโลงเองเป็นเรื่องปกติ แต่เดือนนั้น โลงที่ทำขึ้นเป็นโลงแรกไม่แข็งแรง มีคนพูดติดตลกว่า ใครตายเป็นคนแรก ต้องใช้โลงนี้ หลายคนรวมถึงแม่เองบอกว่า ไม่อยากได้ เพราะตัวใหญ่ กลัวโลงแตก เชื่อไหมว่า เดือนนั้นไม่มีใครตายเลย ซึ่งแม่มองว่า เกิดจาก มรณานุสติ ที่พวกเรารับรู้และเรียนรู้ที่จะรู้จักความตายตั้งแต่แรกเริ่มตอกโลง ทำให้ใจเรานิ่ง ไม่เตลิด ไม่ประมาท"

    รศ.นพ.สถาพร มานัสสถิตย์ แพทย์ประจำภาควิชาอายุรแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเสริมว่า มะเร็งลำไส้ถือเป็นมะเร็งที่ไม่รุนแรงมากนัก สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ

    "ปัจจุบัน การแพทย์ก้าวหน้า ยาเคมีมีประสิทธิภาพดีขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ในระยะที่1 มีโอกาสหายขาด 100% ในขณะที่ผู้ป่วยระยะที่ 2 มีโอกาสหายขาด 80% หากอยู่ในระยะที่ 3 ที่เริ่มมีการแพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองโอกาสหายอยู่ที่ 60% แต่หากอยู่ในระยะที่ 4 โอกาสหายมีเพียง 20%"

    สำหรับคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง รศ.นพ.สถาพรแนะว่า ควรที่จะรีบมาตรวจด้วยการส่องกล้อง เพราะหากรู้เร็วก็รักษาได้เลย โอกาสหายขาดก็จะมากขึ้น แต่สำหรับกรณีแม่ติ๋ว ถือเป็นกรณีพิเศษมาก เพราะถือว่า ก้าวผ่านไปอีกขั้นหนึ่ง คือการทำใจและยอมรับที่จะอยู่กับมะเร็งได้อย่างเข้มแข็ง

    สำหรับผู้ป่วยมะเร็งในขั้นแรกๆ อายุรแพทย์จากศิริราชแนะนำให้รับการรักษา เพิ่มโอกาสหายขาด แต่สำหรับคนที่เป็นระยะสุดท้ายนั้น การทำใจอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

    สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหรือโรคอื่นๆ ก็ตาม แม่ติ๋วแนะนำว่า เมื่อรู้ตัวเองว่ากำลังป่วยเป็นโรคอะไร ต้องถามหมอให้แน่ชัดถึงอาการ การรักษา และการดูแลตัวเอง จากนั้น บอกกับคนรอบข้างอย่างสดใส อย่าเศร้าเสียใจ เพราะสิ่งที่สะท้อนมาในแววตาของคนที่เราบอกนั้นจะเต็มไปด้วยความเศร้า ซึ่งจะกระทบจิตใจของเราให้ยิ่งเศร้า ที่สำคัญ ต้องทำตัวให้แข็งแรง อย่าเรียกร้องและคาดหวังให้ทุกคนมาดูแลเราเหมือนเป็นคนป่วย เพราะใจเราจะป่วยไปด้วย

    "เราไม่ใช่ผู้วิเศษ อยู่กับมะเร็งได้นาน มีคนที่เขาอยู่กับมะเร็งได้นานกว่าแม่ เพราะมีวิธีคิด วิธีเรียนรู้ และวิธียอมรับที่จะอยู่อย่างมีความสุข ถ้าวันนั้น แม่ฉลาด แม่จะคุยกับหมอ ซักถามถึงทางเลือก ทางรักษา แต่เมื่อมันเป็นอดีต เราต้องยอมรับการกระทำของตัวเอง ตั้งสติ และยอมรับเอามะเร็งที่รักมาเป็นคู่ชีวิต" แม่ติ๋ว คำนึงถึงคู่ชีวิตตัวร้ายที่อยู่ในลำไส้ของเธอ


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...