มาตุคาม มหาภัยพรหมจรรย์ ( พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ )

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Onemind, 19 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. Onemind

    Onemind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +197
    พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
    วัดเจติยาศีรี ภูทอด กิ่งอำเภอศรีวิไล จ.หนองคาย

    **********************************
    ครั้นนั้น... ปี พ.ศ.๒๔๙๓
    พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พรรษาที่ ๘ ท่านไปจำพรรษที่ถ้ำพวง อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร...

    ...ณ. ถ้ำพวงแห่งนี้ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ก็ได้เผชิญกับอันตรายจาก "มาตุคาม" อีก ครั้งหนึ่ง ซึ่งท่านได้เล่าให้บันทึกไว้เพื่อเป็นประโยชน์ เป็นสติ ปัญญาแก่พระภิกษุ สามเณรทั่วไป... ข้อความที่ท่านให้บันทึกไว้มีดังนี้

    อยู่ต่อมา ได้มีพวกญาติโยม พ่อออก แม่ออก สีกาสาวขึ้นไปเที่ยวชมถ้ำพวงมากขึ้น บางคนก็ไปส่งเสบียงอาหาร ญาติของสามเณรคนหนึ่งเป็นหญิงสาวไปส่งอาหารถวายพระทุกวัน เขาไม่ได้ส่งแค่อาหาร หากแต่ส่งสายตามาให้ด้วย ทำตาหวานหยาดเยิ้ม สายตาของเขา ลิด... ลิด

    ลิด แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่มองตาหวานทุกวัน ๆ ก็เกิดความรักความยินดีในหญิงนั้น เห็นนัยน์ตาของเขาว่างาม ว่าสวย ความจริงเขาอาจจะมีกิริยาอ่อนหวาน ทำตาหวานเช่นนั้นเองตามประสาหญิงสาว แต่ตัวเราไปหมายนัยน์ตาของเขาเอง หลายวันเข้าจิตก็เกิดยินดีในสายตาของเขา

    เวลาภาวนาเคยพิจารณากระดูกของข้าพเจ้าเอง มองเห็นแจ่มชัด กำหนดลงไปทีไรก็เห็นกระดูกของเราชัดแจ้งอยู่ดังนั้น แต่คราวนี้ภภาวนาไป พิจารณากรรมฐานไปกลับมองไม่เห็นกระดูกอกของเรา เห็นแต่สายตาของสีกามาซับซาบอยู่ในจิต เห็นแต่ความงามของรูปร่างหน้าตาของเขาลอยวนเวียนแทนหมด จิตไม่สงบ พยายามแก้ไขอย่างไรก็ไม่เป็นผล ภาวนาทีไรก็เห็นแต่ตาหวานของเขาทุกทีจิตไปจดจ่ออยู่แต่สายตาลิด... ลิดๆ ของเขา

    เผอิญมีโยมผู้ชาย ๒ คน ขึ้นมาสนทนาด้วย คือ พ่อออกเล็กและพ่อออกนิลมาเล่าว่า มีคนมาฆ่าช้างตายอยู่ไม่ไกลนักและเวลานี้ เขากำลังเผาซากช้างนั้น ข้าพเจ้าจึงถามว่ามีกระดูกช้างเหลือบ้างไหม เขาตอบว่ามี จึงบอกเขาว่าจะขอกระดูกขาช้างสักท่อนหนึ่ง จะเอามาทำยาแก้โง่ เขาก็รับคำและลาไปเอากระดูกช้างมาให้ ที่ซึ่งช้างตายนั้นอยู่ไม่ไกลจากถ้ำที่ข้าพเจ้าอยู่ ห่างกันเพียง ๓ เส้น ดังนั้นประเดี๋ยวเดียวโยมก็แบกกระดูกขาช้างกลับมาท่อนหนึ่ง ยาวสักศอกหนึ่งได้

    ข้าพเจ้าจึงเอาฝ้ายมาฟั่นทำเป็นเชือกร้อยกระดูกขาช้างท่อนนั้น แล้วก็เอาขึ้นมาแขวนคอตนเองไว้ แขวนไว้ตลอด เวลาเดินจงกรมก็แขวนไว้ที่คอ นั่งภาวนาก็แขวนไว้ที่คอ แขวนมันอยู่เช่นนั้นไม่ยอมถอดออก แล้วก็สอนตัวเองว่า "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้นั่ง เอากระดูกมาแขวนคออย่างนี้แหละ ถ้าเธอภาวนาไม่เห็นร่างกระดูกไม่เห็นกระดูกในตนของตนแล้ว เราจะไม่ปลด ไม่เปลื้อง ไม่แก้ออกให้ แขวนมันอยู่อย่างนี้ ! รู้จักไหมกองกระดูก กระดูกภายนอก กระดูกภายในมันก็เหมือนกัน เราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง"

    ข้าพเจ้าเทศน์ให้มันฟัง มันอยากจิตไม่สงบ มัวแต่ไปหมายสายตาของเขาอยู่อย่างนั้นและเกิดอุบายว่า "ธรรมดาถ้าควายตัวไหนมันดื้อ มันด้านไปบุกรั้วเขา ไปเข้ากินพืชผักในสวนของเขา ไม่เชื่อฟังเจ้าของเขาก็จะต้องแขวนไม้ไว้ทรมานมัน... อย่างนี้แหละ เธอก็เหมือนกัน จิตมันดื้อมันด้านไปหมายสายตาของเขาว่าดี ว่าสวยอย่างนั้นอย่างนี้ เราจึงต้องเอากระดูกช้างมาแขวนคอแก้จิตดื้อด้านของตัวเองบ้าง เดินจงกรมก็แขวน นั่งภาวนาก็แขวน แขวนมันอยู่อย่างนั้น เว้นเสียแต่นอนถ้าเธอไม่แก้ไขตัวเอง"

    "ถ้าจิตเธอไม่สงบ ไม่ถอนจากสายตาของเขา เราเป็นไม่แก้ให้"

    ข้าพเจ้าให้โอวาท ทรมานมัน บางทีเวลาฉันหมากบ้วนน้ำหมากไปถูกกระดูกช้างกระดูกก็แดงเหมือนเลือด ข้าพเจ้าแขวนกระดูกช้างไว้เช่นนั้น จนกระทั่งจิตสงบไม่มีความรู้สึกในสีกาคนนั้นอีกแล้ว จึงยอมถอดกระดูกนั้นออกจากคอ

    ระหว่างที่ยังคงเอากระดูกช้างแขวนคอเดินจงกรม นั่งภาวนานั่นแหละ วันหนึ่งท่านอาจารย์เพ็ง เตชะพโล มาเห็นข้าพเจ้าเอากระดูกช้างแขวนคอเดินจงกรมภาวนา ท่านก็หัวเราะก้ากใหญ่เลย คงคิดว่าข้าพเจ้ามีสติวิปลาสไปแล้ว พอรุ่งเช้าลงไปบิณฑบาตท่านอาจารย์เพ็งจึงไปกราบเรียนหลวงปู่ขาวที่จำพรรษาอยู่ตีนเขาภูเหล็ก คือที่หวายสะนอยนั่นเองว่า "ครูบาจวนเอากระดุกช้างมาแขวนคอเดินจงกรมและนั่งภาวนา และก็เคี้ยวหมากบ้วนน้ำหมากลงรดกระดูกช้างเป็นสีแดงจ้า ครูบาจวนทำอย่างนั้น เห็นจะเป็นบ้าไปแล้ว วิปริตไปเสียแล้ว"

    หลวงปู่ขาวได้ฟังดังนั้น จึงได้นิ่งพิจารณาและตอบว่า "ฮ้าย...ไม่ใช่เป็นคนบ้า ไม่ใช่คนวิปริตหรอก อันนี้เป็นอุบายของท่านต่างหาก ท่านคงมีเหตุจำเป็น จึงต้องใช้อุบายนี้ คนบ้าคงจะไม่ทำอย่างนี้ นี่เป็นอุบายสำหรับทรมานของท่านต่างหาก คงจะเพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง เราควรคอยรอฟังกันไปก่อนอย่าเพิ่งเข้าใจว่าท่านเป็นบ้าเลย"

    ครั้นข้าพเจ้าจิตสงบเป็นปกติ จิตจืดจางจากสายตาหวานของหญิงสาวผู้นั้น การภาวนาก็ดี จึงเอากระดูกช้างออกจากคอ แล้ววันหนึ่งก็ไปกราบนมัสการหลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านก็ทักและถามว่า

    "ท่านจวน ทำไมจึงเอากระดูกช้างไปแขวนคอเดินจงกรมและนั่งภาวนา"

    ข้าพเจ้าก็เลยเรียนถวายท่านว่า "ขณะนั้นสีกาสาวที่บ้านโพนสว่าง เขามาส่งอาหารแทบทุกวัน เขามาส่งสายตาให้ทำตาหวานใส่ หลายวันเข้าก็ไปหมายสายตาของเขาทำให้จิตใจไม่สงบ ฉะนั้นกระผมจึงหาอุบาย เอากระดูกช้างมาแขวนคอเดินจงกรมและภาวนา เพื่อทรมานมัน ตอนก่อนนั้นกระผมพิจารณากระดูกอกตัวเอง เห็นไม่ชัดเจน พอมาคิดถึงสายตาของสีกาสาวเข้า ทำให้ไม่สามารถพิจารณากระดูกอกของตัวเองได้ จึงเอากระดูกช้างซึ่งเป็นกระดูกสัตว์เหมือนกัน มาเป็นสักขีพยานแขวนคอภายนอก เพื่อน้อมเอากระดูกที่แขวนคออยู่ภายนอกและกระดูกที่แขวนคออยู่ภายในก็เป็นกระดูกสัตว์เหมือนกัน ทำไม่ท่านจึงไม่เห็น ถ้าท่านไม่เห็น เราก็ไม่แก้ออกให้

    นี่แหละท่านไปหมายเอาสายตาของเขา โบราณท่านว่า...เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้นั่ง กระดูกแขวนคอ ต่องแต่ง...ต่องแต่ง... อย่างนี้ และกระผมก็ได้อุบายสอนตนอีกว่า ธรรมดาควายตัวไหนมันห้าว มันคะนอง มันดื้อ มันดัน มันไปบุกรุก ทำลายเรือกสวนของคนอื่นเขา เขาต้องทรมานมัน เอาไม้ยาวๆ มาแขวนคอมันเพื่อให้มันละพยศอันร้าย เมื่อมันละพยศอันร้ายแล้วเขาจึงเอาไม้ออกจากคอมัน"

    หลวงปู่ขาวท่านก็เลยย้อนถามว่า

    "เมื่อท่านทำเช่นนี้แล้ว เป็นอย่างไรได้ผลไหม สงบไหม"

    ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่า

    "ได้ผลครับ ได้ผลดี หายเลย จิตสงบดีแล้ว ผมจึงปลดออกแก้ออกจากคอคนเอง

    ท่านหัวเราะใหญ่ และชมว่า

    "แหม... อุบายอย่างนี้ชอบกลนัก ดีมาก ผมยังคิดไม่ได้เลย เมื่อท่านเพ็งมาบอกผมว่า ท่านจวนเป็นบ้า จิตวิปริต เอากระดูกช้างแขวนคอเดินจงกรมและนั่งภาวนา ผมก็ยังไม่เชื่อ อุบายอย่างนี้แปลกประหลาดจริงๆ ดีนัก ได้ผลดี!"
    (verygood) ที่มา http://202.44.204.76/cgi-bin/kratoo.pl/004839.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...